เสียงกระซิบจากท้องทะเล - เสียงกระซิบจากท้องทะเล นิยาย เสียงกระซิบจากท้องทะเล : Dek-D.com - Writer

    เสียงกระซิบจากท้องทะเล

    ความรัก ความทรงจำ ที่อยู่ตลอดกาล

    ผู้เข้าชมรวม

    252

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    252

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 เม.ย. 50 / 11:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เสียงกระซิบ…จากท้องทะเล

      ผมถอนลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรถวิ่งจนลับแสงสว่างจากหลอดนีออนสัญลักษณ์แห่งความเป็นนครหลวงของเมืองสยาม เพื่อน ๆ ต่างนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย จากการที่ต้องตรากตรำทำข้อสอบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเรากำลังหนีความสับสนวุ่นวายชั่วขณะ จากสังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน ผู้คนไร้น้ำใจ สู่ธรรมชาติที่เราใฝ่หา ผมเลื่อนกระจกรถตู้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ทอดสายตาไปตามสองข้างทางที่เริ่มปกคลุมด้วยต้นไม้เป็นช่วง ๆ หมู่ดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า แสงแห่งเจ้าราตรีกาลอันนวลผ่องสาดส่องลงมากระทบทิวทุ่งกว้างของรวงทองข้าวน้อยออกรวงทอง คุณแม่กำเคียวเกี่ยวข้าว เลี้ยงเราเติบโตมา

      สถานที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว ถูกจัดอย่างเป็นสัดส่วนเพื่อให้เกิดความสมดุลกับธรรมชาติ พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เวลาสายัณห์เริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ ผมหยิบเอาขวานเพื่อไปตัดไม้ทำฟืน เชือกสำหรับมัดฟืนรวมกัน และไฟฉายเผื่อไว้ว่าหากมืดจะได้ส่องทางระหว่างขากลับ แสงแดดที่แผดจ้าในยามบ่ายเริ่มลดลง ทุ่งหญ้ากว้างเอนพริ้วตามสายลม สนสองใบทิ้งเมล็ดเกลื่อนบนพื้น ตะไคร่น้ำเกาะแผ่นหินต้องระมัดระวังเมื่อเดินผ่านต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงขึ้นเป็นหย่อม ๆ ผ่านทุ่งหญ้าเป็นป่าใหญ่ แสงอาทิตย์สาดส่องพฤกษานานาพันธุ์ ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ประติมากรรมที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ผมถลำลึกเข้าไปในป่า คล้าย ๆ กับว่าต้องมนต์ขลังจากห้วงสวรรค์ที่กำลังร้องเรียกหา เสียงธารน้ำตกกระทบแผ่นหินดังใกล้เข้ามา ผมเดินจนถึงธารน้ำที่ขวางอยู่ข้างหน้า พร้อมกับก้มลงวิดน้ำรดศีรษะเพื่อคลายเหนื่อยไปบ้าง แว่วเสียงหัวเราะของกลุ่มนักท่องเที่ยวดังใกลัเข้ามาทางเหนือของทางน้ำ ทันใดนั้น

      “ช่วยด้วยๆๆ……..คนตกน้ำ”

      เสียงตะโกนก้องดังสนั่นป่า ผมเงยหน้าขึ้นมองไปทางที่มาของเสียงนั้น พลันสังเกตุเห็นวัตถุบางอย่างลอยมากับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและตกลงไปกับธารน้ำตกเป็นชั้น ๆ ไปติดอยู่ที่อ่างน้ำที่เกิดจากการกัดกร่อนของธรรมชาติร่างนั้นผลุบๆโผล่ๆ และที่สุดก็จมหายไปกับวังน้ำวนแห่งนั้น ผมนำปลายเชือกด้านหนึ่งมัดไว้กับรากไม้ที่ยื่นออกมา ปลายอีกข้างหนึ่งมัดเข้าที่เอวของผม พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

      “ข้างล่างนี้เป็นวังวน ห้ามทุกคนลงไปให้ดึงเชือกที่ยึดติดกับรากไม้ให้ตึงตลอดเวลา ถ้าผมกระตุกเชือก 1 ครั้ง ให้ปล่อยเชือกลงไปเรื่อย ๆ ถ้าผมกระตุกเชือกติดต่อกันหลายครั้ง แสดงว่าผมต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ให้รีบดึงเชือกขึ้นมาทันที”

