ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    merMAID Princess!! เงือก เมด เจ้าหญิง ป่วน!

    ลำดับตอนที่ #27 : ลูกเตะผ่าหมาก และการขัดจังหวะอย่างงดงาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.2K
      2
      2 พ.ค. 56

     

     

     


     

                    สาวใช้ถอนตัวออกไปหลังจากกล่าวเสร็จ  เหลือทิ้งไว้แต่คำถามที่เป็นเหมือนระเบิดที่ถูกดึงสลักออก

     

                    ก็องค์หญิงอยู่ตรงนี้นี่นา  แล้วทำไม

     

                    ก็อย่างที่ได้สดับมานั่นแล  เจ้าหญิงของเจ้ากำลังรออยู่นะ 

     

                    ไม่สนกับคำพูดขององค์ชาย  เอเดรียนหันไปมองเตเต้โดยหวังว่าองค์หญิงผู้นี้จะช่วยยืนยันความเชื่อมั่นของเขา

     

                    ทว่า...

     

                    สิ่งที่เอเดรียนเห็นนั้นกลับเป็นภาพขององค์หญิงที่หลบสายตาเขาไปราวกับละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น

     

                    แม้ว่าการที่เตเต้หลบเลี่ยงสายตาไปนั้นมิใช่ความละอาย  หากเป็นความกลัวในสายตาของเอเดรียนที่อาจเปลี่ยนไปเมื่อรู้ความจริง  แต่มันก็เพียงส่งเสริมความเข้าใจผิดให้ขยายใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก

     

                    ในยามนั้นเองทุกสิ่งทุกอย่างที่เอเดรียนเคยเชื่อกลับพังทลายลง 

     

    ความจงรักภักดีที่เคยมีให้เหมือนกับถูกผู้หญิงตรงหน้าหักทำลายเสียบัดนั้น

     

                    หมายความว่า  เรื่องที่เป็นเจ้าหญิงนั่น...

     

                    ไม่ใช่อย่างที่เอเดรียนคิดนะ  ความจริงนะ  คือว่า...

     

                    กระนั้นเตเต้กลับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้น...

     

                    ทั้งที่มันเมื่อก่อนหน้านี้มันยังส่งประกายความอ่อนโยนยามเมื่อมองตนแท้ ๆ บัดนี้มันกลับขุ่นมัวเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง

     

                    แววตาเพียงไม่กี่คู่ที่คอยค้ำจุนความเชื่อมั่นขององค์หญิงขี้เหงาไว้ในแดนต่างบ้านกลับทำให้องค์หญิงเจ็บช้ำหนักกว่าคำดูถูกของเอนริก้าหรือการกลั่นแกล้งของรุ่นพี่พวกนั้นหลายหมื่นครั้งรวมกัน 

     

    ทว่าเตเต้ก็มิได้หลั่งน้ำตาอีก  วันนี้หล่อนได้ร้องไห้มามากพอจนรู้สึกว่าน้ำตามันเหือดแห้งไปหมดแล้ว

     

                    ดังนั้นจึงมีแต่เสียงสายฝนที่กำลังสาดกระเส็นภายนอกที่คอยส่งเสียงร่ำไห้แทน

     

                    เอาล่ะ  ท่านอัศวินผู้เจริญ  เมื่อความจริงปรากฏเช่นนี้แล้ว  จงไปหาองค์หญิงของเจ้าในงานเลี้ยงรื่นเริงนั่นเสีย  ปล่อยให้สาวใช้จอมโป้ปดนี่เป็นธุระของเราเถิด

     

                    องค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้ากล่าวด้วยวาจาของผู้มีชัยพลางคว้าแขนที่อ่อนระทวย... 

