ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #26 : บทที่ ๒๔ : วาสนากระต่าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.14K
      23
      31 มี.ค. 57

    บทที่ ๒๔

     

    วาสนากระต่าย

     

    นึกถึงตัวเราแล้วเศร้าใจ

    เห็นจะเหมือนกระต่ายไพรที่หลงใหลจันทร์เพ็ญ

    ยิ่งคิดยิ่งเศร้าโอ้อกเราใครไม่เห็น

    ยิ่งนานยิ่งเป็นเหมือนกระต่ายที่หมายจันทร์*

     

     

     

     

     

                    ไอ้สิงห์เย็บหัวไปสี่เข็ม

     

                    จ้อยรับรู้ข่าวนั้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง  ความจริงก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก  แต่ทั้งสง่า สันติและเหล่าครูบางบาลจับกลุ่มคุยกันใหญ่  ลมก็เลยหอบมาเข้าหู  มันก็แค่นั้นเอง

                    อาจารย์คนึงกับคุณชายเล็กเป็นคนพามันไปหาหมอ  ป่านนี้คงพามันไปนอนพักที่ไหนสักแห่ง  ดีแล้ว  ขอให้มันหลับยาวไปถึงพรุ่งนี้เลยยิ่งดี  จะได้เลิกตามวอแวจ้อยเสียที  รำคาญเต็มทน 

                    ภาพเลือดแดงฉานจากปลายผมสีเข้มหยดติ๋งๆ เป็นน้ำก๊อกยังติดตา  แค่นั้นไม่กี่วันก็หาย  ความจริงเลือดหัวมันตกแค่นี้ยังน้อยไป  เลือดในกายจ้อยที่ตกต้องกระท่อมโสมมนั่นเล่า  กี่เดือนกี่ปีจะเลือนลบ 

                    ไม่เพียงหยดเลือดที่ไหลพรากลงย้อมเสื้อมันจนชุ่มเท่านั้นที่ติดตา  หยดน้ำที่คลออยู่ในลูกตามันยามชะเง้อหาจ้อยที่ไม่ใยดีมันสักนิด  ก็ติดตาจ้อยเช่นกัน  แต่ช่างหัวมันปะไร  ใครใช้ให้มันเสนอหน้าเอาหัวมารับเสานั่นแทนจ้อย 

     

                    อากาศที่ไม่มีมันมาใช้ลมหายใจร่วมกันช่างแสนสดชื่น  ภาพในคลองสายตาที่ไม่มีมันมาเกะกะก็งดงามไปหมด  จ้อยช่วยจัดเตรียมสถานที่ด้วยความปลอดโปร่งใจ  จะมีหงุดหงิดนิดหน่อยก็ตอนที่คุณชายเลอมานมาบอกให้ไปดูอาการมันบ้าง 

                เขาอุตส่าห์เจ็บแทนจ้อยนะ คุณชายว่าอย่างนั้น 

     

                    อยากรู้นัก  ถ้าคุณชายรู้ว่ามันทำอะไรกับจ้อยบ้าง  ยังจะเมตตามันอยู่ไหม 

     

                    อย่ากระนั้นเลย  ชีวิตนี้จ้อยปฏิเสธใครเป็นที่ไหน ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำ  เพียงคนเดียวที่ขอต่อต้านไปชั่วชีวิตคือไอ้สิงห์  ยิ่งเป็นคุณชายเล็กขอร้องด้วยแล้ว  จ้อยเลยจำใจย่องขึ้นอาคารเรียนไปดูมัน 

                    จ้อยเยี่ยมหน้าเข้าไปมอง  ในห้องเรียน  โต๊ะเก้าอี้ถูกเก็บต้อนไว้รวมกันที่ผนังห้อง  เหลือที่ว่างโล่งไว้ให้พวกเขานอนกันคืนนี้  ไอ้สิงห์ปูเสื่อนอนตะแคงชิดฝาด้านหนึ่ง  มีผ้าผวยผืนบางห่มคลุม  ผ้าพันแผลพันอยู่รอบหัวมีรอยเลือดซึมจางๆ  จ้อยมองด้วยดวงตาเรียบเฉย  ไม่แม้แต่จะย่างเท้าเข้าไป  แค่เห็นว่ามันยังไม่ตายจ้อยก็หันหลังกลับ  

     

                    คุณชายให้มาดู  จ้อยก็มา ดูแล้วนี่ไง

     

                    จ้อยไม่ผิดนะ

     

    *************************

     

                    รอนรอนอ่อนอัสดง พระสุริยงเย็นยอแสง 

     

                    คนึงเดินตามหาศิษย์รักไปทั่ว  ครูใหญ่เรียกตัวไปคุยด้วยแป๊บเดียว  หันมาอีกทีคนตัวเล็กก็หายไปเสียแล้ว 

                    น้ำขึ้นน้ำลงน้ำลงน้ำขึ้นน้ำขึ้น!” เสียงเด็กๆ เจื้อยแจ้วอยู่หน้าโรงเรียน  ชายหนุ่มสาวเท้าตามไป  เห็นเด็กโขยงใหญ่จับกลุ่มเล่นน้ำขึ้นน้ำลงกันสนุกสนาน 

                    มีเด็กโค่งอยู่คน  แฝงตัวแนบเนียนอยู่ในกลุ่ม  โดดเข้าโดดออกวงกลมที่ขีดไว้บนพื้น  หัวเราะเอิ้กอ้ากจนหน้าแดงก่ำ 

                    น้ำขึ้น!” เด็กโค่งโดดออกมานอกวงกลมคนเดียวโด่เด่  พวกที่เหลือพากันโห่ฮาลั่นทุ่ง

                    แพ้แล้ว! แพ้แล้ว!” แล้วก็รุมเข้ามาเกาะแข้งเกาะขาคนแพ้กันนัวเนีย 

                    “โอย แพ้แล้วจ้า! แพ้แล้วเลอมานชูมือสิโรราบ  เด็กๆ มะรุมมะตุ้มไม่เลิกจนพากันหงายหลังหกคะเมนทั้งกลุ่มจนฝุ่นตลบ  สาวน้อยใจกล้าคนหนึ่งขโมยจูบที่แก้มขาวด้วยดังฟอด  ทำเอาคุณชายหัวเราะลั่น

                    ดอกฟ้าที่ดูไว้เนื้อไว้ตัวในตอนแรก  โน้มกิ่งลงมาคลุกคลีด้วยแบบนี้  พ่อหนูแม่หนูเทหัวใจยกให้ทั้งกระจาดเลย        

     

                    “อายุเท่าไรแล้วเสียงเข้มๆ ต่ำๆ ดังอยู่เหนือหัว  คุณชายเงยหน้าขึ้นมอง  เห็นใบหน้าคมคร้ามมองลงมา  ขึงหน้าเรียบตึง  มีเพียงดวงตาที่เป็นประกายพราว

                    คนอะไร  ตายิ้มได้

     

                    เลอมานหัวเราะร่า วงหน้าอ่อนใสมอมแมมเป็นเด็กๆ  ยื่นมือให้อีกฝ่ายช่วยฉุดดึงขึ้น  ส่วนเด็กๆ น่ะหรือ  กระเจิดกระเจิงกันไปโดดเหย็งๆ เล่นน้ำขึ้นน้ำลงต่อแล้ว

                    ไปอาบน้ำกัน  จะมืดแล้วปลายนิ้วหยาบเกลี่ยรอยดินบนแก้มขาวแผ่วเบา

                    เด็กดีพยักหน้าอย่างว่าง่าย  แต่ไม่วายฉุกใจขึ้น  นายสิงห์ล่ะครับ สุ้มเสียงดูห่วงใย หนูเล็กของคนึง ใจดีเสมอ แม้กับคนที่เคยชกหน้าตัว ไข้ขึ้นแบบนั้น  จะมีแรงลุกหรือเปล่าไม่รู้

                    “เดี๋ยวให้ใครไปเช็ดตัวให้ก็ได้อาจารย์ตัดบท  จูงมือน้อยเดินลิ่วๆ

     

                    ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ หนูเล็กของครู!

