คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ : หงส์ปีกหัก
โอ้เจ้าหงส์ฟ้าเอย แสนงาม
เหตุไฉนถึงทรามทำตัวเย่อหยิ่งหนักหนา
อวดเป็นหงส์ทอง ลอยล่องฟ้า
เหยียดหยามปักษาพวกเดียวกันว่าต่ำเพียงดิน
อย่าหยิ่งนักเลยนะเจ้า พลาดพลั้งจะเหงา
ซบเซาเศร้าทรวงเอง *
เมื่อเหลือเขาอยู่เพียงคนเดียวในห้องกว้าง คนึงถอนใจพรูขณะเดินไปเปิดหน้าต่างตรงหัวเตียง ลมเย็นฉ่ำพัดพากลิ่นหอมเย็นของดอกมหาหงส์มาด้วย ชายหนุ่มเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด ดวงตาคมกล้าแหงนมองดวงดาวพริบพราวเบื้องบน ป่านนี้คนรักของเขาจะเงียบเหงาอ้างว้างอยู่ ณ ดาวดวงใดกัน
ยิ่งคิดยิ่งชอกช้ำ ร่างคนรักของเขาเพิ่งเป็นเถ้าธุลีไปเมื่อวาน พอมาวันนี้ เพียงเพราะการมาถึงของเด็กหนุ่มผู้จองหองคนนึง ก็ทำให้ทุกคนสนุกสนานร่าเริง ต้อนรับกันอย่างครึกครื้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนการตายของคนรักของเขาไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ดอกหนึ่งที่ร่วงหล่นจากต้น
อาจารย์หนุ่มหันกลับมามองไปรอบห้อง เดิมชั้นหนังสือนี้เคยตั้งอยู่ชิดริมผนังจนกระทั่งจินดาจากไปและเขาต้องจัดห้องใหม่ต้อนรับหม่อมราชวงศ์เลอมาน โต๊ะเขียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งเตียงนอนล้วนเป็นสิ่งที่จินดาเคยใช้ ยิ่งมองยิ่งชวนระโหยไห้
ลมพัดมาซู่ใหญ่จนผ้าม่านปลิว เสียงหรีดหริ่งระงมเงียบกริบ พริบตานั้นคนึงได้ยินเสียงฝนกระหน่ำลั่นอยู่ในอก
ไม่เคยอดทนถมเถื่อนขึ้นกั้นได้
คืนนี้ความทรงจำคงหลากไหลท่วมท้นอีกแล้ว
***********************
“นั่นใคร!” เลอมานร้องถามลั่นก่อนวิ่งไปฉวยเสื้อคลุมมาปิดร่างเปลือยเปล่า ดวงตาคมวาวจ้องผู้บุกรุกอย่างเอาเรื่อง
จ้อย สันติและสง่าในผ้าขาวม้ายืนตะลึงอ้าปากค้าง สง่านั้นถึงขั้นทำขันน้ำในมือร่วงกระทบพื้น เสียงเคร้งดังลั่นเตือนสติทั้งสามให้หันหลังขวับพร้อมกัน
“เสียมารยาท! ไม่รู้หรือไงว่าฉันอาบอยู่!” เลอมานน้ำเสียงพร่าไปด้วยความโกรธ เร่งร้อนใส่เสื้อคลุมไหมด้วยมือสั่นเทา
“ขอโทษครับคุณชาย” จ้อยเอ่ยทั้งที่ยังหันหลังให้ “ที่นี่เป็นห้องน้ำรวม พวกเราไม่รู้จริงๆว่าคุณชายอาบอยู่ คือ..”
ยังไม่ทันพูดจบ เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์ก็เดินลิ่วๆผ่านหน้าออกไป ทิ้งให้ทั้งสามยืนเซ่ออยู่กับความเงียบงัน
....................
“ขาวว่ะ” สง่าพูดเหมือนเพ้อ สายตายังมองตามร่างที่เพิ่งเดินจากไป
“อะไรขาว” สันติถามพาซื่อ
“ทั้งตัวเลย”
“อืม..” เด็กหนุ่มร่างผอมสูงขยับแว่นตาพลางพยักหน้า ก่อนสะดุ้งตั้งสติได้ “เฮ้ย ไอ้บ้านี่ ผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ โอยๆ..เห็นทีตาจะเป็นกุ้งยิงแน่”
เพื่อนทั้งสองหันไปเตรียมอาบน้ำอาบท่า ในขณะที่จ้อยได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเป็นห่วงอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่นัก
“ไอ้แช่ม!” หม่อมราชวงศ์หนุ่มเรียกลั่นเมื่อออกมาหน้าโรงอาบน้ำ แล้วให้นึกฉงนนักเมื่อไม่เห็นบ่าวยืนเฝ้าอยู่ตามที่สั่ง
“ไอ้แช่ม ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน! ไอ้แช่ม!!” คำนำหน้าชื่อเปลี่ยนไปจากที่เคยด้วยโทสะ แต่เรียกไปก็ป่วยการเปล่า ไม่มีแม้เงาของนายแช่ม เขาจึงตัดใจเดินกลับบ้านพักเพียงลำพังอย่างกระฟัดกระเฟียด
‘ลูกหมาตกน้ำ’
คนึงคิดในใจทันทีที่เห็นสารรูปเด็กหนุ่มที่เดินเนื้อตัวเปียกซ่กเข้าห้องมา อาการเดินลงส้นและปิดประตูเสียงดังอย่างไร้มารยาทบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ใด
แต่กระนั้นเขาก็เพียงเงยหน้าจากงานขึ้นมองด้วยสายตาเย็นชา เมื่ออีกฝ่ายมายืนอยู่ริมชั้นหนังสือกั้นอาณาเขต กระชากเสียงเรียกเขาห้วนๆ
“คุณ!” ร่างโปร่งหอบหนัก ดูไม่ออกว่าเพราะเหนื่อยหรือโกรธ “มีห้องน้ำอื่นอีกไหม!”