      ผมพยายามตั้งสติให้มั่นคง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพุ่งตัวลงไปยังวังน้ำวนทันที วินาทีแห่งการยื้อแย่งชีวิตระหว่างพระยามัจจุราชซึ่งเป็นตุลาการแห่งความเที่ยงธรรมอ่านคำพิพากษาชีวิตอย่างเด็ดเดี่ยว กระชากวิญญาณออกจากร่างของคนโดยไม่ฟังเสียงคร่ำครวญหรือขอร้องจากใคร กับ นดร. หนุ่มผู้ที่ซึ่งอนาคตต้องผูกพันกับท้องทะเลและผืนน้ำได้เริ่มขึ้น ผมพยายามดำดิ่งลงไปพร้อม ๆ กับต้องคอยระมัดระวังเชือกมิให้พันขาของตนเอง ผมได้ส่องไฟฉายฝ่าความมืดใต้คุ้งน้ำเพื่อควานหาอีกชีวิต และกระตุกเชือกติดต่อกันอย่างเร่งด่วน เมื่อผมคว้าร่างของเธอเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว

      หลังจากที่เธอได้พักฟื้นที่โรงพยาบาลจนหายเป็นปกติ ที่บ้านของเธอได้จัดงานเลี้ยงและเชิญผมเป็นแขกในงานเพื่อแสดงความขอบคุณผมได้นั่งชิดใกล้กับเธอ จนได้กลิ่นหอมแปลก ๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้บางอย่าง แต่ก็ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตา แล้วยิ้มให้กับผม เธอสวยมาก ผมหยิกดำขลับปล่อยยาวสยายบังทรวงอก ผิวกับริมฝีปากของเธองามขาวชมพู ตากลมโตและเปี่ยมไปด้วยแววตาแห่งความปีติความซึ้งแกมประหลาดใจได้ฉายขึ้นในแววตาผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแววตาอันประหลาด ของบุคคลที่ผมได้กลับคำพิพากษาชีวิตจากพระยามัจจุราชมาเพราะวันเกิดเหตุมันฉุกระหุกไปหมด

      “พ่ออยู่กับแตงสองคนหลังจากที่แม่ของเขาเสีย พ่อไม่แต่งงานใหม่เพราะกลัวว่า แม่ใหม่จะทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าแม่ของเขาเอง “
      พ่อของเธอปรารภเรื่องเก่า ๆ ให้ฟัง
      “พ่อรักแตงมาก นี่…ถ้าไม่มีเธอช่วยแตงไว้ป่านนี้พ่อคง… ทำไมเธอกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อคนที่ไม่รู้จัก”

      “ผมเป็นนักเรียนเดินเรือ วันข้างหน้าต้องทำงานในทะเล ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ชีวิตพวกเราเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใครครับ”

      “คนที่มีชีวิตไม่แน่นอนใช้ชีวิตอย่างอิสระ คือคนที่ไม่มีความรักใช้ไหม ?”

      “ความรักมีหลายแบบ ผมมีความรักให้กับทุกคน เพียงแต่ว่าแม่ไม่เคยสอนให้ผมยึดติดกับความสวยงามเพราะอาจทำให้ผิดหวัง” เธอนั่งฟังด้วยความสนใจ ในขณะที่ผมกำลังสนทนากับพ่อของเธอ

      “แตงเป็นความหวังของพ่อ ตอนนี้ก็เรียนพยาบาลปีสุดท้ายแล้ว หลังจากเรียนจบพ่ออยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาจะได้หมดห่วงซะที และตอนนี้พ่อคิดว่าเจอคนที่เหมาะจะเป็นคู่ของแตน”

      ผมชำเลืองสายตาไปที่เธอ ขณะที่เธอค้อนพ่อด้วยความเอียงอาย ผมฉลาดพอที่จะรู้ความหมายของประโยคที่เธอเพิ่งพูด ผมแทบจะลุกขึ้นยืนแล้วตีลังกาสักสองรอบด้วยความยินดี ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้ผมไม่มีใครสักคนอยู่ในใจ
      ครอบครัวของเธอได้แสดงไมตรีจิตด้วยดีต่อผมตลอดมา งานราตรีปีนี้ผมเชิญผู้หญิงที่ผมแอบชอบเข้ามาร่วมงานแต่เขาบ่ายเบี่ยงใช่…คนโง่เท่านั้นที่จะรออะไรสักอย่าง อย่างสิ้นหวัง เมื่อเขาปฏิเสธผมก็เชิญคนอื่นมาและเธอก็เต็มใจ คุณพ่อของเธออนุญาต เธอสวมชุดราตรีสีขาวยาวถึงน่อง รอยยิ้มที่ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตากันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ภายในงานเธอเรียนรู้อย่างรวดเร็ว และประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ผมลุกขึ้นยืนเมื่อราตรีลีลาศเริ่มบรรเลง เธอเกี่ยวแขนผมสู่ฟลอร์โดยอัตโนมัติ
      ในโลกแห่งความจริง มีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มีวัฏจักรชีวิตเพียงแค่ข้ามคืน เกิดเช้าตายค่ำ มันยังแสวงหาซึ่งความรัก เพื่อการดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ อะไรที่ไร้สัญญา อะไรที่ไม่มั่นคง อะไรที่อ้อยอิ่งกว่าแสงหิ่งห้อย ไม่มีอะไรจะสุขเท่า ควรมีหญิงที่รักเราและเรารักในเวลาเดียวกัน

