ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ : หงส์เหิร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.7K
      69
      4 ก.พ. 55

     บทที่ ๑

     

    หงส์เหมราชเอย  สง่าผ่าเผยงามสคราญ
    ณ แดนหิมพานต์ หวงตัวรักวงศ์วาน
    หิมพานต์สถานสำราญมา*

     

     

                โครงการอาสาสมัครต่างประเทศของอังกฤษ

     

                หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ นึกเกลียดคนที่อุตริก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาครามครัน

                ก็เพราะไอ้โครงการบ้านี่ไม่ใช่หรือ  ที่ทำให้บุตรชายคนเดียวของเอกอัครราชทูตเช่นเขาต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองศิวิไลซ์อย่างมหานครลอนดอน  มายังประเทศที่ล้าหลังอย่างที่นี่ 

                ปกติแล้ว  แม้เขาจะทำความผิดไว้รุนแรงแค่ไหน  ท่านพ่อก็ลงโทษเขาเพียงแค่ริบเงินค่าใช้จ่าย  กักบริเวณ  หรือไม่ก็ให้ไปทำงานที่สถานทูตไทยประจำกรุงลอนดอนอันเป็นที่ทำงานของท่านพ่อ  แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะหนักถึงขั้นนี้  ทั้งที่ความผิดที่เขาก่อก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนักหนา 

                กะอีแค่ตบหน้ารุ่นน้องชาวไทยที่โรงเรียนเพราะมันบังอาจทำอาหารเช้ามาให้เขาไม่ถูกใจ 

                รุ่นน้องก็ย่อมต้องตกเป็นเบี้ยล่างรุ่นพี่อยู่แล้ว  แถมยังเป็นรุ่นน้องที่มาจากประเทศหลังเขาอีกต่างหาก 

     

                นั่นคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ท่านพ่อทนไม่ไหว  จนตัดสินใจส่งเขาเข้าโครงการที่ว่านั่นทันทีที่เรียนจบชั้นไฮสคูล  ใช้เส้นสายวางแผนให้เขามาที่ประเทศนี้  ยื่นคำขาดให้เขาไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงเรียนในจังหวัดชื่อยาวเรียกยากนั่น

               

                ท่าเตียนในยามนี้พลุกพล่านเหลือแสน  หม่อมราชวงศ์เลอมานนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ในห้องพักผู้โดยสารด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ  เสียงเจ๊กร้านข้าวกระแทกตระหลิวกับกระทะเรียกลูกค้าดังลั่น  เสียงเอะอะของชาวบ้านเหม็นเหงื่อไคลในร้านกาแฟ  ไหนจะเสียงพวกคนเรือที่ขึ้นบกมานั่งโขกหมากรุกกันรอเวลาเรือออกนั่นอีก 

                แม้ทุกอย่างจะน่ารำคาญจนทำให้ใบหน้างามหวานด้วยเชื้อฝรั่งที่มีอยู่เสี้ยวบูดบึ้งไปบ้าง  กระนั้นบรรดาหญิงสาวทั้งหลายก็ชม้ายชายตาคุณชายรูปงามราวพระเอกหนังกันตาหวานหยดย้อย 

                โถ..พ่อคุณทูนหัวของย่าหม่อมดารา หรือหม่อมย่าใหญ่ของเขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นเป็นรอบที่สิบแล้วกระมัง ลำบากลำบนเหลือเกินแล้ว  จากนี้ไปจะกินจะอยู่ยังไงกัน

                ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกหม่อมย่าใหญ่หม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชผู้เป็นบิดา  และดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนถึงกับทิ้งงานมาส่งเขาด้วยพระองค์เอง ดูถูกแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่ดีนัก  ต้องโดนแบบนี้ถึงจะเข็ดหลาบ  มองไม่เห็นหัวคนอื่นแบบนี้ต่อไปจะเป็นใหญ่เป็นโตได้ยังไง

                พระเนตรที่ทอดมองโอรสดูเด็ดขาดแน่วแน่  จนเลอมานต้องหลบตาวูบ  ทั้งโลกนี้มีเพียงท่านพ่อคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอมอ่อนให้

                ถึงอย่างนั้นก็เถอะมือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าหลานอย่างรักใคร่ น่าจะให้คนขับรถไปส่งหรือนั่งรถไฟไปก็ยังดี.. ไปเรือเมล์แบบนี้มัน..

                ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านเสียบ้าง  เผื่อนิสัยชอบดูถูกคนมันจะซาลงท่านชายอาทิตย์ตรัสเสียงขุ่น  พระเนตรคมวาวจ้องมองบุตรชายที่เอาแต่เสมองทางอื่น

                จะมีพายุลานเทหรือเปล่าก็ไม่รู้หม่อมย่าใหญ่ยังมิวายเป็นห่วงร่ำไป 

                ถ้าพายุมานายท้ายเขาก็จอดรอลมนิ่งเองนั่นละ  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกตรัสพลางหันมองเด็กหนุ่มที่ยังหน้างอง้ำ ยังไงวันนี้ก็ต้องไป  ผัดเขามาหนหนึ่งแล้วนี่ 

                พลันชายหนุ่มผิวคล้ำร่างสันทัดท่าทางคล่องแคล่ววิ่งเหงื่อโซมมา  กระหืดกระหอบรายงาน ขนของไปไว้ในเรือเรียบร้อยแล้วกระหม่อม

                เอ้า นี่ก็จวนได้เวลาแล้ว  ลงเรือไปหาที่หาทางกันให้เรียบร้อย  เดี๋ยวประมาณ ๓-๔ โมงเย็นก็คงจะถึงบ้านแพน  จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงเรียนมารอรับ 

                ร่างโปร่งหยัดกายลุกขึ้นเตรียมบังคมลา  ทว่าผู้เป็นบิดากลับเอื้อมหัตถ์กุมไหล่เขาไว้แน่น  สายพระเนตรที่ทอดมาเปี่ยมด้วยเมตตานัก

