ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 M บทเพลงของสองเราและหนึ่งตัว

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ตอนต้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 529
      2
      5 ม.ค. 55


                    วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดฤดูหนาว 

     

                    มิเชลรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มายืนอยู่ที่นี่  สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มอายุย่างเข้า 18 ปี คือบ้านคฤหาสน์หลังน้อยหลังคาสีแดง  อาคารมีสองชั้นทำจากอิฐสกัดสีขาวละมุนโดยด้านข้างมีต้นตีนตะขาบสีเขียวปกคลุมจนเต็ม  ชั้นบนมีระเบียงยื่นออกมาทำหน้าที่เป็นจั่วหลังคาทางเข้าหน้าบ้านในตัว  ส่วนปีกซ้ายของอาคารมีหอแปดมุกสูงสองชั้นยื่นออกมาจากตัวอาคาร  มีหลังคาทรงกรวยสูงสีแดงแทงยอดขึ้นเหนือหลังคาส่วนอื่น หน้าต่างที่เจาะแซมตามผนังทำให้คฤหาสน์ดูไม่อึดอัดมากไป  แต่ก็มีพอเหมาะที่มองดูแล้วอบอุ่นยามอาศัยอยู่ช่วงฤดูหนาวได้

     

              เมื่อรวมกับลูกเล่นการตกแต่งตามตัวอาคารแล้ว  คฤหาสน์หลังนี้ถือได้ว่าน่ารักมากเลยทีเดียว

     

                    มิเชลยืนบนทางเท้าหินที่ปูเป็นลายพัดทับซ้อนกันอย่างปราณีต  มันทอดตัวผ่านสวนไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่นที่ถูกจัดให้ดูเป็นธรรมชาติอย่างจงใจ  ไม้ดอกและพืชสวนปลูกแซมกันอย่างไม่เป็นสมมาตร  ผิดกับวิสัยนิยมของแฟชั่นราชอาณาจักรที่สวนมักจะถูกตัดเป็นรูปเรขาคณิตแสดงถึงอำนาจของมนุษย์เหนือธรรมชาติ  แต่ความเป็นธรรมชาติที่สื่อออกมาจากสวนแห่งนี้ไม่ใช่ความรกอย่างไร้ระเบียบ  หากเป็นความละมุนละไมอย่างสมดุลย์แสดงถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติและมนุษย์  ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบต่อผลงานที่น่าชื่นชมนี้คือชาวสวนสามคนที่นั่งเล็มกิ่งไม้อย่างขยันขันแข็ง

     

                    นอกจากชาวสวนแล้วยังมีหมู่ทหารราชองครักษ์ในชุดทหารสีน้ำเงินราวหกนายกำลังเดินตบเท้าผัดเปลี่ยนเวรกันกันอย่างขึงขัง  แบกปืนไรเฟิลติดดาบปลายปืนที่มันวาวสะท้อนแสงจนทำเด็กหนุ่มตาพร่าไปพักหนึ่งเลย

     

                    คฤหาสน์ตรงหน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพื้นที่ในพระราชวัง ปาเล่ซ์ ดู รัว ที่กว้างใหญ่ไพศาล  มันกว้างใหญ่เสียจนเขามองเห็นตัวอาคารหลักของพระราชวังที่เป็นส่วนประทับของพระราชาได้เพียงลาง ๆ  เท่านั้น

     

                    กระนั้น  เจ้าคฤหาสน์  เปอร์ตีด  มานัวแห่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นเลย  ถึงมันจะอยู่สุดชายของอาณาบริเวณส่วนในของพระราชวังหลวง  มันก็ยังอยู่ข้างในอาณาเขตของพระราชวังอยู่ดี  มันจึงไม่แปลกเลยผู้ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ต้องเป็นราชนิกูลไม่ก็บุคคลที่สำคัญยิ่งอย่างแน่นอน

     

                    เมอร์ซิเออร์  จิราร์จ  เชิญทางนี้เลยครับ

     

                     ชายแก่ที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าพ่อบ้านเชื้อเชิญให้มิเชลเดินตามเขามา  เขามิได้พาเด็กหนุ่มเดินเข้าทางประตูหน้าที่สงวนไว้สำหรับราชวงศ์และแขกผูสูงศักดิ์เท่านั้น  หากแต่พาเดินเข้าทางประตูหลังสำหรับคนทั่วไป 

     

                    ภายในเป็นเพียงห้องรับรองขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกับครัวและส่วนพื้นที่ของบ่าวรับใช้  ทำให้สภาพห้องดูวุ่นวายพอสมควร  ตรงกลางห้องมีโต๊ะอาหารกลางขนาดใหญ่ตั้งอยู่  แต่ดูแล้วมันคงไม่ได้ถูกใช้เป็นโตะทานอาหารแน่เนื่องจากมันถูกจับจองข้าวของเต็มไปหมด  นอกจากนี้ยังมีครุภัณฑ์และหีบกล่องมากมายวางซ้อนกันอย่างระเกะระกะเต็มพื้นไปทั่ว 

     

                    เมื่อเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้วหัวหน้าพ่อบ้านเชิญมิเชลนั่งบนม้านั่งเก่าตรงหัวมุมที่ดูโปร่งที่สุด

     

    ฝ่าบาทยังอยู่ในชั่วโมงทรงไวโอลินอยู่นะครับ  ถ้าอย่างไรคงต้องขอรบกวนให้เมอร์ซิเออร์ จิราร์จ รอสักครู่  อีกสักประมาณครึ่งชั่วโมงผมจะให้คนมาตามเมอร์ซิเออร์ขึ้นไปที่ห้องรับรอง  ถ้าต้องการอะไรโปรดสั่นกระดิ่งเรียกแม่บ้านได้เลยนะครับ

     

    เขากล่าวอย่างสุภาพพลางผายมือไปยังกระดิ่งทองเหลืองที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ  ก่อนจะก้มโค้งขอตัวไปก่อน

     

    เมื่อเห็นว่าหัวหน้าพ่อบ้านออกไปพ้นแล้ว  มิเชลก็ถอนหายใจพลางเอนตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน  เขาไม่ถูกกับความรู้สึกเป็นทางการอย่างนี้เลย  ความจริงแล้วเขาอยากคลายกระดุมเม็ดบนออกเสียด้วยซ้ำ  แต่ก็ไม่อยากทำตัวดูซอมซ่อต่อหน้ามาเรียนสักเท่าไหร่  ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงได้อย่างมากเพียงแค่ถอดเสื้อนอกที่แสนร้อนออก

     

    เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างกระสับกระส่าย  ตอนนี้เขาอยากจะเขกหัวตัวเองเหลือเกินที่ไม่ได้เอาหนังสือมาอ่านรอฆ่าเวลาด้วย  สุดท้ายเขาเลยหยิบกระดิ่งขึ้นมาสำรวจแก้เบื่อ

     

    ระหว่างนั้นเองสายตาของเขาก็ไปสบกับกองช่อดอกไม้ที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ  มันเป็นดอกไม้พันธุ์แปลกตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  แถมแต่ละดอกก็สีสันสดใส  ดูท่าทางราคาจะต้องแพงมากอย่างแน่นอน

     

    เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างประหลาด  เมื่อเทียบกับช่อดอกไม้สูงค่าเหล่านี้แล้ว  ของขวัญที่เขาเตรียมมาด้วยดูไร้ค่าไปเลย 

     

    ในตอนที่เขากำลังถูกความรู้สึกต้อยต่ำเข้าครอบงำนั่นเอง  มิเชลก็เผลอเขย่ากระดิ่งจนส่งเสียงกรุ้งกริ้งออกมา  ก่อนที่เขาจะแก้ไขอะไรได้นั้น  สาวรับใช้ก็ปรากฏตัวตามบัญชาเสียแล้ว

     

    มีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือเจ้าคะ  สาวใช้วัยกลางคนในชุดแม่บ้านสีดำที่คาดผ้ากันเปื้อนสีขาวกล่าวกับมิเชลอย่างเฉยเมย

     

    อ...อ้อ  พอดีผมเผลอทำกระดิ่งสั่นนะครับ  ไม่มีอะไรหรอก 

     

    ไม่เป็นไรค่ะ  แม่บ้านยิ้มให้อย่างเป็นมิตร  แต่ภายใต้หน้ากากเปื้อนรอยยิ้มนั้นมิเชลรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่คุกรุ่นข้างใน  ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ดิฉันขอตัวก่อนนะเจ้าคะ

     

