สายฝนแห่งรัก - นิยาย สายฝนแห่งรัก : Dek-D.com - Writer
×

    สายฝนแห่งรัก

    ฉันย้ายโรงเรียนมาเรียนต่อในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่กว้างขว้างมีห้องเล็กห้องน้อยมากมาย ฉันเคยเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศภายในมาแล้วเมื่อครั้งตอนที่คุณลุงพามาสมัครเรียนต่อ ฉันมีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องมาเรียนที่นี้ แม่เลี้ยงของฉันไม่ค่อ

    ผู้เข้าชมรวม

    192

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    192

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  24 ม.ค. 53 / 14:55 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทที่1

    องปีก่อนเดือนเมษายนเป็นวันที่ฉันใส่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนอย่างเป็นทางการ ฉันเป็นนักเรียนใหม่ที่ย้ายมาจากโรงเรียนสตรีที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งโดยใช้เกรดเฉลี่ยที่ดีพอสมควร ทำให้โรงเรียนแห่งนี่เปิดต้อนรับฉันเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาต่อ โรงเรียนนี่เปิดเป็นโรงเรียนไฮสคูลที่ดูดีอีกที่หนึ่งในเมืองนี่ และยังเป็นโรงเรียนที่รวมนักเรียนทุกเพศไม่ว่าจะหญิงหรือชายมาศึกษาต่อทำให้โรงเรียนมีศักยภาพในการสอนพร้อมไปด้วยการทำกิจกรรมได้หลากหลาย ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงในด้านต่างๆมาก ซึ่งโรงเรียนเก่าของฉันไม่เคยมีผู้ชายหรือเพศอื่นๆที่ยังไม่ได้จัดอันดับเลย ฉันจึงลาออกจากโรงเรียนเก่ามาหาประสบการณ์จากโรงเรียนนี่ เพื่อนหลายคนบอกว่าฉันบ้าที่คิดออกมาจากโรงเรียนเก่า แต่ฉันคิดว่าไม่ เพราะการค้นหาสิ่งใหม่ๆสำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่บ้าแต่กลับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายมากกว่า ฉันจึงมาคิดที่จะเสียใจที่ได้อยู่ที่นี้เลย

    ฉันก้าวเดินผ่านรั้วเหล็กของโรงเรียนแห่งนี่มาในเวลาเช้าตรู่ของวัน จำได้ว่าตัวของฉันในเวลานั้นเดินหลงทางในโรงเรียนนับเป็นชั่วโมงๆได้ จนมาถึงตึกห้าชั้น ซึ่งตั้งอยู่ทิศตรงข้ามกับสนามฟุตบอล ฉันเดินขึ้นตึกห้าชั้นจากบันไดที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนและรู้สึกว่าพื้นหินอ่อนของที่นี้จะขายดีมาก เพราะตั้งแต่ตึกอำนวยการถึงตึกนี่ใช้พื้นหินอ่อนแทบทั้งหมด ฉันเสียเวลากับการหาชั้นเรียนของตัวเองมามาก พอมาเจอตึกนี่ก็ยิ่งภาวนาว่าขอให้ห้องเรียนของตนเองไม่ได้อยู่ในชั้นสูงที่สุดของตึกนี้เลย จนกระทั่งเสียงที่ฉันเกลียดที่สุดก็ดังขึ้น

    กริ่ง...กริ้ง...กริ๊ง...กริ๋ง นักเรียนทุกคนโปรดทราบขณะนี่เวลาเก้านาฬิกาได้เวลาเข้าห้องเรียน และวันนี้ขอให้นักเรียนทุกคนโชคดีค่ะ ขอบคุณค่ะ กริ่ง...กริ้ง...กริ๊ง...กริ๋ง เสียงหวานๆจากประชาสัมพันธ์ที่อวยพรให้นักเรียน แต่ไม่เห็นว่ามันจะเกิดผลอะไรกับฉันเลย มันทำให้ฉันต้องเร่งฝีเท้าขึ้นมากกว่าทุกๆคนหายเข้าห้องเรียนของตัวเองไปแล้ว