                จงพร้อมที่จะเรียนและพร้อมที่จะสอน  การอาสาออกไปช่วยคนอื่นนั้นฟังดูโก้  แต่จะให้ถูกต้องเรียกว่าอาสาไปรับใช้เขามากกว่า  เพราะการช่วยส่อให้คิดไปได้ว่าเราวิเศษกว่าเขา  แต่การรับใช้นั้น  ย่อมช่วยให้รู้จักเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน  อย่างน้อยก็ไม่ดูถูกชาวบ้านว่าโง่กว่า  การพร้อมที่จะรับใช้คนที่เราไม่รู้จักกัน  จะช่วยให้จิตใจของเราเต็มเปี่ยมขึ้น

                อาสาสมัครหรือ เลอมานทำเสียงขึ้นจมูกแบบกริยาฝรั่ง ชายไม่ได้สมัครใจเลยสักนิด  ท่านพ่อบังคับชาย

                ที่ไม่ใช่บทลงโทษ  แต่เป็นบทเรียน  จงไปอยู่ให้เขาผูกมิตรกับเราเสมอบ่าเสมอไหล่  นับเราเป็นลูกหลาน  จะหวังอะไรยิ่งไปกว่านี้  เพราะความสำคัญของมนุษย์กับมนุษย์นั้นอยู่ตรงที่มีน้ำใจไมตรีต่อกัน  การให้วัตถุแก่กันนั้นง่าย  แต่การให้น้ำใจแก่กันสิยาก 

               

                เขาลาท่านพ่อและหม่อมย่าใหญ่พลางหันหลังมุ่งไปยังเรือเมล์สองชั้นขนาดใหญ่ทาสีแดงฉาดฉาน  นับจากนี้เขาจะต้องจากบ้าน จากครอบครัว  ไปอยู่กับคนแปลกหน้า  ไปอยู่ในดินแดนที่ไม่เคยคุ้นเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม  คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดใจหายไม่ได้  เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าหม่อมย่าใหญ่ที่ส่งเสียงร้องไห้กระซิกแว่วมาด้วยซ้ำ 

                สภาพภายในเรือยิ่งทำให้เขาสะอิดสะเอียนนัก  เหล่าชาวบ้านชายหญิงเด็กแก่ นั่งนอนอยู่กับพื้นเกะกะไร้ระเบียบ  ทุกสายตาหันมองเขาเป็นตาเดียวราวกับเขาเป็นสิ่งแปลกปลอมที่หลงเข้ามา 

                ก็น่าอยู่หรอก  ชายหนุ่มหน้าตาผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน  ใบหน้างามหวานที่พิมพ์มาจากมารดาผู้เป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ  เรือนผมและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน  การแต่งกายที่พวกชาวบ้านเคยเห็นกันแค่จากพระเอกหนังฝรั่ง  อยู่ดีๆมาเดินเฉิดฉายอยู่ในเรือแดงได้อย่างไรกัน

               

                คุณชายเล็ก  เดี๋ยวก่อน เดี๊ยวๆๆๆนายแช่มคนรับใช้คนสนิทที่ติดสอยห้อยตามมาจากอังกฤษรีบวิ่งตาลีตาเหลือกจนเรือโคลงเมื่อเห็นคุณชายสุดที่รักเดินลิ่วๆไปยังที่นั่งยกสูงท้ายเรือ นั่งตรงนั้นไม่ได้ขะรับคุณชาย

                ทำไมตวัดเสียงห้วนเล่นเอาคนฟังขยาด  ดวงตาคู่สวยเหลือบมองด้วยหางตาอย่างไม่พอใจ

                คุณชายจะนั่งตรงนั้นไม่ได้นา.. หนุ่มผิวคล้ำมองซ้ายมองขวาก่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบ นั่นมันที่นั่งพระ 

                แล้วนั่งไม่ได้หรือไง

                ไม่ด๊าย..บาปกรรมตายเลย

                แล้วจะให้นั่งตรงไหนคุณชายจอมหยิ่งถามเสียงขุ่น อย่าบอกนะว่าจะให้นั่งกับพื้นปนกับคนพวกนี้!”

                ชู่วๆๆๆสิ้นเสียงนั้นบรรดาคนพวกนี้ที่ว่าพากันหันมองขวับ  จนบ่าวตัวดีรีบปรามแทบไม่ทัน  หวิดจะเอามือปิดปากแดงๆนั่นให้อยู่รอมร่อ โธ่เอ๋ย คุณชาย เบาๆหน่อยซี่  พวกคนเรือนี่นักเลงเยอะนา  ถ้าคุณชายไปไม่ถึงบ้านแพนละก็ ท่านชายอาทิตย์เล่นงานแช่มตายแน่เลยขะรับ

                แล้วจะให้นั่งไหน

                คนสนิทเดินนำกลับไปยังส่วนหน้าเรือ  เขาจึงเพิ่งเห็นว่าหลังห้องนายท้ายมือม้านั่งวางอยู่สองสามตัว    

                นี่แหละชั้นหนึ่งแล้วคุณชาย  คุณชายนั่งตรงนี้นะ  แช่มจะเอนหลังให้ลมโกรกกะพื้น

                เดี๋ยว!” ยังไม่ทันทรุดลงเอกเขนกให้สบายใจ  ผู้เป็นนายก็เรียกไว้เสียก่อน  ก่อนจะได้ยินคำสั่งที่เล่นเอาปาดเหงื่อ

                สกปรกแบบนี้ฉันจะนั่งได้ยังไง  แกหาอะไรมาเช็ดเก้าอี้ซิ

               

     

                หวังว่าที่นั่นจะดัดนิสัยชายเล็กให้ดีขึ้นได้นะหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชตรัสเมื่อส่งบุตรชายเพียงคนเดียวลงเรือไปแล้ว

                ท่านชายโหดร้ายเสียจริง  ปีนี้ชายเล็กเพิ่งจะเต็มสิบแปด  ก็ลงโทษให้ไปอยู่ไกลบ้านขนาดนั้นน้ำตายังไม่แห้งจากดวงตาหม่อมดารา  ถึงแม้จะไม่ใช่ย่าแท้ๆ  เป็นแค่พี่สาวของย่า  แต่หญิงชราก็รักคุณชายเล็กมากราวกับหลานแท้ๆของตัวเอง 

