คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3 ตอนต้น
ดนตรีประสานเสียงที่ขับขานให้กับมิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และชายหนุ่มสามัญจบลงแล้ว แต่รอยยิ้มและความรู้สึกอิ่มเอมจากสหายร่วมรสนิยมยังคงอบอวลอยู่ภายในใจของทั้งสองตราบนานเท่านาน
“มาเรียนฝีมือดีขึ้นมากเลยนะ”
“แน่นอน เราฝึกมาตลอดนี่” มาเรียนเอ่ยอยากภาคภูมิพลางเหล่มองเพื่อนชายอย่างผู้มีชัย “ไม่เหมือนใครบางคน เล่นดำน้ำไปตั้งหลายท่อน อย่านึกว่าเราไม่สังเกตนะ”
คำพูดขององค์หญิงได้รับสนับสนุนโดยโมนาร์ทที่เห่าเสียงใส มันกระดิกหางอย่างตื่นเต้นก่อนจะวิ่งมาหามาเรียนราวกับเด็กน้อยวิ่งหาแม่
“เห็นไหม เจ้าโมนาร์ทยังรู้เลย” มาเรียนวางไวโอลินตัวโปรดไว้บนโต๊ะก่อนอุ้มเจ้าโมนาร์ทมาไว้ในอ้อมอก เจ้าสุนัขบีเกิลตัวนี้ก็เหลือเกิน ตอนที่อยู่กับมิเชลมันเลียหน้าเขาเสียเต็มที พออยู่ในอ้อมอกของมาเรียนกลับทำตัวสงบเสงี่ยมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยได้ซ้อมซะเท่าไหร่”
“นี่แน่ะ” มาเรียนลงโทษโดยการใช้อุ้งเท้าของเจ้าโมนาร์ทตบศีรษะของมิเชลเบา ๆ “ไม่ซ้อมแล้วยังท้าเราอีกเรอะ ไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ”
มิเชลได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อนความผิดพลาดของตน มาเรียนจึงใช้อุ้งเท้าอีกข้างของโมนาร์ทตีหัวชายหนุ่มอีกที “คราวหน้าซ้อมให้ดีกว่านี้นะ”
หลังจากรับฟังคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะของชายหนุ่มแล้ว มาเรียนก็เขยิบร่างเพรียวบางเข้ามานั่งบนเก้าอี้เปียโนของมิเชล แผ่นหลังบอบบางของเธอพิงสีข้างของชายหนุ่มอย่างไม่ถือตัว แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่ามิเชลจะรู้สึกผ่อนคลายแบบเดียวกับองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย เจ้าหนุ่มน้อยหน้าแดงแถมยังตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก ยังดีที่มาเรียนหันหน้าออกทำให้ไม่เห็นท่าทางน่าสมเพชของเขา
“นี่มิเชล เล่นเพลงอะไรก็ได้ให้เราฟังที”
“อะไรก็ได้เหรอ ?”
“อื้ม... อะไรก็ได้ที่จะไม่โดนเจ้าโมนาร์ทลงโทษนะ”
มิเชลครุ่นคิดด้วยความลำบากใจ ทั้งร่างของหญิงสาวที่อิงอยู่ ทั้งเพลงที่คิดว่าจะถูกใจองค์หญิง ในที่สุดเพลงหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว นิ้วของเขาเริ่มพรมนิ้วบนแป้นเปียโนทันที
“ไม่เอา”
มิเชลกดตัวโน้ตพลาดไปเลยเมื่อได้ยินคำคัดค้านขององค์หญิง เป็นการสิ้นสุดเพลง “จักรเย็บผ้าของเกรอเช่น” ของ “ชูร์แบร์” ไปโดยปริยาย
“บรรยากาศดีอย่างนี้จะยังเล่นเพลงจากเรื่องเฟาสซ์เนี่ยนะ” มาเรียนบ่น “เอาที่มันสดชื่นกว่านี้หน่อยได้ไหม ?”
มิเชลขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ
“น็อคเทิร์น โอปุส 9 หมายเลข 1 ของโชแชงล่ะครับ”
“อยากทำให้เราหลับหรือไงกัน”
ไหนบอกว่าเพลงอะไรก็ได้ไง มิเชลบ่นอุ่บในใจแต่ก็มิได้เอ่ยปากออกมา
“แล้ว KV 331 เอ เมเจอร์ของโมนาร์ทล่ะครับ”
มาเรียนเงียบไปสักครู่ จ้องมองหน้าเจ้าโมนาร์ทที่แลบลิ้นแพล่บ ๆ “ก็ได้ เอาเพลงของโมนาร์ทนั่นล่ะ” ว่าแล้วหล่อนก็พลิกหูเจ้าโมนาร์ทเล่น
มิเชลได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาสะบัดมือก่อนค่อยเยื้องกรายกดแป้นโน้ตเปียโน
“นี่มิเชล...”
“มีอะไรหรือครับ” มิเชลกล่าวโดยที่นิ้วยังคงขยับต่อไป
“เราไม่มั่นใจกับคอนเสิร์ตคืนนี้เลยล่ะ”
“คอนเสิร์ตที่จะจัดที่หอดนตรีหลวงใช่ไหมเอ่ย ?”
“นั่นล่ะ”
“เห... อย่างมาเรียนนี่นะไม่มั่นใจ” มิเชลเอ่ยโดยไม่คิดอะไรมากนัก “มาเรียนได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงเชียวนะ คอนเสิร์ตคืนนี้แค่เรื่องขี้ประติ๋วเดียวเอง มาเรียนทำได้อยู่แล้วล่ะ..”
เพียงเท่านั้นล่ะ พอมาเรียนได้ยินคำว่า “เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง” เธอก็ลุกขึ้นพรวดพราด ทำเอามิเชลตกใจจนหยุดเล่นไปเสียดื้อ ๆ ส่วนเจ้าโมนาร์ทนั้นเหมือนกับจะรู้สถานการณ์ดีกว่ามิเชลหลายขุมก็รีบดิ้นปลีกตัวเองออกจากอ้อมอกขององค์หญิงไปนอนซุกอยู่ใต้แกรนด์เปียโนแทน
“มาเรียน ผมพูดอะไรผิดไปเหรอ ?”
“มิเชลเองก็เหมือนคนอื่นนั่นล่ะ ไม่เข้าใจอะไรเราเลยสักนิด” มาเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างที่มิเชลไม่ทันตั้งตัว “ทำไมต้องคาดหวังเราว่าเรามากมายขนาดนี้ด้วย ทำไมทุกคนต้องมองเราว่าเลิศเลอเก่งไปหมดเสียทุกอย่าง เราไม่ใช่ยอดมนุษย์นะที่จะทำตามความหวังของทุกคนได้นะ เราก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง”
“เดี๋ยวก่อนสิมาเรียน” มิเชลพยายามกู้สถานการณ์พัลวัน “แต่เท่าที่ผมเห็นมาเรียนก็ทำได้อยู่เสมอนี่นา ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมฝีมือวิโอลินของมาเรียนทั้งนั้น”
“นั่นมันก็แค่เปลือกนอก !” มาเรียนกำมือแน่น “เป็นแค่หน้ากากที่ทุกพยายามยัดเยียดให้เราเป็น เพราะว่าเราเป็นเจ้าหญิงต่างหากผู้คนถึงได้ชื่นชม เรารู้ตัวนะ บางครั้งเราเล่นพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่เจ้าพวกคนดูจอมสอพลอเหล่านั้นต่างตรบมือส่งเสียงเยินยอสรรเสริญว่าเป็นเพลงที่ไพเราะยิ่ง ช่างน่าขันนักเชียว ถ้าเรามิได้เป็นเจ้าหญิงเช่นนี้คงไม่มีโอกาสได้ไปเล่นคอนเสิร์ตที่หอดนตรีหลวงหรอก !”
