คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 3 ตอนปลาย
มิเชลยืนรออยู่หน้าประตูอย่างใจเย็นพร้อมกับลูกน้อง 6 นายที่ถืออาวุธพร้อมมือ รอคอยมาเรียนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง อีกไม่กี่นาทีจะถึงกำหนดที่พวกเขาต้องนำตัวนักโทษประหารไปยังลานประหารที่จตุรัสกลางเมืองแล้ว นักปฏิวัติหนุ่มเหลือบมองผ่านกระจกที่แตกร้าว... หรี่ตามองรถตู้สองคันที่จอดรออยู่หน้าคฤหาสน์
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว จะให้ผมเร่งไหมครับ” มิเตรองต์ผู้ที่ยืนอย่างกระสับกระส่ายกล่าวกับเจ้านาย ทว่ามิเชลกลับยืนอย่างไม่รีบร้อนอะไร
“ไม่เป็นไรหรอก ในนั้นก็มีคนของเราอยู่ด้วย คงไม่คิดจะเตะถ่วงเวลาหรอก”
มิเชลหลับตาพลางฟังเสียงสะอื้นด้านหลังประตู เดาว่ามันคงเป็นเสียงร้องไห้ของสาวใช้ล็อตเต้ แต่หากเงี่ยหูตั้งใจฟังจะได้ยินอีกเสียงที่คอยปลอบประโลมความเศร้าโศก
ท่านผู้ตรวจการแห่งคณะปฏิวัติไม่ทราบหรอกว่าเสียงปลอบประโลมนั้นสื่อถึงใครบ้าง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขากลับรู้สึกว่าเสียงนั่นมันกำลังปลอบโยนดวงวิญญาณที่บอกช้ำของเขาด้วย
ในที่สุดประตูก็เปิดออก คนที่ออกมาก่อนคือหญิงวัยกลางคนสองนางร่างกายแข็งแรงที่ดันสาวใช้ล็อตเต้ออกมา ภายในห้องเหลือเพียงแต่สตรีในชุดกระโปรงขาวบริสุทธิยืนรอคอยช่วงสุดท้ายของชีวิต
“เราไปกันได้หรือยัง” มาเรียนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เตรียมใจมาดีแล้ว
ทว่ามิเชลมิได้ตอบ เขาก้าวเดินเข้ามาในห้องก่อนจะสั่งให้ลูกน้องปิดประตูอีกครั้ง...
เขาอยากจะอยู่ตามลำพังกับเพื่อนในอดีตเป็นครั้งสุดท้าย
“มาเรียนดูสวยมากในชุดนั้นนะครับ”
“ถ้าเธอเอ่ยชมขนาดนี้เราก็ดีใจนะ อย่างน้อยคนทั่วไปจะได้จำภาพสุดท้ายของเราในภาพที่ดี ๆ น่ะ”
ทว่ามิเชลกลับไม่คิดเช่นนั้น
“ไม่หรอกครับ มันจะเป็นภาพของมาเรียนตอนที่ห้อยอยู่บนขื่อต่างหากที่จะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้นนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมาเรียนก็มีสีหน้าซึมลงไปพักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางฝืนยิ้มให้กับมัจจุราชที่จะนำตัวเธอเข้าสู่ตะแลงแกง
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่อย่างน้อยได้เพื่อนเก่าอย่างมิเชลสภาพตอนนี้ก็ไม่เลวเลยนะ”
มิเชลมองรอยยิ้มเบื้องหน้าอย่างสับสน เขาก้าวเดินเข้ามาประชิดตัวองค์หญิงไร้บัลลังก์ แม้จะไร้เครื่องประดับหรือเครื่องประทินตกแต่งผิวหน้า แต่มาเรียนในตอนนี้กลับดูเปล่งประกายยิ่งกว่าครั้งไหนที่เขาได้เคยประสบมา
“เตรียมใจพร้อมแล้วสินะ”
“ถึงไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะ” เธอยังคงพยายามฉีกยิ้มอันเสรแสร้งไว้อยู่ทั้งที่ช่วงไหล่อันบอบบางกลับสั่นเทาราวกลีบไม้ต้องลมหนาว
มิเชลเหลือบมองที่ประตูด้านหลังก่อนจะเอียงปากกระซิบข้างหูมาเรียนอย่างแผ่วเบา
“หากมาเรียนเอ่ยปากขอสักคำ ผมสามารถช่วยให้มาเรียนหนีไปตอนนี้เลยก็ได้นะครับ”