    จนกระทั่งมาถึงชั้นสามของตึก ฉันเดินจับราวบันไดพร้อมกับความเหนื่อยหอบที่พาตนเองมาถึงชั้นนี่ได้ อันที่จริงฉันไม่ใช่คนที่เหนื่อยง่ายขนาดนี่แต่เมื่อเช้านี่ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้มาโรงเรียนทำให้ไม่อยากทานอะไรจึงหยิบเพียงแค่นมฉันก็ดิ่งตัวมาที่โรงเรียนนี่เลย นมเพียงกล่องเดียวคงเติมแบตฯในตัวฉันได้เพียงเท่านี่ ทำให้ฉันหอบมากแทบหายใจไม่ทัน และแล้วฉันก็เจอชายคนเดียวที่เขาจะสามารถช่วยฉันได้ (โอ้...พระผู้เป็นเจ้าโปรดมอบพลังให้แก่ชายคนนี่ด้วยเทอญ เขาเป็นคนที่จะช่วยลูกให้พ้นจากความเหนื่อยล้าไปได้) ฉันเดินตรงดิ่งเข้าไปหาชายปริศนาคนนี่เพื่อขอความช่วยเหลือ ฉันกระชากเสื้อแจ๊คเก็จหนังสีแดงเบาๆพร้อมกับส่งสายตาระยิบระยับ เขาหันมาด้วยใบหน้าโหดๆตอบกลับมาคล้ายกับจะแสดงให้เห็นว่า อย่ามายุ่งกับตู

    ฉันถึงกับปล่อยมือจากเสื้อแจ๊คเก็จหนังสีแดง (คงถามไม่ถูกคนแล้วละมั่ง) ยูนิฟอร์มของโรงเรียนอยู่ภายใต้แจ๊คเก็จหนังสีแดง ทำให้การแต่งตัวของผู้ชายคนนี่ยิ่งดูแปลกตามากขึ้น ตัวของเขาสูงเกิน 180 กว่าแน่นอน (สงสารคนที่พูดกับชายคนนี่จังเลยคงปวดคอแย่..) เขาเป็นคนผิวขาวซีด มันทำให้เสื้อแจ๊คเก็จหนังสีแดงของเขาดูโดดเด่นและตัดกันกับสีผิว มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เข้ากับแจ๊คเก็จหนังสีแดงนี้ได้ก็คงจะเป็นริมฝีปากของเขานี้แหละมั้ง มันแดงออกชมพูนิดๆดูแล้วเป็นธรรมชาติ นั้นพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนที่ห่วงใยสุขภาพปากของเขามากเหมือนกัน เขายืนอยู่หน้าระเบียง กำลังทอดสายตาไปที่สนามหญ้าที่โลงกว้างซึ่งว่างเปล่าไรผู้คน แต่ถึงจะดูดีอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์อีกแล้วเพราะฉันคงไม่กล้าเข้าไปพูดกับเขาอีก ฉันเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจอะไรในตัวของเขาอีกแล้ว ในที่สุดฉันก็เดินมาเจอห้องเรียนใหม่ของฉัน ห้องที่ฉันคาดหวังกับมันมากและแลกกับหยาดเหงื่อทุกหยดที่อุทิศให้กับการตามล่าหาชั้นเรียนตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้

    ห้องเรียนต่างเต็มไปด้วยผู้คนทั้งหญิงและชาย มีเสียงหัวเราะสนุกสนาน ต่างเต็มไปด้วยความสุขที่เปิดเทอมใหม่ ทำให้ฉันแอบยิ้มอยู่คนเดียวพอใจกับการตัดสินใจที่ย้ายมาเรียนที่นี้ และคิดไว้ไม่ผิดกับความตื่นเต้นครั้งใหม่ ฉันมัวแต่มองห้องเรียนผ่านจากนอกประตูยังไม่ก้าวเดินเข้าไปแต่ก็ต้องสดุงเพราะมีคนมาเคาะหัวฉันด้วยไม้เรียวอย่างแรง ทำให้ฉันหันกลับไป

                เธอคือนักเรียนใหม่ใช่ไหม...ผู้ชายใส่เสื้อสูทสีดำ แว่นตาแว่ววับเป็นประกาย หน้าตาดี อายุราวๆสามสิบ ยืนถือไม้เรียวซึ่งตัดกับหน้าตาและเสื้อผ้าแบรนเนมของเขามากนัก

    คะ...ค่ะ...แผ่นสะดุดเลยซะงั้น

                ทำไหม ไม่เข้าห้องไป ยืนเหม่ออะไรอยู่ ผมว่าผมมาสายมากแล้วน่ะ

              อืม...ขอโทษนะค่ะ..คุณเป็นใครค่ะ...ฉันถามเพื่อเช็คให้แน่ใจ

                แน่นอนล่ะ ผมคงเป็นภารโรงละมั่ง นักเรียนสมัยนี้ไม่ค่อยจะดูคนออกเท่าไรหรอกเขายืนกอดอกแล้วยืนจ้องหน้าฉัน (โอ้ะ..โอ..เจอแจ๊คพอตแล้ว)