     

    โดยไม่สนใจเลยว่าหัวใจดวงน้อย ๆ ของเตเต้จะแตกสลายไปแล้ว

     

                    นั่นเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดผึงหลังจากที่เตเต้อุตส่าห์พยายามเชื่อมต่อมันมาตั้งนาน  มือหยาบกร้านหวดฟาดบริเวณใบหน้าที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวขององค์ชายข้าวเจ้า  แต่หน่อเชื้อแห่งราชวงศ์แห่งอาณาจักรตะวันออกไกลก็สามารถคว้าข้อมือไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น

     

                    นี่แม่นางจะทำเสียมารยาทกับเราไปถึงเมื่อไร

     

                    องค์ชายกล่าวอย่างสราญใจที่ได้กลั่นแกล้งของเล่นอันใหม่ที่เพิ่งขัดใจเขาไปหมาด ๆ เจ้าชายผู้แสนเอาแต่ใจอยากจะเห็นหน้าแสนเย่อหยิ่งเกินสาวใช้นั่นเต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว  นัยน์ตาคู่งามทอดพระเนตรมองด้วยความขัดขืน  และริมฝีปากกัดเม้มด้วยความเคียดแค้นที่ไม่สามารถดิ้นหลุดไปจากพันธนาการได้

     

                    ช่างเป็นสุนทรียรสแสนสุขที่องค์ชายเพิ่งลิ้มลองเมื่อไม่นานมานี้เอง

     

                    แสดงเร็วเข้าสิ  ท่าทางที่ทำให้ใจเราพองโตด้วยความตื่นเต้น  เร็วสิ  เสียงครวญครางที่ยังไม่ยอมแพ้  จงทำให้เราสำราญใจอีก

     

                    ทว่า...

     

                    .....

     

    ภาพที่องค์ชายได้เห็นกลับทำให้ความตื่นเต้นที่พองโตในหัวใจพลันฟีบลง 

     

    แทนที่ด้วยความรู้สึกของลมหนาวที่พัดผ่านทรวงอกอันกลวงโบ๋

     

                    ระหว่างที่องค์ชายกำลังตื่นตะลึงนั่นเองนั้นเอง  ท่อนขาทรงพลังที่พาองค์หญิงวิ่งอย่างเริงร่าไปทั่วเกาะก็กระดกขึ้นเตะกลางหว่างขา  ตรงเข้าที่กล่องดวงใจของชายทุกเผ่าพงศ์

     

                    ถึงชายผู้นั้นจะเป็นขอทานอันต่ำต้อย  หรือกษัตริย์ทรงเรืองอำนาจผู้ควบคุมชะตาชีวิตคนนับหมื่นแสน  ก็ไม่อาจหนีพ้นกับความเจ็บปวดที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นนี้ไปได้  องค์ชายผู้ที่ยืนสง่าเหนือผู้อื่นกลับต้องล้มไปนอนขดอย่างทรมานบนพื้น  มือทั้งสองกุมกล่องดวงใจทำสีหน้าเหยเกหมดท่า

     

                    ด... เดี๋ยวก่อน  เจ้าอย่าเพิ่ง...

     

                    ก่อนที่จะได้กล่าวจบ  เตเต้ได้หนีหายไปจากสายของทุกคนเสียแล้ว  องค์ชายที่พยายามจะลุกขึ้นตามกลับถูกขวางด้วยเอเดรียนที่ยังคงสับสนกับชีวิตอยู่  แต่ก็ถูกองค์ชายที่ช่วงล่างเสียหายอย่างหนักผลักถอยห่าง  ก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกไป  ปล่อยทิ้งให้เอเดรียนยืนกำหมัดแน่นอยู่เพียงผู้เดียว

     

                    .........................

                    ...............           

                    .......

                    ..   

     

     

    ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำและสายฟ้าฟาดอย่างไม่ปราณีภายนอก  โรงเรียนงานบ้านงานเรือนแห่งนครรัฐกลับทั้งมืดและเงียบเชียบราวกับถูกทิ้งร้าง  มีเพียงเสียงต๊อกแต๊กของนาฬิกาคุ๊กคูที่ทำให้รู้สึกว่าที่แห่งนี้ยังมีคนคอยดูแลอยู่  เนื่องจากสภาพอากาศที่วิปริตกระทันหันทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ที่ถูกเกณฑ์ไปช่วยงานในตัววิทยาลัยต้องนอนค้างคืนอยู่ทางโน้น  และนักเรียนที่เหลืออีกเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนต่างก็เข้านอนในห้องเรียนจนหมดสิ้น

     

    กระนั้นภายในห้องโถงรวมกลับมีเปลวไฟสีส้มจากตะเกียงบนโต๊ะส่องแสงรำไรอยู่เพียงเดียวดาย  แถวโต๊ะยาวที่รองรับนักเรียนได้ครึ่งร้อยกลับถูกจับจองโดยหญิงสาวเพียงผู้เดียว