     

                    ห้องอาบน้ำโรงเรียนบางบาลมีอยู่ห้องเดียว  พอประพนธ์เห็นคนึงกับเลอมานเข้าไปพร้อมกันเท่านั้นก็ถอนใจเฮือกใหญ่ 

                    ไป  ไปอาบที่ท่ากันครูใจดีหันมาโอบไหล่สง่าและสันติที่นุ่งผ้าขาวม้าต่อคิวรอ  ลองสองคนนี้เข้าพร้อมกันละก็  รอไปเถอะ  เที่ยงคืนก็ไม่ได้อาบ

                    ประพนธ์ก็พูดเกินจริงไปนิด  แต่สิ่งหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนคือ  ตอนอยู่โรงเรียนฝึกหัดครู  เขาเห็นคนึงกับเลอมานเข้าไปอาบน้ำด้วยกันจนชินตา  เขาเคยรอใช้ห้องน้ำต่อ  รอจนเงก  วิรัชที่อาบอีกห้องนึงออกมาแล้ว  เขาเข้าไปอาบต่อจนออกมาอีกคน  แต่สองคนนั้นก็ยังไม่เสร็จเสียที 

                    เข้าใจว่าหม่อมราชวงศ์เลอมานคงสำอางไม่เบา  อาบน้ำที ขัดสีฉวีวรรณเสียเป็นชั่วโมง

                    ประพนธ์พาสง่าและสันติจากไป  จ้อยในผ้าขาวม้าผืนเดียวยังเก้กัง  มองประตูไม้ปุปะอย่างเคลือบแคลง  ไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากเสียงน้ำจากขันตกกระทบพื้นดังซู่ๆ 

                    ไม่มีอะไรน่า  ก็แค่ผู้ชายอาบน้ำด้วยกัน  เรื่องธรรมดาออกจะตายไป  เขายังเคยอาบพร้อมสง่าและสันติเลย 

     

                    กำลังจะหันหลังกลับ  ตามพวกเพื่อนๆ ไปติดๆ  พลันเสียงหัวเราะคิกคักก็เล็ดลอดออกมา  จ้อยชะงักกึก  ภาพอาจารย์เคียงคู่ไปกับคุณชายใต้แนวมะม่วงเมื่อกลางวันยังติดตา  ปลายนิ้วเกาะเกี่ยวกัน

                    เสียงหัวเราะเงียบลงแล้ว  จ้อยสะบัดหน้า  สลัดความคิดเพ้อเจ้อออกจากหัว  พร่ำบอกตัวเองเป็นครั้งที่ร้อย 

     

                    ไม่มีอะไรหรอกนา..

     

                    สง่า สันติและจ้อยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เนื้อตัวหอมฟุ้งในชุดลำลอง  นั่งล้อมอ่างเคลือบเปี่ยมน้ำอยู่หน้าประตู  มีผ้าขนหนูผืนเล็กนอนแช่ลอยวน  ต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วน  ลูกกะตาหวาดระแวงจ้องมองกันและกัน  ต่อหน้าต่อตาคนเจ็บที่นอนเอนอยู่มุมห้อง 

                    ใครล่ะ?” สง่าโพล่งขึ้นในที่สุด 

                    “ก็ใครล่ะ?” สันติก็ย้อนเข้าให้

                    ไม่เอานะสง่าทำท่าแหยงเสียเต็มประดา

                    “ไม่เอาเหมือนกันสันติก็ส่ายหน้าจนแว่นแทบหลุด 

                    จ้อยถอนใจพรืด เสนอทางออกง่ายๆ งั้นโอน้อยออกกัน  ใครแพ้..ดวงตาเคลือบแคลงเหลือบมองคนตัวโตที่มุมห้อง  ปราดเดียว  ราวกับกลัวเสียสายตา ..เป็นคนเช็ดตัว

                    ทีแรกสองสหายก็ตกลงดิบดี  แต่พอสะบัดมือจะออกขาวดำเท่านั้นก็วงแตก  สง่าถอยกรูด  บอกว่าโอกาสแพ้มีถึงหนึ่งในสาม  เรื่องอะไรเขาจะยอม  สันติก็อีกคน  จู่ๆ ก็เกิดปอดลอยขึ้นมาเสียนี่ 

     

                    จ้อยละหน่าย  ไม่รู้จะกลัวอะไรกันนักหนา  แค่เช็ดตัวให้ไอ้สิงห์แค่นี้ 

     

                    ที่สนามหน้าโรงเรียน  เครื่องทำไฟเริ่มปั่นไฟฟ้า  เสียงประกาศให้ทราบทั่วว่าค่ำนี้จะมีการฉายภาพยนตร์ดังออกจากเครื่องขยายเสียง  แข่งกับเสียงสองหนุ่มที่เถียงกันเซ็งแซ่  พากันเกี่ยงโยนกลองอยู่นั่น    

                    จ้อยนั่นแหละ!” สง่าโยนมาให้จ้อยดังตู้ม  คนตั้งตัวไม่ทันถึงกับหน้าเหลอ มันเจ็บเพราะช่วยจ้อยไม่ใช่รึไง  รับผิดชอบเองซี่

                    “ใช่ๆ ไปเช็ดตัวให้มันเลยทียังงี้ละ  สันติเข้ากับสง่าเป็นปี่เป็นขลุ่ย  เมื่อกี้เพิ่งกัดกันแทบตายแท้ๆ

                    ยิ่งได้อาจารย์ประพนธ์มาร้องเรียกให้ลงไปช่วยกันจัดที่ทาง  สองสหายเผ่นแผล็วรวดเร็วราวลมพัด  ทิ้งจ้อยให้อยู่ลำพังกับคนที่ไม่อยากแม้แต่จะใช้อากาศร่วมกัน 

     

                    สิงห์นิ่งมองคนที่ทำท่าเหมือนถูกทิ้งไว้ในกรงเสือ  ไอ้ตัวเล็กกระเถิบไปนั่งเสียติดประตู  กระสับกระส่าย  กระวนกระวาย  เหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก 

                    แต่ไม่มีแม้เสี้ยววินาที  ที่ดวงตาคู่นั้นจะหันมามองกัน

                    ถึงยาแก้ปวดเริ่มหมดฤทธิ์  ถึงแผลเย็บที่หัวจะเจ็บหนึบ  คนคอทั่งสันหลังเหล็กอย่างเขาก็ยังพอมีแรงลุกไหว  หากเพียงขยับตัวนิดเดียวเท่านั้น  จ้อยก็สะดุ้งโหยง  ทำท่าจะปรูดออกไปนอกห้อง 

                    “อย่าเพิ่งไปเสียงแหบห้าวรั้งไว้ อยู่ก่อน

                    นักเรียนครูชะงัก  แต่ยังไม่ยอมหันมา 

                    “ถ้าออกไปตอนนี้ เดี๋ยวคนเขาจะรู้.. ว่าเอ็งมันใจดำสิ้นคำพูดนั้น  คนฟังก็หันขวับ  ตาวาวๆ จ้องเขม็ง  แต่แข้งขาสั่นพั่บถอยกรูด  หนีเสือเจ็บที่ค่อยๆ ย่างเข้าหาทีละก้าวๆ 

                    เพียงเพื่อก้มลงประคองอ่างน้ำใบนั้นกลับไปยังที่ของตน

     

                    ที่อีกมุมห้อง  แมวน้อยยังทำขนพองไม่เลิก 

     

                    ใจดำหรือ  จ้อยขบฟันกรอด  มันหาว่าจ้อยใจดำ

                    ถึงจ้อยจะใจดำ  อย่างน้อย.. ก็ยังดีกว่ามันละ

     

                    คนไม่มีหัวใจ

     

                    แค่เช็ดตัว  ข้าทำเองก็ได้  ไม่ต้องลำบากคุณครูหรอกหัวหน้าอันธพาลอดพ้อไม่ได้  วูบหนึ่งหน้ามืดเหมือนจะเซ  น้ำในอ่างเคลือบกระฉอกไปนิด  แต่ก็ลากสังขารกลับมามุมห้องได้ในที่สุด แต่รอให้ข้าเช็ดตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปเถอะ

                    คนเจ็บค่อยๆ เปลื้องเสื้อออก  เผยให้เห็นแผงอกกำยำหอบสะท้าน  มือเทอะทะบิดผ้าให้หมาดก่อนลูบหน้าลูบแขนให้ความร้อนบรรเทา 

                    น้ำเย็นเฉียบ  คงเป็นจ้อยหรือนักเรียนครูสักคนจ้วงตักจากโอ่งส่งๆ  ไม่ได้มีแก่ใจจะเอาน้ำร้อนผสมให้อุ่น  ชายหนุ่มยิ้มหยันให้ความน่าสมเพชของตน  จะหวังอะไรมากมาย  ก็แค่กุ๊ยชั้นต่ำคนหนึ่งที่เสนอหน้าติดตามมาเอง 

                    มีใครขอให้มาหรือก็เปล่า

     

                    สิงห์หนาวจนเริ่มสั่น  แต่พยายามปกปิดไว้สุดกำลัง  ดวงตาแดงก่ำด้วยพิษไข้เหลือบมองอีกมุมห้อง  เจ้าตัวเล็กนั่งกอดเข่าเงียบเชียบ  ก้มมองแต่พื้นกระดาน    

                    อย่างที่บอก  เขามันถึก เถื่อน ถ่อย ร้อยวันพันปีจะล้มหมอนนอนเสื่อสักหน  ขนาดไปมีเรื่องต่อยตีกันมา  แม่เอาไข่ต้มคลึงหน้า  เอาไพลทาสักหน่อยก็ลุกเดินปร๋อ  

                    แล้ว.. วันที่มือนุ่มนวลอ่อนโยนคู่นั้นเช็ดตัวให้.. ผ่านมานานเท่าไรแล้วหนอ..

     

                    ภาพความทรงจำย้อนคืนเหมือนฟิล์มหนังในวงล้อ  อีกแหละ  เด็กชายคนเดิมแผลงฤทธิ์กับแม่จนเรือนสะเทือน

     

                [“ไม่เอาหนูจะรอจ้อยมาเช็ดตัวให้!” เด็กชายสิงห์ดิ้นปัดๆ บนเตียงกว้าง  ผ้าห่มไปทาง หมอนไปทาง  ทั้งที่เจ็บไข้ก็ยังมีเรี่ยวแรงพยศ  ข้างเตียงคือแม่และน้าแป้นมองมาอย่างระอาใจ 

                น้าแป้นมือหนัก  เช็ดตัวทีลงแรงยังกะรูดเมือกปลาไหล  แม่ก็เหมือนกัน  เล็บยาวๆ ชอบขีดขูดตัวเขาอยู่เรื่อย  น้ำก็เย็นเจี๊ยบ  โดนตัวทีตะพ้านจะกินตาย 

                จ้อยบอกว่าจะมา  หนูจะรอจ้อย! แค่กๆๆๆตะเบ็งสุดเสียงแล้วก็โก่งคอไอโขลก  แม่ได้แต่ถอนใจ  สักพัก  เสียงเล็กก็แว่วมาพร้อมเสียงฝีเท้าตึงตัง

                พี่สิงห์พี่สิงห์จ๋า

     

                หัวใจของเด็กชายวัย ๑๐ ขวบพองโตลิงโลด

                จ้อยมาแล้ว!

     

                น้องตัวนิดเดียว  แต่ดูแลคนป่วยคล่องแคล่ว  มือน้อยๆ เทน้ำร้อนจากกระติกลงผสมในอ่างน้ำให้ด้วย  แม่อดแขวะไม่ได้เมื่อเห็นเขานอนนิ่งยอมให้น้องเช็ดตัวอย่างว่าง่าย

                เล่นกันอีท่าไหน  ทำไมลูกฉันได้ไข้มาคนเดียว

                เล่นจับปลาตามท้องร่องกันธรรมดานี่แหละ  แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ได้บอกแม่  คือตอนขากลับ  เขากางร่มคุ้มกระหม่อมบางๆ ให้น้อง  ตัวเองเปียกปอนก็ช่างมัน 

                อยู่กันสองคน  สิงห์แกล้งมือไม้ปวกเปียกเป็นตุ๊กตาให้น้องจับใส่เสื้อแสง  ประแป้งหอมกรุ่น  เสร็จแล้วใบหน้าเล็กก้มลงดมหัวเขาฟุดฟิด

                ตุเชียวจ้อยย่นหน้า  ปากแทบขึ้นไปติดจมูก  ก่อนยิ้มกว้าง เดี๋ยวหายไข้แล้วน้องจ้อยสระผมให้น้า

                จากนั้น  ทุกเย็นย่ำ  เด็กชายเฝ้ารอฟังเสียงไม้พายกระทบน้ำจ๋อมๆ  ตามด้วยเสียงใสเจื้อยแจ้ว พี่สิงห์จ๋า.. พี่สิงห์จ๋า.. กับข้าวที่น้าแป้นทำดูจะขมแปร่งฝืดคอไปเสียสิ้น  แต่ไม่รู้ทำไม  ข้าวต้มใส่เกลือจืดๆ ที่น้องหิ้วใส่หม้ออวยใบน้อยติดมือมา  สิงห์ถึงกินได้กินดี] 

     

                    หากตอนนี้  เจ้าตัวน้อยนั้น  แม้แต่หน้าเขาก็ไม่หันมามอง

     

    **********************

                   

                    จันทร์กระจ่างกลางโพยมดั่งโคมแก้ว

     

    คณะอาจารย์และนักเรียนจากโรงเรียนฝึกหัดครูฉายหนังกันที่ลานกว้างหน้าโรงเรียน  ผ้าขาวผืนใหญ่ขึงตึงโดดเด่น  เด็กๆ และชาวบ้านทั้งหนุ่มสาวไปถึงคนแก่นั่งเป็นกลุ่มๆ กับพื้นละลานตา  ด้านข้างมีเก้าอี้ ๒-๓ ตัวสำหรับกลุ่มอาจารย์ผู้เอาหนังมาฉาย  แบ่งปันความสนุกสนานให้เด็กๆ ในที่ห่างไกลกันดาร  สันติกับสง่านั่งแปะกับพื้นไม่ห่างนัก  สักพัก  จ้อยก็เดินลงจากอาคารเรียนมาสมทบอีกคน 

    ก่อนฉายหนัง  ประพนธ์ไปประกาศที่ไมโครโฟนข้างจอ  เกริ่นนำนิดหน่อย  ก่อนแนะนำหัวเรือใหญ่ที่จัดกิจกรรมนี้ขึ้น  นาม.. หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ ถูกประกาศก้อง  เด็กๆ ตบมือเกรียวกราว 

    คุณชายซ่อนความเก้อเขินไว้ใต้รอยยิ้มละมุนแนบเนียน  สองขามัวแต่รีๆ รอๆ  คนึงเลยสงเคราะห์ผลักให้ออกไปเบาๆ หนึ่งที

     

    สวัสดีครับพอจับไมค์ท่ามกลางสายตาประมาณครึ่งร้อย  ท่วงท่าองอาจผ่าเผยเฉกราชนิกูลก็ฉายส่อง  ผมมาจากโครงการอาสาสมัครต่างประเทศของอังกฤษ

    เด็กหนุ่มสูงศักดิ์เริ่มบรรยาย  เหล่าคนฟังต่างกระซิบกระซาบกัน  ส่วนพวกสาวๆ จ้องตาหยาดเยิ้ม

    ประเทศไทยเราแม้จะไม่ร่ำรวยทางเศรษฐกิจเหมือนบางประเทศ  แต่เราก็ไม่ล้าหลังใครในด้านวัฒนธรรม  ถ้าไม่ได้ออกมาด้วยตนเอง  ผมก็จะไม่ทราบว่าสภาพชนบทที่แท้จริงเป็นอย่างไรรอยยิ้มอ่อนหวาน  น้ำเสียงนุ่มนวล  ท่วงท่าสง่างามตรูตาน่ายลขึ้นทุกที

    อาจารย์คนึงทอดมองอย่างชื่นชม    

    ไม่ใช่แค่ผมมาสอนเด็กๆ หรือชาวบ้านเท่านั้น  แต่เด็กๆ และชาวบ้านก็สอนผมเช่นเดียวกันทุกคำพูดล้วนออกมาจากใจ  ถ่ายทอดผ่านแววตาสีอำพันระยับ  ชนิดที่หากข้าเก่าเต่าเลี้ยงอย่างนายแช่มมาเห็นคงตบอกผาง

    คุณชายเล็กเปลี่ยนไปเจ้าข้าเอ๋ย!

     

    ผมรักที่นี่  และรักคนที่นี่ด้วยถ้อยคำลงท้ายตรึงใจ  หากไม่มีใครสังเกต  ยามเอ่ยคำว่า รักสายตาคนพูดจับจ้องอยู่ที่คนคนเดียว 

     

    อาจารย์หนุ่มหน้าคมคายที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงโน้นนั่นไง

     

    สิ้นเสียงปรบมือเกรียว  เลอมานกลับมานั่งที่ด้วยความโล่งอก  แต่แล้วก็ถูกผลักออกไปใหม่อีกทีจนได้สิน่า

    จะใครเสียอีก  ก็คนเดิมนั่นแหละ

    ร้องเพลงให้เด็กๆ ฟังสักเพลงนึงซี่คนพิลึก  พูดเบาๆ ไม่เป็นหรือไง  ทำไมต้องประกาศลั่นให้ได้ยินกันทั่วด้วย  กลุ่มคนดูที่ครึกครื้นกันอยู่แล้วก็ยิ่งคึกคักเข้าไปใหญ่  เมื่อครู่มีแค่เสียงปรบมือ  หนนี้มีเสียงเป่าปากเหมือนนกกางเขนดงกันให้ลั่น 

    ราชนิกูลสูงศักดิ์หรือนั่นที่ออกไปยืนยิ้มเขิน  เหน็บปอยผมทัดหู  จรดไมโครโฟนกับปลายคาง  กัดริมฝีปากคล้ายกำลังตัดสินใจ  ก้มหน้าเกาหัวแกรกๆ      

    และแล้ว.. บทเพลงที่ชาวบ้านไม่คุ้นหูก็ลำเลียงผ่านกลีบปากสีสด 

    This old man He played 1 He played knick knack on my thumb. เสียงสดใสร้องเป็นทำนองน่าฟัง รอยซุกซนระยับในดวงตา with a knick knack patty wack give a dog a bone this old man came rolling home.