                ขอ...ขอโทษค่ะ...หนูผิดไปแล้ว อาจารย์ออกจะมีรัศมีที่เปล่งประกายขนาดนี้จะเป็นใครได้ จริงไหม

    ค่ะ...เฮ้อๆๆ..ฉันต้องพูดตลกกลบเกลื่อน ขายผ้าเอาหน้ารอดไว้ก่อน

                เข้าห้องเรียนสาย..แต่ไม่เป็นไร..ให้อภัย วันนี้เป็นวันแรกผมจะไม่ถือก็แล้วกัน แต่ถ้าวันหน้าเป็นเช่นนี้ผมลงโทษคุณแน่ ไปได้แล้ว...เข้าห้องไป อาจารย์พูดเสร็จก็เดินถือไม้เรียวเดินตามฉันมา (คนอะไรดูดุเป็นบ้า)

                อ้าว...เงียบ เงียบบบ.. อาจารย์พูดพลางวางไม้เรียวไว้ที่โต๊ะ ในห้องเงียบกริบ

                ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกคุณ พวกคุณจะอยู่ในความปกครองของผม อย่าได้คิดผิดระเบียบหรือคิดท้าทายผม เพราะผมไม่มีวันที่จะยอมให้พวกคุณผ่านไปง่ายๆ ผมพาเพื่อนของคุณที่พึ่งเข้ามาใหม่มาด้วยหนึ่งคน.. ไหน...ลองแนะนำตัวสิ อาจารย์เบนความสนใจมาที่ฉัน

                สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ดิฉันชื่อ ครีซ เป็นนักเรียนใหม่ช่วยชี้แนะด้วยนะค่ะเสียงตบมือดังขึ้นเมื่อฉันพูดจบ

                            อาจารย์ก็ขึ้นพูดต่อเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในห้อง ฉันได้แต่ยืนอยู่ข้างๆอาจารย์โดยไม่เดินไปไหน อาจารย์เหมือนจะไม่รู้ว่าฉันทรมานมากตั้งแต่ช่วงเช้าเลยจึงพูดต่อไปโดยไม่คำนึงถึงตัวฉันเลย ฉันกวาดสายตามองรอบๆภายในห้อง เริ่มสบายใจกับสภาพแวดล้อมของห้องเรียนเพราะที่นี้เป็นห้องขนาดใหญ่ที่นั่งไม่แออัด สะอาด พื้นปูด้วยหินอ่อน แถวจัดเรียงโต๊ะเป็นคู่ๆ เปิดช่องว่างให้คนสองสามคนเดินผ่านได้สบาย แต่แล้วสายตาของฉันก็ไปจับอยู่ที่หนุ่มลึกลับ

                แจ๊คเก็จแดง ฉันพึมพำ

     เอาล่ะ...คงรู้จักกันแล้วน่ะ เก้าอี้ของคุณอยู่ทางด้านหลังสุดเลย เดินไปคุณจะเจอเองอาจารย์พูดและไปยกกองหนังสือมาตั้งไว้บนโต๊ะเตรียมที่จะสอน

    ฉันเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเรียนที่อยู่ท้ายสุด ดีจังเลยน่ะ...ไม่ใช่ฉันที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่นั่งหลังห้อง ยังมีผู้หญิงอีกคนที่นั่งเป็นเพื่อนฉัน เธอนั่งติดกับชายแจ๊คเก็จแดง

    เธอชื่อ ครีซ สินะ...ผู้หญิงที่นั่งติดกับชายแจ๊คเก็จแดง เธอทักทายด้วยรอยยิ้มหวานๆ

    ฉันชื่อ เอลริน หน้าแปลกน่ะ โรงเรียนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ แต่ผู้คนกลับทยอยกันมาเพื่อเข้าเรียนที่นี้...เธอพูดพร้อมกับเหลือบมองไปรอบๆห้อง

    ไม่แปลกนักหรอก เพราะเราก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น...  ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ เอลรินฉันยิ้มให้แล้วหันกลับมาเข้าเนื้อหาในหนังสือต่อ ถ้าการเรียนในปีนี้ไม่ดีพ่อคงจะให้ฉันกลับไปโรงเรียนเดิมแน่

     

              ฉันตั้งใจเรียนอย่างมากในช่วงสองเดือนแรก ