ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 M บทเพลงของสองเราและหนึ่งตัว

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 3 ตอนปลาย

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 55


     

                    มิเชลยืนรออยู่หน้าประตูอย่างใจเย็นพร้อมกับลูกน้อง 6 นายที่ถืออาวุธพร้อมมือ  รอคอยมาเรียนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง  อีกไม่กี่นาทีจะถึงกำหนดที่พวกเขาต้องนำตัวนักโทษประหารไปยังลานประหารที่จตุรัสกลางเมืองแล้ว  นักปฏิวัติหนุ่มเหลือบมองผ่านกระจกที่แตกร้าว... หรี่ตามองรถตู้สองคันที่จอดรออยู่หน้าคฤหาสน์

     

                    ใกล้ถึงเวลาแล้ว  จะให้ผมเร่งไหมครับ  มิเตรองต์ผู้ที่ยืนอย่างกระสับกระส่ายกล่าวกับเจ้านาย  ทว่ามิเชลกลับยืนอย่างไม่รีบร้อนอะไร

     

                    ไม่เป็นไรหรอก  ในนั้นก็มีคนของเราอยู่ด้วย  คงไม่คิดจะเตะถ่วงเวลาหรอก 

     

                    มิเชลหลับตาพลางฟังเสียงสะอื้นด้านหลังประตู  เดาว่ามันคงเป็นเสียงร้องไห้ของสาวใช้ล็อตเต้  แต่หากเงี่ยหูตั้งใจฟังจะได้ยินอีกเสียงที่คอยปลอบประโลมความเศร้าโศก

     

                    ท่านผู้ตรวจการแห่งคณะปฏิวัติไม่ทราบหรอกว่าเสียงปลอบประโลมนั้นสื่อถึงใครบ้าง  แต่ด้วยเหตุผลบางประการ  เขากลับรู้สึกว่าเสียงนั่นมันกำลังปลอบโยนดวงวิญญาณที่บอกช้ำของเขาด้วย

     

                    ในที่สุดประตูก็เปิดออก  คนที่ออกมาก่อนคือหญิงวัยกลางคนสองนางร่างกายแข็งแรงที่ดันสาวใช้ล็อตเต้ออกมา  ภายในห้องเหลือเพียงแต่สตรีในชุดกระโปรงขาวบริสุทธิยืนรอคอยช่วงสุดท้ายของชีวิต

     

    เราไปกันได้หรือยัง  มาเรียนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เตรียมใจมาดีแล้ว

     

    ทว่ามิเชลมิได้ตอบ  เขาก้าวเดินเข้ามาในห้องก่อนจะสั่งให้ลูกน้องปิดประตูอีกครั้ง...

     

    เขาอยากจะอยู่ตามลำพังกับเพื่อนในอดีตเป็นครั้งสุดท้าย

     

    มาเรียนดูสวยมากในชุดนั้นนะครับ 

     

    ถ้าเธอเอ่ยชมขนาดนี้เราก็ดีใจนะ  อย่างน้อยคนทั่วไปจะได้จำภาพสุดท้ายของเราในภาพที่ดี ๆ น่ะ

     

    ทว่ามิเชลกลับไม่คิดเช่นนั้น

     

    ไม่หรอกครับ  มันจะเป็นภาพของมาเรียนตอนที่ห้อยอยู่บนขื่อต่างหากที่จะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้นนะครับ

     

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นมาเรียนก็มีสีหน้าซึมลงไปพักหนึ่ง  ก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางฝืนยิ้มให้กับมัจจุราชที่จะนำตัวเธอเข้าสู่ตะแลงแกง

     

    ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  แต่อย่างน้อยได้เพื่อนเก่าอย่างมิเชลสภาพตอนนี้ก็ไม่เลวเลยนะ

     

    มิเชลมองรอยยิ้มเบื้องหน้าอย่างสับสน  เขาก้าวเดินเข้ามาประชิดตัวองค์หญิงไร้บัลลังก์  แม้จะไร้เครื่องประดับหรือเครื่องประทินตกแต่งผิวหน้า  แต่มาเรียนในตอนนี้กลับดูเปล่งประกายยิ่งกว่าครั้งไหนที่เขาได้เคยประสบมา

     

    เตรียมใจพร้อมแล้วสินะ

     

    ถึงไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะ เธอยังคงพยายามฉีกยิ้มอันเสรแสร้งไว้อยู่ทั้งที่ช่วงไหล่อันบอบบางกลับสั่นเทาราวกลีบไม้ต้องลมหนาว

     

    มิเชลเหลือบมองที่ประตูด้านหลังก่อนจะเอียงปากกระซิบข้างหูมาเรียนอย่างแผ่วเบา

     

    หากมาเรียนเอ่ยปากขอสักคำ  ผมสามารถช่วยให้มาเรียนหนีไปตอนนี้เลยก็ได้นะครับ

     

    มาเรียนที่ได้ยินดังนั้นก็หันมาจ้องมองผู้ที่จะเป็นทั้งมัจจุราชและผู้มาโปรดอย่างสับสน  นัยน์ตาที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้ซึ่งความหวังในตอนแรกกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง 

     

    ถึงผมไม่อาจพามาเรียนไปอยู่กับราชวงศ์คนอื่นที่ลี้ภัยอยู่ในจักรวรรดิได้  แต่อย่างน้อยผมสามารถจัดการให้มาเรียนหนีไปอยู่ที่สหราชอาณาจักรได้นะครับ  ผมเตรียมรถรออยู่ข้างล่างไว้แล้ว

     

    ในตอนนั้นเองประกายแห่งความหวัก็ลุกโชนขึ้นในดวงตาที่ใครเห็นก็ต้องหลงไหล 

     

    ว่าอย่างไรล่ะครับ  อย่างน้อยนี่ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ผมสามารถให้ได้เป็นครั้งสุดท้ายในฐานะอดีตเพื่อนคนสำคัญนะครับ

     

    กระนั้นเพียงไม่เท่าไรประกายตานั่นก็พลันแผ่วลง  มาเรียนส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะจ้องตรงมายังตัวมิเชลด้วยนัยน์ตาที่แน่วแน่และเย็นชา 

     

    เราทราบซึ้งใจในข้อเสนอของมิเชลมากนะ... แต่เราคงต้องขอปฏิเสธข้อเสนอที่ว่า

     

    มิเชลถอนหายใจอย่างผิดหวัง  เขาคลึงตรงส่วนหว่างคิ้วราวกับพยายามปรับอารมณ์ก่อนจะหันมาเจรจากับองค์หญิงอีกครั้ง

     

    มาเรียนทราบใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณนะ

     

    เราพอจะทราบดีอยู่แล้ว...

     

    พวกเขาจะแห่ประจานคุณบนรถเปิดประทุนทั่วเมืองนะ

     

    นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร

     

    คุณจะถูกอ่านข้อกล่าวหากลางจตุรัส  คุณทราบไหมว่าเขาจะกล่าวหาอะไรคุณบ้าง....

     

    เราได้ยินในศาลจนเบื่อแล้วล่ะ 

     

    โกงกินภาษีราษฎร  มีใจคิดเป็นปรปักษ์กับสาธารณรัฐ  มีส่วนร่วมในการโฆษณาชวนเชื่อบั่นทอนความมั่นคงของสาธารณะ คบคิดล้มล้างการปฏิวัติของประชาชนกับศัตรูต่างชาติ  มีเพศสัมพันธ์วิตถารอันเป็นการบั่นทอนศีลธรรมของสังคม  เสพสังวาสระหว่างสายเลือดเดียวกัน...

     

     

    ข้อสุดท้ายนี่ก็เกินไปหน่อยนะ  

     

    คุณจะถูกแขวนคอประจานกลางเมืองจนกว่าซากศพจะร่วงลงมา  และซากศพของคุณจะถูกเผาโดยไม่ได้รับการทำพิธีเลย

     

    มิเชลขู่... เขาดูท่าทีของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์จะเป็นเช่นไร

     

    ทว่าหล่อนเพียงแต่ส่ายศีรษะอย่างแผ่นเบา  ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มปลงตกออกไปว่า

     

    ถ้ามันจะเกิดก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้

     