อาจารย์หนุ่มเหยียดมุมปากอย่างจะหยัน ถอดแว่นที่มักใส่ประจำเวลาตรวจงานหรืออ่านหนังสือ ดวงตาคมสำรวจฝ่ายตรงข้ามหัวจรดเท้า ผมสีน้ำตาลเรียบลู่มีฟองสบู่ไหลย้อยจนเจ้าตัวต้องคอยใช้หลังมือปาดออก ทั้งร่างเปียกโชกจนเสื้อคลุมไหมสีน้ำเงินแนบเนื้อตัดกับผิวขาวจัด ริมฝีปากแดงที่กระทบกันดังกึกๆ
คุณชายผู้จองหองต้องมาอยู่ในสารรูปนี้ สมน้ำหน้าแล้ว
“ไม่มี” คนึงตอบไม่ยี่หระ “ทำไม อาบไม่ได้หรือไง”
“มีคนอื่นอาบอยู่นี่”
“แล้วอาบรวมกับคนอื่นไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้!”
ชายหนุ่มถอนใจหนักๆด้วยความรำคาญ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วหันไปหยิบของบางอย่างจากตู้เสื้อผ้าส่งให้
“อะไร” หม่อมราชวงศ์หนุ่มถาม มองผืนผ้าพับลายตารางในมือใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจ
“ผ้าขาวม้าไง ไม่รู้จักหรือ” ใบหน้าหล่อคมเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง “อยู่ที่นี่ต้องหัดอาบน้ำแต่งตัวในที่สาธารณะ ผ้าขาวม้านี่จะขาดเสียไม่ได้ เอาไปเลยผมให้ นุ่งซะแล้วลงไปอาบที่ตุ่มหัวบันไดก็ได้”
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์กัดริมฝีปากนิ่ง ไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที คนึงจึงชักกลับทำท่าเหมือนจะเอาไปเก็บ “หรือจะไม่อาบก็ตามใจ ปล่อยให้สบู่คาหัวอยู่แบบนั้นแหละ พรุ่งนี้ผมร่วงหมดหัวอย่ามาโทษผมก็แล้วกัน”
คำขู่นั้นได้ผล เมื่อร่างโปร่งบางถลันมาฉวยผ้าขาวม้าไปถือไว้ แล้วเดินกลับไปยังฝั่งตัวเอง คนึงหัวเราะขึ้นจมูก ทั้งขันทั้งหยัน ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม แล้วไม่นานนัก เขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มตัวขาวในผ้าขาวม้าผืนเดียวเดินไปยังประตู
“เดี๋ยว..” คนึงเรียกไว้ พลางลุกขึ้นเดินไปหา
“อะไร” ใบหน้างามหวานหันขวับ กระชากเสียงห้วนอย่างรำคาญ ถอยหลังออกอย่างไว้ตัวเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ สายตาคมวาวที่จ้องท่อนล่างของเขาชวนให้อึดอัดนัก ฉับพลันนั้นร่างโปร่งก็สะดุ้งโหยงเมื่อมือใหญ่ฉวยปมผ้าของเขาไว้
“ทำอะไรน่ะ! ปล่อย!” ร่างเล็กขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวระแวง มือบางพยายามยื้อยุด
“นุ่งแบบนี้โดนน้ำสองขันก็หลุดแล้ว” น้ำเสียงและดวงตาเรียบนิ่งตรึงให้เขายืนอึ้งอยู่กับที่ยามมือใหญ่นั้นมัดปมผ้าให้ใหม่จนแน่นขึ้น “เอ้า.. อาบให้ดีๆล่ะ เกิดทำผ้าหลุดขึ้นมา ใครมาเห็นเข้าเขาจะนึกว่าเปรต”
“เปรต?” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น “อะไรคือเปรต?”
อาจารย์หนุ่มเพียงหัวเราะในลำคอก่อนหันหลังจากไป ทิ้งให้เขาลงส้นออกจากห้องไปด้วยความฉุนเฉียวยิ่งนัก
คืนเดือนมืดดาวพราวพร่าง เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงม แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มไม่มีกะใจมาชื่นชมด้วยกำลังตักน้ำในตุ่มขึ้นราดหัวโครมๆ อย่างรีบเร่ง
บ้านป่าเมืองเถื่อนแท้ๆ เด็กหนุ่มคิด..