                    กระนั้นก่อนที่แม่บ้านจะได้ก้าวเท้าออกไป  มิเชลก็ทักเรียกรั้งตัวเธอไว้

     

    เอ่อ  เดี๋ยวก่อนครับ 

     

    แม่บ้านหันกลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม  แต่มิเชลสาบานได้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมันกระตุกแปลก ๆ ราวกับจะงับหัวเขาเสียบัดนั้น  ทำเอามิเชลกลัวจนไม่กล้าตอบไปเลย 

     

    ม... ไม่เป็นไรแล้วครับ

     

    แต่ดูเหมือนแม่บ้านจะไม่คิดเช่นนั้น  ไม่เป็นไรค่ะ  เชิญถามมาได้เลย  เธอกล่าว  พลางยื่นหน้าเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่กระตุกมากขึ้นเข้าไปอีก  ตอนนี้พวกดิฉันก็มีงานค่อนข้างจะมากอยู่  ดังนั้นถ้าเมอร์ซิเออร์จะเรียกใช้อะไรในทีเดียวเลยจะเป็นพระคุณอย่างมากเจ้าค่ะ

     

    มิเชลตัวลีบไปตั้งแต่แรกแล้ว  เขาได้แต่พยายามเค้นความกล้าก่อนจะกล่าวออกไป 

     

    คือ  ผมอยากทราบว่าดอกไม้เหล่านี้ใครเป็นคนให้มาเหรอครับ

     

    อ้อ  พวกนี้เหรอเจ้าคะ  หล่อนกรีดสายตามองมิเชลจากหัวจรดเท้าก่อนจะหันไปไล่เรียงรายนามเจ้าของของช่อดอกไม้เหล่านั้น  ถ้าช่อนี้ดยุคอารียองเป็นคนพระราชทานมา  ส่วนช่อนี้ก็จาก ฯพณฯ ท่านเคลเมนโซ  ส่วนอันนี้...  รายชื่อที่สาวใช้ผู้นี้กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงสังคมหรือรัฐบาลทั้งนั้น  เป็นชื่อใหญ่โตที่นามของตระกูลจิราร์จมิอาจเทียบเคียงได้เลย  นี่ยังน้อยอยู่นะเจ้าคะ  ถ้าตอนที่องค์หญิงเสด็จแสดงที่คอนเสิร์ตฮอลล์เย็นนี้คงมีช่อดอกไม้อีกมากรออยู่นะค่ะ

     

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นมิเชลก็ยิ่งรู้สึกตัวลีบเข้าไปอีก  ตอนที่แม่บ้านเดินจากไปตัวเขาก็เรียกได้ว่าแห้งเหี่ยวราวกับเห็ดทรัฟเฟิลตากแห้งก็มิปาน 

     

    มิเชลรู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน พอได้เห็นอย่างนี้กับตัวแล้วก็ได้แต่รู้ถึงกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นระหว่างโลกของเขากับโลกของมาเรียนเหลือเกิน...

     

    ไม่สิ  เขาต้องเรียกว่า องค์หญิงมาเรียนเสียมากกว่า

     

    ♫ ♪ ~

     

    ระหว่างที่เขากำลังรู้สึกท้อแท้อยู่นั่น  จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงไวโอลินอันแผ่วเบาดังมาจากข้างบน  มันเป็นเสียงอันอ่อนโยนราวกับขนนกที่ล่องลอยไปตามสายลม  แต่ละเสียงที่คันสีลากยาวไปตามสายคอร์ตมันทำให้ใจที่หดหู่ของเด็กหนุ่มกลับชุ่มชื้นอีกครา

     

    ว่าแล้วเขาก็หลับตาปล่อยให้ใจเคลิบเคลิ้มเสียงดนตรีอันอ่อนเยาว์ของผู้เล่นที่มิเชลรู้จักดี

     

    โซนาต้า  อี แฟล็ต เมเจอร์  ของวาลดีนี่

     

    เพลงโปรดของมาเรียน...

     

    มันเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่ทราบที่เขาเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีจนลืมไปแล้วว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่  พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาที่แม่บ้านคนเดิมเชิญให้มิเชลไปรอที่ห้องรับรองบนเรือน

     

    แม่บ้านนำมิเชลเดินผ่านตรอกเล็ก ๆ ที่ทะลุออกมายังห้องรับรองหลักของคฤหาสน์  มันเป็นห้องทรงแปดเหลี่ยมที่คาดว่าน่าจะอยู่ในหอคอยทางปีกซ้ายที่เขาเห็นตอนแรก  ในห้องปูพรมขนแกะปุยนุ่ม  มีเก้าอีกรับรองที่เป็นม้านั่งยาวละเก้าอี้เดี่ยววางเรียงเป็นครึ่งวงกลมโดยมีโต๊ะเล็กคั่นกลาง  หน้าต่างถูกเปิดออกทำให้บรรยากาศดูสว่างไสว  ตามผนังมีไวโอลินประดับตามซอกระหว่างหน้าต่าง  บนตู้แสดงมีรูปภาพในกรอบทองและถ้วยรางวัลจากการแข่งขันตั้งแสดงอยู่ 

     

    เมื่อแม่บ้านปลีกตัวออกไป  ในห้องจึงเหลือแต่เด็กหนุ่มเพียงผู้เดียว  มิเชลมีท่าทีกระสับกระส่าย  พยายามจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่  เขามองหากระจกอย่างลุกลี้ลุกลน  ก่อนจะเจอกระจกตั้งโต๊ะอยู่หนึ่งบาน  และตอนที่เขาส่องกระจกจัดปัดทรงผมอยู่นั่นเอง  มิเชลก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายภาพหนึ่ง

     

    มันเป็นภาพของเขากับมาเรียนที่อุ้มลูกสุนัขในอ้อมอกยืนถ่ายคู่กันในสวนของสถานทูตที่เมืองหลวงของแคว้นโปโตแม็ก  สหราชอาณาจักร  ตัวเขาดูยืนเกร็งดูน่าสมเพชเหลือเกินในขณะที่มาเรียนนั้นดูเป็นธรรมชาติมาก

     

    มันเป็นรูปที่ถ่ายหลังจากเขาทราบว่าเพื่อนหญิงปริศนาที่เขาเที่ยวเล่นด้วยตลอดเกือบเดือนคือเจ้าหญิงของประเทศตนนั่นเอง

     

    ในตอนนั้นเอง  เขาได้ยินเสียเห่าของสุนัขและเสียงกุกกักวิ่งลงมาจากด้านบน  พอมิเชลหันไปอีกทีก็พบว่ามีหมาพันธุ์บีเกิลวัยกำลังโตวิ่งกระโจนหาอย่างร่าเริง  มันกระโดดเหยง ๆ บนต้นขาของมิเชลพร้อมกับหางที่หมุนไปมาราวกับเป็นใบพัด

     

    ไงเจ้าโมนาร์ท  แกตัวโตขึ้นเยอะเลยนี่นา  มิเชลอุ้มเจ้าสุนัขที่ตั้งชื่อตามนักดนตรีแห่งยุคขึ้นมา  ซึ่งเจ้าโมนาร์ทก็ไม่รีรอที่จะเลียใบหน้าเด็กหนุ่มด้วยความรักอย่างเหลือล้น  เฮ้ย  หน้าฉันเปื้อนน้ำลายแกหมดแล้วรู้ไหม

     

    ระหว่างที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับโมนาร์ทอยู่  มิเชลก็ได้ยินเสียงปรบมือสั่งจากประตูทางเข้าห้องรับรอง

     

    โมนาร์ท  อย่าซนสิลูก 

     

    เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านาย  มันก็รีบกระโดดออกจากอุ้งแขนของมิเชล  ก่อนวิ่งกระดิกหางไปหาหญิงสาวที่ออกคำสั่งกับมัน

     

    นั่ง  โมนาร์ท  นั่ง

     

    เจ้าสุนัขแสนซนก็นั่งตามคำสั่งแต่โดยดี  มันนั่งกระดิกหางแลบลิ้นมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา

      

    หญิงสาวผู้นันคือมาเรียน... เพื่อนแสนสวยและองค์หญิงแห่งราชอาณาจักรที่ไม่ได้พบกันเกือบปีนั่นเอง 

     