    ทั้งสองยังคงจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างไม่มีการหันหนี  แม้ว่ามิเชลพยายามจะส่งสายตาข่มหญิงสาวตรงหน้าให้ยอมรับข้อเสนอแค่ไหน  แต่สายตาของมาเรียนกลับมั่นคงดุจดังสายตาของผู้มีอำนาจที่ไม่เคยต้องก้มหัวให้กับใคร  มันเป็นความหนักแน่นดุจดั่งขุนเขาที่ทำให้มิเชลต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาออกไปแทน

     

    แน่ใจแล้วนะว่าจะไม่รับข้อเสนอของผม

     

    เราเตรียมใจไว้แล้วล่ะ  มาเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  เธอก็ทราบดีนี่  ข้อกล่าวหาที่ว่ามามันเหลวไหลทั้งเพ  แต่ถึงอย่างนั้นทำไมเราถึงถูกประหารเล่า  มิเชลเองก็ทราบดีใช่ไหม ? 

     

    มิเชลพยักหน้าตอบรับ

     

    เหตุผลเดียวที่เราต้องตายเพราะเราเป็นเจ้าหญิงของประเทศนี้  สาธารณรัฐไม่มีที่สำหรับเราอีกแล้ว  เธอเข้าใจไหม  ไม่มีใครต้องการเราอีกแล้ว !” 

     

    มิเชลก็สังเกตได้ว่าสายตาของมาเรียนเปลี่ยนไป  มันดูอ่อนแอเหมือนครั้งที่หล่อนเคยพร่ำเพ้อถึงความกดดันที่ต้องเผชิญในอดีต  เป็นแววตาของหญิงสาวที่เขาเคยสาบานกับตนว่าจะต้องคอยค้ำจุนเกื้อกูนตลอดไป...

     

    หากเราหนีไปได้อย่างที่มิเชลว่า  แล้วเราจะเป็นอย่างไรต่อล่ะ ? 

     

    มาเรียนก็จะมีชีวิตรอดไงล่ะ  มิเชลเอื้อมมือแตะบ่าอันบอบบางทั้งสองข้างของมาเรียน  อาจจะไม่สบายเหมือนแต่ก่อน  แต่ผมเชื่อว่าหากคุณพบผู้ชายดี ๆ สักคน  แต่งงานอยู่กินกัน  มีลูกมีหลานล้อมหน้า  ใช้ชีวิตสงบสุขเยี่ยงคนธรรมดา... ชีวิตอย่างนั้นมันก็ไม่เลวหรอกนะ

     

    มาเรียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขยับตัวเข้ามาซบแผ่นอกของมิเชลพลางหลับตาลงราวกับกำลังจินตนาการถึงชีวิตอันแสนสงบที่เธอจะได้เล่นไวโอลินไปเรื่อย ๆ กับคนที่เธอรัก นึกถึงชีวิตที่แสนธรรมดาในบ้านหลังเล็กกับลูกสักสองสามคน  อาจจะเลี้ยงหมาสักตัว  หรือไม่ก็คอยให้อาหารแมวจรจัดที่ชอบแวะมาเยี่ยมเยือนให้คลายเหงา

     

    นั่นสินะ  มันอาจจะไม่เลวนักอย่างที่เธอว่าก็ได้

     

    ทว่าความรู้สึกของหญิงสาวในตัวของมาเรียนหาได้อยู่ยืนยงนัก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มิเชลจะได้เห็นมาเรียนที่เป็นสหายของตน  หญิงนักโทษประหารผละตัวออกมาจากชายหนุ่มออกมายืนตรงอย่างสง่างาม  สายตาของหล่อนกลับมาแข็งกระด้างอีกครั้ง

     

    มาเรียน...  มิเชลพยายามจะกล่อมต่อ  แต่มันสายไปเสียแล้ว

     

    แต่นั่นไม่ใช่ความต้องการของเราหรอกนะ  องค์หญิงไร้บัลลังก์แย้ง  ไม่ใช่ความต้องการของมาเรียน แห่งราชอาณาจักรตรงนี้...  เราไม่อาจละทิ้งเกียรติยศของเราเพื่อเอาชีวิตรอดไปอย่างไร้ความหมายได้หรอก  เราดีใจนะ  ที่อย่างน้อยแม้แต่คนที่เกลียดเราที่สุดยังถือว่าเราเป็นเจ้าหญิง  แม้เจ้าพวกกบฏอย่างเธอจะพยายามปฏิเสธตัวตนของเราสักแค่ไหน  แต่ความตายของเรานั้นจะเป็นเครื่องยืนยันถึงตัวตนความเป็นราชนิกูลของเราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

