คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : การเผชิญหน้าระหว่างความจริงที่ไม่ได้เอ่ย กับความเข้าใจผิดที่ไม่ได้รับการแก้ไข
“เอาล่ะ การแสดงจบแล้ว! กลับไปทำงานกันต่อเร็วเข้า”
คุณป้าหัวหน้าแม่บ้านเดินแทรกฝูงชนมาก่อนยืนตะโกนตบมือสั่งให้ทุกคนกลับไปประจำหน้าที่ดังเดิม
“เบนี่ แม็ท แกสองคนช่วยซ่อมม่านนี้ด่วนเลย ฉันไม่อยากให้เจ้าม้านั่นตื่นอีก”
คุณป้าสั่งการอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะหันไปหาปัญหาอย่างสุดท้ายตรงหน้า
เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นยังคงดังออกมาไม่หยุดจากแม่บ้านฝึกหัดสาวที่หล่อนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทว่าดูจากการที่อัศวินหนุ่มนั่นนั่งปลอบประโลมอย่างนอบน้อมอยู่ข้างเคียงก็น่าจะเป็นคนรู้จักกัน
“คุณอัศวิน มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวเรื่องทางนี้ผมจัดการเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณอัศวินก็แล้วกันนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวดิฉันจะส่งคนมาบอกเมื่อถึงเวลาของท่าน โปรดเตรียมพร้อมเมื่อถึงเวลานั้นด้วยนะเจ้าคะ”
ว่าแล้วเธอจึงถอยฉากปล่อยให้เอเดรียนทำตามที่ใจปรารถนาต่อไป
“พระองค์เสียพระทัยเรื่องอันใดหรือพะยะค่ะ” เอเดรียนถามอย่างอ่อนโยน “หรือว่าพระองค์ไม่พอพระทัยที่กระหม่อมอาสามาเป็นอัศวินประจำพระองค์...”
“ป... เปล่าหรอก” เตเต้ส่ายหน้าพลางเช็ดน้ำตาพลางยิ้มแก้มแป้นทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่เล็กน้อย “ฉันดีใจมากต่างหากล่ะ ดีใจมากเลยที่เอเดรียนอุตส่าห์ยอมลดตัวลงมาเพื่อตัวฉันขนาดนี้”
“มิบังอาจหรอกพะยะค่ะ กระหม่อมต่างหากถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งได้รับใช้องค์หญิงพะยะค่ะ”
เตเต้จ้องมองท่าทางอันขวยเขินของหนุ่มน้อยตรงหน้าก็พลางหน้าแดงก่ำจนต้องรีบหันไปอีกทาง
“นี่เอเดรียน ทำไมถึงได้อาสามาเป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงบ้านนอกเช่นตัวฉันล่ะ ทั้งที่เป็นอันดับหนึ่ง...”
พอเมื่อเตเต้เอ่ยคำว่าอันดับหนึ่งก็พลางนึกเรื่องบางอย่างออกได้ ตาของหล่อนเบิกกว้างมองเอเดรียนอย่างตื่นเต้น
“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าอย่างน้อยก็หมายความว่าเอเดรียนชนะการประลองนั่นนะสิ”
“พระเจ้าเพียงแค่ประทานพรให้กระหม่อมโชคดีเท่านั้นล่ะพะยะค่ะ ความจริงแล้วยังมีอีกหลายคนที่เก่งกาจกว่ากระหม่อมมากมายนัก”
“ไม่หรอก ทั้งทีเจ้ายักษ์นั่นยังโดนหามโชกเลือดออกมาจากลานประลองเลย แต่เอเดรียนถึงขนาดเป็นที่หนึ่งได้นี่...”
“เจ้ายักษ์? พระองค์คงหมายถึงท่านแมกซิมัสผู้นั้นสินะพะยะค่ะ ความจริงแล้วถ้าท่านไม่บาดเจ็บในตอนรอบคัดตัว กระหม่อมคงไม่อาจชนะได้หรอก”
“หมายความว่าเอเดรียนเป็นคนจัดการเจ้ายักษ์นั่นซะโชกเลือดเลยเหรอ”
แม้แต่เอเดรียนเองยังต้องตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขององค์หญิงหญิงผู้นี้ นัยน์ตาที่เคยเปียกชุ่มบัดนี้กลับดูระยิบระยับเป็นประกายราวกับฟ้าหลังฝน เตเต้ยื่นหน้าเข้ามาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจกับสิ่งที่เอเดรียนเล่าออกมาราวกับหลานสาวตัวน้อยกำลังฟังเรื่องเล่าของคุณปู่
เมื่อเห็นท่าทีอันร่าเริงแจ่มใสเยี่ยงนี้ เอเดรียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างสุขใจ
“เห็นองค์หญิงร่าเริงเช่นนี้ กระหม่อมก็โล่งใจแล้วพะยะค่ะ”
เมื่อเด็กหนุ่มรูปงามราวเทพบุตรจำแลงส่งยิ้มให้ให้เช่นนี้นั้น นอกเหนือจากหญิงสาวที่แทบจะพลีกายถวายใจเพียงเพื่อรอยยิ้มนั้นแล้ว แม้แต่บุรุษผู้มักมากในสตรีเพศยังมิอาจหักห้ามใจเหลือบมองรอยยิ้มนั้นด้วยความหลงไหล...
