กระดาษเก่า แผ่นบางๆที่สีของมันนั้นก็ช่างบอกอายุได้ด้วยสายตา พวกมันซ่อนอยู่ในกล่องไม้สีดำแม้จำนวนมันจะมีเพียงน้อยนิด แต่เรืองราวแสนจะมากมายถูกเก็บไว้ในนั้น
ยามบ่ายคล้อยของวันอันสุดแสนจะน่าเบื่อด้วยหน้าที่ ฉันเหลียวสายตามองรอบๆห้องของฉันที่สังคมนิยามกันว่าหอพัก ห้องที่ฉันอยู่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่ฉันควรจะมี บางทีด้วยปริมาณของที่กระจายกระจาย
มันอาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำสำหรับฉัน เสียงฝีท้าวที่ย้ำผ่านหน้าห้องฉันไปอย่างน้อยมันทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าฉันก็ไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้เพียงลำพัง ความเงียบสงัดในยามนี้มันทำให้ฉันหวนคิดถึงอะไรบางอย่าง
โดม เด็กหนุ่มผู้ดูหน้าตามึนงง และบุคลิกที่แปลกประหลาดของเค้า ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเค้าช่างน่าจดจำ
แสงทองประกายระยิยระยับส่องไสวมาจากแผ่นฟ้ากระทบฝืนน้ำ ก่อเกิดความงดงามทางจิตใจเสมือนการเจียรไนเพรชเม็ตโต สายลมชื้นๆในยามเช้าส่งกลิ่นของทะเลกระแทกหน้าของโดมอย่างคุ้นเคย
และเค้าเองก็รู้สึกสดชื่นทุกทีที่ตื่นขึ้นมาแล้วยังมีมันให้คงเห็นอยู่ แต่ไฉนเลยการตื่นขึ้นมาของโดมในเช้านี้ มันอาจจะทำให้ทุกเช้าที่เคยผ่านมาเปลี่ยนไป อากาศที่หายใจ ท้องฟ้าที่สดใส และความคิดที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง มันมีขับซักเพียงไรกันถึงทำให้แววตาของเค้าช่างทอประกายยิ่งนักเมื่อเค้ามองมันพร้อมกับความคิดที่ก่อต่อขึ้นอย่างเงียบๆ โดมสูดลมหายใจยาวกว่าที่เคย พร้อมกับทบทวนหลายสิ่งหลายๆอย่างกำลังจะเกิดขึ้นในเช้าวันต่อไป
11 มีนาคม 2552
ถึงครอบครัวของฉัน ถึงทุกคนที่ฉันรัก
บางทีนี้อาจไม่ใช่คำตอบของผมก็ได้นะ แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจและรับรู้ไว้ในที่นี้
มันยากที่ที่เอ่ยเป็นคำพูดครับแม่ มันเร็วเกินไปที่จะรู้สึกครับพ่อ มันเปี่ยมล้นไปด้วยความรักครับเพื่อน
สิ่งสุดท้ายก่อนลูกออกเดินทาง ไม่มีแม้แต่เพียงความกตัญูใดๆ ที่ลูกเคยหยิบยื่น
ลูกเองต่างแสวงหาแต่ความอบอุ่นจากท่าน แต่ไยชะตาถึงแบ่งฝั่งให้ลูกไม่กล้าจะยืนยันมันในการกลับมา
การออกเดินทางของลูกในครั้งนี้ หาได้มีจุดหมายใดที่วางไว้ เพราะทุกเส้นทางมันจะเริ่มจากจิตวิญญาณของลูกเอง
ไม่ต้องมีแม้ความรักที่มากขึ้น เพราะแค่นี้มันก็มากพอแล้วสำหรับลูก อย่าร้องไห้เมื่อลูกจากไปโดยคิดว่าลูกจะไม่มีวันกลับมา