                หม่อมย่าใหญ่ตั้งชื่อให้เขาสูงเกินไปรึเปล่า  ถึงได้ทำตัวจองหองเย่อหยิ่งมองไม่เห็นหัวคนอื่นแบบนี้  ประโยคนี้คล้ายตรัสรำพึงกับพระองค์เอง  ขณะทอดพระเนตรเรือแดงค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่าฝ่ากระแสน้ำไป

    ****************************

               

                ออกจากท่าเตียนตั้งแต่เช้าตรู่  เรือแดงแล่นผ่านเขตหมู่บ้านคับคั่งในเมืองหลวง  บ้านเรือนแต่ละหลังค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ  บางคราวก็พบเรือนแพจอดเต็มสองฝั่งแม่น้ำ  จนกระทั่งถึงทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างใหญ่ 

                สายน้ำกว้าง ท้องฟ้าสูงโล่ง  ทำให้เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์เบิกบานตื่นตาอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น  เมื่อนั่งหลังแข็งโต้ลมแรงนานเข้าหน่อย  ทนโคลงไปโคลงมากับเรือมากเข้านิด  อาการคลื่นเหียนเวียนไส้ก็โจมตีจนหม่อมราชวงศ์หนุ่มผุดลุกผุดนั่งเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น  แม้จะเมาเรือแค่ไหนเขาก็ไม่คิดจะลงไปเอนหลังกับพื้นให้เสียเกียรติ  ได้แต่นั่งกุมขมับกับเก้าอี้อยู่อย่างนั้น  เดือดร้อนนายแช่มที่ต้องมาพัดวีให้ไหวๆ

                จนเกือบ ๔ โมงเย็น  สองฝั่งแม่น้ำเริ่มเต็มไปด้วยเรือโยงผูกติดกันยาวเหยียด  ผ่านโรงสีปล่อยควันโขมง  ผ่านบ้านเรือนที่เริ่มคับคั่งขึ้น  เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเข้าสู่เขตตลาดบ้านแพน  เลอมานจึงเริ่มตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้า  กลัดกระดุมคอผูกไทด์ที่ตนคลายออกเมื่อเช้าให้กระชับ  โยนยาดมส้มมือที่จ่อรูจมูกมาตลอดทางคืนนายแช่ม  จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วสวมหมวกปีกแคบ  และเมื่อเรือจอดนิ่งสนิทที่ท่า  เขาก็ก้าวย่างขึ้นฝั่งได้อย่างสง่างาม

               

                สุภาพบุรุษหนุ่มในชุดสูทสีครีม สวมหมวกปีกสีน้ำตาล  แม้ดวงตาจะถูกแว่นดำบดบังอยู่ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความงดงามของใบหน้านั้นได้  ยิ่งเมื่อมายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านจอแจที่ท่าเรือ  ยิ่งดูโดดเด่นราวกับหงส์ในฝูงกา  ไม่ว่าใครจะสนใจมองจนเหลียวหลังอย่างไร  เขาก็ยังยืนเชิดหน้ามองตรงราวกับไม่สนใจชีวิตอื่นใดบนโลก    

                หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ใช่ไหมเสียงทุ้มที่เอ่ยชื่อเขาทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมอง  หน้าที่เชิดอยู่แล้วต้องเชิดยิ่งกว่าเก่าด้วยอีกฝ่ายนั้นสูงกว่าเขามากนัก

                สวัสดี  ผมอาจารย์คนึง วนาสัยจากโรงเรียนฝึกหัดครูอยุธยา  ผมมารับคุณ ดวงตาเรียวคมสีสนิมเหล็กมองเขานิ่งอย่างไม่สะท้อนอารมณ์ใด  แม้ไม่ยินร้าย  แต่ก็ไม่ยินดี 

                อ้อเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์เพียงกล่าวรับสั้นๆ  ถอดแว่นออกเพื่อสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า  ใบหน้าคมคาย ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงขายาวสีดำ  แต่ปลอกแขนทุกข์ที่แขนซ้ายนั้นสะดุดตาสะดุดใจเขานัก  นึกฉุนเฉียวขึ้นมาครามครัน  อาจารย์บ้านนอกคนนี้กล้าดียังไงถึงแต่งตัวแบบนี้มารับเขา

                นายแช่มหอบสัมภาระมาเต็มสองมือ  เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยืนอยู่กับใคร ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม  สวัสดีครับ

                สวัสดีคนึงรับไหว้พร้อมยิ้มด้วยไมตรี  เหลือบมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่ยืนเชิดหน้า  อดคิดอย่างดูแคลนไม่ได้ว่า  ไม่อยู่เมืองนอกนานเกินไปก็คงจะเป็นที่กมลสันดานส่วนตัวถึงได้ไม่รู้จักไหว้หรือกล่าวสวัสดีคนอื่น

                คนึงและนายแช่มถือกระเป๋าเดินทางของคุณชายไว้คนละสองใบ  ในขณะที่เจ้าของกระเป๋ากลับเดินเชิดหน้าเอามือไพล่หลังไม่แยแส  อาจารย์หนุ่มเดินนำทั้งสองมายังเรือยนต์ที่จอดรออยู่ที่ท่าเพื่อเดินทางไปยังโรงเรียน

     

                ทัศนียภาพและวิถีชีวิตชาวบ้านสองฝั่งคลองที่ผ่านสายตายิ่งทำให้เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์รังเกียจนัก  ท้องทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา  ฝูงวัวควายปล่อยทุ่งพากันมากินน้ำ  กลุ่มเด็กเปลือยกายล่อนจ้อนโดดน้ำกันโครมๆ  หญิงสาวชาวบ้านในผ้าถุงเปียกแนบเนื้อนั่งขัดสีฉวีวรรณที่ท่าน้ำ  ทุกอย่างทำให้เขาอดวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้าหลังไร้การพัฒนาไม่ได้ 

                โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนตกอยู่ในสายตารังเกียจเดียดฉันท์จากผู้มารับอย่างไร

     

    *************************

               