แล้วมีหรือเตเต้รอดพ้นไปจากเสน่ห์อันใสซื่อนี้ได้
หล่อนรีบยกมือขึ้นปิดบังหน้าที่ร้อนผ่าวราว
“ข... ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง”
และแน่นอนว่าสิ่งที่เตเต้เอ่ยออกมานั้นประกอบไปด้วยภาษาถึง 3 ภาษาจนไม่อาจแปลความออกมาโดยง่าย แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะสื่อความหมายออกมาให้เอเดรียนได้รับรู้
“ล... แล้วอีกอย่าง” องค์หญิงน้อยที่ทรงรวบรวมสติได้อีกครับหันมามองเอเดรียนที่ยังคงจ้องมองหล่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ “คำราชาศัพท์นะมันเป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันออกนะ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้สึกคุ้นเคยกับมันนักหรอก แค่คำพูดเป็นกันเองก็พอแล้ว”
“ต้องขออภัยด้วยพะยะ...ขอรับที่ทำให้พระองค์ต้องลำบากพระท...ใจมาตั้งนาน”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเกิดถนัดพูดแบบไหนก็แบบนั้นไปเถิด”
“ไม่หรอกครับ ถ้าองค์หญิงโปรดเช่นไรกระผมก็ยินดีทำเช่นนั้น ในฐานะของผู้ที่จะถวายตัวรับใช้องค์หญิงแล้ว ความประสงค์ของท่านก็คือความประสงค์ของกระผมเช่นกันครับ”
สำหรับพระองค์แล้วมันไม่มีคำพูดอื่นหลุดออกมาจากปากนั่นอีกนอกจากความขวยเขินที่มิอาจหยุดยั้งได้...
“อ้อ ผมเกือบลืมตอบคำถามขององค์หญิงไปนะครับ ความจริงแล้วมันเป็นสัญญาที่กระหม่อมได้เคยให้ไว้กับพระองค์หลังจากเหตุการณ์ที่องค์หญิงถูกจับเป็นตัวประกันนั่นล่ะครับ...”
“หมายความว่าเอเดรียนก็แค่ต้องทำตามสัญญาที่เผลอให้ไว้แค่นั้นเองใช่ไหม”
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงมีท่าทีหม่นหมองไปกับคำพูดเมื่อสักครู่ เอเดรียนก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมนั้นต้องการรับใช้องค์หญิงจากใจจริงเลยนะครับ ถึงมันอาจจะเล็กน้อยเท่าฝุ่นผงธุลี มันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผมในช่วงนั้นยังมีความบังอาจกังขาในตัวตนของพระองค์อยู่บ้าง แต่เมื่อทางวิทยาลัยยืนยันมาแล้วกระผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องละอายกับข้อสงสัยนั่น ถึงอย่างไรเสียผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรู้ว่าจะได้ทำตามคำมั่นสัญญานั่นเสียที”
“แต่เอเดรียนก็ยังไม่ได้บอกอยู่ดีว่าทำไมถึงอยากมาเป็นอัศวินประจำตัวฉันนะ”
“นั่นสินะครับ ผมเองนั้นก็ตอบไม่ได้อย่างชัดเจนหรอกครับ”
แต่ดูจากท่าทางแล้วเอเดรียนคงมีคำตอบอยู่ชัดเจนแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ทำหน้าตาขวยเขินอย่างที่กำลังเป็นอยู่ออกมาหรอก
“น่า... บอกมาเถอะ”
ใบหน้าแดงระเรื่อขององค์หญิงที่แอบเหลือบมองเอเดรียนจากฝ่ามือทำเอาอัศวินรูปงามถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื้อกอย่างช่วยไม่ได้
“ค... คงจะเรียกว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ว่าได้นะครับ”
“ประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?”