ขอเพียงศรัทธาและความเข้าใจต่อลูก มันมากมายนักที่ใครคนนึงจะหยิบยื่น เพียงเพราะเค้าเองก็ต่างเข้าใจในความสูญเสีย
และ ทุกเช้าที่ลูกตื่นมา ลูกจะภาวณาให้เกิดการรอคอยอย่างมีกำลัง ลูกจากไปเพราะการแสวงหาและลูกจะกลับมาพร้อมกับแก่นสารแห่งความจริง
โดม
"จดหมายฉบับเดียวของโดม"
การตัดสินใจออกเดินทางเพียงเพื่อค้นหาความฝันของโดมนั้นได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้ภายหลัง มันยากที่จะรังสรรค์ดวงจิตให้เกิดแบบความคิดในจดหมายที่โดมทิ้งไว้เพื่อเป็นสัญญาณและนัยะสัญญาถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันถัดไป กลิ่นอายแห่งความสูญเสียได้คุกรุ่นขึ้นมาที่บ้านของโดมภายหลังกระดาษแผ่นบางๆนี้ได้ถูกพบเจอ ความรู้สึกของผู้เป็นแม่ที่ตื่นเช้ามาในวันที่สดใสได้เปลี่ยนไปทันทีเมื่ออ่านบทความที่ลูกทิ้งให้เพียงไม่กี่คำ การรับรู้ถึงความสูญเสียได้เริ่มขึ้น
มันไม่ง่ายเลยที่จะขืนใจตัวเองให้เป็นไปหยั่งที่ลูกต้องการ น้ำตาที่ไหลรินออกมาแบบไม่มีทีท่าที่จะหมดของผู้อันเป็นที่รักได้เอ่อนองล้นใจและยากที่วัจนภาษาใดๆช่วยได้ แม้กระทั้งแต่เวลาก็มิอาจพรากความปวดนี้ออกไปได้
ทว่าเวลาสำหรับผู้เป็นแม่แล้ว ยากที่จะตีค่าออกมาเป็นวัน ชั่วโมง หรือนาที เพราะเวลาที่แม่มีทั้งหมดคือตัวโดมเอง ในทางกลับกันมันคงจะดีถ้าโดมไม่พยายามหลับตาแล้วนึกถึงมันทุกฝีก้าวแห่งการเดินทาง เพราะโดมรู้ดีก่อนตัดสินใจจะออกเดินทางว่าสิ่งเดียวที่รั้งการแสวงหาได้คือความผูกพันธ์ การเดินทางครั้งนี้ ภาพที่โดมมองเห็นทุกเช้ามักจะเปลี่ยนไปตามหนทางที่เค้าต้องการ อดีตที่เค้าอยากพบเจอก็ตกเป็นแค่จินตนาการในความนึกคิดเท่านั้น
20 ปีก่อนที่จดหมายฉบับสุดท้ายถูกพบเจอ
โดมเป็นเด็กที่เกิดมาโดยไม่มีเวลากลางคืน เค้าจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อพบตะวันและยิ้มให้กับจันทร์ทราทุกครั้งที่อาทิตย์ลาลับไป และหลับลงพร้อมรอยยิ้มแห่งการรอคอยแสงวันใหม่ในเวลาต่อมา เมื่อไรที่โดมเห็นแสงที่ลดลงตรงขอบฟ้า โดมเองต่างรู้ดีว่าถึงเวลาที่เค้าต้องรีบข่มตาหลับให้เร็วที่สุด โดยในความคิดของเค้าเองที่เห็นว่าเราต่างมีชีวิตได้เพราะดวงตะวัน
" พ่อครับ ทำไมผมถึงพบเจอเพื่อนๆได้เฉพาะตอนกลางวันล่ะครับ" โดมถาม
" ก็ดวงอาทิตย์ไงลูกที่ทำให้ลูกมองเห็นสิ่งต่างๆ" พ่อตอบ โดมยังคงทำหน้างวยงง
" อ่อ ถ้าเราไม่มีแสงจากท้องฟ้า เราก็มองไม่เห็นคนอื่นใช่มั้ย" โดมพูดพร้อมกับเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ตนสงสัย
"ในตอนกลางคืนมันก็เห็นนะลูก แต่มันไม่ชัดเท่ากับตอนกลางวันหรอก เทพเจ้าเค้าคงอยากให้เราคนแบบเรา รู้จักเวลาไงลูก "
"รู้จักเวลา" โดมเอ่ย
"ใช่ครับ อย่างลูกเป็นเด็ก ตอนกลางวันลูกเจอเพื่อนๆ ตอนกลางคืนเมื่อฟ้ามืดลง ลูกก็ต้องกลับบ้าน และเพื่อนๆลูกก็ต้องกลับบ้าน เพราะอะไรรู้มั้ย"
"อะไรล่ะครับ"
ก็คนเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองอย่างพ่อก็ต้องทำงานเมื่อถึงเวลากลางคืนพ่อก็ต้องนอน เพราะจะได้มีแรงไปทำงานมาเลี้ยงลูกไงครับ"
"งั้นผมก็ต้องนอนใช่มั้ยครับ เพราะพรุ่งนี้ผมจะได้ตื่นมาเล่นกับเพื่อนๆอีก" โดมพูดไปพร้อมกับรอยยิ้มที่บริสุทธ์
ไปนอนได้แล้ว "ครับพ่อ" โดมรีบตอบพร้อมกับลุกขึ้นไปเตรียมตัวที่จะนอน โดยไม่แยแสกับความมืดมิดที่คลืบคลานเข้ามา
เช้าวันที่สดใส
เสียงรอยเท้าที่กระทบลงบนพื้นบ้านในรุ่งอรุณของวันใหม่ดังกรึกก้องพอที่จะส่งสัญญาณปลุกใครบางคนที่นอนหลับอยู่ได้ และโดมเองก็มักจะคุ้นเคยกับการรับรู้ถึงแรงส่งของเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี
แม่ของโดมแกเป็นคนตื่นเช้ามาก ฟ้ายังไม่มันสรางก็เห็นแกออกมาเดินป้วนเปี่ยนอยู่ในครัวแล้ว เสียงดังอึกกระทึกพร้อมกับกลิ่มที่หอมโชยเมื่อแม่เริ่มลงมือทำอาหารและทุกคนในบ้านก็ทยอยตื่นกันมาเพื่อทำตามหน้าที่อย่างที่พ่อบอก โดมเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด สามคน และอีกสองคนเป็นพี่สาว หน้าที่และภาระลูกชายคนเดียวจึงตกอยู่ที่โดม ในอดีตแม่เคยเล่าให้เค้าฟังว่า เมื่อก่อนแม่ก็เคยมีลูกชายคนนึง
เป็นลูกคนแรกที่แม่คลอดออกมา แต่ก็ดันมาเป็นไข้และเสียชีวิตไปตอนเด็ก แม่พูดในเชิงหยอกล้อโดมว่า ถ้าพี่เค้ายังอยู่นะ เราไม่ได้เกิดหรอก พร้อมกับแอบยิ้มมุมปาก และทุกครั้งที่แม่พูด โดมก็แอบน้อยใจทุกที
แต่ถึงจะเป็นเด็กอย่างไร โดมก็พอจะเข้าใจว่าแม่พูดแกล้งเค้าเฉยๆ
เมื่อแดดส่องเข้ามาภายในห้องนอนของโดม พอทำให้เค้ารู้สึกแสบตา นี้เป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มวันใหม่ เสียงบันไดไม้ดังตุ๊บตับทุกเช้าเมื่อโดมตื่นจากการนอนและวิ่งลงมาข้างล่าง