ถ้าตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านในกรุงลอนดอนละก็.. อย่าว่าแต่บ้าน แม้โรงเรียนกินนอนของเขาก็ยังมีสภาพดีกว่าที่นี่ มีห้องน้ำสะอาดมิดชิด มีฝักบัว มีอ่างอาบน้ำ มีน้ำอุ่น มีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีแสงไฟสว่างไสว ไม่ทุรกันดารมืดมนเหมือนที่นี่
มือบางยกขึ้นลูบไล่หยดน้ำจากใบหน้า นึกทุเรศตัวเองนัก ถ้าท่านพ่อไม่บังคับละก็ เขาไม่มีทางมาเหยียบที่แผ่นดินนี้เด็ดขาด ไร้ความเจริญ ไร้ความศิวิไลซ์ ผู้คนหรือก็แปลกประหลาด
ยังไม่ทันครบวัน เขาก็ทนอยู่ที่นี่แทบไม่ได้เสียแล้ว แล้วอีก ๑ ปีข้างหน้าเล่าจะเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มสลัดความคิดว้าวุ่นในหัว คว้าเสื้อคลุมขึ้นมาใส่แล้วผลัดผ้าขาวม้าเปียกๆออกวางกองไว้กับพื้น
พลันกลิ่นหอมประหลาดก็โชยรื่นกระทบนาสิก
กลิ่นนั้นไม่หอมหวานเหมือนกลิ่นลิลลี่ ไม่ได้หอมยวนใจเหมือนกลิ่นกุหลาบ แต่เป็นกลิ่นดอกไม้ที่หอมเย็นสะอาดใสและแสนอ่อนโยน
เขาพยายามหาที่มาของกลิ่นหอม ซึ่งก็หาได้ไม่ยากนัก
ข้างตุ่มมีต้นไม้ที่เขาไม่เคยเห็นขึ้นเป็นกอหนาแน่น แต่ละยอดกอเต็มไปด้วยดอกสีขาวชูช่อสลอน รูปทรงเหมือนผีเสื้อกางปีกโผบิน กลิ่นนั้นเล่าหอมซึ้งตรึงใจนัก เลอมานจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปใกล้ๆ สัมผัสกลีบบอบบางอย่างชื่นชม
ประทับใจเสียจนเด็ดติดมือขึ้นมาดอกหนึ่ง
น่าประหลาดนัก.. ที่ดอกไม้ธรรมดาเพียงดอกเดียวสามารถจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่บูดบึ้งมาทั้งวันของเขาได้อย่างง่ายดาย
คนึงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เมื่อหม่อมราชวงศ์เลอมานกลับเข้ามาในห้องพร้อมกลิ่นหอมที่เคยคุ้น และเมื่อหันไปดูก็จริงดังคาด เจ้าของใบหน้าหวานฮัมเพลงหงุงหงิงอย่างอารมณ์ดี
ในมือมีดอกมหาหงส์คลอเคลียอยู่ใต้จมูก!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงเข้มตวาดก้องจนร่างโปร่งชะงัก ตกตะลึงยามร่างสูงใหญ่ก้าวอาดๆมาหาจนเรือนสะเทือน “ไปเอาดอกไม้นี่มาจากไหน”
“ข้างล่าง” เลอมานตอบด้วยดวงตาฉงน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่ออีกฝ่ายตวาดก้อง
“กล้าดียังไงมาเด็ดดอกไม้ของผม! ไม่มีมารยาท!!”
ฟางเส้นสุดท้ายฟาดลงมากลางใจ ตั้งแต่พบหน้ากัน เขากับอาจารย์บ้านนอกคนนี้ไม่เคยพูดกันด้วยไมตรีเลยสักครั้ง ไหนจะเสียมารยาทใส่ชุดไว้ทุกข์ไปรับ และกี่ครั้งแล้วที่บังอาจตะคอกใส่หน้าเขา
“กะอีแค่ดอกไม้ หวงด้วยหรือ” เขาเชิดหน้าท้าทาย ซ่อนดอกไม้ไว้ข้างหลังเมื่อมือใหญ่พยายามแย่งคืน ความจริงเขาจะคืนให้ดีๆก็ย่อมได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอยากมาหยามเกียรติเขาก่อน..
“อยากได้ก็เอาคืนไป” สิ้นคำพูดนั้น มือเรียวเขวี้ยงดอกไม้บอบบางลงกับพื้น คนึงตะลึงตาค้าง ความตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธถึงขีดสุดเมื่อหม่อมราชวงศ์หนุ่มซ้ำรอยเท้าตนตามลงไป บดขยี้..
วินาทีนั้น ชายหนุ่มรู้สึกราวหัวใจตนถูกเหยียบย่ำเหมือนดอกมหาหงส์ดอกนั้น
ดอกไม้ของจินดา ดอกไม้ของคนรักของเขา ดอกไม้ที่พวกเขาร่วมกันทะนุถนอมปลูกและเฝ้ามองมันออกดอกเบ่งบาน ขณะนี้กำลังแหลกสลายอยู่ใต้ฝ่าเท้าเด็กหนุ่มชั้นสูงแต่จิตใจต่ำทรามคนหนึ่ง
ราวกับลืมตนไปชั่วขณะว่าเป็นครูอาจารย์ เป็นมนุษย์จำพวกที่ควรระงับอารมณ์โกรธได้ดีว่าใครๆ แต่เมื่อเส้นความอดกลั้นขาดผึง ร่างสูงใหญ่ถลันไปผลักอกคนตัวเล็กกว่าอย่างแรงจนเซ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะใด
“คุณ!!” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนวาวโรจน์อย่างเอาเรื่อง แผ่นอกบางหอบหนัก “มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
ยังไม่ทันที่การทะเลาะเบาะแว้งจะบานปลายกว่านั้น นายแช่มก็วิ่งกระหืดกระหอบเปิดประตูเข้ามาทันห้ามทัพพอดี
เสียงนายตะคอกถามบ่าวว่าหายหัวไปไหนมา..
เสียงบ่าวละล่ำละลักแก้ตัวว่าไปเข้าส้วม..
เสียงอาจารย์หลายคนข้างนอกมาเคาะประตูถามว่าเกิดอะไรขึ้น..
ทุกเสียงล้วนผ่านหูเขาไปเหมือนสายลมพัด ร่างสูงย่อตัวลงเก็บดอกมหาหงส์ที่บอบช้ำแหลกสลายไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม ดูเอาเถิด.. กลีบช้ำถึงปานนี้ แต่กลิ่นนั้นยังหอมซึ้งนัก..
“อย่ามาแตะต้องดอกไม้ของผมอีก”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนค่อยๆพามันออกมาจากความวุ่นวายสับสน ผ่านกลุ่มอาจารย์ที่ยืนมุงหน้าห้อง เมื่อลงบันได เสียงของคนที่เขาหมายหัวว่าจะจงเกลียดจงชังชั่วชีวิตก็แว่วมาให้ได้ยิน
“เจ้าครูบ้านนอกนั่น คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ท่าทางคงไม่อยากเป็นครูอยู่โรงเรียนนี้เสียแล้ว คอยดูเถอะไอ้แช่มรับรองหมอนั่นเดือดร้อนแน่”
คนึงยิ้มหยันให้กับคำพูดนั้น ขณะเดินตรงไปยังท่าน้ำ ค่อยๆวางเจ้าดอกสีขาวลงบนผืนน้ำอย่างอ่อนโยน เฝ้ามองสายน้ำพัดพามันไปอย่างสงบนิ่ง
สายตาคมกล้าหันมองไปยังหน้าต่างห้องพักตนที่ยังเปิดไฟสว่างนวล ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มเหยียดหยัน
ใครกันแน่ที่จะเดือดร้อน หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์!
********************
ฟ้ายังมืด เสียงระฆังตีห้าครั้งดังแว่วมาจากวัดใกล้เคียง ผสมกับเสียงไก่โก่งคอขัน ปลุกคนึงให้ตื่นนอนตามความเคยชิน เขาคว้าผ้าขนหนูพาดบ่าเตรียมไปล้างหน้าล้างตา พอหันมองไปอีกฝั่งห้อง เห็นนายแช่มกำลังม้วนเสื่อที่ตนปูนอนปลายเตียงนายอย่างขะมักเขม้น
“อรุณสวัสดิ์นายแช่ม ตื่นเช้าจริง”
“อ้าวอาจารย์ อรุณสวัสดิ์ขะรับ” บ่าวหัวยุ่งยิ้มทัก ก่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบ “เรื่องเมื่อคืน อาจารย์อย่าโกรธคุณชายเลยนะ คุณชายอาจเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย แต่จริงๆก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก”
ชายหนุ่มหัวเราะหึในคอ หันมองคนที่ ‘ไม่ได้เลวร้ายอะไร’ ที่ยังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง แล้วเดินออกจากห้องไป
อาจารย์หนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าจากเสื้อกุยเฮงกางเกงแพรที่ใส่ตอนนอนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น นั่งจิบกาแฟอยู่กับเพื่อนอาจารย์ ๓ คนที่ห้องนั่งเล่น
“คิดถึงจินดานะ” อาจารย์ประพนธ์เอ่ยเปิดประเด็นเล่นเอาเขาใจวูบ
“ผมชงกาแฟเองไม่ได้เรื่องเลย จินดาชงอร่อยกว่าเยอะ ผมถึงชอบให้เขาชงให้” อาจารย์วิรัชยกกาแฟขึ้นจิบแล้วส่ายหน้า
“แล้วก็จะทำขนมเล็กๆน้อยๆมาแกล้มด้วย”
“ช่างสรรหาดอกไม้มาปลูก เขามือเย็นนะปลูกอะไรก็งาม สงสารแต่ดอกไม้พวกนี้ ต่อไปใครจะดูแล”
“น่าเสียดาย คนดีๆไม่น่าอายุสั้นเลย”
“อาจารย์คนึงล่ะว่าไง คุณสนิทกับเขาไม่ใช่หรือ” อาจารย์วิรัชหันมาถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่นิ่งเงียบ คนึงกลับตอบคำถามนั้นด้วยอาการเหม่อลอยหม่นเศร้าจนไม่มีใครกล้าถามอีก
ดวงตาคมเข้มเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มบนผนังบอกเวลาตีห้าครึ่ง ครั้นหันไปมองยังห้องตัวเองแล้วต้องถอนใจเหนื่อยหน่าย หากมีเวทมนตร์ เขาจะเสกให้คนที่อยู่ในห้องนั้นคือจินดา ไม่ใช่เจ้าเด็กจองหองคนนั้น
แต่คงเป็นได้เพียงความฝัน เมื่อเขากลับเข้าห้องอีกครั้งเพื่อพบกับความจริง..
“คุณชายเล็ก ตื่นได้แล้วขะรับ” บ่าวผิวคล้ำเขย่าแขนผู้เป็นนายยิกๆ “ต้องตื่นแล้วขะรับ”
เรียกไปก็เท่านั้น ร่างบนเตียงเพียงครางในคอ พลิกกายหนีอย่างรำคาญ คนึงเห็นอาการนั้นแล้วนึกชังนัก
ขี้เกียจเหมือนหมูไม่มีผิด
นายแช่มหันมองเขาราวจะขอความช่วยเหลือ อาจารย์หนุ่มถอนใจเฮือกก่อนเดินไปสะกิดร่างบอบบางที่หลับสนิทบนเตียงอย่างเสียไม่ได้ คิ้วคมขมวดมุ่นเมื่อมือเรียวปัดมือเขาออกเหมือนปัดแมงหวี่แมงวัน
“อือ..อะไรเล่า อย่ายุ่งน่า..” หม่อมราชวงศ์หนุ่มบ่นงัวเงียทั้งที่ยังหลับตา ก่อนพลิกกายหันหลังให้แล้วหลับต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มกัดฟันกรอดพลางหันมองไปรอบๆเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ โต๊ะเล็กถัดจากเตียงแปรสภาพเป็นโต๊ะวางเครื่องประทินผิวทั้งครีม แป้งและน้ำหอมนานา แต่บนโต๊ะเขียนหนังสือกลับว่างเปล่าไม่มีหนังสือสักเล่ม อ้อนั่น..มีเหยือกน้ำเหยือกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ร่างสูงเดินไปคว้าเหยือกแก้วที่มีน้ำใส่อยู่เกินครึ่งแล้วกลับมาข้างเตียง นายแช่มตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อคาดการณ์ได้ว่าเขาจะทำอะไร
ซ่า!!!
“เฮ้ย!!” บ่าวผู้ภักดีร้องลั่น เมื่อมือใหญ่สาดน้ำลงบนใบหน้านายของมันอย่างไร้ความลังเล ร่างบางสะดุ้งเฮือกสุดตัวจนลุกขึ้นนั่งพรวด ผมสีน้ำตาลอ่อนเปียกลู่ หยดน้ำเกาะพราวเต็มใบหน้าหวาน ไหลลงมาถึงส่วนอกจนเสื้อนอนแบบฝรั่งเปียกแนบเนื้อ
วินาทีแรกเลอมานยังสับสนระหว่างความฝันและความจริง แต่เมื่อได้เห็นอาจารย์ร่างสูงถือเหยือกน้ำไว้ในมือด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง โทสะก็พุ่งพล่านจนหน้าแดงก่ำ
“คุณทำบ้าอะไร!” อะ..ไอ้ครูบ้านนอกคนนี้บังอาจนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดียังไงมาสาดน้ำใส่เขาแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมา แม้แต่ท่านพ่อหรือหม่อมแม่ก็ยังไม่เคยทำแบบนี้กับเขา แล้วเจ้าหมอนี่เป็นใครกัน!
“ตีห้าครึ่งอาจารย์และนักเรียนที่นี่ต้องไปออกกำลังกายที่สนาม” คนึงเอ่ยเสียงเรียบ เรียบพอๆกับใบหน้า “เชิญ”
“ออกกำลังบ้าบออะไร ผมไม่ไป!” หัวก็ยุ่ง หน้าก็ยับเพราะรอยผ้าห่ม แถมยังเปียกปอนไปครึ่งตัว สภาพแบบนี้เขาจะออกไปได้ยังไง
“ตามใจ” อาจารย์หนุ่มเอ่ยไม่ยี่หระ แต่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงักเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ไว้ค่อยรายงานท่านชายอาทิตย์ทีเดียว”
ใช้ท่านพ่อมาขู่เขารึ ร้ายกาจนัก เลอมานจ้องมองคนึงตาขวางขณะถูกนายแช่มดึงแขนให้ลุกจากที่นอน รุนหลังให้ออกจากห้อง
ดีแต่ตีหน้าเย็นชา หรือไม่ก็ทำหน้าดุเป็นยักษ์เป็นมาร อยากรู้นักว่าเจ้าอาจารย์คนนี้จะมีเพื่อนคบมีคนคุยด้วยไหม คงจะเอาแต่ตีหน้ายักษ์จนใครๆเข็ดขยาด ชนิดเด็กเห็นก็ร้องไห้จ้าเลยกระมัง
“อาจารย์คนึง สวัสดีคร้าบ” กลุ่มนักเรียนชายที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ในสนามหันมาไหว้ทักทายอาจารย์หนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน เล่นเอาเด็กหนุ่มชั้นสูงที่เดินงัวเงียตามมาแทบหายง่วงเป็นปลิดทิ้งด้วยความประหลาดใจ
และที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แต่งแต้มบนใบหน้าหล่อคม
“อาจารย์ เดี๋ยววันนี้เล่นตะกร้อกันอีกนะ”