     

    ซีเรียนั่งอยู่อย่างสำรวมไม่ห่างจากตะเกียง  ในมือกุมถ้วยชาที่น้ำชาเย็นชืดไปนานแล้ว  ใบหน้าคมคายของสาวงามดูสงบนิ่ง  และยิ่งเมื่อฉาบกับแสงสีส้มจากตะเกียงทำให้เธอกลายเป็นดั่งเทพธิดาที่กำลังสวดภาวนาแด่หมู่ดารา

     

    ทว่าภาพร่างของเทพธิดาเป็นเพียงฉากหน้าของซีเรียในเวลานี้  แสงตะเกียงฉายเงาทะมึนยักษ์ของเมดสาวที่ทาบกับกำแพงราวกับฉายความมืดมิดที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ภายใน  เป็นดั่งอสูรร้ายที่ที่แอบซ่อนอยู่ในคราบของความสงบนิ่ง

     

    มันไม่น่าแปลกเลยที่ซีเรียจะอารมณ์คุกรุ่นในเวลานี้  หล่อนเพิ่งส่งตัวเจ้านายตัวน้อยไปสู่เงื้อมือของฉลามกระหายที่จะขย้ำลูกปลาน้อยอย่างไร้ความปราณี

     

    ถึงเตเต้จะบอกว่าให้ไว้ใจเธอ  และบอกว่าเจ้าชายผู้นั้นดูเป็นคนที่ใช้เหตุผลพูดคุยกันได้  ทว่าเตเต้นั้นยังอ่อนต่อโลกนัก  องค์หญิงน้อยถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นที่เอ็นดูของทุกคนในเกาะ  ทำให้เด็กสาวตัวน้อยอาจหลงลืมธรรมชาติอันแสนโหดร้ายของโลกนี้ว่า  ผู้ชายนั้นล้วนเป็นสัตว์ป่า

     

    เธอไม่น่าปล่อยให้เตเต้ไปเลย  การตัดสินใจดังกล่าวทำให้เธอต้องเฝ้ารอคอยการกลับมาที่อาจไม่มาถึง  เมื่อเหลือบมองเข็มนาฬิกาก็ยิ่งทำให้ใจร้อนรน 

     

    หากเจ้าองค์ชายที่ว่าบังอาจทำอะไรมิดีมิร้ายต่อเจ้าหญิงตัวน้อยของเธอแล้วล่ะก็  

     

    ถึงแม้สวรรค์จะให้อภัย  แต่ซีเรียผู้นี้จะไม่มีวันปล่อยมันไปแน่ !  เธอจะทำให้มันผู้นั้นต้องเสียใจที่เกิดมาเป็นผู้ชาย !

     

    สาวใช้ผมสีเกาลัดละมือจากถ้วยชาไปลูบคลำกระเป๋าเดินทางหนังที่วางอยู่ข้างเคียง  มันคือสัมภาระพิเศษที่เธอขนติดตัวอยู่ตลอด  เป็นของส่วนตัวที่องค์หญิงเตเต้ยังไม่เคยเห็นสิ่งของที่แอบซ่อนอยู่ภายใน  และมันมีเหตุผลที่ดีที่ซีเรียไม่อยากให้องค์หญิงได้รับรู้ถึงสิ่งของภายในกระเป่าใบนี้

     

    อ้าว  เธอยังไม่นอนอีกหรือ ?

     

    ผู้ที่ทำลายบรรยากาศอำมหิตภายในห้องคือเมดสาวผมสีเงินเมลิซซ่าในชุดนอนวันพีชตัวโคร่ง  เธอยืนเท้าสะเอวด้านซ้ายในขณะที่มืออีกข้างถือเชิงเทียน 

     

    "ฉันปลุกเธอเหรอ"  ซีเรียกล่าว

     

    "เปล่าหรอก  แอบมาหาอะไรกินน่ะ"

     

    "งั้นเหรอ"  ซีเรียยิ้มตอบ  เพียงแต่รอยยิ้มดังกล่าวไร้ซึ่งประกายของความเจิดจรัสที่ละลายหัวใจของทั้งชายและหญิง  มันดูฝืนกล้ำกลืน  เต็มไปด้วยความอดกลั้นบางอย่างที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ

     

    เมลิซซ่าเหล่ตามองพลางเดินเอามือลากไปกับพื้นโต๊ะ  ก่อนจะยกตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับซีเรีย 

     

    "เป็นห่วงยายหนูนั่นสินะ" 

     

    ซีเรียพยักหน้าตอบพร้อมชายตาที่ดูอ่อนแอหาเพื่อนสาวตรงหน้า  มันทำให้เมลิซซ่าถึงกับมีท่าทีร้อนรนอย่างประหลาด 

     

    "ก... ก็นะ  ก็เป็นคนสำคัญของเธอนี่นา"

     

    ซีเรียมิได้ตอบ  หล่อนหันไปมองนาฬิกาคุ๊กคูบนผนังด้วยสายตาเลื่อนลอย —

     

    เมลิซซ่ากลืนน้ำลายดังเอื้อกพลางเกาศีรษะแก้เก้อ ราวกับว่าอยากจะถามอะไรบางอย่าง  แต่รู้สึกลำบากใจเกินกว่าจะกล่าวออกมา

     

    กระนั้นเมดสาวผมเงินสกปรกก็เก็บความสงสัยเอาไว้ได้ไม่นานนัก

     

    "นี่ซีเรีย... แน่ใจนะว่ายายเด็กนั่นไม่ใช่ลูกของเธอน่ะ" 

     

    "บอกแล้วไงว่าไม่ใช่... ทำไมถึงยังคิดอย่างนั้นอยู่ล่ะ" 

     

    "ก็... คือจะว่ายังไงดีล่ะ"  เมลิซซ่าเปลี่ยนมาเป็นเล่นกับปอยผมเปียของหล่อนแทน  "ดูเหมือนเธอจะให้ความสำคัญกับแม่หนูนั่นมากกว่าเป็นแค่ลูกของผู้มีพระคุณน่ะ" 

     

    "เมลิซซ่าเอ๋ย  แล้วทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับระดับของลูกของผู้มีพระคุณล่ะ ?"

     

    "เอ่อ..."  เมลิซซ่าหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง  ทว่าสีหน้าของหล่อนยังคงเต็มไปด้วยความกังขา  เมื่อเห็นดังนั้นซีเรียจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางส่งยิ้มที่ดูผ่อนคลายขึ้นแก่เพื่อนสาวตรงหน้า

     

    "เรื่องที่เตเต้เป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน...แต่ที่เธอพูดมามันถูกอยู่ส่วนหนึ่งนั่นล่ะ  ฉันคิดว่าเตเต้เหมือนเป็นลูกของตัวเองนั่นล่ะ"  ซีเรียแค่นหัวเราะเบา ๆ ติดตลกคำพูดของตัวเอง  "ฮะฮะฮะ  ที่จริงแล้วก็อยากรู้สึกว่าเป็นพี่สาวมากกว่านะ  เพียงแต่ว่า... พอดูแลไปนานเข้ามันก็อดที่จะคิดอย่างนั้นไม่ได้แล้วล่ะ... ไม่สิ  จริง ๆ แล้วฉันอาจจะอยากเติมเต็มบทบาทที่หายไปของครอบครัวนั้นก็เป็นได้  ทั้งพ่อทั้งลูกก็เหลือเกิน...  ให้ตายสิ ! นี่ฉันพูดอะไรเพี้ยน ๆ ออกมาล่ะนี่"

     

    เมลิซซ่าที่นั่งฟังอยู่ตลอดมีสีหน้าจริงจังผิดวิสัยปรกติ  เธอจดจ้องหน้าของซีเรียราวกับได้รับรู้อะไรบางอย่างที่น่าตื่นตกใจ

     

    "นี่ซีเรีย... ที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นแม่น่ะ  ไม่ใช่ว่าเธอ 'อยากเป็นแม่' ให้กับเด็กนั่นในอีกความหมายหรอกหรือ ?"