“ใช่ครับผม เพราะตั้งแต่ที่ผมได้เฝ้ามองพระองค์ที่ยืนยัดอย่างกล้าหาญแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงถึงชีวิตก็ตาม หรือยามเมื่อผมจมดิ่งลงไปในใต้ผืนน้ำแสนเย็นยะเยือกนั่นแล้ว ฝ่ามืออันแสนอบอุ่นที่องค์หญิงชุดรั้งกระผมจากห้วงแห่งความมืดมิดแสนหนาวเหน็บนั้นยังรู้สึกได้อยู่เลยล่ะครับ ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้าหญิงหรือไม่ก็ตาม หัวใจความเป็นอัศวินของผมมันก็เรียกร้องว่านี่ล่ะคือผู้ที่เราควรต้องปกป้องด้วยชีวิต นับตั้งแต่นั้นจิตใจของกระผมก็ได้มอบให้กับพระองค์แล้วล่ะครับ”
เมื่อได้ยินคำหวานเช่นนั้น มีหรือที่องค์หญิงน้อยจะอดหน้าแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศเสียไม่ได้
“เพราะฉะนั้นแล้ว ขอให้กระผมเป็นโล่และดาบคอยปัดป้องภัยอันตรายทั้งปวงด้วยเถิดครับ”
ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เตเต้จะรู้สึกถึงคุณค่าของตนได้เท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว มันราวกับว่าคำพูดของเอเดรียนนั้นได้เติมเต็มที่สิ่งโหยหามาอย่างยาวนาน ร่างกายนั้นดูเบาจนแทบจะโบยบินไปในท้องนภาได้เสียในตอนนั้นเลย
ทว่า...
ประโยคต่อไปที่เอเดรียนจะกล่าวออกมานั้นดึงองค์หญิงน้อยจากโลกแห่งความฝันกลับมาสู่ความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย...
“เอ... ผมอยากจะถามมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่องค์หญิงออกเดินเตร็ดเตร่ระหว่างงานเลี้ยงเช่นนี้จะดีหรือครับ ”
ทั้งที่เมื่อสักครู่ท้องฟ้ายังแจ่มใส ดวงจันทร์ยังอวดโฉมท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่แท้ ๆ ทว่าเสียงฟ้าร้องดังครืนดังสนั่นไปทั่วราวกับส่งเสียงร้องแทนความรู้สึกของใครบางคน เจ้าม้าขาวแสนสง่างามส่งเสียงตกใจจนผู้ดูแลต้องพยายามปลอบขวัญจ้าละหวั่น
“ทางวิทยาลัยอุตส่าห์จะให้ผมขี่ม้าเข้าไปกลางงานเพื่อประทับใจองค์หญิงแท้ ๆ แต่เจ้าเฮอเมสดันตื่นเสียอย่างนี้คงจะไม่ได้แล้วล่ะครับ”
เอเดรียนหันไปมองเจ้าม้าที่กำลังตื่นตระหนกโดยไม่สนใจว่าองค์หญิงที่อยู่ข้างเคียงกำลังนัยน์ตาเบิกกว้างราวกับโดนสายฟ้าเมื่อสักครู่ฟาดเข้ากลางพระทัย
เสียงเม็ดฝนตกกระทบภายนอกเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งสายฝนแข่งกับวงบรรเลงเครื่องสายในงาน
เอเดรียนหันกลับมามององค์หญิงโดยเข้าใจว่ากำลังก้มหน้าด้วยความเขินอายเหมือนครั้นที่ผ่านมา จึงกล่าวต่อไป
“แต่ผมก็ไม่นึกว่างานเลี้ยงนี้จะเป็นงานเลี้ยงแฟนซีนะครับจนมาเห็นชุดที่พระองค์แต่งอยู่ ถ้าใครไม่รู้จักพระองค์คงเผลอนึกไปว่าเป็นสาวใช้ธรรมดาแน่เลยนะครับ”
แน่นอนว่าเจตนาของเอเดรียนนั้นไร้ซึ่งความมุ่งร้ายแอบแฝง แต่คำพูดอันซื่อตรงของเอเดรียนกลับทิ่มหัวใจของเตเต้จนเรื่องที่ผ่านมานั้นมิอาจเทียบได้แม้แต่น้อย
ใช่แล้ว... ตอนนี้เอเดรียนยังคงเชื่อว่าเตเต้คือเจ้าหญิงที่อยู่ในงานนั่น แต่ถ้าหลังจากเอเดรียนได้รับรู้ความจริงที่ว่าองค์หญิงตาลอสติเตสแห่งอาณาจักรหอยกาบที่เขาจะสาบานถวายตัวรับใช้นั้นเป็นคนล่ะคนกันเล่า...