     

    เมื่อถึงตอนนี้มิเชลก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดมาเรียนถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา

     

    ในเมื่อรู้ถึงขนาดนี้แล้วจะให้เรารับข้อเสนอของมิเชลได้อย่างไรกันล่ะ

     

    หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้ามิเชลหาใช่มาเรียนที่บอบบางคนนั้นอีกต่อไป  แต่เป็นเจ้าหญิงเลือดกษัตริย์ที่ภาคภูมิ  หยดน้ำตาที่ไหลรินลงมามิใช่สัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ  หากเป็นเครื่องหมายของความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะเลือกเส้นทางชีวิตของตน

     

    และแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นบ่งบอกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของทั้งสองแล้ว  ท่านครับ  ได้เวลาแล้วครับ  มิเตรองต์ตะโกนเรียกจากหลังบานประตู

     

    ไปเถอะ  ไม่ต้องห่วงเราหรอก  มาเรียนซับน้ำตา  เราไม่ใช่มาเรียนที่ต้องให้มิเชลคอยดูแลอีกแล้วล่ะ

     

    ว่าแล้วมาเรียนก็ยืนของสิ่งหนึ่งให้กับมิเชล  เธอวางมันบนมือที่สวมถุงมือสีดำหนา  ก่อนเดินผ่านตัวเขาไปโดยไม่หันหลังกลับมา  เธอตะโกนเรียกให้ทหารภายนอกเปิดประตูออก

     

    ท่านครับ  พวกเราจะไปแล้วครับ

     

    มิเตรองต์ถามกับผู้เป็นนาย  ทว่ามิเชลนั้นกลับไม่ได้ยินสิ่งที่ลูกน้องกล่าวเลย  เขาจดจ้องสิ่งที่อยู่ในมือจนไม่อาจสนใจอะไรอย่างอื่นภายนอกได้อีกแล้ว

     

    สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือของเขาคือพวงกุญแจทำจากไม้เบี้ยว ๆ รูปกุญแจเสียงฟา

     

    ของขวัญที่เคยได้ให้ไว้เมื่อ 8 ปีที่แล้วนั่นเอง

     

    ....................................................

    .....................................

    ..........................

    ................

    ......

     

    รถบรรทุกได้เคลื่อนตัวออกไป  ทิ้งไว้แต่เรือนคฤหาสน์อันว่างเปล่า  ถึงจะยังมียามเฝ้าสถานที่อยู่อีกห้าถึงหกคน  แต่เรือนอาคารแห่งนี้ก็กลับเงียบเหงาราวกับวิญญาณของมันได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

     

    อาคารหลังนี้จะไม่มีวันอบอวลด้วยเสียงเพลงเหมือนครั้งเมื่อวันวานอีกต่อไป

     

    มิเชลยังคงเหม่อมองพวงกุญแจในมือ  แต่ความคิดในจิตใจกลับล่องลอยไปยังอดีตที่เขาไม่มีวันลืม...

     

    วันนั้น  มิเชลไม่ได้ไปถึงสถานีรถไฟ

     

    หลังจากที่ร่ำลากับมาเรียนเรียบร้อยแล้ว  เขาก็ติดรถของทางวังที่หัวหน้าพ่อบ้านจัดเตรียมไว้ให้  หลังจากเดินทางไปไม่เท่าไร  รถที่เขาโดยสารกลับวิ่งออกจากเส้นทาง  ก่อนที่เขาจะรู้ตัว  มิเชลก็ถูกพาไปยังโกดังร้างที่เป็นพื้นที่ของทางตำรวจนครหลวงเสียแล้ว

     

    ที่นั่น  เขาถูกตำรวจสันติบาลสามถึงสี่นายซ้อมจนหมดสติ  แต่นั่นมันก็ก่อนที่เขาจะร้องโหยหวนเมื่อมือของเขาถูกขยี้จนกระดูกแตกละเอียด  เส้นเอ็นถูกเฉือน  นิ้วถูกบรรจงหักทีละข้อ

     

    เมื่อตื่นมาอีกครั้งเขาก็ต้องพบตัวเองอยู่หลังกำแพงคุกที่เหม็นอับ... มิเชลได้รับการบอกกล่าวว่าเขาถูกจับกุมข้อหามีความคิดเป็นปรปักษ์กับรัฐ  ต่อต้านระบอบการปกครองของพระราชา  หลักฐานที่ตำรวจใช้ปรักปรำคือหนังสือปกเขียว  จิตสำนึก ที่เป็นหนังสือต้องห้าม  และพยานหลักฐานว่าเขาเข้าร่วมการพยายามก่อกบฏที่ชุมทางรถไฟ...