สิ้นเสียงดังของบันได้นั้นจะมีเสียงบ่นของตาตามมาตลอด บ้านที่โดมอยู่เป็นครอบครับใหญ่ มีตากับยายอยู่ที่บ้านด้วย ตาของโดมเป็นข้าราชการบำนาญ ในอดีตตาแกเป็นครูมาก่อน คนบริเวณระแวกบ้านนั้นก็เป็นลูกศิทษ์ของตาทั้งนั้น ครอบครัวของโดมจึงเป็นที่นับหน้าถือตาในชุมชนเป็นอย่างดี เพราะไม่ใช่แค่ตาเท่านั้นที่เป็นครู รวมทั้งพ่อ แม่ของเค้าด้วย ญาติพี่น้องของโดมส่วนมากก็จะรับราชการครูกันหมด
ทว่าการตื่นเช้ามาของโดมในทุกๆวัน สิ่งแรกที่กำหนดชีวิตโดมมาตั้งแต่จำความได้ก็คือ การได้ตื่นขึ้นมาดูกาตูนในยามเช้า เค้าได้เอาชีวิตผูกมัดกับสิ่งรอบข้างตั้งแต่ยังเด็ก หรือในมุมกลับกันสิ่งพวกนั้นได้จับจองเวลาช่วงกลางวันที่เค้ารักนักหนาไป แต่อย่างไรก็ตาม โดมเองก็ยอมสูญเสียเวลาช่วงนี้ไปแต่โดยดีเพราะความสนุกที่เค้าจะได้รับกลับมา มันเหมาะสมกันแล้วกับการที่จะต้องแลกมัน
ทุกครั้งที่กาตูนกำลังจะเริ่มขึ้นความสนุกของมันนั้นเองเป็นตัวบังคับให้โดมต้องเปิดสงครามแย่งช่องสถานีกับตาที่นั้งดูข่าวอยู่เป็นประจำ
" ตา ๆๆๆ โดมจะดูกาตูนร์ " เค้าตระโกนใส่ตาด้วยสีหน้าอ้อนวอน
"ดูกาตูนอีกแล้ว" ก็ตาเอาแต่ดูข่าวนิ มันน่าเบื่อจะตาย โดมพูดบอกตาโดยที่ไม่ทิ้งช่องว่างระหว่างคำ
สุดท้าย เกือบทุกครั้งโดมก็จะเป็นคนชนะศึกด้วยความเข้าใจต่อเวลาและสถานะการเดินทางบนโลกใบนี้มันยังน้อยนัก เวลาจึงมีช่องว่างระหว่างอายุเยอะมาก ในตอนนั้น เค้าเองยังคงไม่เข้าใจในการเรียนรู้สังคมเช่นตา การเสพข่าวจึงไม่มีความสำคัญเลยสำหรับเค้า แต่ในมุมกลับกัน ตาต่างห่างที่ไม่เข้าใจเลยว่าชีวิตในวัยเด็กนี้โดมยังคงต้องการที่จะเรียนรู้ไปอย่างเป็นขั้นตอนลำดับ ตามจอแก้วที่มันปลูกฝังเด็กในยุคโดม พร้าวกับตาจึงเป็นคู่กัดเฉพาะกิจกันขึ้นในเวลาเช้า เมื่อกาตูนจบลง จอแก้วก็หมดความสำคัญสำหรับโดมแล้วในวันนี้ สิ่งที่สำคัญต่อไปคือการกิน กลิ่นที่โชยออกมาตั้งแต่เจ้าขุนทองยังไม่จบเรียกน้ำย่อยโดมได้เป็นอย่างดี แม้ท้องจะเริ่มร้องครึดๆ แต่ยังไงก็พลาดไม่ได้แม่แต่ตอนเดียว
"โดมๆอาบน้ำก่อนลูก " แม่ตะโกนมาจากในครัว
ผ้าขนหนูที่นุ่งอยู่เลยท้อง และร่างกายที่เปล่าเปลือย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ทุก่อนอาบน้ำโดมเองก็จะแอบแวะเวียนไปดูในครัวก่อนเสมอว่าวันนี้จะได้กินอะไรเป็นมื้อเช้า และหลายครั้งที่แอบติดมือไปกินในห้องน้ำแวลาแม่เผลอ
การได้กินหมูทอดในห้องน้ำนี้ช่างมีความสุขซะจริงสำหรับโดม เพราะนั้นเหมือนสัญญาที่ว่าเดี่ยวอาบน้ำเสร็จเราคงได้เจอกันเจ้าหมูทอด
เรื่องเล่าจากปากของโดม
ในชุมชนเล็กๆ ที่ถนนทุกสายเชื่อมต่อกันเหมือนได้รับการจัดวางมาอย่างดี ในทุกเวลาตอนเช้าของวันใหม่จากเมื่อวาน การดำเนินหน้าที่ก็เป็นไปตามแบบแผนที่มันควรจะเป็น
รถราพลุกพล่านจากชุมชนต่างๆ ได้หลั่งไหลมาทำการค้าอยู่ในตลาดแห่งนี้ ที่นี้เปรียบเสมือนตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มีของกินมากมาย ด้วยขนาดพื้นที่ๆไม่มากมายนัก ทำให้ผู้คนในชุมชนจันดี
มีวงจรชีวิตที่สัมพันกัน เสียงตามสายที่ส่งคำพูดต่างๆออกมาจากลำโพงที่ติดเอาไว้เกือบทั่วทุกมุมถนน ได้ผูกมิตรของคนในชุมชนนี้ไว้ด้วยเรื่องราวและความเป็นไปต่างๆของโลกยุคปัจจุบัน มีแม่ค้าใน
ตลาดจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ใช้มันแทนการมองนาฟิกา เสียงเพลงชาติเริ่มขึ้นเมื่อไหร่น้อยครั้งทีงเราจะได้เห็นภาพนิ่งตามสถานที่ต่างๆ แต่ที่นี้ ทันทีที่เพลงชาติขึ้นออกมาตามเสียงตามสาย นั้นก็เป็นวินาทีที่เด็กๆอย่างพวกฉัน
มองมันและนึกสนุกกับการหยุดยืนนิ่งๆ แม้ในตอนนั้นยังไม่รู้ก็ตามว่านั้นคืออะไร รู้ก็เพียงแต่อุปทานที่ต้องเป็นไปตามสังคม
บ้านฉันเองเป็นบ้านห้องแถวสองชั้นติดถนน ซึ่งออกห่างมาจากความวุ่นวายในตลาดเพียงเล็กน้อย แต่นั้นก็หมายถึงความสงบได้เลยทีเดียว เสียงช้อนเหล็กกระทบแก้ว กลุ่มควันพวยพุ่ง และการสนทนาที่สนุกสนาน
ได้เริ่มขึ้นทุกเช้าที่ร้านน้ำชาตรงข้ามบ้านฉัน ฉันเห็นมันตั้งแต่เสี้ยวคิดแรกที่ฉันรู้สึกจำความได้ โก้เกี้ย เป็นคำติดปากของพวกคนที่มาพบปะกันที่แห่งนี้ ฉันไม่รู้ว่านี้เป็นชื่อร้านรึป่าว แต่ทุกคนมักจะรู้จักมันในชื่อ ร้านน้ำชาโกเกี้ย
มันมีเหตุผลมากมายที่เกิดขึ้นที่นี้ ไม่ใช่แค่การตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อเสพคาเฟอีน แต่มันมากกว่านั้น และยิ่งขึ้นไป น้ำชากับชุนชนของฉันมันเป็นของคู่กันอย่างไม่มีวันคลาย หรืออาจจะบอกว่ามันเป็นจารีตก็ได้นะ เพราะนครศรีธรรมราชในสายตาคนที่รู้จักมันก็จะเข้าใจในเรื่องของกินชา
เมื่อท้องอิ่นจากการกินข้าวฝีมือของแม่ ไม่มีสิ่งใดเรียกความตื่นเต้นจากชั้นได้นอกจากการออกไปพบเจอเพื่อน ถึงแม้สังคมเพื่อนของงฉันในตอนนั้นจะเป็นเด็กกลุ่มเล็กๆ ที่วันๆอยู่ด้วยกันแทบจะแยกกันไม่ออก
แต่นั้นหมายถึงความสนุกได้เริ่มขึ้นแล้ว มันคงจะดีหากเราจดจำเพื่อนได้ครบทุกคน แต่สำหรับฉันแล้วมันโชคดีกว่านั้น ที่ฉันได้รับรู้ว่าเพื่อนคนแรกบนโลกของฉันคือใคร และเราสนิทกันมากด้วย
"น้าแต้ แซมอยู่ไหมคับ " ฉันถาม
อยู่ๆ ไอ้แซมๆ น้องโดมมาหา