มาเรียนที่ได้ยินดังนั้นก็หันมาจ้องมองผู้ที่จะเป็นทั้งมัจจุราชและผู้มาโปรดอย่างสับสน นัยน์ตาที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้ซึ่งความหวังในตอนแรกกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“ถึงผมไม่อาจพามาเรียนไปอยู่กับราชวงศ์คนอื่นที่ลี้ภัยอยู่ในจักรวรรดิได้ แต่อย่างน้อยผมสามารถจัดการให้มาเรียนหนีไปอยู่ที่สหราชอาณาจักรได้นะครับ ผมเตรียมรถรออยู่ข้างล่างไว้แล้ว”
ในตอนนั้นเองประกายแห่งความหวัก็ลุกโชนขึ้นในดวงตาที่ใครเห็นก็ต้องหลงไหล
“ว่าอย่างไรล่ะครับ อย่างน้อยนี่ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ผมสามารถให้ได้เป็นครั้งสุดท้ายในฐานะอดีตเพื่อนคนสำคัญนะครับ”
กระนั้นเพียงไม่เท่าไรประกายตานั่นก็พลันแผ่วลง มาเรียนส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะจ้องตรงมายังตัวมิเชลด้วยนัยน์ตาที่แน่วแน่และเย็นชา
“เราทราบซึ้งใจในข้อเสนอของมิเชลมากนะ... แต่เราคงต้องขอปฏิเสธข้อเสนอที่ว่า”
มิเชลถอนหายใจอย่างผิดหวัง เขาคลึงตรงส่วนหว่างคิ้วราวกับพยายามปรับอารมณ์ก่อนจะหันมาเจรจากับองค์หญิงอีกครั้ง
“มาเรียนทราบใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณนะ”
“เราพอจะทราบดีอยู่แล้ว...”
“พวกเขาจะแห่ประจานคุณบนรถเปิดประทุนทั่วเมืองนะ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร”
“คุณจะถูกอ่านข้อกล่าวหากลางจตุรัส คุณทราบไหมว่าเขาจะกล่าวหาอะไรคุณบ้าง....”
“เราได้ยินในศาลจนเบื่อแล้วล่ะ”
“โกงกินภาษีราษฎร มีใจคิดเป็นปรปักษ์กับสาธารณรัฐ มีส่วนร่วมในการโฆษณาชวนเชื่อบั่นทอนความมั่นคงของสาธารณะ คบคิดล้มล้างการปฏิวัติของประชาชนกับศัตรูต่างชาติ มีเพศสัมพันธ์วิตถารอันเป็นการบั่นทอนศีลธรรมของสังคม เสพสังวาสระหว่างสายเลือดเดียวกัน...”
“ข้อสุดท้ายนี่ก็เกินไปหน่อยนะ”
“คุณจะถูกแขวนคอประจานกลางเมืองจนกว่าซากศพจะร่วงลงมา และซากศพของคุณจะถูกเผาโดยไม่ได้รับการทำพิธีเลย”
มิเชลขู่... เขาดูท่าทีของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์จะเป็นเช่นไร
ทว่าหล่อนเพียงแต่ส่ายศีรษะอย่างแผ่นเบา ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มปลงตกออกไปว่า
“ถ้ามันจะเกิดก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้”
ทั้งสองยังคงจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างไม่มีการหันหนี แม้ว่ามิเชลพยายามจะส่งสายตาข่มหญิงสาวตรงหน้าให้ยอมรับข้อเสนอแค่ไหน แต่สายตาของมาเรียนกลับมั่นคงดุจดังสายตาของผู้มีอำนาจที่ไม่เคยต้องก้มหัวให้กับใคร มันเป็นความหนักแน่นดุจดั่งขุนเขาที่ทำให้มิเชลต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาออกไปแทน
“แน่ใจแล้วนะว่าจะไม่รับข้อเสนอของผม”
“เราเตรียมใจไว้แล้วล่ะ” มาเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เธอก็ทราบดีนี่ ข้อกล่าวหาที่ว่ามามันเหลวไหลทั้งเพ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมเราถึงถูกประหารเล่า มิเชลเองก็ทราบดีใช่ไหม ?”