                    เด็กๆ ตบมือเป็นจังหวะ  เสียงแอคคอร์เดี้ยนบรรเลงคลอจากหน่วยฉายหนังคนหนึ่งที่นึกสนุกขอร่วมวงด้วย  เลอมานเลือกเพลงสอนนับเลขที่เคยร้องตั้งแต่เด็กๆ ชื่อ นิค-แนค แพดดี้-แว็ค ปรากฏว่าเลือกถูกทีเดียว  เด็กๆ เริ่มกิ๊กกั๊กกันก่อน  แล้วกลายเป็นเฮ่อๆ ฮ่าๆ ดังขึ้นทุกที  การแสดงของคุณชายได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยม 

                    จ้อยที่กำลังง่วนอยู่กับการแจกพวงอ้อยควั่นเสียบปลายตอกให้เด็กๆ ยังต้องเงยหน้ามอง  บอกแล้ว.. จ้อยชอบคุณชายตอนนี้ที่สุด  ยามที่ผีเสื้อสวยสง่าสลัดปีกวาววามทิ้ง  หวนกลับคืนสู่การเป็นดักแด้ 

                    ไม่มีท่าเอามือไพล่หลัง  เชิดหน้ามองคนด้วยปลายจมูก  มีเพียงรอยยิ้มสดใส  หัวเราะจนตาหยี 

                    และ.. ไม่ได้มีเพียงแค่จ้อย, สง่า, สันติและอาจารย์คนึงที่ได้เห็นแง่มุมนี้ของคุณชายอีกต่อไป  หม่อมราชวงศ์เลอมานจะรู้ตัวไหม  ว่ายามแย้มยิ้ม  ทำให้โลกสดใสขึ้นมาเพียงใด

                    อาจารย์คนึงมอง หนูเล็กของตนไม่วางตา  ดวงตาปลาบปลื้มปิดไม่มิด  ความรู้สึกบางอย่างเต็มตื้นขึ้นมาในอก  เขาภูมิใจหนุ่มน้อยคนนี้นัก

                    เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายสิ้นสุดลง  แอคคอเดี้ยนทิ้งตัวโน้ตบอกลาอ้อยอิ่ง  คนดูตบมือกันสนั่น  นักร้องมือสมัครเล่นโค้งขอบคุณก่อนเดินกลับมานั่งที่  มือเล็กลูบอกป้อยๆ ด้วยยังตื่นเต้นไม่หาย  แต่รอยยิ้มไม่เคยจางจากใบหน้า 

                    แสงไฟรายล้อมดับมืดลง  เหลือไว้เพียงแสงสว่างจากจอผ้าใบผืนใหญ่  คนึงคว้ามือน้อยมาแทรกนิ้วกุมกระชับ  กระซิบบอกสั้นๆ

                    เก่งมากสายตาที่มองมานั้นเล่า  อุ่น..หวาน..ละมุน.. คนถูกมองต้องหลบตาวูบ  ก่อนที่หัวใจจะถูก.. หลอมละลาย

     

                    ม้วนหนังเริ่มหมุน  เรื่องราวของเจ้าแทรมป์ สุนัขจรจัดผู้มีหัวใจดั่งทอง และเลดี้ สุนัขพันธุ์ดีผู้สูงศักดิ์เริ่มดำเนินไป  เหล่าคนดูโดยเฉพาะเด็กๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตาจับจ้อง  มองไปที่จอผ้าใบสีขาวที่ถูกขึงตึงรองรับ  พร้อมกับเสียงพากย์ที่ช่วยเร่งเร้าบรรยากาศและอารมณ์ในการรับชม  ทั้งปิติ ทั้งเศร้า ทั้งหัวเราะ ทั้งขบขัน  และจบลงด้วยความประทับใจเมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด 

     

                    หนังจบแล้ว  จอผ้าใบดับมืด  แต่ความสุขยังเรืองรองเต็มหัวใจทุกคน  เด็กๆ บางส่วนกลับบ้าน  แต่ส่วนใหญ่ยังนั่งล้อมหม้อกล้วยบวชชีที่จ้อยกับแม่ครัวช่วยกันทำ  สง่ากับสันติช่วยตักแจก  จับกลุ่มนั่งกินกันตามแคร่ใต้ร่มหูกวาง

                    คืนนั้นชาวบางบาลมาพบปะกันในโรงศาลา  ท่ามกลางแสงสว่างและเสียงฟู่ๆ ของตะเกียงเจ้าพายุ  วงเสวนาเริ่มขึ้น  แน่นอน.. จะขาดเหล้าเสียก็กระไร

                    ชายชราคนหนึ่งนุ่งกางเกงขาก๊วยสีน้ำเงิน  เสื้อชาวนาไม่กลัดกระดุม  มีผ้าขาวม้าพาดไหล่  เผยให้เห็นรอยซี่โครงแห่งความชรา  แกถือกระป๋องยาสูบติดมือมาด้วย  จัดแจงวางใบตองแห้ง  หยิบยาเส้นใส่บนใบตอง  แล้วมวนอย่างเชี่ยวชาญออกมาเป็นมวนโต  หนากว่าซิการ์เสียอีก  พอถึงตอนจุดไฟ  แกงัดเอากระบอกไม้ไผ่ท่อนสั้นๆ  ข้างในบรรจุนุ่น  และเอาเหล็กตอกหินให้ลูกไฟตกลงไป  เป่านุ่นจนแดงทั่ว  แล้วก้มดูดบุหรี่กับไฟ  เลอมานจ้องดูด้วยความเพลิดเพลิน  ไม่เคยเห็นวิธีจุดบุหรี่อย่างนี้มาก่อน  คนึงจึงเล่าให้ฟังว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  ไม่มีไม้ขีด  ไม่มีน้ำมันใช้  เลยหันมาตอกหินกันเช่นนี้  และบางคนยังใช้อยู่จนปัจจุบัน 

     

                    หม่อมราชวงศ์หนุ่มอยู่ในวงล้อมชาวบ้านเหมือนดาวล้อมเดือน  ดูเหมือนใครๆ ก็อยากรู้เรื่องเมืองฝรั่งกันทั้งนั้น 

                    จริงไหมที่เขาว่า  ถ้าจะไปเมืองฝรั่งละก้อ  ต้องไปทางนี้ผู้ถามชี้มือลงไปยังพื้นดิน  คนอื่นๆ พากันหัวร่อ

                    นั่นอเมริกาครับเลอมานตอบยิ้มๆ บ้านผมอยู่ทิศนั้นว่าแล้วก็ชี้ไปยังจุดจุดหนึ่งใต้ขอบฟ้า 

                    เอ.. จะไปถึงได้ยังไงหว่า  มิต้องเดินกลับหัวเรอะเสียงถามกันพึมพำเกือบไม่ได้ยิน 

                    “เฮ้อ  อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่าหนุ่มหนึ่งแย้งขึ้น ก็เดินข้ามทุ่งไปตรงๆ อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็โค้งต่ำลงไปโค้งต่ำลงไปรู้ไหมล่ะว่าพลางทำท่าทางประกอบเสร็จสรรพ  สุ้มเสียงเออออพอเข้าใจเซ็งแซ่    

                    ชาวบ้านแปลกใจกันมากที่เมืองไทยกับเมืองฝรั่งมีอะไรแตกต่างกันหลายอย่าง  จริงหรือที่บ้านเขาไม่กินข้าวกันทุกมื้อเหมือนบ้านบางบาล  ไม่น่าเชื่อเลย  ยิ่งพอคุณชายเล่าว่าหน้าหนาวบ้านเขาหนาวจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง  ชาวบ้านก็ร้องกันลั่นว่า ถ้าไปเป็นตายแน่

                    ครูใหญ่ส่งแก้วเหล้ามาให้  เอ้า  ดวดให้หมดแก้วเลยเหล้าที่ดื่มกันอยู่นั้นราคาถูก  ร่ำลือกันนักหนาว่ามีฤทธิ์เดชแรงและเร็ว  แค่กลิ่นก็รู้แล้ว  เลอมานรีบส่ายหน้าปฏิเสธว่าสู้ไม่ไหว 

                    ไม่ได้ๆ ต้องกินให้หมดใครๆ ร้องบอก ไม่หมดจะหาว่าดูถูกผู้หลักผู้ใหญ่นะ

                    คุณชายยิ้มเจื่อน  อากาศออกจะเย็นแต่เหงื่อเริ่มตกขมับ  พอจะรู้ตัวอยู่ว่าเมาแล้ว เรื้อนขนาดไหน  ครั้นหันหาอาจารย์คนึงหวังหาที่พึ่ง  แต่อาจารย์กลับพยักหน้าเป็นนัยว่าให้ดื่ม  มือบางจึงยกแก้วขึ้นจรดปาก  เงยหัวค่อยๆ ดื่มเข้าไปรวดเดียวจนไม่เหลือสักหยด  แล้วก็ตีหน้าเหยเก  ร้อนผ่าวตั้งแต่ลำคอ  วาบไปถึงท้องถึงใจพระเดชพระคุณ  ใครต่อใครตบมืออย่างทึ่งไปตามกัน 

                    คนึงมองด้วยความเอ็นดู  เลอมานกลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายไปตั้งแต่เมื่อไร  และอีกอย่าง  โดนเข้าไปแค่แก้วเดียวคงไม่หนักหนาเท่าไรหรอกละมัง 

                    หารู้ไม่  อาจารย์ประเมินสมรรถภาพศิษย์รักสูงไปเสียแล้ว

     

                    ผ่านไปชั่วเคี้ยวหมากจืด  น้ำเมาก็ออกฤทธิ์  คุณชายเริ่มนั่งตัวตรงไม่ได้  ต้องกระดืบไปหาเสาพิงหลัง  สองแก้มแดงปลั่งเป็นตำลึงสุก  เห็นคนคนเดียวมีสองหัวไปซะได้ 

                    วงสนทนากำลังครึกครื้น  คนึงและประพนธ์คุยกับชาวบ้านอย่างออกรส  หม่อมราชวงศ์หนุ่มอาศัยช่วงไม่มีใครเห็น  ปลีกตัวเดินโงนเงนขึ้นราวบันไดกลับเข้าห้องพัก  เห็นมุ้งหลังใหญ่กางไว้รอท่าก็มุดเข้าไปทันที 

                    เอ๊ะมีใครนอนอยู่ก่อน.. ใครกัน

                    อ้อ  นายสิงห์นี่เอง

                    เลอมานงัวเงียเต็มที  ตาหลุบหลู่จะหลับมิหลับแหล่  มือบางลากหมอนมานอนข้างหัวหน้าอันธพาล  พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย  ถ้าโลกจะถล่มลงมาตอนนี้ก็ไม่ไยดีแล้ว 

                   

                    ฤทธิ์ยา  ทำให้สิงห์หลับนาน..หลับลึก.. ชนิดเสียงจากลำโพงฉายหนังดังลั่นยังปลุกเขาไม่ได้ 

                    แต่ต้องมาสะดุ้งตื่น  เพราะแขนนุ่มนิ่มที่โอบรัดกอดหมับจากด้านหลัง

     

                    ใครวะ!

     

                    นักเลงโตหน้าร้อนผ่าว  หนุ่มน้อยปริศนา.. หนุ่มน้อยแน่นอน  เพราะไม่มีก้อนโตๆ สองก้อนตำหลัง  แถมมือไม้ขาวเกลี้ยงเกลาเหมือนเพิ่งพ้นวัยเด็กมาได้ไม่นาน   ไม่กอดเปล่า.. มีการซุกใบหน้าแนบแผ่นหลัง  นุ่ม.. อุ่น.. หอม..

                    จ้อยหรือเปล่า?

                    หรือนี่จะเป็นความฝันต้องฝันไปแน่ๆ

                    ใบหน้าคมคร้ามเอี้ยวขวับ  หมายพิสูจน์ให้รู้แน่ชัด  หากนี่เป็นความฝัน  ก็จะขอกักเก็บไว้แนบใจนานเท่านาน 

     

                    เพราะอีกฝ่ายซุกหน้าแน่น  สิงห์จึงเห็นเพียงกลุ่มผมนุ่มหอม  ยามต้องแสงตะเกียงกระป๋องสว่างนวล  ดูเรืองรองราวเส้นไหม  ร่างกำยำพลิกกลับไปทั้งตัว  มือใหญ่ช้อนประคองใบหน้าละมุนไว้อย่างทะนุถนอม 

                    หากทันทีที่กระจ่างชัดเต็มสองตา

     

                    เฮ้ย!

                    ไอ้ชายเล็ก!

                                   

                    นักเลงโตผละออกห่างเหมือนต้องของร้อน  คนหลับสนิทเริ่มสะลึมสะลือตื่น  ดวงตาหวานฉ่ำปรือปรอย  ปากแดงพึมพำฉะอ้อน อาจารย์..

                    เหวยเรียกใคร

                    ไม่เรียกเปล่า  มีการโอบแขนรัดเขาไว้ทั้งตัว  กู้ดไนท์คิสก่อนเร็ว..

     

                    ไอ้สิงห์รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้น

                    แล้วอะไรวะคิดๆ  ลูกคิดเรอะ? ไม่มีหรอก  อยู่ที่โรงสีโน่น  แม่ข้าใช้อยู่ประจำ

     

                    เฮ้ย! (อีกที) ยื่นหน้าเข้ามาทำไมมีการหลับตาพริ้ม  ทำปากเจ่ออีกด้วย!

                    ถ้าเป็นจ้อยละก็  ไอ้สิงห์จะไม่ลังเลเลยที่จะกดปากลงไปบนปากแดงฉ่ำนั่น  แต่นี่.. ไม่ใช่จ้อย

     

                    “โอ๊ย!” เจอฝ่าเท้ายันชายโครงเข้าให้! บุตรชายท่านทูตกลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุน แต่หาเข็ดไม่  คนหัวหูยุ่งเหยิงคลานตุบตับกลับมาหา  หูตาแดงก่ำ  เกาะแขนกำยำหนึบแน่นยังกะปลิง  ฮือ.. ไม่รักเล็กแล้วหรือ

                    ไอ้สิงห์ทำอะไรไม่ถูก  อยากจะสลบเหมือดไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด 

                   

                    เล็ก!” เสียงห้าวดังลั่น  ลูกชายกำนันหันขวับ  เห็นร่างสูงใหญ่ทะมื่นอยู่นอกมุ้ง  ไม่ถึงอึดใจ.. ใครคนนั้นก็เปิดมุ้งยัดตัวเองเข้ามา 

                    ไอ้คนึง!

                    โลกมันกลับตาลปัตรไปแล้วหรือไร  หรือเขากำลังไข้ขึ้นจนสมองมึนงงไปหมดกันแน่  อาจารย์หนุ่มในเสื้อผ้าป่านกางเกงแพร  รี่เข้ามาดึงคุณชายที่เอาแต่นัวเนียอยู่กับเขาออกทันที

                    ทำไมมานอนนี่สุ้มเสียงเอ็ดกลายๆ แต่ครั้นมองดวงตา  สิงห์เห็นแต่แววตาแบบเดียวกับที่เขามองจ้อยยามอยู่กับผู้ชายอื่น สองแขนโอบรั้งร่างเล็กไว้แนบอก  พอคนเมาเห็นผู้มาใหม่เต็มสองตา  มือขาวๆ ก็ตวัดรอบลำคออาจารย์หมับ  ซบอกกว้างครางหงุงหงิงเหมือนลูกแมว 

                    พวกเรานอนห้องโน้น  เดี๋ยวครูพาไปนอนนะเสียงกระซิบทุ้มละมุนยามอาจารย์ช้อนศิษย์ขึ้นอุ้ม  พาออกไปนอกมุ้ง  ปล่อยไอ้สิงห์นอนมองตาค้าง

     

                    คนทึ่มทื่ออย่างเขายังดูออก

                    สองคนนี้.. ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

     

                    อาจารย์หนุ่มพาศิษย์รักมาอีกห้อง  ต้องขอบคุณครูใหญ่โรงเรียนบางบาล  ที่แยกห้องไว้ให้สำหรับคุณชายโดยเฉพาะ  แต่ครั้นจะให้นอนคนเดียว  คนปอดลอยอย่างเลอมานหรือจะยอม

                    ห้องนี้พิเศษสมฐานะ  มุ้งหลังใหม่กว่าและมีฟูกนอนรองทับบนผืนเสื่ออีกชั้น  คนึงค่อยวางร่างในอ้อมกอดลงอย่างทะนุถนอม  เลอมานเหยียดร่างครางอือในคอ  เหมือนลูกแมวน้อยหาท่านอนเปี่ยมสุข

                    สุขใดจะเทียบทอดกายในอ้อมกอดคนรักไม่มี 

                    วงหน้าละไมหลับพริ้ม  คนึงสละแขนให้เด็กหนุ่มหนุนแทนหมอน  ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากแผ่วเบา  กระซิบเสียงอุ่นที่ริมหู รู้ไหม  คืนนี้ใครๆ มองเล็กของครูมากกว่ามองหนังซะอีก

                    เปลือกตาบอบบางลืมขึ้นเชื่องช้า  วาดยิ้มหวานละมุน แต่เล็กมองอาจารย์คนเดียว

     

                    อาจารย์จ้องมองดวงตาสุกใสนิ่งงัน  น่าแปลก.. เขาเคยมองดวงตาคู่นี้มานักต่อนัก  ส่งผ่านความรู้สึกถึงกันมาไม่รู้กี่ครา  หากคืนนี้.. ไยตรึงตาตรึงใจ  ไม่อาจละสายตา  จ้องมองราวกับว่าจากนี้จะไม่มีวาสนาได้มองอีก

                    เลอมาน งามจริงๆ  งามเหมือนรูปหล่อที่เทวาบรรจงปั้น  ขนงเนศเกศแก้มตรูตรา  ดังจันทราผุดผ่องละอองนวล  ใครหนอช่างตั้งชื่อให้เหมาะเจาะฉะนี้  งามรูปแล้วยังงามใจ  ตัวสูงศักดิ์เพียงใด หัวใจก็สูงส่งทัดเทียมกัน 

                    จมูกโด่งเป็นสันกดลงสูดกลิ่นหอมที่แก้มนุ่ม  บางสิ่งวูบไหวอยู่ในอก  สั่นสะเทือนเคลื่อนคลอน     

     

                ดั่งลอยฟ้ามาให้ชมตามลมปลิว

                แล้วลอยลิ่วลับไปเสียไกลตา**

     

                    อีกไม่กี่เดือนก็ต้องกลับไป

                    ระยะทางจากอยุธยาไปลอนดอนไกลเท่าไร

                    ค่าตั๋วเรือบินแพงมากไหม

                    ต้องใช้เงินเดือนข้าราชการครูจนๆ กี่เดือนถึงจะซื้อได้มา   

     

                    ถ้าจะไปบ้านเล็ก..ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดชาวบ้านเมื่อหัวค่ำขึ้นมาได้ ก็เดินข้ามทุ่งไปตรงๆ  แล้วมันก็โค้งต่ำลงไปโค้งต่ำลงไปเองอย่างนั้นหรือ  กี่ปีหนอกว่าจะถึง..ประโยคสุดท้าย.. รำพัน.. ทอดอาลัย..

                    เล็กไม่กลับจันทร์ดวงน้อยโพล่งขึ้นทันที  รัดอ้อมแขนแน่นเข้า เล็กจะอยู่ที่นี่  จะอยู่กับอาจารย์

                    หื้อคนฟังหัวเราะในคอ ท่านพ่อเล็กจะยอมหรือ

                    “ไม่กลับเด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวกับอกกว้าง ท่านพ่อเอาช้างมาลากก็ไม่กลับหากสุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมองตา จะอยู่จนกว่าอาจารย์จะไล่”  

     

                    อาจารย์ยิ้มพราย  จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียน  นึกถึงภาพเมื่อหัวค่ำ  หม่อมราชวงศ์หนุ่มออกไปปราศรัย ออกไปร้องเพลง  ดั่งดวงจันทร์ผ่องใสนวลกระจ่าง  เขาเล่า..เป็นเพียงกระต่ายที่ได้แต่เฝ้ามองจากพื้นดินอย่างชื่นชม  หากบัดนี้จันทร์นวลทอดกายลงในอ้อมกอด 

                    เป็นวาสนาของกระต่ายผู้ต่ำต้อยเหลือเกิน

     

                เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น

                กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า

                อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา

                น้ำใจข้าเมามึนทั้งขึ้นแรม**

     

                    คืนนี้.. ณ ที่นี่มีสองกระต่าย  ต่างหมายจันทร์กันคนละดวง 

                    หนึ่งนั้นเป็นกระต่ายเจ็บเสียด้วย 

     

                    พอถูกทำให้ตื่น  สิงห์จะข่มตาหลับอีกทีก็ยากเย็น  ร่างสูงใหญ่ลุกจากที่นอน  โผเผไปเกาะหน้าต่าง  อยากบุหรี่ฉิบหาย  แต่ต้องอดทนไว้  ที่นี่มีแต่เด็กๆ  มายืนพ่นควันฉุยเด็กจะเหม็นกันเสียเปล่าๆ  แถมพวกนักเรียนครู  ก็ไม่เห็นมีใครสูบบุหรี่กัน 

                    นอกหน้าต่าง.. บนฟ้า.. มีจันทร์นวลเปล่งแสงสุกใส  เบื้องล่าง.. จันทร์อีกดวงทอแสงจัดจ้าไม่ต่างกัน 

                    บนแคร่ไม้รวกใต้ต้นหูกวาง  จ้อยอยู่ในวงล้อมเด็กๆ อีกแล้ว 

     

                    จันทร์เต็มดวงสุกสว่างราวกับโคมทองกลางฟ้า  จ้อยนั่งมองพวกเด็กผู้ชายวิ่งไล่เหยียบเงากันกลางลานแล้วหัวเราะขำ  พวกเด็กผู้หญิงนั่งล้อมไม่ห่าง  เล่านู่นเล่านี่ให้ฟังครื้นเครง  พอจ้อยถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร  ก็ยกมือแย่งกันเล่าชนิดฟังแทบไม่ทัน 

                    จ้อยเคยคิดว่าเรือชีวิตของจ้อยผุพังเต็มที  เต็มไปด้วยรอยรั่วร้าวที่ไม่รู้จะอับปางลงใต้ท้องน้ำวันใด  ไม่รู้จะฝ่าลมฝนไปถึงจุดหมายปลายฝั่งได้หรือไม่ 

                    จ้อยเคยคิดเช่นนั้น

                   

                    หากวันนี้  แสงจันทร์นวลและรอยยิ้มไร้เดียงสา แววตาใสบริสุทธิ์ เสมือนชันชั้นดีที่มายาท้องเรือ สมานรอยรั่วได้สนิท  หัวใจแหลกยับของจ้อยถูกประกอบขึ้นใหม่  จ้อยรู้แล้วว่าเรือชีวิตของจ้อยจะมุ่งหน้าลอยลำไปในทิศทางใด  จ้อยจะต้องไปให้ถึง

                    ชันยาเรือ  เด็กๆ (เยียว)ยาหัวใจ

     

                    ยิ่งเป็นครู  มิใช่เป็นเพียงเรือที่จะพาตนไปฝั่ง  แต่ต้องพาศิษย์ไปด้วย  แล้วเรือจ้างผุพัง  จะส่งศิษย์ถึงฝั่งได้อย่างไร

                    ขอบคุณคุณชายเล็กที่พาจ้อยมาที่นี่  มาพบ ยาชั้นดี 

     

                    โตขึ้นหนูจะเป็นครูเหมือนพี่ครูเด็กหญิงผมหยิกขอดคนหนึ่งเล่าบ้าง  หากไม่ทันขาดคำ 

                    “พี่ครูๆๆพวกทโมนที่ไล่เหยียบเงากันก็กรูเข้ามา อีสี่คนนี้มันชอบพี่  มันบอกว่าโตขึ้นจะเป็นแฟนพี่ครู

                    มีเสียงตีไหล่กันผัวะผะ  จ้อยถึงกับปล่อยก๊าก โอ้โห  สี่คนเชียว  เลือกไม่ถูกเลยพี่ครูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้น เอาอย่างนี้  ใครร้องเพลงจันทร์เจาได้มาเป็นแฟนกันเลย” 

                    สิ้นเสียงพี่ครู  เด็กๆ ทั้งหญิงชายยืนตัวตรงแหน่ว  เสียงเจื้อยแจ้วขับขานพร้อมเพรียงกัน 

                    จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า..

     

                    ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่  ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง.. ไม่มีใครรู้  ตรงหน้าต่างสูงขึ้นไป  เด็กโค่งคนหนึ่งเปล่งเสียงแหบพร่าแผ่วเบา  ร้องเพลงจันทร์เจ้ากับเขาด้วย

     

                ใครร้องเพลงจันทร์เจ้าได้มาเป็นแฟนกัน

                    เอ็งอย่าผิดคำพูดนะจ้อย 

                   

                    เด็กๆ ร้องจบก็เฮขึ้นมาพร้อมกัน  โทษฐานที่เป็น แฟนกันแล้ว  พี่ครูเลยแจกจูบเข้าให้ที่แก้มคนละที  ใบหน้าคมคร้ามมองตามแล้วคลี่ยิ้มละมุน 

                    ไม่กล้าเสนอหน้าไปให้น้องจูบแก้มด้วยหรอก  แค่เห็นน้องกลับมายิ้มได้อีกครั้ง  ไอ้สิงห์ก็สุขใจเหลือเกินแล้ว 

     

                เจ้าก็แก้วแวววาวจงห้าวหาญ

                แม้ในธารแสงยังกล้าสง่าสม

                อย่าเซาซบสยบท้นหม่นระทม

                ถึงกลางตมเพชรประกายยังพรายพราว***

     

    ******************************

                    ความสุขของไอ้สิงห์ผ่านไปไวเหมือนไฟลามปลายด้าย  

                    ดึกดื่น  เด็กๆ และชาวบ้านกลับกันหมดแล้ว  เหล่านักเรียนครูได้เวลาเข้านอนกันเสียที  
       
                    สิงห์นอนนิ่งอยู่ในมุ้ง  นิ่งฟังเสียงพวกนักเรียนครู
       
                    เกี่ยงกันว่าใคร.. จะเป็นคนนอนติดเขา  
       
                    เขานอนนิ่งเหมือนหลับสนิท  ใครอยากพูดอะไร  จะได้พูดกันมาเลยไม่ต้องเกรงใจ.. หรือไว้หน้าใดๆทั้งสิ้น  

                    ครูบางบาลคนหนึ่งมาขอโทษขอโพย  เพราะไม่รู้ว่าจะมี คนนอกติดตามมาด้วยอีกหนึ่ง  จึงเตรียมขนาดมุ้งไว้ให้เล็กเกินไป  
       