      อาหารจานโปรด กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ที่แท้คือความรัก…นั่นเอง

      หลังจากที่พวกเราเรียนครบสามปีครึ่ง จะต้องลงฝึกกับเรือเดินสมุทรอีกปีครึ่ง ตามหลักสูตรของกระทรวง ผมเลือกลงเรือสายนอกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากต่างแดน ก่อนฝึกผมได้ไปกราบลาพ่อของเธอที่บ้าน ผมไม่เห็นเธอจึงถามพ่อ พ่อบอกว่าเธอเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียวตั้งแต่ทราบข่าวว่าผมเลือกเรือสายนอก ก่อนกลับเธอได้ออกมาพาผมไปที่สวนหลังบ้าน ผมเอื้อมไปจับมือเธอ เธอกุมมือผมแน่น

      “ผมมาลาคุณ ขอให้คุณมีความสุข”

      เป็นคำกล่าวจากส่วนลึกในจิตใจของผม น้ำใส ๆไหลลงอาบแก้มของเธอ ผมเงียบไม่ปริปากแต่ทว่าข้างในใจของผมมันร้องไห้กับเธอ ในเวลานั้นหากผมหนุนหมอนทุกใบในโลกน้ำตาคงเปียกหมอนทุกใบ ผมปรารถนาที่จะแบ่งปันความรู้สึกที่ดีงามของผมให้กับเธอ ผู้ชายไม่ได้ใจร้ายทุกคน อาจมีใครสักคนที่เขาพร้อม และมีเวลาที่จะดูแลเธอมากกว่าผม

      “แล้วเมื่อไหร่ เราจะได้พบกันอีก”

      เสียงสะอื้นจากลำคอ

      “เราล้วนแต่มีที่ของตัวเอง ผีเสื้อกลางคืนยังบินหนีแสงสว่างจากโคมไฟไปสู่ค่ำคืนทั้งที่รู้ว่าค่ำคืนมันมืดมิด ผมไม่อาจหนีพ้นพันธะ หน้าที่ของตัวเองได้ทั้งที่รู้ว่าท้องทะเลมันเงียบเหงา”

      “ฉันมีหัวใจเพียงดวงเดียว และหนึ่งใจภักดีที่มอบให้ ถ้าฉันตายเป็นนกนางนวล ฉันจะคอยบินวนเวียนอยู่ใกล้ ๆเรือของคุณ สาบานกับฉันไดไหม ถ้ามีเหตุเกิดในท้องทะเลคุณจะรอดกลับมา แต่ถ้าต้องตายขอให้ตายเพื่อสิ่งที่แน่นอนเท่านั้น”
      “ผมไม่เคยสาบานกับใคร มีเพียงสัญญาที่ไม่เคยลืมเลือน”
      “อย่าโป้ปดฉัน ถึงแม้ว่าฉันต้องเจ็บปวด คุณมีคนอื่นอยู่ในใจแล้วใช่ไหม ถึงไม่เคยบอกรักฉัน”

      “สิ่งไหนที่ทำให้คุณเจ็บปวด ก็ให้คิดเสียว่าคุณได้รับการทิ่มตำจากหนามของดอกกุหลาบที่ผมได้มอบให้ก็แล้วกัน แหวนรุ่นวงนี้ ข้างในสลักชื่อของผม มันมีราคาเพียงน้อยนิด แต่มีความหมายมากสำหรับ นดร. ทุกนาย ผมเคยตั้งใจไว้ว่าจะมอบเป็นแหวนหมั้นสำหรับผู้หญิงที่มาเป็นคู่ชีวิต แต่วันนี้ผมมอบให้คุณ ถ้ามีโอกาสผมจะบอกรักคุณในวันแต่งงาน”

      คุณพ่อมองเราสองคนด้วยความอาทรก่อนที่จะปลีกตัวไป ผมดึงร่างของเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ในขณะที่เธอพยายามซึมซับความรู้สึกที่ดีที่มีต่อกันไว้นานที่สุด