                ท่าน้ำหลังโรงเรียนฝึกหัดครูอยุธยากำลังคึกคักราวกับงานวัด  ผ้าแพรเพลาะสีสดใสถูกนำมาตกแต่งจนท่าน้ำเรียบๆดูสวยสด  เหล่าคณาจารย์ต่างอยู่ในชุดแต่งกายสุภาพเรียบร้อย  นักเรียนบางส่วนที่กินนอนที่โรงเรียนก็มาออกันที่ท่าจนคับคั่ง    แม้แต่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงก็ยังแห่กันมา 

                ได้ยลโฉมคุณชายนักเรียนนอกจากอังกฤษที่ร่ำลือกันว่ารูปงามนักหนา  แถมยังได้ดูมหรสพกลองยาวที่กำนันเสริมหามาเป็นของแถม  ในชีวิตอันเรียบง่ายจนน่าเบื่อ  นานทีปีหนจะมีเรื่องครึกครื้นให้ดูชม  แล้วใครเล่าจะพลาดได้ลง 

                จ้อยในเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสีกากีอันเป็นเครื่องแบบของนักเรียนโรงเรียนฝึกหัดครูกำลังตื่นตาตื่นใจอยู่กับหาบเร่ที่มาจับจองที่ทางขายของหลังโรงเรียน  เดินไปเดินมาก็หยุดอยู่หน้าร้านน้ำแข็งกดสีสันสดใส  เด็กหนุ่มร่างเล็กยืนมองตาละห้อยได้ไม่ทันไรก็มีมือมาตบไหล่ดังป้าบ

                ตามหาตั้งนาน ที่แท้ก็มาอยู่นี่เองสันติฉายานายสี่ตาเพราะใส่แว่นโอบไหล่เล็กบางของเพื่อนรักไว้อย่างสนิทสนม

                เอาไหมจ้อย เดี๋ยวเราเลี้ยงสง่าเดินมาประกบอีกคน  และไม่ทันที่จ้อยจะอ้าปากร้องห้าม  เพื่อนตัวดีก็สั่งน้ำแข็งกดกับแม่ค้าไปแล้ว  มิไยจ้อยจะโบกมือห้าม  น้ำแข็งกดรดน้ำแดงราดนมจนชุ่มก็ถูกยัดใส่มือ

                ขอบใจนะ  เดี๋ยววันหน้าเรากับยายจะทำขนมมาให้ ริมฝีปากบางว่าพลางชิมรสหวานฉ่ำแล้วยิ้มเขิน  จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน  แต่จะให้เพื่อนมาเลี้ยงบ่อยๆก็ใช่เรื่อง

                จ้อยเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็ก  แม่กำไลของเขาไปทำงานที่กรุงเทพ  พอคลอดเขาแล้วก็เอามาฝากให้ยายเลี้ยงแล้วตัวก็หายเข้ากลีบเมฆ  เด็กหนุ่มเคยเห็นหน้าแม่แต่เพียงในรูปถ่ายเก่าๆ  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดภูมิใจไม่ได้ที่ตัวเองถอดใบหน้าแม่มาไม่ผิดเพี้ยน  ส่วนพ่อนั้นหรือ  เติบโตมาจนอายุ ๑๗ ปี  จ้อยก็ยังไม่รู้ว่าพ่อบังเกิดเกล้าของตนเป็นใคร  และเชื่อว่ายายเองก็คงไม่รู้เช่นกัน

     

                เกิดมาก็กำพร้าพ่อแม่แล้ว  เมื่อสี่วันก่อนพี่ชายก็มาตายจากไปอีก  ชีวิตจ้อยตอนนี้จึงเหลือเพียงยายคนเดียวเป็นที่ยึดเหนี่ยว  แต่ไม่ใช่เพียงความน่าเวทนาที่ทำให้จ้อยกลายเป็นที่รักที่เอ็นดูของอาจารย์และผองเพื่อน  หากเป็นเพราะความอ่อนโยนอ่อนน้อม  และร่าเริงสดใสเหมือนแสงตะวันยามเช้า  อันเป็นนิสัยดั้งเดิมของตัวเขาเองต่างหาก

                จ้อยเป็นเด็กดี  ไม่มีพิษมีภัยกับใคร  แต่ก็ยังไม่วายมีศัตรู

     

                เฮ้ย ไอ้จ้อย!” เสียงทุ้มห้าวตะโกนเรียกดังลั่นจากด้านหลัง  ไม่ต้องหันไปดูจ้อยก็รู้ว่าเสียงใคร  เพราะมีเพียงคนเดียวที่จ้องระรานเขาแบบนี้ 

                โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังกินน้ำแข็งกดอีกหรือวะจริงดังคาด  นายสิงห์ลูกชายกำนันเสริมพร้อมลูกสมุน ๓-๔ คนเดินอาดๆตรงเข้ามาอย่างหาเรื่อง  ท่าทางยียวนกวนประสาทจนจ้อยเบ้ปากรังเกียจ  ถึงจะร่างเล็กผิดกันเยอะแต่เด็กหนุ่มก็จ้องหน้ามันกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง

                ดูเอาปะไร  เย็นย่ำสนธยาขนาดนี้ไอ้สิงห์มันยังสะเออะใส่แว่นดำ  คงจะนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังฝรั่งโก้เสียเต็มประดา      

                หรือว่าหมายังเลียถึงวะ  ไอ้จ้อยมันยิ่งเตี้ยๆอยู่ไอ้ลอย สมุนคนสนิทของไอ้สิงห์เห่าหอนขึ้น  ประโยคที่จ้อยไม่เห็นว่ามันจะขำตรงไหนกลับเรียกเสียงหัวเราะจากพวกมันครื้นเครง

                เออว่ะ  ไหนดูหน่อยซิวะมือแกร่งคว้าเข้าให้ที่แขนเล็ก  อาศัยร่างกายที่สูงใหญ่กำยำกว่าดึงร่างเล็กเข้าหาตัวได้อย่างง่ายดาย  จ้อยออกแรงยื้อยุดจนน้ำแข็งกดร่วงลงพื้น 

                ไอ้สิงห์ทำท่าเสียดมเสียดาย  พลางจับแว่นขึ้นคาดผม  เผยให้เห็นใบหน้าคมคายและดวงตาวาววับ  ดวงตาคู่นั้นจ้องใบหน้าคู่กรณีนิ่งไปอึดใจ 