“อยากแพ้อีกก็เอาสิ” รอยยิ้มกว้าง แววตาอ่อนโยน คำพูดแนวสัพยอกนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้ฮาครืน
“แล้วคุณชายล่ะ หลับสบายดีไหมครับ” นักเรียนคนหนึ่งทักถามเขา ซึ่งก็ได้รับคำตอบเพียงหางตามองปราด เล่นเอานายแช่มต้องตอบแทนให้
เขาไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามใคร ดวงตาคู่สวยเอาแต่จ้องอาจารย์หนุ่มที่ถูกนักเรียนรุมล้อม
เจ้าอาจารย์บ้านนอกคนนี้ ติดจะอารมณ์ดีและป็อปปูลาร์ในหมู่นักเรียนไม่หยอก แล้วทำไมท่าทีที่มีต่อเขาถึงได้ตรงกันข้ามราวหน้ามือกับหลังเท้า
มันน่าหงุดหงิดน้อยอยู่เมื่อไร
ออกกำลังกายกันเสร็จแล้ว ฟ้าใกล้สว่างเต็มที ท้องฟ้าใสกระจ่างแล้วค่อยๆแดงขึ้นทางทิศตะวันออก แสงแดดยามรุ่งอรุณอุ่นสบาย ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว
เลอมานกับนายแช่มหอบผ้าขนหนูมาใช้โรงอาบน้ำเดิมที่เคยใช้เมื่อคืน ให้นายแช่มเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำเช่นเคย แต่กำชับย้ำหัวตะปูหนักกว่าเก่าด้วยกลัวมันหนีไปเข้าส้วมแบบเมื่อคืนอีก ฝ่ายตัวเขาก็รีบอาบอย่างทุลักทุเล
พออาบเสร็จเปิดประตูออกมา ก็พบลูกตาดำๆของเหล่านักเรียนที่ยืนออรอกันอยู่เป็นสิบ ทุกสายตามองมาด้วยความงุนงง
“คุณชายครับ ผมว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ทำไมคุณชายถึงมาใช้ห้องน้ำนี่ล่ะ” จ้อยในผ้าขาวม้าถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
เลอมานไม่เข้าใจยิ่งกว่า.. แต่แล้วกลับต้องหน้าหงายเมื่อได้รับความกระจ่าง
“ห้องน้ำอาจารย์ในบ้านพักก็มีนี่ครับ”
******************
“คุณ!!” เสียงตวาดลั่นดังมาก่อนตัว ตามมาด้วยเสียงเดินลงส้นและเปิดประตูดังลั่น แต่ก็ไม่ทำให้คนึงที่กำลังสวมเสื้ออยู่อนาทรร้อนใจ
“หมายความว่ายังไง ห้องน้ำในบ้านนี้ก็มี ทำไมคุณให้ผมไปใช้ห้องน้ำนั่น แกล้งกันนี่!” ร่างโปร่งบางในเสื้อคลุมยืนหอบอยู่ตรงหน้า โกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ มีบ่าวคอยลูบหลังลูบไหล่ล่อกแล่ก
“แล้วไง” ตอบแค่นั้นแล้วหันไปกลัดกระดุมต่อ ท่าทีนั้นทำเอาอีกฝ่ายแทบเต้นผาง
“ทำไมคุณไม่ให้ผมใช้ห้องน้ำที่นี่ตั้งแต่แรก! ไม่รู้หรือไงว่าผมเป็นใคร!”
“นี่มันห้องน้ำอาจารย์! เป็นอาจารย์แล้วหรือถึงจะมาใช้!” เสียงเข้มตวาดกลับอย่างสุดกลั้น เล่นเอาเลอมานตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
เจ้าอาจารย์คนนี้ตะคอกใส่เขาอีกแล้ว
“คุณ..” เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยนิ้วสั่นเทา แม้แต่เสียงยังสั่นพร่า “คุณจะเอายังไง จ้องจะหาเรื่องกับผมให้ได้ใช่ไหม”
“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามาชี้หน้าผู้ใหญ่ ไม่มีมารยาท” เสียงทุ้มใหญ่ตะคอกพลางปัดนิ้วเรียวที่ชี้หน้าตนออกอย่างแรง คราวนี้หม่อมราชวงศ์หนุ่มถึงกับสั่นไปทั้งตัวด้วยโทสะ
“โอยๆๆ ไอ้แช่มขอละขะรับ คุณชายเล็ก อาจารย์คนึง ไหว้เลยก็ได้เอ้า” นายแช่มครวญพลางยกมือไหว้ปะหลกๆ “อย่าทะเลาะกันเลยนะขะรับ”
“ก็แกดูสิ เขาแกล้งฉันชัดๆ”
“ผมไม่สนใจคุณถึงขนาดจะหาเรื่องกลั่นแกล้งหรอกนะ ถ้าไม่เพราะหน้าที่ ผมจะไม่เหลียวแลคุณเลยด้วยซ้ำ” สิ้นประโยคนั้นพอดีกับที่คนึงสวมปลอกแขนทุกข์ที่แขนซ้ายเสร็จ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไปอย่างไม่แยแส ก่อนหันมากล่าวทิ้งท้ายเมื่อนึกขึ้นได้
“รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย วันนี้อาจารย์ปรีชาเชิญคุณไปทานอาหารเช้าที่บ้านท่าน”
**************************
บ้านอาจารย์ปรีชาตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก สร้างยกบนพื้นเสาสูงเหมือนบ้านไทยทั่วๆไป อาณาบริเวณนั้นแสนร่มรื่นด้วยพรรณไม้ใหญ่น้อยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ต้นมะม่วงใบดกหนาแตกช่อส่งกลิ่นหอมเปรี้ยว ดอกบานชื่น ดาวเรือง ดาวกระจายเป็นแปลงชูช่อให้หน้าบ้านสวยสดใส
อาจารย์ปรีชาพาร่างท้วมลงบันไดมาพร้อมรอยยิ้ม คนึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม นายแช่มก็ยกมือไหว้ตาม มีอยู่คนเดียวที่เอาแต่ยืนเอามือไพล่หลังเชิดหน้านิ่ง
หากแต่อาจารย์ใหญ่ก็ยังยิ้ม.. พลางกล่าวเชิญทุกคนขึ้นไปทานอาหารเช้าบนบ้าน
สำรับอาหารเช้าของอาจารย์ใหญ่ทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มถึงกับชะงัก
เปล่า.. อาจารย์ปรีชาไม่ได้ทำอาหารไทยสีแดงจัดจ้านมาต้อนรับเขา ตรงกันข้าม อาหารทุกอย่างล้วนทำมาเพื่อเอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาว แฮม ไส้กรอก ขนมปังปิ้ง ไม่ต่างอะไรกับเบรคฟาสต์ที่เขาทานเมื่ออยู่อังกฤษ
แต่ต่างกันตรงที่ว่าทั้งหมดนั่นวางอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ผืนบางๆ ที่ปูไว้กลางห้อง
อย่าบอกนะว่าจะให้เขานั่งกินกับพื้น
“เอ้า เชิญนั่งๆ ตามสบายนะ” จริงดังคาดเมื่ออาจารย์ใหญ่ผายมือเชื้อเชิญ เลอมานพยายามซ่อนสายตาดูถูกไว้ใต้ดวงตาสีน้ำตาลใส ขณะย่อตัวลงนั่งอย่างกระอักกระอ่วน
“อ้าว นายแช่ม ทำไมไปนั่งซะไกล เข้ามากินข้าวด้วยกันซี่” มือใหญ่อูมกวักเรียกบ่าวผิวคล้ำที่หลบไปนั่งพับเพียบติดเสาอย่างเจียมตัว
“มะ..ไม่ได้ขะรับ” มันรีบโบกไม้โบกมือวุ่น ไม่มีใครทันสังเกตผู้เป็นนายถอนใจอย่างเอือมระอา “กระผมเป็นบ่าว ไม่สมควรตีตนเสมอนายขะรับ”
“ที่นี่ไม่มีนาย ไม่มีบ่าว มีแต่มิตรสหาย มีแต่ผู้ใหญ่กับผู้น้อย จะกินข้าวร่วมวงกันไม่ได้เชียวรึ” ถ้อยคำเสียดสีดังขึ้นจากเจ้าของใบหน้าหล่อคมที่ปรายตามองมายังเด็กหนุ่มสูงศักดิ์อย่างจงใจ เมื่อนั้นแหละนายแช่มถึงยอมกระเถิบเข้ามาร่วมวงด้วย
วงอาหารช่างแสนครื้นเครง อาจารย์ใหญ่และภรรยาใจดี อาหารเช้าก็รสชาติอร่อย คนึงและอาจารย์ปรีชาชวนนายแช่มคุยอย่างถูกคอ
คงมีแต่เลอมานคนเดียวที่ทุกข์ทรมานตลอดมื้อ จนต้องรีบกินรีบอิ่ม
ความไม่เคยชินกับการนั่งพื้นทำให้ขาเขาชาหนึบ ตาตุ่มปวดจนแทบทนไม่ไหว ขยับเปลี่ยนท่านั่งจากขัดสมาธิเป็นพับเพียบหลายต่อหลายครั้ง กว่ามื้อเช้าที่แสนเซอร์ไพร์สจะสิ้นสุดลง
เพียงเพื่อพบกับเซอร์ไพร์สยิ่งกว่าเมื่ออาจารย์ปรีชาเอ่ยยามส่งเขาที่หัวบันได
“อ้อ คุณชายเล็ก เมื่อเช้าท่านชายอาทิตย์โทรศัพท์มาที่โรงเรียน ทรงรับสั่งให้นายแช่มกลับกรุงเทพภายในวันพรุ่งนี้”
ดีแล้วที่อาจารย์ใหญ่บอกเขาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ ไม่อย่างนั้นเขาคงลำคอตีบตันฝืนกลืนอะไรไม่ลง
ใจคอท่านพ่ออยากทรมานเขาให้ตายหรือไร
“แกก็ทำเรื่องมากไปได้ น่าถีบจริง ทำเหมือนไม่เคยกินข้าวกับฉันอย่างนั้นละ” ใบหน้างามหันไปตำหนินายแช่มที่เดินตัวลีบตามต้อยๆ หลังจากอาจารย์ปรีชาส่งพวกเขา โดยขอกันตัวอาจารย์คนึงเอาไว้ก่อน
“โธ่คุณชาย ก็นั่นเรากินกันแค่สองคนนี่ แต่นี่มีคนอื่นอยู่ด้วยเดี๋ยวเขาจะเก็บไปนินทา”