     

    ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข้อปรักปรำที่เหลวไหลสิ้นดี

     

    มิเชลไม่เคยมีหนังสือปกเขียวในครอบครองเลย  อีกทั้งตัวมิเชลเองยังเรียนอยู่ที่สหราชอาณาจักรอยู่เลยในวันที่เกิดเหตุการณ์ความพยายามลอบปลงพระชมน์ที่ชุมทางรถไฟ

     

    แม้ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นจะไม่เป็นความจริงเลยก็ตาม  มิเชลก็ถูกขังรวมกับนักโทษทางการเมืองคนอื่น ๆ  แต่นับเป็นโชคดีอย่างยิ่งของมิเชลที่เขาถูกคุมขังในคุกเดียวกับแกนนำสำคัญคนหนึ่งของคณะก่อการ  ดังนั้นมิเชลจึงเป็นหนึ่งในนักโทษที่หลบหนีจากเหตุการณ์บุกเข้าปล้นเรือนจำ

     

    ทว่า... มันก็สายเกินไปแล้วสำหรับการรักษามือที่บาดเจ็บสาหัส

     

    มิเชลไม่อาจเล่นเปียโนได้อีก

     

    และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กหนุ่มกับคณะปฏิวัติ

                   

    มิเชลใช้เวลาไม่นานนักที่จะคาดเดาได้ถึงเหตุผลของการถูกจับกุมของตน  เขาเชื่อมโยงสมมุติฐานที่รวบรวมจากข่าวลือ  มันทำให้เขาทราบถึงความจริงอันแสนขมขื่น...

     

    ผู้ต้องสงสัยในใจของมิเชลมีสองคน 

     

    ดยุคแห่งอารียอง  กับบิดาของมาเรียน  อดีตเดลฟีนแห่งราชอาณาจักรผู้ล่วงลับไปแล้วก่อนเกิดการปฏิวัติ 

     

    แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับองค์หญิง  พวกเขาคนใดคนหนึ่ง... ไม่ก็ทั้งสองคนรวมหัวกำจัดตัวเจ้าหนุ่มต่ำต้อยที่บังอาจคว้าหัวใจขององค์หญิงไปได้  มิเชลได้กลายเป็นเสี้ยนหนามของการสานสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์บูบัวร์กับตระกูลแห่งอาริยองโดยที่ตัวมิเชลไม่เคยทราบเลย 

     

    นี่กระมังเป็นเหตุให้บิดาของมิเชลเคยปรามมิให้เขาเข้าใกล้องค์หญิงมาเรียนอีกต่อไป  ซึ่งมิเชลก็มิได้เชื่อฟังผู้เป็นบิดา  เขากลับไปเยี่ยมองค์หญิงในวันนั้น  มันจึงเกิดเรื่องอันน่าเศร้าขึ้นอย่างที่ได้เกริ่นมา

     

    กระนั้นทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว... มันไม่มีความหมายอีกต่อไป

     

    มันไม่มีอะไรเหลือให้มิเชลต้องรู้สึกอะไรอีก  ทั้งความเศร้า  ความทุกข์  ความแค้น  ความรู้สึกสับสนที่อัดแน่นในหัวใจตลอดแปดปีที่ผ่านมา

     

    มันจบลง ณ วันนี้แล้ว

     

    มิเชลเดินอยู่ในคฤหาสน์ร้างอย่างเดียวดาย  ภาพในความหลังยามเมื่อทุกอย่างดูสว่างไสวค่อย ๆ ลบเลือนจากหัวใจที่ว่างเปล่า... 

     

    ทั้งภาพรอยยิ้มของมาเรียน  เสียงเคาะของหางเจ้าโมนาร์ท  เสียงดนตรีที่ขับขานตามสายลมที่แสนอบอุ่น....