มิเชลได้แต่กลืนน้ำลายกับสถานการณ์วิกฤติตรงหน้า เขาไม่เคยเห็นมาเรียนมีท่าทีท้อแท้หรืออ่อนแอขนาดนี้มาก่อน ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร ซ้ำยังรู้ตัวดีว่าคำพูดของเขาคงเหมือนกับที่คนอื่นที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมันจะรังแต่ทับถมองค์หญิงตัวน้อยคนนี้
“เราไม่ได้อยากเกิดมาเป็นเจ้าหญิงอย่างนี้เลยนะ !”
จะให้เขาเข้าโผกอดแล้วปลอบประโลมอย่างนั้นหรือ ?
ไม่...ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
ระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงดัง “ตุบ ๆ” เป็นจังหวะจากข้างใต้เปียโน มิเชลแอบเหลือบมอง... มันคือเสียงหางของเจ้าโมนาร์ทที่ตีพื้นไปมาเป็นจังหวะราวกับเมโทรโนม
และจากจังหวะที่ว่า ทำให้มิเชลนึกออกว่าจะจัดการกับความเศร้าหมองของเพื่อนหญิงผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา มิเชลก็เริ่มบรรเลงเพลงด้วยนิ้วเรียวยาวของเขาทันที
การกระทำของมิเชลได้ผล เพียงแค่ขึ้นเมโลดีท่อนแรก องค์หญิงผู้หดหู่ก็หันมาให้ความสนใจกับเพลงที่มิเชลกำลังดีดอยู่ทันที
“มาเรียน จำเพลงนี้ได้ไหมครับ”
มาเรียนพยักหน้า “จำได้สิ มันเป็นเพลงที่เราแต่งเองนี่นา”
“ใช่ครับ ผมพยายามแปลงเป็นโน้ตเปียโนตั้งนานแน่ะ” มิเชลแอบชายตาสังเกตเพื่อนสาวอยู่ตั้งแรก เมื่อเห็นว่าเธอมีทีท่าสนใจกับเพลงที่เขาเล่น หนุ่มนักดนตรีก็ยิ้มออกมา “แล้วมันเป็นเพลงแรกที่ผมได้ยินตอนพบกับมาเรียนเป็นครั้งแรกด้วย...”
“อย่ามาระลึกความหลังน่าอายตรงนี้สิ” มาเรียนรีบเอ่ยค้าน แต่มิเชลก็ไม่หยุดเสียที
“ตอนนั้นมาเรียนหนีออกมาจากชั่วโมงไวโอลินใช่ไหมครับ โดนครูบังคับให้เล่นเพลงที่ไม่ชอบมากเข้า เลยตัดสินใจหนีออกมาพร้อมไวโอลินซะอย่างนั้น แต่ก็ไปไหนไม่รอด สุดท้ายก็เดินวนอยู่ตรงแถวสวนหลังสถานทูตนั่นล่ะ...”
“มิ...เชล”
มาเรียนเอ่ยชื่อเขาด้วยเสียงลากยาวราวกับแมวน้อยขู่ฟ่อ ทำเอามิเชลต้องผวาไปเลย
“เอ่อ... ก็ได้ครับ ไม่พูดต่อก็ได้” มิเชลหัวเราะกลบเกลื่อน “ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อคือ ตอนที่ผมได้พบกับมาเรียนเป็นครั้งแรกผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่ามาเรียนนะเป็นถึงเจ้าหญิงของประเทศตัวเองนะ ที่ผมรู้ในตอนนั้นคือผมได้พบกับเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่เล่นไวโอลินได้วิเศษมากเลยล่ะ...”