     

    ซีเรียไม่ทราบว่าเธอมีสีหน้าอย่างไรในเวลานั้น  แต่มันก็คงพิเศษพอที่ถึงขนาดทำให้เมลิซซ่าทำหน้าอย่างกับเห็นผีอย่างนั้น  เมดสาวผมเงินไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าตกใจได้จนถึงกับต้องยกมือขึ้นป้องปาก

     

    สาวใช้ผู้กลัดกลุ้มไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเพื่อนสาวผมเงินถึงมีท่าทางเช่นนั้น

     

    "มันเห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือ ?"  ซีเรียถามอย่างปลงตก

     

    "อ...อื้อ"  เมลิซซ่าตอบอย่างเลิกลัก  "เธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ  ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเธอ —"

     

    ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบที่ซีเรียยื่นตัวมาพร้อมกับใช้นิ้วชี้มือขวาแตะริมฝีปากของเมลิซซ่าไว้

     

    "จุ๊ จุ๊... อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปสิจ๊ะ"  ใบหน้าอันขาวผ่องของเมดสาวแสนงามเริ่มจ่อชิดจนเกือบขนปลายจมูกของเมลิซซ่า  "ยังไม่ทันได้พิสูจน์อะไรก็บอกได้แล้วหรือว่าฉันเปลี่ยนไปขนาดไหน ?"

     

    ลมหายใจอุ่น ๆ ของทั้งสองสัมผัสใบหน้าซึ่งกันและกัน  แต่ที่ดูจะเปลี่ยนไปมากที่สุดเห็นจะเป็นฝ่ายเมลิซซ่าที่ใบหน้าแดงฉาดเป็นลูกตำลึง  เธอพยายามเอี้ยวตัวถอย  เพียงเพื่อพบว่าซีเรียเองก็กระเถิบร่างเข้าชิด

     

    "จ... จะเริ่มตรงนี้ ม...ไม่ได้นะ  เดี๋ยวคนอื่นเห็น"

     

    นัยน์ตาสีทองแดงของเมลิซซ่าพยายามเบือนหนี  หากแต่มือของซีเรียที่สัมผัสปากในตอนแรกเปลี่ยนเชยคางของหล่อน  บังคับมิให้หลบหน้าได้

     

    "คนอื่นเห็น ?  แล้วคิดว่าเรากำลังจะทำอะไรที่ถ้าคนอื่นเห็นแล้วจะเป็นปัญหาล่ะ ?"

     

    นิ้วเริ่มสัมผัสอย่างอ่อนโยนบนริมฝีปากของเมลิซซ่าที่ไร้การขัดขืน  ริมฝีปากคู่งามของอีกฝ่ายเริ่มประชิดเข้าใกล้ทุกขณะ

     

    "ม... ไม่ได้นะ"

     

    ถึงจะพูดอย่างนั้น  แต่เมลิซซ่าหลับตาปรือพลางเผยอปากแล้ว

     

    เมลิซซ่าเตรียมพร้อมรับทุกอย่างที่กำลังจะเกิดเหมือนทุกครั้งในอดีต

     

    "................"

     

    ทว่าสิ่งที่เธอรออยู่นั้นกลับมาไม่ถึง

     

    "ดูเหมือนจะไม่ได้จริง ๆ ด้วยล่ะ" 

     

    ซีเรียกล่าวพลางถอยตัวหนีโดยมิได้สนใจถึงท่าทีที่รอเก้อของเมลิซซ่า  เธอเดินไปยังบานกระจก  ก่อนจะเปิดล็อกและอ้าบานหน้าต่างออก

     

    สายลมและเม็ดฝนต่างพรั่งพรูเข้ามาในห้องทันที  เมลิซซ่าตกใจมากที่จู่ ๆ ซีเรียเปิดหน้าต่างออกมาในยามนี้  แต่อีกชั่วอึดใจต่อมาเมลิซซ่าจะยิ่งตกใจขึ้นอีกเมื่อซีเรียกล่าวขึ้นท่ามกลางเนื้อตัวเปียกปอนว่า

     

    "เข้ามาก่อนสิคะ  เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ"

     

    หลังจากที่ซีเรียกล่าวจบไม่นาน  ก็มีร่างเงาตะคุ่มโผล่ขึ้นมาจากริมหน้าต่าง

     

    บุคคลดังกล่าวคือเตเต้ในสภาพเปลือยเปล่า และเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด

     

    .....................

    ...............

    .........

    ....