แล้วเอเดรียนจะยังคงเชื่อว่าองค์หญิงเตเต้เป็นเจ้าหญิงแท้จริงอยู่อีกหรือ?
แสงสีขาวสว่างวาบก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟาดค้อนของเทพเจ้าแห่งสายฟ้าดังกึกก้องจนรู้สึกถึงแรงสั่นไหวได้อย่างชัดเจน ในความเป็นจริงแล้วเจ้าอาชาขาวแสนสง่านั่นถูกฝึกไว้เป็นอย่างดีต่อเสียงดังเฉกเช่นม้าศึกฝึกให้คุ้นกับเสียงปืน แต่ท้องฟ้าแสนวิปริตยามนี้ทำให้มันตื่นกลัวอย่างที่เหล่าผู้ดูแลก็ไม่เคยเห็นอาการเยี่ยงนี้มาก่อน
“นี่เอเดรียน”
“มีอะไรหรือครับ”
องค์หญิงหัวยุ่งค่อย ๆ เงยหน้า จ้องมองตาสีน้ำทะเลนั่นอย่างลำบากใจ มือข้างหนึ่งสัมผัสมือของอัศวินหนุ่มในชุดสีขาวบริสุทธิ์
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องบอกเอเดรียนนะ คือว่า...”
“ครับ?”
เอเดรียนกุมมือตอบรับอย่างตั้งอกตั้งใจ
เตเต้กลืนน้ำลายอย่างลำบากใจกับสิ่งที่จะกล่าวออกมา
ถึงปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ต่อไปเอเดรียนจะต้องรู้ความจริงอยู่ดี สู้พอธิบายเสียตอนนี้จะเป็นผลดีกว่ามาก นั่นคือสิ่งที่เตเต้นึกคิดในใจ
แต่การกระทำนั้นมันช่างยากกว่าที่คิดหลายเท่านัก!
ทันใดนั้นเอง ก่อนที่คำอธิบายเรื่องราวทั้งหมดจะได้ถูกเอ่ยออกมา ผ้าม่านสีแดงเลือดหมูที่ขวางกั้นโลกแห่งความฝันและความเป็นจริงได้ถูกเลิกออกมาดังพรึ่บโดยมิได้มีการบอกเตือนล่วงหน้าแม้แต่น้อย
“อ่าฮ่า! เจ้ามาแอบซ่อนอยู่ ณ ที่แห่งหนนี้เองหรือ ปล่อยให้เราต้องเที่ยวตามหาเสียเนิ่นนาน”
ทั้งเตเต้และเอเดรียนต่างหันควับไปยังทิศของเสียงจนสิ่งที่กำลังจะกล่าวออกมาต้องกลืนลงคอไปจนหมดสิ้น
บุรุษเจ้าของสำเนียงเพี้ยนปานสุนัขหัดขันเดินอาด ๆ เข้ามาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเลยว่ากำลังขัดจังหวะสำคัญของเตเต้พอดิบพอดี เขาหยุดเดินอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อนัยน์ตาสีดำเข้มนั้นเห็นมือของทั้งสองกุมแน่นอย่างกลมเกลียวราวกับต่างเป็นของซึ่งกันและกัน
“ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรหรือครับ”
โดยมิได้ตอบคำถามของเอเดรียน ชายหนุ่มร่างเล็กในชุดอาภรณ์หลุดลุ่ยก็รีบคว้าแขนองค์หญิงอย่างหงุดหงิด
เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เตเต้จะได้ทันโต้ตอบอะไร กระบี่เซเบอร์สีทองเย็นเฉียบถูกชักออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่ปลายแหลมคมจะหยุดห่างจากแก้มที่มีรอยเขียวช้ำของชายผู้นั้นเพียงแค่เศษปลายฝุ่น
“ปล่อยแขนองค์หญิงเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกไม่เหลือความอ่อนโยนของเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย เอเดรียนมิได้เอ่ยคำขอร้อง มันคือคำสั่งเด็ดขาดที่ไม่มีความจำเป็นต้องรักษามารยาทกับผู้ที่บังอาจกระทำรุนแรงกับองค์หญิงเยี่ยงนี้
ชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองเพียงเหลือบสายตามองปลายกระบี่ก่อนจะค่อยคลายมือปล่อยเตเต้ไป ซึ่งหล่อนก็รีบเคลื่อนตัวไปหลบอยู่เบื้องหลังเอเดรียนยิ่งทำให้ชายผู้นั้นขมวดคิ้วอย่างไม่ถูกใจเข้าไปอีก
“ถ้าไม่มีธุระใดอื่นจงรีบกลับไปเสีย เจ้าคนไร้มารยาท” เอเดรียนยังคงมิได้ลดปลายกระบี่ลง
“นี่หรือคือวิธีการทักทายคนที่ไม่รู้จักของผู้ที่มีอารยะนะ” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างไม่ยี่หร่ะแม้ว่าจะมีใครเอากระบี่เซเบอร์มาจ่อเช่นนี้
“แต่อย่างน้อยสุภาพบุรุษก็ไม่กระชากแขนสุภาพสตรีเยี่ยงนี้หรอก”
เอเดรียนไม่มีทีท่าจะยอมโอนอ่อนต่อบุคคลตรงหน้าแม้แต่น้อย ชายหนุ่มใช้นิ้วของตนแตะที่ปลายดาบเลื่อนมันให้พ้นใบหน้าราวกับเป็นเพียงเศษไม้ที่ขวางหูขวางตา
“เรานั้นมิใช่คนไร้มารยาทอย่างที่เจ้ากล่าวมาหรอก เราคือโอรสลำดับที่ 2 ในกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรข้าวเจ้า จ้าวผู้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำทั้งห้าแห่งแดนตะวันออกไกล เรานั้นเพียงแค่ต้องการตามตัวสาวใช้ส่วนตัวของเรากลับไปเท่านั้น”
เอเดรียนที่กำลังเก็บกระบี่ลงฝักกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังระแวงต่อองค์ชายผู้นี้อยู่ “ในห้องนี้ไม่มีสาวใช้ที่ท่านตามหาอยู่ และโปรดอย่าได้เสียมารยาทกับองค์หญิงของกระหม่อมอีกเป็นอันขาดพะยะค่ะ”
เสียงหัวเราะขององค์ชายหลังจากฟังสิ่งที่เอเดรียนเอ่ยออกมาแทบจะสอดคล้องกับเสียงฟ้าคำรามอย่างไม่หยุดหย่อน
“ให้ตายสิ ไม่นึกเลยว่าสายตาเจ้าจะฟ่าฟางได้เพียงเช่นนี้ ก็แม่นางที่สวมชุดแม่บ้านตะวันตกหลบอยู่เบื้องหลังเจ้านั่นแล จะหามีผู้อื่นที่ไหนเสียอีกเล่า” สายตาคมเข้มจดจ้ององค์หญิงที่บัดนี้หน้าซีดเผือกราวกับมันต้มที่กินไปเมื่อวานก่อน
“แม้พระองค์จะเป็นถึงเจ้าชาย แต่กระหม่อมก็มิอาจให้อภัยกับการเสียมารยาทต่อองค์หญิงเยี่ยงนี้ได้”
แต่ล่ะคำที่เอเดรียนกล่าวออกไปมากเท่าไหร่ เตเต้ก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในห้วงความเจ็บปวดมากเท่านั้น คำพูดที่แสนอ่อนโยน คำพูดที่พยายามปกป้องตนนั้นหากแต่กลับมาย้อนเชือดเฉือนจิตใจอย่างไร้ความปราณี ราวกับมีดสลักผลไม้ที่ค่อย ๆ หั่นแล่เนื้อตนอย่างทรมาน
ประหนึ่งพระเจ้าเบื้องบนของเอเดรียนยังไม่สาแก่ใจ ม่านได้ถูกเปิดอีกครั้งพร้อมกับการปรากฎตัวของแม่บ้านสาวนิรนามผู้มาแจ้งข่าวที่จะทำให้สายตาของเอเดรียนที่มององค์หญิงต้องเปลี่ยนไป
“ท่านอัศวินได้เวลาแล้วค่ะ องค์หญิงตาลอสติเตสและแขกในงานทุกท่านกำลังรอท่านอยู่เจ้าค่ะ”
@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: Oct 31th, 2008: จบตอน
Edit Log: Nov 1st, 2008: แก้ไขสำนวนเล็กน้อย
Edit Log: Nov2nd, 2008: เสริมเรื่องรายละเอียดในบทสนทนาเล็กน้อย
Edit Log: July 11st, 2011: มหกรรมรีไรท์ รีไรท์ช่วงตอนนี้มันโคตรลำบากใจเลยย ให้ตายสิ
ความคิดเห็น