    องค์หญิงมาเรียนเป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา  แต่นั่นมันก็เป็นเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ทั้งสองมีร่วมกัน  เธอมีใบหน้าและนัยน์ตากลมโตราวกับตุ๊กตา  แก้มแดงฝาด  ริมฝีปากเรียวบางแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูกุหลาบดูน่ารักน่าเอ็นดู  ผมสีน้ำตาลเกาลัดยาวดัดเป็นลอนผูกโบว์สีเขียวแมลงทับ  แลดูเหมาะสมกับสีของชุดกระโปรงบานที่สวมใส่บนร่างบางของเพื่อนสาวคนนี้  

     

                    แม้ผ่านไปเกือบปีแล้วแต่ใบหน้าของมาเรียนยังดูคุ้นเคย  ไม่สิ... มิเชลต้องบอกว่าเธอดูสวยขึ้นมากเลยทีเดียว

                   

    กระนั้น...

     

    มิเชลกลับรู้สึกว่าใบหน้าที่ดูคุ้นเคยกลับดูเหินห่างอย่างบอกไม่ถูก

     

    ไม่ได้พบกันตั้งนานเลยนะ  เมอร์ซิเออร์ จิราร์จ

     

    องค์หญิงมาเรียนกล่าวด้วยโทนเสียงของผู้สูงศักดิ์  ดูเข้ากับท่าทางการเดินที่สง่างามของราชนิกูลผู้อยู่เหนือราษฏรษ์ทั้งปวง 

     

    มิเชลได้แต่ต้องข่มใจรับกับความรู้สึกหนักหน่วงที่ถาโถมเข้ามา...

     

     มาเรียนในตอนนี้มิใช่หญิงสาวที่พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับดนตรีอย่างร่าเริงอีกต่อไป

     

    เด็กหนุ่มพยายามเกร็งใบหน้าก่อนก้มหัวลงอย่างนอบน้อม  เขาไม่กล้าสบตาเพื่อนผู้สูงศักดิ์ตรง ๆ

     

    ก...กระหม่อมก็ยินดีที่ได้พบฝ่าบาทอีกครั้งพะยะค่ะ...

     

    เขาก้มหัวอย่างนั้น  ทว่า มาเรียนกลับไม่ตอบ 

     

    ความเงียบในตอนนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนยิ่งนัก  มิเชลอยากจะร้องไห้เสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย  แต่เขาก็ยังได้แต่ค้างท่าก้มโค้งไม่อยู่อย่างนั้น

     

    เมื่อไม่ทราบว่าจะเงยหน้าขึ้นเมื่อไหร่ดี  สุดท้ายเขาจึงค่อย ๆ แอบเงยหน้าเหลือบมององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างหวั่นเกรง

     

    ................

     

    ................

     

    และแล้ว  มาเรียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

     

    ดูหน้าเธอตอนนั้นสิ  ทำอย่างกับว่าเจอผีอย่างนั้นล่ะ  องค์หญิงมาเรียนกล่าวชี้หน้ามิเชลทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุด

     

    ส่วนมิเชลนั้นดูสับสนในช่วงแรก  ก่อนที่ความรู้สึกอึดอัดในตอนแรกเริ่มจางหายไป  และจึงเริ่มหัวเราะตามราวกับคนโง่

     

    โดนเข้าเต็ม ๆ เสียแล้ว 

     

    เขาลืมไปได้อย่างไรกับนิสัยชอบปั่นหัวคนอื่นของมาเรียน

     

    องค์หญิงก็เหมือนกันล่ะ  เกือบหลอกผมสำเร็จแล้วนะ... 

     

    ก่อนที่มิเชลจะได้กล่าวจบนั่นเอง  องค์หญิงมาเรียนก็เข้าโผกอดมิเชลโดยไม่ทันตั้งตัว เขารู้สึกได้ถึงเสียงสะอื้นเบา ๆ ในอ้อมอกจากเพื่อนรักแสนสวยของเขา

     

    เรียกเราว่ามาเรียนเหมือนแต่ก่อนเถอะ

     

    เมื่อนั้น  ความรู้สึกหม่นหมองทั้งหมดก็มลายสิ้น  มิเชลได้แต่ยิ้มเหมือนคนบ้าพลางโอบไหล่ขององค์หญิงตอบ

     

    ดีใจที่ได้พบมาเรียนอีกนะ

     

    เราก็เช่นกัน

     

    องค์หญิงมาเรียนตอบพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลริน

    b

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×