                    “ใครสาระแนตามมาก็ไปนอนนอกมุ้งเลยไปสง่าออกปากค่อนขอดคนแรก  กลิ่นละมุดโชยหึ่ง  คงไม่แคล้วไปร่วมวงไพบูลย์กับชาวบ้านมาแน่ๆ  
       
                    “อย่าให้มันเกินไปนักสง่าอาจารย์ประพนธ์ก็โชยนิดๆ เขาไม่สบายอยู่นะ  ไม่เห็นหรือไงบ่นงึมงำแล้วก็เปิดมุ้งไปนอนริมสุด  เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ให้นักเรียนครูทั้งสามหน่อ  
       
                    “รีบนอนกันได้แล้ว  พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าสิ้นเสียงอาจารย์  ดั่งสิ้นสัญญาณเป่านกหวีดปล่อยตัวนักวิ่ง  สง่ากับสันติคลานตุบตับเข้าจับจองที่ทันที  ทิ้งจ้อยให้ยืนเซ่อ  ก็จ้อยนึกว่าเพื่อนจะปรึกษากันก่อน  

                    เห็นที่ว่างที่เหลืออยู่แค่คืบระหว่างสันติกับ.. มันแล้ว  จ้อยอยากจะร้องไห้    

                    หนุ่มน้อยแทรกร่างเข้าไปในที่คับแคบ  เบียดมาทางสันติแทบเกาะหลังกัน  เหมือนไอ้ที่นอนอยู่อีกฝั่งเป็นอสรพิษไม่ใช่คน  
       
                    “โอ๊ยจ้อย ดับตะเกียงเสียทีสิ  แยงตาจะบอดอยู่แล้วสง่าโวยขึ้นมาทั้งหลับตา  
       
                    “ไม่..ไม่ดับได้ไหม.. 
       
                    จ้อยพูดไม่ทันขาดคำ  สง่าก็เปิดมุ้งมุดหัวออกไปเป่าตะเกียงปู้ด  ทั้งห้องมืดสนิทเหมือนหลับตา

                    หัวใจจ้อยเต้นถะถี่ขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ  มืดเหลือเกิน  มืด.. มืดเหมือนคืนนั้น  คืนที่จ้อยย่ำเข้าดงกล้วยไปตามหายาย  

                    เหมือนถูกความทรงจำเลวร้ายรัวทุบกระหน่ำ จ้อยนอนตัวสั่นอยู่ในความมืด ใครคนหนึ่งขยับตัวเบียดมาโดน  จ้อยสะดุ้งสุดตัว  ใครกัน?!  สันติ.. หรือ มัน’  ใครนอนทางขวา  ใครนอนทางซ้ายกันนะ  มันมืดไปหมด  มืดจนไม่รู้หัวรู้หาง  จ้อยสับสนไปหมดแล้ว  
       
                    จ้อยเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ!

                    น้ำตาเอ่อท้นขอบตาจนแสบพร่า ทำไมจ้อยเป็นอย่างนี้จ้อยก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน  รู้เพียงว่าจ้อยกลัว  กลัวจับขั้วหัวใจ  
            
                    สายตาที่เริ่มชินกับความมืดไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อย่างน้อย.. จ้อยก็รู้แล้วว่าสันตินอนอยู่ฝั่งไหน
            
                    "สัน..สันติ" เสียงสั่นพร่ากระซิบเบาหวิว มือเล็กกระตุกชายเสื้อเพื่อน "แลก..แลกที่กันเถอะ..นะ.." 
            
                    คนกำลังหลับปัดมือจ้อยออกอย่างรำคาญเต็มที ยิ่งพร่ำวิงวอนเท่าไร เพื่อนยิ่งหลับได้หลับดีไม่แยแสกันเลยสักนิดน้ำตาจ้อยจะร่วงอยู่มะรอมมะร่อ 
            
                    หนุ่มน้อยคงไม่รู้ ใครอีกคนหนึ่งที่นอนผินหลังให้ ใจเอ๋ยจะขาดลงรอนๆ 

                    จ้อยลุกออกจากมุ้งเบากริบ จ้อยทนนอนที่นี่ไม่ได้ ทนนอนข้างมันไม่ได้ อาศัยเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านบานหน้าต่าง นักเรียนครูตัวเล็กคลำทางไปห้องนอนหม่อมราชวงศ์เลอมานและอาจารย์คนึง หมายมาดจะขอซุกหัวนอนด้วยคน 
             
                    ดึกสงัด หรีดหริ่งเรไรครวญระงม จ้อยแตะมือลงบานประตูไม้เก่า เปิดออกแผ่วเบา ไม่ได้เคาะก่อน ไม่ได้ส่งเสียงขออนุญาต ดึกแล้วจ้อยไม่อยากรบกวน แค่จะขอเข้าไปนอนด้วยเงียบๆ 
             
                    บานประตูค่อยๆ เปิดอ้า แสงจันทร์แจ่มฟ้าสาดกระทบสองร่างในม่านมุ้งสลัว 

                    ทันทีที่เห็นถนัดตา จ้อยตะลึงตาเบิกโพลงอยู่ในความมืด!

                    อาจารย์คนึงอยู่บนตัวคุณชายเล็ก!

                    หนุ่มน้อยพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก สองมือปิดประตูคืนให้ดั่งคนไร้วิญญาณ สองขาถอยหลังเงอะงะ ในหัวกลวงเปล่าเหมือนมีกระแสลมพัดผ่าน 

                    จ้อยมาเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว 

                    ร่างเล็กหันขวับหมายจะกลับห้องเดิม หากทันทีที่หันไปก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อกี้ว่าตกใจแล้ว ครานี้เห็นทีต้องคูณเข้าไปอีกสิบ
            
                    ร่างสูงใหญ่ยืนทะมึนอยู่ในความมืด! 

                    จ้อยถอยกรูดจนหลังติดฝา ไม่เข้าใจเลยว่ามันย่องตามมาตั้งแต่เมื่อไร และที่น่าตกใจ มันตามจ้อยมาทำไม! 
            
                    แสงจันทร์สะท้อนใบหน้าคมสัน มันมองจ้อยนิ่งงัน ชั่วอึดใจ มันก็เดินหันหลังลงบันไดไป ไม่มีส่วนใดของร่างกายแตะต้องตัวจ้อย นอกจากแววตาโศกสลด รวดร้าว 

                    ไม่พูดอะไรสักคำเดียว!
       
                    หนุ่มน้อยยังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก อยู่ดีๆ มันก็ลุกขึ้นมามองหน้ากัน แล้วอยู่ดีๆ ก็หันหลังเดินจากไป  พอสติกลับคืนมา  จ้อยรีบกลับเข้าห้อง  ในมุ้งฝั่งริมสุดไร้วี่แววของ มันจ้อยถอนใจโล่งอก  มันจะไปนอนที่ไหนก็ช่าง ขออย่างเดียว อย่ามานอนใกล้กันเป็นพอ  
       
                    กว่าจ้อยจะข่มตาหลับลงได้ก็ดึกดื่นค่อนคืน ในหัวมีแต่ภาพอาจารย์ที่เคารพและคุณชายเพื่อนรักกำลังกอดจูบกัน  ก่อกวนวกวนอยู่ในอกไม่วางวาย  

    ******************************


                    รุ่งอรุณฟ้าสางสว่างแล้ว

                    คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนฝึกหัดครูเตรียมตัวเดินทางกลับ  เช้านี้จ้อยพูดน้อยกว่าทุกวัน  ยิ่งกับอาจารย์คนึงและเลอมาน จ้อยแค่ถามคำตอบคำ 
       
                    จ้อยแค่พูดน้อย  แต่มีคนหนึ่ง.. ไม่ปริปากพูดอะไรเลยตั้งแต่เช้า  
       
                    อาการไข้ของมันเหมือนจะหนักยิ่งกว่าเก่า  มันหลบไปนั่งหลับพิงรถจี๊ปดอดจ์ของหน่วยฉายหนัง  คุณชายเลอมานไปแตะมือตรงหน้าผากมันแล้วอุทานลั่นว่าร้อนดั่งไฟ  มันแค่ปรือตาขึ้นมองแล้วก็หลับต่อ

                    จ้อยไม่ได้บอกใครว่าเมื่อคืนมันลงไปนอนข้างล่าง  จ้อยไม่คิดจะแยแสมันเลยสักนิด  ทำตัวเอง  สมควรแล้ว  มันจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็เรื่องของมัน 

                    ไม่ว่าคุณชายจะทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาจ้อยไปเสียหมด  แต่ที่ทำให้จ้อยโกรธเอามากๆ ก็ตอนกำลังจะเคลื่อนพลกลับกันนี่ละ

                    มีอย่างที่ไหน  สั่งให้สง่ากับสันติไปนั่งรถหน่วยฉายหนัง  แล้วให้คนไข้กลับอย่างไอ้สิงห์มานั่งข้างจ้อยแทน!