มิเชลพยักหน้าตอบรับ
“เหตุผลเดียวที่เราต้องตายเพราะเราเป็นเจ้าหญิงของประเทศนี้ สาธารณรัฐไม่มีที่สำหรับเราอีกแล้ว เธอเข้าใจไหม ไม่มีใครต้องการเราอีกแล้ว !”
มิเชลก็สังเกตได้ว่าสายตาของมาเรียนเปลี่ยนไป มันดูอ่อนแอเหมือนครั้งที่หล่อนเคยพร่ำเพ้อถึงความกดดันที่ต้องเผชิญในอดีต เป็นแววตาของหญิงสาวที่เขาเคยสาบานกับตนว่าจะต้องคอยค้ำจุนเกื้อกูนตลอดไป...
“หากเราหนีไปได้อย่างที่มิเชลว่า แล้วเราจะเป็นอย่างไรต่อล่ะ ?
“มาเรียนก็จะมีชีวิตรอดไงล่ะ” มิเชลเอื้อมมือแตะบ่าอันบอบบางทั้งสองข้างของมาเรียน “อาจจะไม่สบายเหมือนแต่ก่อน แต่ผมเชื่อว่าหากคุณพบผู้ชายดี ๆ สักคน แต่งงานอยู่กินกัน มีลูกมีหลานล้อมหน้า ใช้ชีวิตสงบสุขเยี่ยงคนธรรมดา... ชีวิตอย่างนั้นมันก็ไม่เลวหรอกนะ”
มาเรียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขยับตัวเข้ามาซบแผ่นอกของมิเชลพลางหลับตาลงราวกับกำลังจินตนาการถึงชีวิตอันแสนสงบที่เธอจะได้เล่นไวโอลินไปเรื่อย ๆ กับคนที่เธอรัก นึกถึงชีวิตที่แสนธรรมดาในบ้านหลังเล็กกับลูกสักสองสามคน อาจจะเลี้ยงหมาสักตัว หรือไม่ก็คอยให้อาหารแมวจรจัดที่ชอบแวะมาเยี่ยมเยือนให้คลายเหงา
“นั่นสินะ มันอาจจะไม่เลวนักอย่างที่เธอว่าก็ได้”
ทว่าความรู้สึกของหญิงสาวในตัวของมาเรียนหาได้อยู่ยืนยงนัก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มิเชลจะได้เห็นมาเรียนที่เป็นสหายของตน หญิงนักโทษประหารผละตัวออกมาจากชายหนุ่มออกมายืนตรงอย่างสง่างาม สายตาของหล่อนกลับมาแข็งกระด้างอีกครั้ง
“มาเรียน...” มิเชลพยายามจะกล่อมต่อ แต่มันสายไปเสียแล้ว
“แต่นั่นไม่ใช่ความต้องการของเราหรอกนะ” องค์หญิงไร้บัลลังก์แย้ง “ไม่ใช่ความต้องการของมาเรียน แห่งราชอาณาจักรตรงนี้... เราไม่อาจละทิ้งเกียรติยศของเราเพื่อเอาชีวิตรอดไปอย่างไร้ความหมายได้หรอก เราดีใจนะ ที่อย่างน้อยแม้แต่คนที่เกลียดเราที่สุดยังถือว่าเราเป็นเจ้าหญิง แม้เจ้าพวกกบฏอย่างเธอจะพยายามปฏิเสธตัวตนของเราสักแค่ไหน แต่ความตายของเรานั้นจะเป็นเครื่องยืนยันถึงตัวตนความเป็นราชนิกูลของเราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
เมื่อถึงตอนนี้มิเชลก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดมาเรียนถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา
“ในเมื่อรู้ถึงขนาดนี้แล้วจะให้เรารับข้อเสนอของมิเชลได้อย่างไรกันล่ะ”
หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้ามิเชลหาใช่มาเรียนที่บอบบางคนนั้นอีกต่อไป แต่เป็นเจ้าหญิงเลือดกษัตริย์ที่ภาคภูมิ หยดน้ำตาที่ไหลรินลงมามิใช่สัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ หากเป็นเครื่องหมายของความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะเลือกเส้นทางชีวิตของตน
และแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นบ่งบอกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของทั้งสองแล้ว “ท่านครับ ได้เวลาแล้วครับ” มิเตรองต์ตะโกนเรียกจากหลังบานประตู
“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเราหรอก” มาเรียนซับน้ำตา “เราไม่ใช่มาเรียนที่ต้องให้มิเชลคอยดูแลอีกแล้วล่ะ”
ว่าแล้วมาเรียนก็ยืนของสิ่งหนึ่งให้กับมิเชล เธอวางมันบนมือที่สวมถุงมือสีดำหนา ก่อนเดินผ่านตัวเขาไปโดยไม่หันหลังกลับมา เธอตะโกนเรียกให้ทหารภายนอกเปิดประตูออก
“ท่านครับ พวกเราจะไปแล้วครับ”
มิเตรองต์ถามกับผู้เป็นนาย ทว่ามิเชลนั้นกลับไม่ได้ยินสิ่งที่ลูกน้องกล่าวเลย เขาจดจ้องสิ่งที่อยู่ในมือจนไม่อาจสนใจอะไรอย่างอื่นภายนอกได้อีกแล้ว
สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือของเขาคือพวงกุญแจทำจากไม้เบี้ยว ๆ รูปกุญแจเสียงฟา
ของขวัญที่เคยได้ให้ไว้เมื่อ 8 ปีที่แล้วนั่นเอง
....................................................
.....................................
..........................
................
......
รถบรรทุกได้เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งไว้แต่เรือนคฤหาสน์อันว่างเปล่า ถึงจะยังมียามเฝ้าสถานที่อยู่อีกห้าถึงหกคน แต่เรือนอาคารแห่งนี้ก็กลับเงียบเหงาราวกับวิญญาณของมันได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
อาคารหลังนี้จะไม่มีวันอบอวลด้วยเสียงเพลงเหมือนครั้งเมื่อวันวานอีกต่อไป
มิเชลยังคงเหม่อมองพวงกุญแจในมือ แต่ความคิดในจิตใจกลับล่องลอยไปยังอดีตที่เขาไม่มีวันลืม...
วันนั้น มิเชลไม่ได้ไปถึงสถานีรถไฟ
หลังจากที่ร่ำลากับมาเรียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ติดรถของทางวังที่หัวหน้าพ่อบ้านจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากเดินทางไปไม่เท่าไร รถที่เขาโดยสารกลับวิ่งออกจากเส้นทาง ก่อนที่เขาจะรู้ตัว มิเชลก็ถูกพาไปยังโกดังร้างที่เป็นพื้นที่ของทางตำรวจนครหลวงเสียแล้ว
ที่นั่น เขาถูกตำรวจสันติบาลสามถึงสี่นายซ้อมจนหมดสติ แต่นั่นมันก็ก่อนที่เขาจะร้องโหยหวนเมื่อมือของเขาถูกขยี้จนกระดูกแตกละเอียด เส้นเอ็นถูกเฉือน นิ้วถูกบรรจงหักทีละข้อ
เมื่อตื่นมาอีกครั้งเขาก็ต้องพบตัวเองอยู่หลังกำแพงคุกที่เหม็นอับ... มิเชลได้รับการบอกกล่าวว่าเขาถูกจับกุมข้อหามีความคิดเป็นปรปักษ์กับรัฐ ต่อต้านระบอบการปกครองของพระราชา หลักฐานที่ตำรวจใช้ปรักปรำคือหนังสือปกเขียว “จิตสำนึก” ที่เป็นหนังสือต้องห้าม และพยานหลักฐานว่าเขาเข้าร่วมการพยายามก่อกบฏที่ชุมทางรถไฟ...