“หึ ก็แค่พูดเอาใจเราเท่านั้นล่ะ...” แต่กระนั้นท่าทางของมาเรียนกลับดูพึงพอใจผิดกับน้ำเสียงคำพูดเหลือเกิน
“ไม่หรอกครับ ผมปรบมือให้มาเรียนด้วยความชื่นชมจากใจจริงเลยนะครับ ถึงเพลงนั้นจะไม่ใช่เพลงที่เพราะที่สุด แถมยังมีจุดบกพร่องตั้งหลายที่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้หัวใจของผมสั่นสะท้านไปหมดเลยตอนที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกได้ถึงฝีมือที่ซ่อนเร้นในตัวของหญิงสาวคนนั้น รับรู้ได้ถึงความรักที่มีต่อเสียงเพลงสุดหัวใจของเธอ... มันไม่ใช่เพราะมาเรียนเป็นเจ้าหญิงของประเทศผม แต่เป็นเพราะผมหวั่นไหวไปกับเสียงเพลงของมาเรียนจริง ๆ นะครับ...”
“พูดออกมาได้อย่างนี้ไม่รู้สึกอายบ้างเรอะ” ทว่าตัวมาเรียนเองก็แอบเบือนหน้าที่แดงก่ำหนีมิเชลด้วยเช่นเดียวกัน
“ก็อายอยู่นะครับ แต่ถ้าไม่พูดเสียเดี๋ยวมาเรียนก็หาว่าผมเหมือนคนอื่นซี่ ผมนะกว่าจะทราบว่ามาเรียนเป็นเจ้าหญิงก็ปาไปเกือบเดือนหลังจากที่เราพบกัน...”
“ก็มิเชลบื้อเองนี่นา” มาเรียนแอบขำ “แถมตอนแรกยังพยายามคุยกับเราด้วยภาษาพวกแยงกี้อีก หน้าเราเหมือนพวกแยงกี้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ใครจะไปนึกว่าลูกนักการทูตกระจอกอย่างผมจะได้พบกับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ในที่อย่างนั้นนี่ครับ แถมใครจะไปนึกว่าได้พบกับคนถิ่นเดียวกันในที่อย่างนั้นด้วย” มิเชลเริ่มพรมนิ้วบรรเลงโน้ตเพลงสี่ห้องสุดท้ายอย่างคล่องแคล่ว “ก็เห็นออกมาพบกันได้ตลอดเกือบทุกวันก็เลยนึกว่าเป็นลูกสาวพ่อค้าที่ไหนสักแห่ง มิน่า ตอนที่พ่อเห็นมาเรียนที่ผมพามาเล่นเปียโนที่บ้านถึงได้ทำตาโตตกใจขนาดนั้นน่ะ”
“แล้วมิเชลก็โดนองครักษ์เราจับหมอบกับพื้นซะแย่เลย”
“ใช่ครับ มันเจ็บมากเลยล่ะ ผมล่ะตกใจแทบแย่ที่จู่ ๆ พวกชายชุดดำโผล่มาในเวลานัดแทนที่จะเป็นมาเรียนนะ แต่ผมดีใจนะที่มาเรียนรีบมาช่วยแก้ต่างให้ผมทันที ไม่งั้นผมคงโดนยัดเข้าตารางโทษฐานโจรลักพาตัวไปแล้วล่ะ”
“น่าเสียดาย รู้งี้ปล่อยให้โดนจับเสียก็ดีหรอก” มาเรียนหัวเราะท่ามกลางเสียงคัดค้านจากมิเชล ก่อนจะค่อย ๆ ขยับมานั่งบนเก้าอี้เปียโนข้างมิเชลอีกครั้ง “สรุปแล้วเธอจะบอกว่าเราฝีมือดีอย่างนั้นล่ะสิ”
มิเชลดีดโน้ตตัวสุดท้ายก่อนจะเกาศีรษะอย่างเขินอาย “ใช่ครับ ผมรับรองได้จากใจเลย หรือมาเรียนจะบอกว่าตัวผมที่บื้อมาตลอดเกือบเดือนโกหกอย่างนั้นสิ”
“เห... นึกว่ามิเชลจะหาเรื่องจีบเราเสียอีก...”