แซมเดินออกมาด้วยชุดนอนและคราบน้ำลายบูดยังคงเปรอะติดแก้มเค้าไว้ มันเป็นภาพที่ฉันชินตาเป็นอย่างดี เพราะทุกเช้าฉันมักจะเป็นฝ่ายที่ตื่นก่อนแซมเสมอ แซมเป็นเด็กตัวผอม ดำและตัวเล็กมาก บ้านฉันกับบ้านแซมอยู่ห่าวกันแค่ไม่กี่ห้องแถว
แซมมีพี่น้องสองคน ฉันเป็นเพื่อนของแซม และพี่สาวแซมเองก็ต่างเป็นเพื่อนของพี่สาวฉัน ครอบครัวแซมหากเอ่ยถามถึงความอบอุ่น กลิ่นของมันก็พอจะมีหากแต่ต้องการจะสูดมัน พ่อของแซมเป็นครูเช่นเดียวกับพ่อของฉัน
ที่บ้านของแซมเท่าที่ฉันรู้จักกับแซมมา มันถูกแปรเป็นธุรกิจหลายประเภทจนฉันไม่อาจจดจำได้หมด ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ และหลากหลายอาชีพเกิดขึ้นที่นี้ แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำสำหรับฉันเลย เพราะฉันคือเด็กที่สนใจแต่เรื่องความสนุก
และนั้นมันก็ไม่สนุกหากเด็กอย่างฉันจะจดจำเรื่องราวที่เกิดที่บ้านแซม ฉันจึงรู้จักคำว่าเรื่องของผู้ใหญ่มาตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะผู้ใหญ่มักจะยัดคำนี้ใส่หูเราเพื่อต้องการให้เราออกไปจากบริเวณนัน้ และคำพูดนั้นก็ได้สร้างกำแพงสูงไว้สำหรับฉันและคนอายุเยอะที่เรียนกันว่าผู้ใหญ่
แซมเป็นเพื่อนที่สนิทกับฉันมากที่สุดในช่วงวัยเด็ก พวกเรามักเที่ยวเล่นกันจนไม่รู้จักเวลา จนหลายครั้งมีบ้างที่กลับบ้านไปแล้วโดนตี เอก ดิว ฉี ดิ่ง เดียว แซมหนึ่ง ทั้งหมดนี้คือแก็งของฉัน ไม่มีใครเป็นหัวหน้าแก็ง จะมีก็แต่ พี่โตอีกคนที่อายุเยอะสุด
พวกเราจึงเคารพแกในแบบฉบับของพวกฉัน และในกลุ่มฉันยังมีเพื่อนที่ซื่อแซมสองคนอีกด้วย เราจึงจัดการปปัญหาการเรียกซื่อซ้ำด้วยการโยนเหรียญหัวก้อยเพื่อนตัดสินคำลงท้ายที่ว่าใครจะชื่อแซมหนึ่งหรือแซมสอง
เสียงคุยเอะอะโวยวาย บางหยอกล้อ และบ้างแอบสบถชื่อพ่อแม่ออกมา ภาพเหล่านี้คนบริเวณนั้นคงเห็นได้จนชินตาถ้าหากพวกฉันรวมตัวกันเมื่อไร กิจกรรมในแต่ละวันมักถูกเสนอขึ้นมาจากคนใดคนนึงในกลุ่ม และไม่มีแม้คำขัดใดๆจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในวัยเด็ก
จักยานสีสันสดใสได้ถูกตกแต่งด้วยของที่เราพอจะมี บางคันรูปทรงเหมือนช็อปเปอร์ บางคัน ใหม่เอี่ยม และคันของฉันเอง ก็โดดเด่นกว่าใครด้วยล้อแม็กสีส้มจ๋า นั้นคือพาหนะในการเดินทางออกเรียนรูเโลกใบนี้ของพวกเรา แต่สิ่งที่เหนื่อยกว่าการปั่นจักยานในตอนนั้นคือเมื่อไหร่ที่เราปั่นและหยุดมันโดยที่ไม่มีโอกาสจะปั่นมันใหม่ มันเหมือนกับว่าวันนั้นเป็นวันที่ไร้ค่าหากเด็กในยุคฉันที่เกิดมาแล้วขาดรถคู่ใจ