“แกทำแบบนั้นสิ เขาจะยิ่งเกลียดขี้หน้าฉันมากกว่า โดยเฉพาะนายอาจารย์คนึงนั่น”
“เอ้าๆๆ ไอ้แช่มยอมแล้วขะรับ คุณชายบ่นให้พอใจเลย เดี๋ยวแช่มไม่อยู่ด้วยแล้วจะเหงาปากไม่รู้จะบ่นใคร”
คำพูดนั้นยังผลให้คนฟังนิ่งไป จนคนพูดใจแป้ว
บ่าวผิวคล้ำถอนใจเฮือก ปล่อยให้นายเดินนำไปก่อน แล้วนิ่งมองแผ่นหลังบอบบางเดินตรงไปยังสนามหญ้ากว้างใหญ่ เบื้องหน้าคือเสาธงสูงตระหง่านและอาคารเรียนไม้หลังยาว แสงอาทิตย์อาบไล้ร่างโปร่งดูงดงามแต่ก็ให้ความรู้สึกอ้างว้างเพียงกัน
มันมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเป็นห่วงสุดแสน เพราะเป็นเหมือนทั้งเพื่อนและทั้งบ่าวมาตั้งแต่เด็ก มันจึงรู้จักเด็กหนุ่มที่ชื่อมรว. เลอมาน บูรพวงศ์ดีกว่าใคร
ถ้าลองได้เปิดใจให้ ได้ผูกพันกับใครแล้ว มรว.เลอมานคือเด็กหนุ่มที่เอาใจใส่ ห่วงใย และมีน้ำใจให้อย่างเอกอุทีเดียว ซึ่งคนในกลุ่มนี้มีไม่มาก นับนิ้วได้แค่คนในครอบครัว เพื่อนสนิทที่อังกฤษไม่กี่คน แล้วก็บ่าวที่ชื่อไอ้แช่มคนนี้
แต่ตรงกันข้าม กับคนที่ไม่สนิทสนม ไม่คุ้นเคย เลอมานคือเด็กหนุ่มผู้หยิ่งจองหอง ถือตัวและเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ร้ายกาจพอที่จะทำให้ใครเกลียดขี้หน้าได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เสวนาด้วย
ดังนั้น การที่ท่านชายอาทิตย์ทิ้งคุณชายเล็กของมันไว้ท่ามกลางคนแปลกหน้าเช่นนี้จะส่งผลประการใด
ยิ่งคิดยิ่งอดห่วงไม่ได้จริงๆ
อาจารย์ปรีชาเล่าเจตนารมณ์ของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชให้คนึงฟังอย่างละเอียด เล่นเอาชายหนุ่มถอนใจเฮือก
นอกจากจะมีพระประสงค์ให้โอรสมาเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิชาภาษาอังกฤษที่นี่แล้ว ยังต้องการให้มาเรียนภาษาไทยให้แตกฉานมากกว่าแค่ฟังออกพูดได้ และที่หนักกว่านั้นคือศึกษาวิชาการเป็นมนุษย์ที่ถูกขัดเกลาแล้ว
พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือส่งมาดัดสันดานนั่นเอง
เขาเป็นแค่อาจารย์ฝ่ายปกครองและสอนวิชาภาษาไทยธรรมดาๆคนหนึ่ง จะเผยอตัวไป’ดัดสันดาน’คนสูงส่งเช่นนั้นได้อย่างไรกัน แม้จะทรงอนุญาตให้สั่งสอนได้แบบที่สั่งสอนนักเรียนทั่วไปก็เถอะ
ดวงตาเอื้ออารีทอดมองร่างผู้เยาว์กว่าในกางเกงดำเสื้อเชิ้ตขาวติดแขนทุกข์ ถอนใจแผ่วเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เคยอ่อนโยน อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจนั้นหมองไป
“ไว้ทุกข์ให้จินดาหรือ”
“ครับ”
“อืม จะไว้ทุกข์ให้เขากี่วันล่ะ เจ็ดวัน ห้าสิบวัน หรือร้อยวัน”
“หนึ่งปีครับ” คนึงเอ่ยด้วยประกายตาคมกล้าแน่วแน่
“อืม..” อาจารย์ใหญ่เพียงครางรับรู้ในลำคอ พลางคิดในใจ.. หนึ่งปี.. เท่ากับเวลาที่คุณชายจะมาอยู่ที่นี่พอดีพอดิบ
มือใหญ่อูมกุมไหล่ชายหนุ่ม จ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีสนิมเหล็กเรียบนิ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความเมตตา
“ครูไม่สามารถเลือกศิษย์ได้และศิษย์ก็ไม่สามารถเลือกครูได้ ระลึกไว้เสมอว่าคุณชายเป็นศิษย์ของคุณคนหนึ่ง ต่อไปข้างหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้คุณอย่าได้ลืมคำพูดของผมในวันนี้เข้าเชียวล่ะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป
*เพลงหงส์ปีกหัก, สุรพล สมบัติเจริญ คำร้อง/ขับร้อง
ความคิดเห็น