มิเชลนั้นสะอึกซะจนแทบนึกคำพูดฉลาด ๆ โต้ตอบไม่ออกเลย แต่กระนั้นมิเชลก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว เพราะบัดนี้ใบหน้าขององค์หญิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดชื่นคู่ควรกับใบหน้าของเธอแล้ว
“จ....จริงสิครับ เกือบลืมไปแน่ะ” มิเชลรีบหันเหความสนใจโดยการล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นห่อของขวัญเล็ก ๆ ขนาดฝ่ามือ ที่ถูกมัดด้วยริบบิ้นสีชมพูหวาน เขายื่นมันให้กับมาเรียน
“ให้เรา...อย่างนั้นเหรอ” มาเรียนถาม
“ของขวัญอวยพรสำหรับคอนเสิร์ตวันนี้นะครับ” มิเชลกล่าว “ผมเองก็เพิ่งทราบข่าวไม่นานเลยไม่มีเวลาเตรียมหาของขวัญให้ล่วงหน้า...”
ทว่า มาเรียนมิได้สนคำแก้ตัวน้ำท่วมทุ่งนั่นเลย เธอรีบคว้ามันมาไว้อย่างตื่นเต้น “แกะเลยได้ไหม” เมื่อมิเชลพยักหน้าตอบรับ องค์หญิงก็รีบแกะห่อขวัญทันที
“ที่คล้องรูปกุญแจเสียงฟา...” มาเรียนจ้องมองพวงกุญแจไม้รูปกุญแจเสียงฟาที่คล้องพู่สีแดงไว้ ”นี่มิเชลทำเองเหรอ”
“ครับ ผมให้คุณพ่อช่วยด้วยนิดหน่อย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผมเป็นคนทำทั้งหมดล่ะครับ”
“มิน่า ทำไมมันดูเบี้ยวชอบกล” มาเรียนตอบโดยที่เธอยังมองของขวัญนั่นด้วยความตื่นเต้น
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่ไม่ได้เตรียมของขวัญที่ดีกว่านี้มาให้นะครับ”
“ไม่หรอก” มาเรียนส่ายหัวทั้งรอยยิ้ม “เราถูกใจมันมากเลยล่ะ แต่เราสงสัยว่าทำไมเป็นถึงให้กุญแจฟาล่ะ ?”
“อ๋อ ผมยังไม่ได้อธิบายความหมายของมันสินะครับ” ว่าแล้วมิเชลก็หยิบพวงกัญแจอีกอันหนึ่งออกมา มันเป็นพวงกุญแจรูปกุญแจเสียงซอลที่แกะจากไม้เช่นเดียวกัน “ผมทำพวงกุญนี่ขึ้นมาสองอันนะครับ ที่ผมให้กุญแจฟาไปก็เพื่อเปรียบเหมือนกับความรู้สึกของผมที่คอยเกื้อหนุนมาเรียนไปตลอด เหมือนกับเสียงเบสที่สนับสนุนเมโลดี้เพลงให้ไพเราะยิ่งขึ้นนะครับ”
“แล้วเจ้ากุญแจซอลนั่นล่ะ”
“อ๋อ อันนี้ผมจะเก็บไว้เองครับ เป็นตัวแทนของมาเรียนที่เปรียบเสมือนเสียงเมโลดี้หลักที่เป็นหัวใจของเพลงคอยทำให้หัวใจของผมชุ่มชื้นตลอดนะครับ”
“แหวะ ไม่รู้สึกเลี่ยนบ้างเหรอตอนพูดอย่างนั้นออกมานะ” ถึงจะกล่าวอย่างนั้น ใบหน้าของมาเรียนกลับเต็มไปด้วยความยินดี เธอรีบลุกไปผูกพวงกุญแจไว้ที่ไวโอลินตัวโปรด พลางยกมันขึ้นมาอวดให้มิเชลได้รับชม “เป็นไง ดูเข้ากันไหม”