                ไปกันเถอะสันติ สง่า อย่าไปสนพวกอันธพาลเลยจ้อยว่าพลางหันหลังเดินหนีทั้งยังจับแขนตัวเองป้อยๆด้วยความเจ็บ  ยังไม่ทันได้เดินหนีไปดั่งใจ  คนตัวสูงกว่าก็ปราดมาขวางหน้าไว้  สายตายังจับจ้องไม่กระพริบ   

                ปากแดงอย่างกับผู้หญิงเลยนะเอ็งไม่ว่าเปล่า  ดันเอื้อมมือมาหาเสียด้วย  มือเล็กรีบปัดมันออกทันทีก่อนจะถึงตัว  ร่างสูงทำท่าดังได้สติ  แววตาที่มองเปลี่ยนเป็นเอาเรื่องทันที  แถมยังเงื้อง่ากำปั้นขึ้น 

                หยุดนะไอ้สิงห์!!” เสียงทรงอำนาจดังฟ้าผ่าดังขึ้น  ไม่ใช่แค่ไอ้สิงห์กับพรรคพวกเท่านั้นที่ชะงัก  ทุกคนล้วนหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว  ร่างสูงใหญ่ในชุดสีกากีเดินถือตะพดอาดๆมา  ปิดหัวล้านเลี่ยนไว้ด้วยหมวกกะโล่  หนวดงอนโง้งเน้นใบหน้าให้ดูดุดันน่าเกรงขามยิ่งขึ้น 

                วันนี้อย่าก่อเรื่องเชียวนะ  ไม่งั้นพ่อจะแพ่นกบาลแยกให้หมดทั้งหัวโจกหางโจก แค่กำนันเสริมเงื้อตะพดใส่  ไอ้สิงห์และพวกก็หัวหดกันเป็นแถว  

                ขอโทษทีนะครู  อย่าถือสาไอ้ลูกชายอันธพาลของลุงเลยนะท่าทีดุร้ายที่มีต่อลูกชายแปรเปลี่ยนเป็นเมตตาอารีต่อนักเรียนฝึกหัดครูทันที  จ้อยยิ้มเจื่อน  ปากบางขยับจะเอ่ยคำว่าไม่เป็นไร..   

                มันยังไม่ได้เป็นครูเสียหน่อย  พ่อไปเรียกมันว่าครูทำไมหัวโจกร่างสูงโพล่งขึ้นขัดเสียก่อน  แต่ก็จ๋อยไปอีกครั้งเมื่อผู้เป็นพ่อร่ายยาว

                หุบปากไปเลยไอ้สิงห์  หัดเอาอย่างครูเขาซะมั่ง  หนังสือหนังหาก็ไม่ยอมเรียน  ดีแต่ระรานชาวบ้านไปทั่ว  พวกเอ็งไปอยู่ไกลๆโน่นเลย  เดี๋ยวคุณชายเห็นเข้าจะอับอายขายขี้หน้ากันทั้งบาง

                ลูกชายกำนันได้แต่ฮึดฮัด  ก่อนจากไปยังมิวายชี้หน้าคู่กรณี  พร้อมชี้หน้าขู่อาฆาต

                ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้จ้อย  อีกสองสามวันข้าจะไปเก็บดอกที่แผงผักยายเอ็ง  เตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน!”

     

                อาจารย์ปรีชาเจ้าของร่างท้วมและใบหน้าเอื้ออารียืนยิ้มอยู่ที่ท่า  รายล้อมด้วยเหล่าคณาจารย์ที่คอยชะเง้อมองคุ้งน้ำข้างหน้าเป็นระยะ  การมาเยือนของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้สำคัญยิ่งนัก  ด้วยว่าหม่อมราชวงศ์เลอมานคือโอรสคนเดียวของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชผู้ให้การอุปถัมภ์โรงเรียนมาช้านาน  การต้อนรับจึงจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ    

                เอ้าเฮ้ย  โน่นไง  เรือมาแล้ว  ตั้งแถวๆกำนันเสริมโวยวายขึ้นเมื่อเห็นเรือยนต์ลำหนึ่งแล่นเข้าคุ้งน้ำมา  อาจารย์ปรีชารีบกระชับคอเสื้อให้เรียบร้อย  อาจารย์อื่นที่ยืนระเกะระกะในตอนแรกต่างพากันยืนเรียงแถว  ส่วนพวกชาวบ้านรวมทั้งจ้อยและพวกพรรคต่างพากันชะเง้อชะแง้  คณะกลองยาวลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม  ทุกคนต่างอยากเห็นหน้าอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่ที่มียศศักดิ์สูงส่งคนนี้นัก

                เรือยนต์แล่นเข้าเทียบท่า  อาจารย์ปรีชาพาใบหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามายืนใกล้ๆ  ผู้ที่ขึ้นจากเรือคนแรกคืออาจารย์คนึง  และร่างโปร่งบางที่ค้อมหัวหลบหลังคาเรือก้าวขึ้นมายืนบนท่าคนต่อมาคือชายหนุ่มที่ทุกคนรอคอย

                แม้จะเห็นจากในระยะไกล  แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มก็เรียกเสียงฮือฮาจากชาวบ้านได้เซ็งแซ่  บางคนชะเง้อมองคอยาวจนแทบจะตกจากตลิ่ง  ส่วนพวกสาวๆก็กระมิดกระเมี้ยนขวยเขินกันหน้าแดงก่ำ

                ท่านนี้คืออาจารย์ปรีชา  เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเรา คนึงแนะนำให้คุณชายรู้จักบุคคลที่ยืนอยู่หัวแถว 

                ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนของเราครับคุณชาย อาจารย์ใหญ่วัยกลางคนเอ่ยทักทายพร้อมยิ้มกว้างจนหางตาย่น  แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มกลับตอบรับเพียงอาการพยักหน้าน้อยๆ.. เท่านั้น  แล้วใบหน้างามงดนั่นก็กลับมาเชิดชูคอเหมือนเก่า 

                ไม่มีการยกมือไหว้  ไม่..แม้แต่จะถอดหมวกออก 

                อาจารย์ปรีชาเพียงกระแอมในคอ  ก่อนหันไปแนะนำผู้ที่ยืนอยู่ถัดจากเขา นี่คือกำนันเสริม  เป็นกำนันของตำบลนี้ครับ

                กำนันร่างใหญ่หัวเราะแหะๆ  ถอดหมวกกะโล่ออกแล้วยกมือขึ้นจะรับไหว้ตามความเคยชิน  แต่แล้วก็ต้องหัวเราะเก้อ รับไหว้เก้อ ด้วยเพราะชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ทักทายเขาด้วยอาการเดียวกับที่ทักทายอาจารย์ใหญ่ 

                อาจารย์วิรัช หัวหน้าภาคภาษาอังกฤษก้าวขาออกมาทักทายบ้างอย่างมั่นใจ 

                กุดอ๊าบเต้อนูนเซอร์ เวลคั่มทู..

                ผมพูดไทยได้ ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเลอมานทะลุกลางปล้องเพราะสุดจะทนกับภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหู  เล่นเอาอาจารย์ร่างสันทัดหน้าม้าน 

                นายแช่มยกข้าวของขึ้นฝั่งมาได้แล้วก็ตามมายกมือไหว้ผู้มาต้อนรับทีละคนอย่างอ่อนน้อม  แนะนำตัวเสร็จสรรพว่าเป็นข้าช่วงใช้ของคุณชาย  คนึงมองบ่าวแล้วหันมองนายด้วยสายตาเหยียดหยัน  เสียแรงที่มีเชื้อเจ้า  กลับทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง  ไม่ยอมยกมือไหว้กระทั่งอาจารย์ใหญ่หรือกำนัน

               

                ดวงตาคู่สวยทอดมองแถวยาวเหยียดของคนที่พากันมาต้อนรับเขาแล้วนึกเวียนหัวขึ้นมาครามครัน  สายตาทุกคู่มองมาทางเขาเป็นจุดเดียว  เสียงซุบซิบวิจารณ์ดังเข้าหูเป็นระยะ

     

              สวยจริงพ่อคุณเอ๊ย  ยังกะพระเอกหนังแน่ะ

              ขาวเป็นหยวกกล้วยเชียวว่ะ

              ทำไมผมเขาสีอ่อนกว่าเราล่ะ

              คงอยู่เมืองนอกนานจนเป็นฝรั่งมั้ง

              ไอ้โง่  ไม่พ่อก็แม่เขาคงเป็นฝรั่งตะหากเล่า

     

                หม่อมราชวงศ์หนุ่มรู้สึกอึดอัดนัก  ไหนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง  ไหนจะเวียนหัวเพราะเมาเรือตั้งแต่อยู่บนเรือเมล์  มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูกเพราะความรู้สึกคลื่นเหียนพุ่งเข้าโจมตี  แต่ก็พยายามฝืนทนเอาไว้

                ที่พักของผมอยู่ไหนเขาหันไปถามอาจารย์หนุ่มที่เป็นคนพาเขามา  ให้รู้สึกตึงหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ  แถมยังมองกลับด้วยสายตาเคียดขึ้ง  จนอาจารย์ปรีชาต้องเป็นคนตอบให้

                คุณชายพักที่บ้านพักอาจารย์หลังนั้นครับนิ้วอูมชี้ไปทางเรือนไม้เสาคอนกรีตที่ซ่อนกายอยู่ในดงมะม่วงใบหนา เดี๋ยวให้คนเอาของไปเก็บให้แล้วเชิญคุณชาย..

                ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน  กรุณาอย่าให้ใครไปรบกวนน้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอ่ยขึ้นทำให้หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก  นายแช่มถึงกับเข้ามากระซิบประชิดตัว

                คุณชายเล็ก มันจะดีหรือ เขาจัดงานต้อนรับให้นะขะรับสีหน้าบ่าวหนุ่มซีดยิ่งกว่าซีด

                แกก็อยู่แทนฉันไปสิคุณชายกลับตอบอย่างไม่แยแส  และไม่ทันหลายคนจะคัดค้าน  ไม่ทันนายแช่มจะทัดทาน  ร่างโปร่งบางก็เดินลิ่วๆผ่านกลุ่มคนที่มองตามไปจนสุดตา  

                นายสิงห์และพรรคพวกก็อยู่ในกลุ่มนั้น  ต่างมองตามคุณชายรูปงามด้วยสายตาแสนทึ่ง     

                เหมือนตุ๊กตาที่น้องข้าเล่นตอนเด็กๆเลยว่ะหัวโจกเอ่ยขึ้น สายตายังมองตามร่างนั้นทั้งที่เดินไปไกลแล้ว

                เสียดายเป็นผู้ชายเสียได้  ถ้าเป็นผู้หญิงละก็..ไอ้ลอยหยักยิ้มมุมปาก  ดวงตาเจ้าเล่ห์พราวระยับ  วูบหนึ่งขณะเด็กหนุ่มสูงศักดิ์เดินผ่าน  มันได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างนั้น 

                ช่างยวนใจเสียเหลือเกิน                 

    *************************

     

                หม่อมราชวงศ์เลอมานเดินกึ่งวิ่งมาที่โคนต้นหางนกยูงหน้าบ้านพัก  มือเล็กใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแน่น  สีหน้าเขาตอนนี้ผะอืดผะอมบอกไม่ถูก  เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครจึงตัดสินใจโก่งคออาเจียนกับโคนต้นไม้นั้น

                เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยง  สิ่งที่ผ่านพ้นลำคอออกมาจึงมีแต่น้ำย่อยขมเปรี้ยว  ทรมานเหลือเกิน..