      ผมลงฝึกในตำแหน่ง 3/E กับเรือเดินสมุทร จนใกล้จะครบตามหลักสูตรกำหนด และเรือเที่ยวนี้คงเป็นเที่ยวสุดท้ายสำหรับการฝึก ก่อนจะเดินทางกลับมาเมืองไทย หาแก้วตาดวงใจ ที่ผมใฝ่ถวิลหา แต่อนิจจาความแน่นอนต้องกลายเป็นความไม่แน่นอน เรือของเราต้องผจญกับพายุที่ก่อตัวจนเกิดเป็นคลื่นใต้น้ำ โหมกระหน่ำเรือหลายระลอก ประจวบกับเรือประสบอุบัติเหตุชนกับหินโสโครกใต้น้ำทางกราบซ้าย น้ำทะเลทะลักเข้าระหว่างเรือ จนกัปตันต้องสั่งสละเรือใหญ่ ผมอยู่บนแพชูชีพกับลูกเรืออีก 3 คน ส่วนคนอื่น ๆ กระจัดกระจายไปตามท้องทะเลที่กำลังบ้าคลั่งโดยที่เรามิอาจรู้ชะตากรรมของพวกเขาได้ ผมไม่รู้ว่าพวกเราติดอยู่บนแพชูชีพแล้วกี่สิบวัน รู้แต่ว่าอากาศระหว่างกลางวันกับกลางคืนจะแตกต่างกันมาก คือร้อนจัดและหนาว เพราะกระแสลม จนสะท้านถึงทรวงใน สายเบ็ดที่ติดมากับแพชูชีพถูกเต่าทะเลดึงจนขาดไป ในระหว่างที่ผมหย่อนเบ็ดเพื่อตกปลาเป็นอาหารประทังชีวิต เสบียงของเราเริ่มร่อยหรอ น้ำดื่มของพวกเราเริ่มหมด ฝนก็ไม่ตก ลูกเรือสามคนเริ่มเพ้อ เพราะขาดนำติดต่อกันหลายวัน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
      ผมตัดสินใจหยิบปากกาและกระดาษ รวบรวมกำลังที่แทบจะไม่มีเหลืออยู่เขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดกับชีวิตของผม แล้วบรรจุในขวดปิดฝาแน่น เผื่อว่าจะมีใครสักคนมาเจอ จะได้ส่งข่าวเล่าเรื่องราวให้คนทราบต่อไป

      “ดอกกรรณิการ์ที่ข้าเคยได้กลิ่น ข้าไม่มีความทะนงเหลืออยู่ในตัวอีกต่อไปแล้ว อภัยให้ข้าด้วย สิ่งที่ข้าจะทำต่อไปนี้ ข้าทำเพื่อตัวข้าและหญิงที่ข้ารัก นี่คือวาระสุดท้ายของข้า อย่ากลัวไปเลยของมันเปลี่ยนกันได้ ข้าไม่เคยศรัทธาอะไรเท่าตัวข้า ข้าไม่เคยบูชาอะไรเท่าความรัก จงจำไว้เสมอว่าครั้งหนึ่งมีชายที่รักเจ้ามากเกินที่จะลืมลง”

      คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่ผมก้มลงกราบบนแพชูชีพ พร้อมระลึกถึงพระคุณอันมหาประเสริฐจากผู้บังเกิดเกล้าปฐมยามแห่งราตรีกาลล่วงเลยไป เจ้าแห่งท้องฟ้าลอยเด่นเป็นสง่า แสงตะวันอันเรืองรองสาดส่องลงมา โดยมิได้คำนึงว่าเป็นกระท่อมของขอทาน หรือปราสาทวิมานของมหาเศรษฐี นานๆครั้งจะมีก้อนเมฆลอยมาปิดบังแสงสว่างทำให้มืดมิดลงไปบ้าง แต่เมื่อความตายย่างก้าวเข้ามาถึง เรือยอร์ช ของมหาราชาก็มีค่าเท่ากับเรือหาปลาของชาวประมงดี ๆ นี่เอง บัดนี้…พระยามัจจุราชได้ทรงพิพากษาชีวิตของนักเรียนเดินเรือหนุ่ม โดยไม่ทรงมองน้ำตาอันนองหน้าจากเธอเลย
      สายลมพัดกิ่งไม้ต้องลม พริ้วเป็นจังหวะ เสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นครั้งคราว ทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์มีคนเห็นหญิงสาวไว้ผมถึงแผ่นหลังนั่งบนโขดหินริมทะเล เท้าทั้งสองข้างของหล่อนลงไปสัมผัสไออุ่นจากพื้นน้ำคล้าย ๆ กับว่าหล่อนกำลังรอการกลับมาของใครบางคน แต่เปล่า เลยไม่มี “ เสียงกระซิบจาก…ท้องทะเล”
      แต่ฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้ตลอดไป

      จากแล้ว จากลับ ไม่กลับมา
      ฟ้าร้อง สั่งลา หลั่งฝน
      เรือล่ม จมลง สิ้นคน
      พี่สั่งฝน สั่งฟ้า บอกลาเธอ

      ชั่วนิรันดร….ฉันรักเธอ
      “เพื่อนเพชร”
      จต.นดร.เสถียร เนื้อจันทา (นดร.รุ่นที่ 19)
      กองเรือฟริเกตที่ 1
      เรือหลวงแม่กลอง

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×