     

                    ให้ตายสิ  ทำไมถึงทำอะไรห่าม ๆ อย่างนี้ล่ะคะ

     

                    ซีเรียกล่าวขึ้นระหว่างกำลังเช็ดผมที่เปียกชุ่มอย่างเหนื่อยใจ  ใบหน้าแสนงามราวรูปปั้นแม่พระนั้นแปดเปื้อนด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจกับองค์หญิงพระองค์น้อยที่นั่งทรงหนาวสั่นอยู่หน้ากองเพลิงลุกโชนในเตาผิง  ร่างกายที่เคยเปียกปอนบัดนี้ถูกบรรจงเช็ดจนแห้ง  และห่อผ้าไว้อย่างดีราวกับเป็นวัตถุแตกง่ายอันล้ำค่า

     

                    ฉันทุบประตูเรียกตั้งหลายทีไม่เห็นมีใครเปิดให้นี่นา  เตเต้เอามืออังกับเตาไฟพร้อมกับจามฮัดเช้ยอย่างเต็มกำลังเป็นการแถมท้าย

     

                    ไม่ใช่ค่ะ  ดิฉันหมายถึงที่เตเต้ว่ายน้ำจากวิทยาลัยมาในสภาพอย่างนี้ต่างหาก  ซีเรียเหลือบมองเรือนร่างเปลือยเปล่าที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าขาวนั่น  ขนกายของเด็กสาวยังตั้งโด่เด่จากการสัมผัสน้ำทะเลเย็นเฉียบตลอดทาง  แต่ดีแล้วล่ะที่เตเต้ปลอดภัย  ว่าอย่างนั้นไหม  เมลิซซ่า 

     

                    ซีเรียหันไปหาเมลิซซ่านั่งถัดออกไปไม่ห่าง  ใบหน้ายังคงแดงก่ำด้วยความอับอายจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่หาย 

     

                    เรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นหลังจากเหตุการแห่งความปวดร้าวและการเตะผ่าหมากองค์ชายข้าวเจ้าเสียจนทรุด  องค์หญิงประสงค์อยากแรงกล้าที่จะหนีออกไปจากที่นั่นให้ไกลที่สุด  แล้วจะไปที่ไหนล่ะ ?  สำหรับเตเต้แล้ว  มันมีอยู่เพียงคนคนเดียวที่พึ่งพาได้  ซึ่งนั่นคือซีเรียที่ยามนี้พำนักอยู่กับเมลิซซ่าในโรงเรียนงานบ้านงานเรือน

     

                    ปัญหาต่อมาคือ  แล้วจะไปยังโรงเรียนอย่างไรดีล่ะ ?  ยามค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้คงไม่มีเรือกอนโดล่ารับจ้างออยู่เป็นแน่  จะเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยก็ต้องผ่านทหารยามเจ้าปัญหาพวกนั้นอีก  ดังนั้นหล่อนจึงเหลือทางเดียวคือการว่ายน้ำไปตามคลองโดยสาร   ซึ่งสำหรับคนธรรมดาแล้ว  สภาพอากาศบ้าคลั่นเยี่ยงนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้   แต่สำหรับเตเต้ที่เป็นเงือกและสามารถดำน้ำได้อย่างยาวนานนั้นหาได้ยากเย็นไม่   ถึงกระนั้นเตเต้ก็จำเป็นต้องถอดเสื้อและซ่อนไว้ที่วิทยาลัย  ก่อนจะว่ายน้ำในสภาพเปลือยเปล่า  ทวนกระแสน้ำแสนเย็นเฉียบจนรู้สึกคล้ายผิวถูกกรีดอย่างไร้ปราณี   กว่าจะว่ายมาถึงโรงเรียนก็แทบจะหนาวจนสิ้นพระชนม์คาคลองไปเสียแล้ว

     

                    เมื่อเตเต้พยายามจะเปิดประตูเข้ามาก็ทรงพบว่าประตูนั้นได้ถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา  ถึงกระนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคนบางคนอยู่ด้านใน  แม้ว่าจะทุบประตูร้องเรียกสักเท่าไร  ก็ไม่มีใครโผล่หัวมาเปิดให้สักราย  ลมข้างนอกก็แสนจะแรงจนเม็ดฝนแทบจะสาดเป็นเส้นตรงขนานกับพื้น  เตเต้จึงเที่ยวควานหาทางเข้าจนในที่สุดก็พบว่าห้องโถงกลางมีแสงไฟอยู่  จึงจะไปขอให้คนในห้องเปิดให้  แต่ก่อนจะได้เคาะหน้าต่างก็บังเอิญไปเห็นเหตุการณ์บางอย่างเสียก่อน —

     

                    "ว่าแต่ทำไมเตเต้ถึงไม่เคาะเรียกตั้งแต่แรกล่ะคะ ?"