                มือหนึ่งที่ลูบหลังให้ทำให้เลอมานตกใจสะดุ้งสุดตัว   เขาเอี้ยวหลังมองขวับ  พบเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งในชุดที่คาดว่าเป็นนักเรียนของที่นี่  กำลังขยับปากจะไล่ออกไปแต่กลับถูกความคลื่นเหียนโจมตีอีกระลอกจนต้องยอมแพ้แก่รอยมืออ่อนโยนนั้น

                หม่อมราชวงศ์หนุ่มทิ้งตัวลงนั่งหอบบนแคร่ไม้ไผ่โคนต้นหางนกยูง  ดวงตาคู่สวยจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มด้วยสายตาไม่พอใจ  ใครใช้ให้หมอนี่มาเห็นเขาในสภาพน่าอดสูกันเล่า  สักพักร่างนั้นก็หันหลังวิ่งขึ้นบันไดไปบนบ้านแล้วประคองขันน้ำใบหนึ่งมายื่นให้      

                อาจารย์คนึงก็เหลือเกิน  ดูไม่ออกหรือไงนะว่าคุณชายเมาเรือ  หน้าซีดออกขนาดนี้ จ้อยวางขันน้ำลงกับแคร่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที

                นี่เป็นน้ำฝนครับคุณชาย  ไม่ต้องห่วง  ที่นี่ใครๆก็ดื่มกันทั้งนั้น เขาเอ่ยเมื่อเห็นสายตาคลางแคลงใจของอีกฝ่าย ถ้าไม่ดื่มก็ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย จะได้สดชื่น

                ผู้สูงศักดิ์กว่าคว้าขันขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้  เขาบ้วนปากแล้วลองดื่มดูด้วยความกระหาย  ให้นึกแปลกใจว่าน้ำฝนนี้ช่างชื่นใจอย่างน่าประหลาด  ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งพิเคราะห์สารรูปเด็กหนุ่มตรงหน้า  ร่างเล็กผอมบางในเสื้อสีขาวตุ่น  กางเกงมีรอยปะชุน  รองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้าแตะเก่าๆ  แต่ดวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มสดใสนั้นช่างเป็นมิตรชวนมอง 

               

                ไม่ถึงอึดใจ  ทั้งสองก็เห็นร่างสูงร่างหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าขึ้งเครียด    

                กลับไปที่งานเดี๋ยวนี้

                ประโยคคำสั่งนั้นทำให้หม่อมราชวงศ์เลอมานโกรธจนลมแทบออกหู  ได้แต่พยายามสะกดโทสะเอาไว้อย่างสุดกลั้น  ตั้งแต่เกิดมา  นอกจากท่านพ่อแล้ว  ไม่มีใครหน้าไหนกล้าสั่งเขามาก่อน   

                คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร  อย่ามาใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผมร่างโปร่งบางลุกพรวดขึ้น  อดหัวเสียไม่ได้ที่แม้จะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วอีกฝ่ายก็ยังสูงกว่าเขามากนัก        

      

                คนึงยิ้มหยัน  รู้สิ  กำลังพูดกับเด็กไร้มารยาท  เย่อหยิ่งจองหองน่ารังเกียจอยู่อย่างไรล่ะ  แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดไปดั่งใจคิด 

                สิ่งที่คุณทำวันนี้มันเสียมารยาทมาก

                แล้วไง  ผมไม่ไปเสียอย่าง  คุณจะทำไม 

                ถ้าคุณไม่กลับไป  ผมจะโทรศัพท์ไปทูลฟ้องท่านชายอาทิตย์ ชื่อบิดาที่ถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดนั้นทำให้เลอมานชะงัก  ยอมจำนนด้วยความไม่เต็มใจ  เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ  สะบัดหน้าเดินกลับไปที่งานอย่างเสียมิได้

                จ้อยได้แต่มองตามทั้งสองพลางถอนหายใจ  ความบาดหมางไม่ลงรอยได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรกอย่างนี้  แล้วระยะเวลาอีก ๑ ปีที่หม่อมราชวงศ์เลอมานต้องอยู่ที่นี่  รอยร้าวนั้นจะลุกลามใหญ่โตไปสักแค่ไหน  จะถึงขั้นแตกสลายเลยหรือเปล่าหนอ 

     

    **********************

     

                เวลาผ่านไปจนถึงหัวค่ำ  การร่วมรับประทานอาหารเย็นกับคณะอาจารย์ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี  เลอมานยังจำสีหน้าของนายแช่มได้ดีว่ามันดีใจมากแค่ไหนที่เห็นเขากลับไป  และจำสีหน้าของเหล่าอาจารย์ทุกคนได้ดีเช่นกัน 

                ไม่ว่ามันจะเป็นสายตาอิดหนาระอาใจ เหนื่อยหน่าย ไม่พอใจ อ่อนใจ หรืออะไรก็ตามแต่  สายตาเหล่านั้นก็ไม่อาจทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้  การถูกเลี้ยงดูมาอย่างฝรั่ง  แถมยังถูกหม่อมแม่พะเน้าพะนอเอาใจราวกับไข่ในหิน  ไม่ว่าเพื่อนฝูงหรือบ่าวไพร่ก็ปฏิบัติกับเขาเช่นผู้มีศักดิ์สูงกว่า  สิ่งเหล่านั้นหล่อหลอมให้หม่อมราชวงศ์เลอมานไม่เคยนึกถึงความรู้สึกใคร  ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาทั้งสิ้น

                ระหว่างมื้อเขาทานได้น้อยคำ  ด้วยนึกเหยียดหยันในรสชาติสตูไก่ที่พยายามปรุงให้อร่อยเท่าต้นตำรับ  สีหน้าเขาคงแสดงออกไม่น้อยตอนที่อาจารย์ปรีชาบอกว่าแม่ครัวปรุงให้สุดฝีมือ  ทุกคนในโต๊ะถึงได้ทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างนั้น

               

                หลังมื้ออาหารที่น่าเบื่อหน่าย  อาจารย์หนุ่มร่างสูงก็พาเขาและนายแช่มมายังห้องพักบนเรือนไม้ใต้ถุนสูงขนาด ๑๕ เสา  คะเนด้วยสายตาแล้วพบว่ามีห้องพักอื่นอีก ๓-๔ ห้อง  ผ่านห้องนั่งเล่นตรงกลาง พวกเขาถูกพามายังห้องหนึ่ง  ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปพบเตียงสองหลังตั้งอยู่คนละฝั่งห้อง  คิ้วเรียวถึงกับขมวดมุ่น  