                    มันมาอย่างไรก็ควรกลับไปอย่างนั้นสิ!

                    สง่ากับสันติโวยวายกันตามประสา  แต่พออาจารย์คนึงยื่นคำขาดก็เดินคอตกไปนั่งเบียดกันในรถฉายหนังอย่างเสียไม่ได้  ต่างกับจ้อยที่ได้แต่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ภายใน  

                    ล่ำลาเหล่าครูบางบาลและเด็กๆ เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลากลับ  รถจี๊ปสีขาวโขยกเขยกไปตามทางลูกรัง  ข้างหน้า คุณชายนั่งคู่อาจารย์ที่ทำหน้าที่คนขับ  ข้างหลัง  จ้อยนั่งตัวลีบแนบประตูเคียงคู่กับมัน  ที่พิงศีรษะกับกระจกรถหลับใหลไม่ได้สติ  รถตกหลุมที  มันก็เอนมาซบจ้อยที  จ้อยได้แต่ผลักกลับไปอย่างขยะแขยงเต็มทน  หัวมันโขกกระจกดังโป๊ก  แต่มันเพียงลืมตาสลึมสะลือแล้วหลับต่อไม่รู้สึกรู้สา

                    คู่ชู้ชื่นข้างหน้ามีความสุขกันจริง  คุณชายปั้นข้าวเหนียวหมูทอดที่แม่ครัวบางบาลทำให้เป็นเสบียงเป็นก้อนพอดีคำแล้วยื่นป้อนให้อาจารย์คนึง  จ้อยแทบจะเบือนหน้าหนี  

                    ผิดหวังในตัวทั้งคู่สุดแสน   

                    ถ้าเป็นเมื่อก่อน  ก่อนที่จ้อยจะมาเห็นภาพเมื่อคืน  จ้อยคงไม่รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้า  ก็แค่ศิษย์คนหนึ่งป้อนข้าวป้อนน้ำอาจารย์ที่มือไม่ว่างเพราะกำลังขับรถ  แต่เพราะจ้อยรู้ ความจริงแล้ว ยิ่งมองยิ่งขัดตา  
       
                    สิ่งใดใดที่ผิดทำนองคลองธรรม  จ้อยไม่ชอบไปเสียทั้งสิ้น  แล้วนี่อะไร  เป็นศิษย์อาจารย์กัน  ซ้ำยังเป็น.. ผู้ชาย..กับผู้ชาย
       
                    ดั่งกลืนน้ำลายตนเอง  แล้ว.. จ้อยกับ มันเล่า  ผู้ชายกับผู้ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือ  

                    จ้อยปฏิเสธอึงอลอยู่ในอก  ไม่มีทาง! ยิ่งกับมัน ยิ่งไม่มีทาง!  สิ่งที่มันทำกับจ้อย  เพราะถูกมันบังคับข่มเหง  ส่วนที่จ้อยเคย รักมันเมื่อครั้งยังเยาว์  นั่นก็เป็นความรักแบบพี่น้อง  หากนับจากนี้ไป  แม้เศษเสี้ยวความรักไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็อย่าหวังว่ามันจะได้รับจากจ้อยเลย  
         
                    ทางเกวียนขรุขระทำรถเอียงวูบ  คนไม่ได้สติเอนตุบลงบนตักจ้อย เจ้าตัวเล็กสะดุ้งโหยง  พยายามยกหัวหนักๆ ออกไป  แต่คล้ายมันไม่รู้สึกตัวสักนิด  
       
                    ใบหน้าคมสันร้อนผะผ่าว  เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มหน้าผาก  ผ้าพันแผลเริ่มมอมแมม  คงเพราะไม่มีใครมีแก่ใจจะเปลี่ยนให้  จ้อยออกแรงยกหัวมันออกอีก  หากหนักอึ้งดั่งหินผา  
       
                    วูบหนึ่ง.. บางสิ่ง.. ตรึงตรา.. วูบไหวอยู่ในหัวใจ    
         
                [น้ำคลองสีน้ำตาลอ่อนไหลเอื่อย  ลมทุ่งพัดมาเย็นชื่น  เด็กชายตัวโตจูงมือน้อยลัดเลาะริมคลอง  ในมือมีคันเบ็ด  ข้างเอวมีตะข้องใบย่อม
       
                “ตกปลาเป็นบาป  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ผีดศีลข้อหนึ่งเสียงเล็กเจื้อยแจ้ว

                “ตกไปกินไม่บาปหรอกพี่สิงห์ชี้แจง  ก่อนตีหน้ายักษ์ พูดมากเดี๋ยวจับจ้อยหักแข้งหักขากินแทนปลาเสียนี่!
       
                จ้อยหัวเราะเอิ้กอ้าก  หลบหลีกพัลวันเมื่อพี่ทำท่าจะคว้าแขนไปหักกินจริงๆ  โลกของจ้อยแสนไร้เดียงสา  มีความเป็นเด็ก เป็นน้อง และไว้วางใจในตัวพี่ยิ่งนัก  
       
                พี่ปลดตะข้องออกจากเอว  ดึงปูออกมา  ฉีกอกออกจากกัน  ฉวยมะนาวจากกระเป๋ากางเกง  ผ่าด้วยมีดพับ  บีบใส่กระดองคลุกเคล้าจนมันเหลืองย่องจับตัวเป็นก้อน 
       
                จากนั้นหักก้านละหุ่งที่พกมาเป็นกำ  ดึงจนเห็นใยสีขาวบางเหนียว  ใช้พันมันปูทำเหยื่อ  ไม่ถึงสองนาทีก็เรียบร้อย  เหวี่ยงฟึ่บ! เบ็ดก็จุ่มลงน้ำ  พี่ขยับตัวนั่งพิงต้นไม้ เอนกายสบายอารมณ์  
       
                เมฆขาวลอยเต็มฟ้า  แดดทุ่งร้อนจ้าแต่ใต้ต้นตะแบกกลับเย็นสบาย  เสียงลมกับใบไม้เสียดสีแสนเสนาะ  ทุกอย่างเงียบสงบ  มีความสุขนัก  
       
                “ไปนั่งอะไรตรงนั้น  มาอยู่ใกล้ๆพี่นี่สิพี่กวักมือเรียกจ้อยที่หนีไปนั่งเสียไกล  
       
                “ไม่เอาจ้อยส่ายหน้ารัว จิ่มดินจิ้มหญ้าเล่นไปตามเรื่อง ยายบอกว่าอย่าอยู่ใกล้คนตกปลา  เดี๋ยวโดนเบ็ดตวัดมาเกี่ยวตา
       
                “มานี่จ้อยพี่เรียกอีกที  จ้อยเงยหน้าขึ้นมอง  เมื่อนั้นจึงเห็นดวงตาสีนิลเข้มข้น ไม่ต้องกลัวหรอก  ถ้าพี่ทำเบ็ดเกี่ยวตาจ้อย จะควักลูกตาตัวเองให้แทน” 
       
                จ้อยอุ่นใจ  ยินคำสัญญาหนักแน่นก็ยิ้มออก  ขยับเข้าใกล้พี่  จู่ๆ จากท่านั่ง  พี่เอนกายลงเอาตักจ้อยแทนหมอน  หนุนนอนสบาย

                “เอาหัวพี่ทับไว้  จ้อยจะได้ไม่ปลิวหายไปไหนอีก” ]


                    เออหนอ.. ครั้งหนึ่ง  จ้อยเคยยอมให้มันนอนหนุนตักด้วย  
                    เหตุการณ์เนิ่นนานมาแล้วแท้ๆ 
       
                    แต่ไม่รู้เหตุใด  ฝั่งน้ำเย็นย่ำนั้น  ตรึงอยู่ในความทรงจำมิจาง  

    ******************************


                    คนึงกับเลอมานแวะส่งนายสิงห์ที่บ้าน  ดีที่กำนันและคุณนายพูนทรัพย์ไม่อยู่ทั้งคู่  ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงโดนกักตัวไว้ตอบคำถามแน่ว่าพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปทำอะไรมา  และคนที่โดนหนักที่สุดก็คงไม่พ้นจ้อย  ที่ร่ำร้องจะไปโรงเรียนก่อนท่าเดียว

                    ถึงโรงเรียน  คนึงพาเลอมานไปหาอาจารย์ปรีชาก่อนเป็นอันดับแรก  หมายจะรายงานความสำเร็จลุล่วงด้วยดีของการพาอาสาสมัครไปฉายหนังนอกเมือง
       
                    ทั้งสองกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจ  

                    “ท่านชายอาทิตย์มีจดหมายมาอาจารย์ปรีชาบอกข่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แจ้งว่าจะเสด็จมาโรงเรียน



    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
    *วาสนากระต่าย, มัณฑนา โมรากุล คำร้อง, เอื้อ สุนทรสนาน ขับร้อง
    **สุนทรภู่
    ***นิทานเวตาล
    ****อุชเชนี 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×