     

    ♫ ♪ ~

     

    ไม่...มันยังไม่หายไป

     

    ทั้งที่คิดว่าบ้านหลังนี้จะปราศจากเสียงเพลงแล้ว  แต่มิเชลกลับได้ยินเสียงไวโอลินกำลังบรรเลงเมโลดีที่เขาคุ้นเคยออกมา  มิเชลเริ่มวิ่งตามหาต้นกำเนิดของเสียงโดยไม่ทันคิด  เขาก้าวเดินลงบันไดอย่างบ้าคลั่ง  วิ่งไขว่คว้าหาเสียงเพลงที่คิดว่าสูญสิ้นไปแล้ว

     

    ในที่สุดเขาก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องเก็บทางประตูเข้าด้านหลัง  สถานที่เดียวกับที่มิเชลเคยนั่งรอตอนแรก  ในห้องนั้นมีคนของคณะปฏิวัติสามคนกำลังเล่นไพ่อยู่  ทันทีที่เห็นมิเชลทั้งสามก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพผู้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็ว

     

    แต่มิเชลก็มิได้สนใจคนทั้งสามนั่นเลย

     

    ในสายตาของเขามีเพียงเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเคียง  จานแผ่นเสียงสีดำหมุนปั่นบนถาด  ส่วนลำโพงทองเหลืองขนาดใหญ่กำลังส่งเสียงไวโอลินที่กำลังเล่นเพลงที่แสนคุ้นเคยออกมา

     

    จะให้ผมปิดมันไหมครับ  หนึ่งในลูกน้องเอ่ยปากถามอย่างเกรงกลัว

     

    ไม่  เปิดมันไว้อย่างนั้นล่ะ  มิเชลกล่าวพลางหันไปหาทั้งสาม  ขอซองเก็บแผ่นเสียงด้วย

     

                    หน้าปกของซองแผ่นเสียงเป็นภาพเหมือนสีน้ำของมาเรียนกำลังสีไวโอลินด้วยท่าทางสง่างาม... มันเป็นแผ่นเสียงรวบรวมเพลงที่มาเรียนแสดงในงานคอนเสิร์ตที่มิเชลไม่มีโอกาสได้ฟัง  และเมื่อพลิกไปหน้าหลัง  ชื่อเพลงที่ปรากฎต่อหน้าทำให้ตาของเขาเบิดโพลง

     

                    จากรายนามของเพลงที่มาเรียนบรรเลงในคอนเสิร์ต  มีเพียงหนึ่งเพลงเท่านั้นที่ชื่อเพลงไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่มันช่างน่าประหลาดยิ่งนักที่เขากลับรู้จักถึงความหมายที่แฝงในชื่อของเพลงนั้นเป็นอย่างดี...

     

                    เพลงเอ็มทั้งสาม...

     

    โดยไม่สนท่าทีงงงวยของลูกน้อง  มิเชลก้าวเท้าเดินออกไปภายนอกพร้อมกับซองแผ่นเสียงเปล่าและพวงกุญแจ  เขายืนเหม่อมองรถบรรทุกที่ไม่ได้มีโอกาสทำหน้าที่ของมัน  ท่าทีของเขาในตอนนี้เหมือนกับชายที่สูญเสียจุดมุ่งหมายของชีวิตไป  แต่นั่นเป็นข้อสรุปที่ผิดพลาดอย่างร้ายกาจ...

     

    มิเชลได้เติมเต็มทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว 

     

    เขาชักปืนพกออกมาจากซองปืน  ช่างน่าแปลกนักที่บัดนี้มือขวากลับสามารถกำปืนได้อย่างไม่ยากเย็น  นักปฏิวัติหนุ่มง้างไกนกสับพร้อมกับจ่อปากกระบอกปืนเข้าที่ขมับ  ปากเอื้อนเอ่ยประโยคที่เขาเก็บงำไว้กับตัวตลอดด้วยรอยยิ้มแสนสุข

     

    มาเรียน  ผมรักคุณ

     

    ท่ามกลางท้องฟ้าอันมัวหมอง  เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นพร้อมกับหนึ่งชีวิตที่ร่วงโรย

     

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

     


    b g
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×