                นั่นเตียงใครใบหน้างดงามเชิดขึ้นถามอย่างไม่สบอารมณ์  ก่อนจะหันไปสำรวจทั่วห้องกว้าง  เครื่องเรือนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน  ตู้เสื้อผ้า  หรือโต๊ะเขียนหนังสือ ทุกอย่างมีเป็นคู่และถูกจัดวางในลักษณะแบ่งพื้นที่ครึ่งห้อง  โดยกั้นกลางไว้ด้วยชั้นหนังสือ

                เตียงผมเองคำตอบของอีกฝ่ายทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มแทบสำลักอากาศ ห้องพักอาจารย์กำหนดให้อยู่ห้องละสองคน  และพอดีอาจารย์ที่เคยอยู่ห้องนี้กับผมตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว  ที่สำคัญผมก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณด้วย

                ไม่มีห้องเดี่ยวหรือ

                ไม่มี คนึงเอ่ยเสียงเรียบ  เรียบพอๆกับใบหน้านิ่งขึง ที่นี่บ้านพักไม่ใช่โรงแรม

                นายแช่มเห็นประกายตาเจ้านายวาววับด้วยความไม่พอใจ  และเห็นอาจารย์ร่างสูงใหญ่ปลีกตัวไปที่โต๊ะทำงานอย่างไม่แยแส มันก็เริ่มเห็นท่าไม่ดี  รีบเข้าไปประคองคุณชายที่รักไปนั่งพักที่เตียงอย่างประจบ  และจัดแจงสัมภาระในกระเป๋าเก็บเข้าที่  

     

                คนึงพยายามข่มอารมณ์ไว้  เมื่อได้ยินเสียงเลอมานบ่นแต่เรื่องความคับแคบของห้องพักและไร้สิ่งอำนวยความสะดวกจากอีกฝั่งห้องแว่วมา  ฝ่ายนั้นจงใจพูดให้เขาได้ยิน  เขาแน่ใจเช่นนั้น              

                นี่คุณ  คุณน่ะร่างโปร่งเดินมาหยุดเรียกเขาอยู่ข้างชั้นหนังสือใหญ่ที่ถูกใช้กั้นกลางห้อง คุณชื่ออะไรนะ

                ดวงตาคมวาวขึงตาใส่อีกฝ่าย  คิ้วหนาขมวดมุ่น  เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่จำชื่อเขาไม่ได้จริงๆหรือจงใจแกล้งถาม 

                แต่ไม่ว่าจะสาเหตุไหนก็แสดงถึงความไม่น่าคบได้พอๆกัน

       

                เอ่อ..อ-อาจารย์คนึงขะรับ  คือ..บ่าวหนุ่มผิวคล้ำยืนกุมเป้าถาม คุณชายจะอาบน้ำแล้ว  ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ไหนหรือขะรับ    

    **************************

     

                นี่น่ะหรือห้องน้ำ

                เลอมานพึมพำแผ่ว  สองนายบ่าวถือไฟฉายฝ่าความมืดจากบ้านพักมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำตามที่คนึงชี้บอก  ความจริงแล้วเรียกว่าโรงอาบน้ำน่าจะถูกกว่า  ดวงตาคู่สวยมองผนังก่อด้วยสังกะสีอย่างหยาบๆด้วยความแคลงใจ  เมื่อเปิดประตูเข้าไป  เปิดไฟสว่าง  มีอ่างใส่น้ำที่ก่อด้วยปูนขนาดใหญ่อยู่กลางห้องกว้าง  พื้นปูนเฉอะแฉะ  กลิ่นอับน่ารังเกียจทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดจมูกโด่งรั้น      

                ไม่มีห้องน้ำที่ดีกว่านี้แล้วหรือความขยะแขยงแล่นพล่านจนเด็กหนุ่มอดบ่นไม่ได้ 

                แต่อาจารย์คนึงบอกว่าใครๆก็อาบที่นี่นะขะรับ 

                เลอมานจึ๊ปากอย่างขัดใจ  รับผ้าขนหนู,เสื้อคลุมและสบู่ฝรั่งจากบ่าวมาถือไว้  แล้วไล่ให้มันออกไปเฝ้าที่หน้าโรงอาบน้ำ  กำชับนักหนาว่าอย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด

     

                นายแช่มออกไปแล้ว.. เหลือเขาอยู่คนเดียวในห้องน้ำโล่งกว้าง..

                ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆห้องอย่างประดักประเดิด  เขาไม่เคยอาบน้ำในห้องน้ำที่กว้างขนาดนี้มาก่อน  มันโล่งเสียจนไม่ต่างอะไรกับอาบน้ำในที่แจ้ง  แต่ยังอุ่นใจอยู่บ้างเพราะมีนายแช่มเฝ้าอยู่ข้างนอก 

                ไม่มีฝักบัว  ไม่มีน้ำอุ่น  ไม่มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่  มีแต่ขันเงินบุบๆวางอยู่บนขอบอ่าง    

                เขาเหลียวมองไปรอบๆอีกครั้ง  ก่อนค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าตนออกจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า  ค่อยๆอาบน้ำอย่างทุลักทุเล

                เพียงน้ำขันแรกรดกายก็ร้องคราง.. มันช่างเย็นเหลือใจ   

                ขันแล้วขันเล่าราดรด  มือบางค่อยๆบรรจงทำความสะอาดไปทั่วร่าง  เรือนผมสีน้ำตาลเปียกลู่  หยดน้ำเกาะพราวทั่วผิวเนียนเรียบ  จู่ๆเด็กหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงแกร๊กที่ประตู

                มือที่กำลังละเลงฟองบนศีรษะชะงัก 

     

              ใคร!?

              นายแช่ม!?

     

                เสียงคนคุยกันแว่วๆดังขึ้นพร้อมประตูไม้บานเก่าเปิดผางออก  ฟองสบู่ราคาแพงที่อยู่บนศีรษะเริ่มไหลเข้าตา  ทำให้เขาเห็นหน้าคนบุกรุกเข้ามาได้ไม่ชัดนัก  รู้แต่ว่าพวกนั้นมีไม่ต่ำกว่า ๒ คน!

     

                นั่นใคร!”            

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    *เพลงหงส์เหิร, แก้ว อัจฉริยะกุล ประพันธ์, เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ขับร้อง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×