ภาพที่มิเชลเห็น ณ ตอนนี้คือหญิงสาวที่เปล่งประกายท่ามกลางแสงตะวันที่สดใสราวกับเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ มันทำให้มิเชลตะลึงจนเผลอจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
“ส... สวยมากเลยครับ”
มาเรียนนั้นไม่มีทางทราบได้ว่าสิ่งที่มิเชลหลุดปากออกมาหมายถึงอะไรกันแน่ แต่หล่อนก็เพียงแต่ยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสา พลางเดินเข้าหาชายหนุ่มที่อยู่ในภวังค์มนต์สะกดอยู่
“ถ้าอย่างนั้นเราเองก็ต้องมีของขวัญอะไรให้มิเชลบ้างแล้วสิ” เธอก้มหน้ามองชายหนุ่มจนทำให้ชายคอเสื้อย้อยลงมา ทำให้มิเชลต้องรีบเบือนหน้าหนีบังคับมิให้สายตาจับจ้องเนินอกสีขาวผ่องคู่นั้น “ว่าแต่มิเชลไปงานคอนเสิร์ตไม่ได้จริง ๆ เหรอ”
“ค...ครับ” มิเชลยังเบือนหน้าหลบด้วยแก้มที่แดงก่ำ “คาบเรียนที่โรงเรียนก็จะเปิดอยู่ไม่กี่วันแล้ว ถ้าผมไม่ไปวันนี้มันจะไม่ทันนะครับ”
“น่าเสียดายจริง งั้นเราคงต้องหาของขวัญอย่างอื่นให้เสียแล้วสิ”
“ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่มาเรียนชอบพวกกุญแจนั่นก็ถือเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่ล้ำค่าที่สุดแล้วล่ะ”
“ไม่ได้หรอก” มาเรียนยกนิ้วแตะปากครุ่นคิดอย่างหนักก่อนที่เธอจะลืมตาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“งั้น มิเชลหลับตาหน่อยสิ”
“ห...หา ?” มิเชลลืมตาโผลงด้วยความตื่นเต้น
“เอาน่า เราไม่แกล้งอะไรหรอก”
เมื่อมาเรียนยืนยันเช่นนั้น มิเชลจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะหลับตาตามคำสั่ง
“ต้องหลับนานแค่ไหนครับ”
“อีกสักครู่จ้า” มาเรียนตอบระหว่างกำลังทำอะไรตะกุกตะกักอยู่ไม่ห่าง ส่วนมิเชลได้แต่ใจเต้นโครมครามกับของรางวัลที่มาเรียนจะให้ มันจะเหมือนกับที่เขาเคยอ่านเจอในนิยายหรือเปล่า ที่หญิงสาวให้หลับตาแล้วมอบจุมพิตให้น่ะ...
“เอาล่ะ ห้ามลืมตานะ”
ว่าแล้วมิเชลก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างนุ่ม ๆ สัมผัสที่ริมฝีปาก นี่มันหรือว่าจะเป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ ! เท่านั้นไม่พอ เขารู้สึกได้เหมือนลิ้นกำลังชอนไชในปากของเขาด้วย
“ม...มาเรียน ถ้ามากกว่านี้มันจะไม่ดีนะ !”
มิเชลรีบผละตัวออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับหัวใจที่ระส่ำระส่าย ...