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข้อปรักปรำที่เหลวไหลสิ้นดี
มิเชลไม่เคยมีหนังสือปกเขียวในครอบครองเลย อีกทั้งตัวมิเชลเองยังเรียนอยู่ที่สหราชอาณาจักรอยู่เลยในวันที่เกิดเหตุการณ์ความพยายามลอบปลงพระชมน์ที่ชุมทางรถไฟ
แม้ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นจะไม่เป็นความจริงเลยก็ตาม มิเชลก็ถูกขังรวมกับนักโทษทางการเมืองคนอื่น ๆ แต่นับเป็นโชคดีอย่างยิ่งของมิเชลที่เขาถูกคุมขังในคุกเดียวกับแกนนำสำคัญคนหนึ่งของคณะก่อการ ดังนั้นมิเชลจึงเป็นหนึ่งในนักโทษที่หลบหนีจากเหตุการณ์บุกเข้าปล้นเรือนจำ
ทว่า... มันก็สายเกินไปแล้วสำหรับการรักษามือที่บาดเจ็บสาหัส
มิเชลไม่อาจเล่นเปียโนได้อีก
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กหนุ่มกับคณะปฏิวัติ
มิเชลใช้เวลาไม่นานนักที่จะคาดเดาได้ถึงเหตุผลของการถูกจับกุมของตน เขาเชื่อมโยงสมมุติฐานที่รวบรวมจากข่าวลือ มันทำให้เขาทราบถึงความจริงอันแสนขมขื่น...
ผู้ต้องสงสัยในใจของมิเชลมีสองคน
ดยุคแห่งอารียอง กับบิดาของมาเรียน อดีตเดลฟีนแห่งราชอาณาจักรผู้ล่วงลับไปแล้วก่อนเกิดการปฏิวัติ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับองค์หญิง พวกเขาคนใดคนหนึ่ง... ไม่ก็ทั้งสองคนรวมหัวกำจัดตัวเจ้าหนุ่มต่ำต้อยที่บังอาจคว้าหัวใจขององค์หญิงไปได้ มิเชลได้กลายเป็นเสี้ยนหนามของการสานสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์บูบัวร์กับตระกูลแห่งอาริยองโดยที่ตัวมิเชลไม่เคยทราบเลย
นี่กระมังเป็นเหตุให้บิดาของมิเชลเคยปรามมิให้เขาเข้าใกล้องค์หญิงมาเรียนอีกต่อไป ซึ่งมิเชลก็มิได้เชื่อฟังผู้เป็นบิดา เขากลับไปเยี่ยมองค์หญิงในวันนั้น มันจึงเกิดเรื่องอันน่าเศร้าขึ้นอย่างที่ได้เกริ่นมา
กระนั้นทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว... มันไม่มีความหมายอีกต่อไป
มันไม่มีอะไรเหลือให้มิเชลต้องรู้สึกอะไรอีก ทั้งความเศร้า ความทุกข์ ความแค้น ความรู้สึกสับสนที่อัดแน่นในหัวใจตลอดแปดปีที่ผ่านมา
มันจบลง ณ วันนี้แล้ว
มิเชลเดินอยู่ในคฤหาสน์ร้างอย่างเดียวดาย ภาพในความหลังยามเมื่อทุกอย่างดูสว่างไสวค่อย ๆ ลบเลือนจากหัวใจที่ว่างเปล่า...
ทั้งภาพรอยยิ้มของมาเรียน เสียงเคาะของหางเจ้าโมนาร์ท เสียงดนตรีที่ขับขานตามสายลมที่แสนอบอุ่น....