     

                    เตเต้รีบส่ายหัวปฏิเสธจะตอบคำถามทั้งใบหน้าที่แดงก่ำ  ปฏิกิริยาของเตเต้ยิ่งทำให้เมลิซซ่าเขินอายหนักขึ้นไปอีก

     

                    ถ้ายังทำหน้าแบบนั้นได้คงไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นสินะคะ ?"  ซีเรียกล่าวพลางชำเลืองกระเป๋าพิเศษของหล่อนอย่างเงียบเชียบ

     

                    "ก็ไม่เชิงไม่มีปัญหาหรอกนะ"

     

                    "อย่างนั้นก็คงเกิดเรื่องอะไรขึ้นสินะคะ  ซีเรียถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะแอบกระซิบข้างหูด้วยความเป็นห่วง  ประเดี๋ยวเรารีบกลับไปพักที่โรงเตี๊ยมของร็อคซาน่าก่อนดีกว่านะคะ  ถ้าเกิดยังอยู่ต่อที่นี่แล้ว...        

     

    ม... ไม่มีอะไรหรอก  ก็แค่...  องค์หญิงน้อยขบกัดริมฝีปากอย่างหนักใจ  ฉ... ฉันแค่อยากจะมาเจอซีเรียนะ  อ้อ  ใช่แล้ว  ฉันเจอยายคริสเทียน่าที่วิทยาลัยด้วยล่ะ  ถึงเส้นผมและลักษณะท่าทางจะดูต่างไป  แต่ใบหน้านั่นไม่ผิดแน่นอน...  แล้วก็นะ...

     

    ซีเรียยืนจ้องมององค์หญิงพระองค์น้อยที่เธอเคยดูแลมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  และรู้ได้ทันทีว่า  เตเต้ต้องแอบซ่อนปัญหาบางอย่างไว้แน่  แทนที่จะกล่าวอะไรออกไป  เธอกลับเพียงแค่โอบกอดองค์หญิงน้อยอย่างแผ่วเบา 

     

    ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้วล่ะคะ  แต่อยากให้เตเต้รู้นะคะว่าอย่างน้อยในที่แห่งนี้ยังมีดิฉันอยู่

     

    เตเต้ได้แต่แหงนขึ้นมองเพดาน  พลางบ่นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า  จะบ้าเหรอ... พูดอย่างกับว่าฉันเป็นเด็กขี้เหงางั้นล่ะ

     

    และแล้ว  พายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอกก็ค่อย ๆ จางหายไป  ราวกับน้ำตาที่แห้งเหือดเสียแล้ว

     

    ...............................

    .......................

    ..............

    ....

     

    ในขณะนั้นเอง

     

    ที่ริมลำคลองภายนอกอาคารของวิทยาลัยโซเฟีย  องค์ชายแห่งราชอาณาจักรข้าวเจ้า  ที่เนื้อตัวเปียกปอนจากการไปโน่นมานี่ซะทั่วปราสาท  กำลังยืนมองกองเสื้อสาวใช้ที่แอบซ่อนอยู่ในถังไม้ริมด้วยความสงสัย  เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาสูดดมสักฟอดใหญ่

     

    จากนั้น  รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขา

     

    เอาล่ะ  ตอนนี้ก็เหลือแต่รอเจ้าตัวกลับมาสินะ"


    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: Dec 16th, 2008: จบตอนแบบเบลอ ๆ
    Edit Log: Dec 17th, 2008: แก้ไขเล็กน้อย...
    Edit Log: Jan 1st, 2009: เพิ่มรายละเอียดในเรื่องเล็กน้อย
    Edit Log,: July 13rd, 2011: มหกรรมรีไรท์

    Edit Log: June 2nd, 2013: รีไรท์เปลี่ยนเนื้อหา + เปลี่ยนชื่อตอน 

     

     

           

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×