เขาลืมตาขึ้นมา
ก่อนจะพบกับใบหน้าของเจ้าโมนาร์ทกำลังแล่บลิ้นให้เขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ไหนบอกว่าจะไม่แกล้งผมไงล่ะครับ !” มิเชลรีบควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากอย่างลนลาน ส่วนมาเรียนที่อุ้มเจ้าโมนาร์ทอยู่นั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่นไม่สมกับกิริยาของราชนิกูลเลยแม้แต่น้อย
“ก็เราไม่ได้แกล้งจริง ๆ นี่นา เจ้าโมนาร์ทต่างหากที่เลียหน้าเธอนะ” มาเรียนปล่อยโมนาร์ทที่กำลังกระดิกหางอย่างแรงลงกับพื้น ก่อนจะเดินเข้าหามิเชลอีกครั้ง “เป็นการแก้แค้นที่ทำให้เราเขินเมื่อสักครู่ไง”
“ใจร้าย” มิเชลกล่าวอย่างน้อยใจ “ผมอุตส่าห์เชื่อใจนะ”
“เอาน่า งั้นคราวนี้ของจริงล่ะ”
ก่อนที่มิเชลจะได้ทันตั้งตัว มาเรียน ราชธิดาในราชตระกูลบูบัวร์แห่งราชอาณาจักร ก็ปรี่ตัวเข้าหาพลางจุมพิตเข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล โดยมิได้นึกรังเกียจว่าริมฝีปากนั้นจะเพิ่งเปื้อนน้ำลายสุนัขมาเลย
“คราวนี้เราก็เปื้อนน้ำลายเจ้าโมนาร์ทเหมือนกันแล้ว ถือว่าหายกันนะ” มาเรียนที่หน้าแดงก่ำค่อย ๆ ถอนตัวออกมา มือของเธอสัมผัสริมฝีปากแดงเรื่อยอย่างเขินอาย
มิเชลนั้นพูดอะไรไม่ออกเลย เขาได้แต่อ้าปากหวอเหมือนปลาทองที่วิ่งไล่งับขี้ตัวเองอย่างน่าสมเพส กระนั้น ในหัวของเขาก็นึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว
.........................................................
...........................................
................................
..........
และแล้วมันก็ถึงเวลาแห่งการลาจาก มิเชลต้องรีบไปขึ้นรถไฟเพื่อต่อไปยังท่าเรือ ส่วนมาเรียนเองก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับคอนเสิร์ตคืนนี้ มิเชลนั้นในตอนแรกวางแผนจะเดินไปสถานีรถไฟด้วยตัวเอง แต่หัวหน้าพ่อบ้านยืนยันว่าขอให้คนขับรถของวังขับไปส่งให้ ในที่สุดมิเชลก็ต้องยอมแพ้ โดยสารไปยังสถานีรถไฟโดยรถของวัง
ระหว่างที่มิเชลจะออกเดินทาง มาเรียนก็รีบวิ่งมาโบกมืออำลาจากระเบียงชั้นสองในชุดที่จะออกงานคอนเสิร์ต สำหรับมิเชลแล้วหญิงสาวเบื้องหน้าดูราวกับนางฟ้าเลยทีเดียว ประกายแสงจากฟ้าส่องผ่านเมฆเป็นลำแสงลงมาบริเวณที่เธอยืนอยู่พอดี สะท้อนประกายกากเพชรบนเส้นผมให้แวววาวราวกับอัญมณีล้ำค่า
“มิเชล คราวหน้าห้ามพลาดคอนเสิร์ตของเรานะ เราจะส่งบัตรเชิญไปถึงที่โน่นเลย”
“ครับผม ผมจะรอซื้อแผ่นเสียงตั้งแต่วันแรกเลยนะครับ”
หนุ่มสาวทั้งสองส่งสายตาแห่งความอาลัยให้กันอีกครั้ง มาเรียนเหมือนจะพยายามกล่าวอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่เธอพยายามหักห้ามไว้ในหัวใจ มันช่างดูทรมานเหลือเกิน แต่ในที่สุดเธอก็เอาชนะมันได้ เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์เพียงแต่ยิ้มอำลาให้กับสหายหนุ่มเบื้องล่าง
“อย่าลืมเขียนจดหมายหาเราทุกอาทิตย์ด้วยล่ะ ได้ที่อยู่เราแล้วใช่ไหม”
“ครับผม ผมสัญญา !”
“แล้วอย่าลืมซ้อมเปียโนให้มาก ๆ ล่ะ คราวนี้จะได้มาเล่นด้วยกันใหม่”
“ผมจะพยายามครับ”
มิเชลยิ้มตอบกลับด้วยหัวใจที่พองโตอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้พบกันในลักษณะนี้...
ด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับแสงตะวันที่ส่องสว่างกลางฟากฟ้า
b g
ความคิดเห็น