"กูว่าไปน้ำคลองกันดีกว่า" แซมหนึ่งเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมองเพื่อนทุกคน
"ไปสิ " เสียงทุกคนทยอยกันพูดออกมา
" งั้นเดี่ยวเอาลูกวอลเล่ย์ไปเล่นด้วยดีกว่า ที่บ้านกูพี่เพิ่งไปซื้อมา " ฉันพูดออกไปด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความต้องการที่จะเอามันไปเล่น
เออ งั้นเราไปเล่นบอลน้ำกันดีกว่า สิ้นเสียงตกลงร้อยยิ้มได้ก่อเกิดขึ้นมามายในวงจรสังคมเด็กเช่นฉัน
เมื่อตกลงตัดสินใจกันแล้ว พวกเราจึงแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปเตรียมการที่จะออกไปเล่นน้ำคลองกันในเที่ยงของวันนี้ ถนนคอนกรีตสีเทาที่ดูสะอาดสะอ้านเป็นเพราะที่ชุมชนของฉัน ต่างคนต่างรักษา มันจึงเป็นความรู้สึกที่เด็กๆอย่างพวกฉันไม่เคยมีใครต้องพูดใดๆออกมาเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ชุมชนได้ให้เรามากกว่าคำพูดซะอีก และนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกเรารักษากันมาโดยสำนึก
น้ำคลองแถวบ้านชั้นเป็นสระเล่นน้ำชั้นเลิศสำหรับพวกเรา น้ำเย็นช่ำที่ไหลลงมาจากเขาสูงใหญ่ พื้นทรายที่เกิดจากการกัดกร่อนของหินใหญ่ก่อเกิดเป็นแม่น้ำสายหลักสำหรับชุมชนเล็กๆแห่งนี้ มันมากกว่าระบบวิเวศเพราะมันคือเส้นเลือดใหญ่ของคนในตำบล เมื่อการรวมตัวเกิดขึ้น การเดินทางจึงดำเนินต่อไป ระยะทางจากบ้านไปน้ำคลองใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีที่พวกเราปั่นจักรยานกันออกไป รถราที่เต็มถนนเป็นตัวบอกจำนวนคนที่มาใช้ตลาดชุมชนฉันเป็นปัจจัย ถึงพวกเราจะเป็นเด็กอย่างไรในตอนนั้น แต่รู้ไหมเราได้เป็นเจ้าถนนด้วยในตอนนั้นหากจักยานหลากสีสันของพวกฉันออกไปบนถนนใหญ่เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เป็นเวลาแห่งความมันของพวกเรา พวกรถใหญ่ต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายต้องหลีก คลองขนาดใหญ่ที่ฝั่งซ้ายติดกับป่าช้า และฝั่งขวาติดกับวัด โดยมีสายน้ำใสขนากใหญ่ไหลตัดผ่านกลางนั้นไม่ใช่เรื่องกังวลเลยสำหรับพวกฉัน หากแต่ความเคยชินแทรกอยู่ในพื้นที่หัวใจมันมีมากว่าความกลัวของพวกเรา คลองน้ำใสที่ไหลผ่านลงมาจากน้ำตกบนเทือกเข้า คลองสายนี้จึงมีความสวยงามอยู่ในตัวมันอยู่มาก เปรียบเป็นสวรรค์สำหรับพวกเราเลยทีเดียว
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หากได้ลงเล่นน้ำด้วยกันที่นี้แล้ว ลืมไปได้เลยว่ามีสิ่งใดสำคัญกว่านี้อีก
เมื่อปั่นจักยานมาถึงคลองพ่อหลวงชมแล้ว หาได้รีรอสิ่งใดอีก ร่างกายที่เปลือยปล่าวของพวกฉันก็วิ่งกระโจนใส่มันโดยไม่ต้องนึกถึงสายตาใคร และความทรงจำในครั้งนี้ ฉันมักจะหยิบยื่นอย่างภูมิใจเสมอว่าครั้งนี้ฉันเคยเกิดมาแล้วมีช่วงเวลาที่ไม่ต้องแคร์สายคาใคร เวลาเองต่างหากกัดกลืนชีวิตเราให้ทำในสิ่งที่คำตอบมันไม่มีอยู่จริง เวลาต่างหากทีลากหัวใจฉันไปเกี่ยวกับทางเดินของใครเมื่อเวลาเดินผ่านฉันไป
ลูกวอลเลย์สีขาวสดที่ฉันแอบขโมยของพี่มาเล่นนี้ อันที่จริงฉันขอแล้วแต่พี่ไม่ให้ การโจรกรรมจึงเกิดขึ้น
ลูกบอลที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ สายน้ำที่กระจายกระทบแสงอาทิตย์ เสียงหัวเราะที่ไม่มีวันหยุดสิ้น ความสนุกได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
" เรามาแบ่งฝ่ายเล่นกันดีกว่า " ดิ่งเอ่ยพร้อมกับเอามือลูบน้ำที่ไหลเข้าตา
ทุกคนเริ่มหันมาและจดจ้องกับคำพูดของดิ่ง
งั้นเรามาโอเวงกัน ใครออกรอก่อน แซมหนึ่งเอ่ย
" โอ......เวงๆ" โอเวง เสียงตระโกนพร้อมเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเราได้รู้หน้าตัวผู้เล่นในทีมเรา การแบ่งฝ่ายลงตัวอย่างเอกฉันทร์
เอกเดินขึ้นบกเพื่อที่จะหากิ่งไม้ยาวพอที่จะมาปักลงบนพื้นน้พเพื่อทำโกบอล ฉีและดิ่ง ก็ช่วยกันหาวัสดุแถบนั้นมาสร้างอุปกณ์กัน พวกเราช่วนกันอย่างสนุก
กิ่งไม้ท่อนยาว ผิวขลุขระอันนี้ เป็นไม้ยางพาราที่พวกเราไปหักมาทำเสาโก ไม้พวกนี้มันสร้างเม็ดเงินมหาสารให้กับชาวสวนยาง แต่สำหรับเราแล้ว เราได้ความสนุกจากมัน
"ปริ๊ดๆๆ" เสียง แซมสองเป่าปาก เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่นักบอลน้ำอย่างพวกฉันต้องเข้าประจำที่กันซะแล้ว
วันพุธที่ 12 กพ 2540
ฉันเขียนบันทึกนี้เพื่อเตือนความทรงจำ ฉันคิดว่าพวกผู้หญิงเท่านั้นที่จะเขียนมัน แต่ไม่เป็นไรฉันอยากเขียนมันเหมือนกัน
ตอนนี้ฉันกำลังจะจบ ป หกแล้ว ยังไม่อยากจบเลย คิดถึงเพื่อนๆจัง จบแล้วจะได้เจอกันหรือป่าว วันนี้ที่โรงเรียนพี่ซุปมาด้วย
ฉันเห็นพี่ซุปตัวจริงแล้ว ตื่นเต้นมาก ฉันได้ลายเซ็นพี่เค้ามาด้วย เดี่ยวจะเก็บไว้อย่างดีเลย
ฉันมีความลับด้วยวันนี้ ฉัน ชอบ เพื่อนคนนึง เค้าน่ารักมากเลย ฉันจะยังไงดี พรุ่งนี้ฉันแกล้งเค้าดีกว่า เดี่ยวฉันจะฝันถึงเธอนะ
งั้นฉันต้องไปนอนก่อน เพื่อที่จะได้ฝันถึงเธอ
ติดตามตอนต่อไป...............................ขอบคุณที่รับอ่าน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น