♫ ♪ ~
ไม่...มันยังไม่หายไป
ทั้งที่คิดว่าบ้านหลังนี้จะปราศจากเสียงเพลงแล้ว แต่มิเชลกลับได้ยินเสียงไวโอลินกำลังบรรเลงเมโลดีที่เขาคุ้นเคยออกมา มิเชลเริ่มวิ่งตามหาต้นกำเนิดของเสียงโดยไม่ทันคิด เขาก้าวเดินลงบันไดอย่างบ้าคลั่ง วิ่งไขว่คว้าหาเสียงเพลงที่คิดว่าสูญสิ้นไปแล้ว
ในที่สุดเขาก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องเก็บทางประตูเข้าด้านหลัง สถานที่เดียวกับที่มิเชลเคยนั่งรอตอนแรก ในห้องนั้นมีคนของคณะปฏิวัติสามคนกำลังเล่นไพ่อยู่ ทันทีที่เห็นมิเชลทั้งสามก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพผู้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็ว
แต่มิเชลก็มิได้สนใจคนทั้งสามนั่นเลย
ในสายตาของเขามีเพียงเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเคียง จานแผ่นเสียงสีดำหมุนปั่นบนถาด ส่วนลำโพงทองเหลืองขนาดใหญ่กำลังส่งเสียงไวโอลินที่กำลังเล่นเพลงที่แสนคุ้นเคยออกมา
“จะให้ผมปิดมันไหมครับ” หนึ่งในลูกน้องเอ่ยปากถามอย่างเกรงกลัว
“ไม่ เปิดมันไว้อย่างนั้นล่ะ” มิเชลกล่าวพลางหันไปหาทั้งสาม “ขอซองเก็บแผ่นเสียงด้วย”
หน้าปกของซองแผ่นเสียงเป็นภาพเหมือนสีน้ำของมาเรียนกำลังสีไวโอลินด้วยท่าทางสง่างาม... มันเป็นแผ่นเสียงรวบรวมเพลงที่มาเรียนแสดงในงานคอนเสิร์ตที่มิเชลไม่มีโอกาสได้ฟัง และเมื่อพลิกไปหน้าหลัง ชื่อเพลงที่ปรากฎต่อหน้าทำให้ตาของเขาเบิดโพลง
จากรายนามของเพลงที่มาเรียนบรรเลงในคอนเสิร์ต มีเพียงหนึ่งเพลงเท่านั้นที่ชื่อเพลงไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มันช่างน่าประหลาดยิ่งนักที่เขากลับรู้จักถึงความหมายที่แฝงในชื่อของเพลงนั้นเป็นอย่างดี...
เพลงเอ็มทั้งสาม...
โดยไม่สนท่าทีงงงวยของลูกน้อง มิเชลก้าวเท้าเดินออกไปภายนอกพร้อมกับซองแผ่นเสียงเปล่าและพวงกุญแจ เขายืนเหม่อมองรถบรรทุกที่ไม่ได้มีโอกาสทำหน้าที่ของมัน ท่าทีของเขาในตอนนี้เหมือนกับชายที่สูญเสียจุดมุ่งหมายของชีวิตไป แต่นั่นเป็นข้อสรุปที่ผิดพลาดอย่างร้ายกาจ...
มิเชลได้เติมเต็มทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว
เขาชักปืนพกออกมาจากซองปืน ช่างน่าแปลกนักที่บัดนี้มือขวากลับสามารถกำปืนได้อย่างไม่ยากเย็น นักปฏิวัติหนุ่มง้างไกนกสับพร้อมกับจ่อปากกระบอกปืนเข้าที่ขมับ ปากเอื้อนเอ่ยประโยคที่เขาเก็บงำไว้กับตัวตลอดด้วยรอยยิ้มแสนสุข
“มาเรียน ผมรักคุณ”
ท่ามกลางท้องฟ้าอันมัวหมอง เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นพร้อมกับหนึ่งชีวิตที่ร่วงโรย
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
b g
ความคิดเห็น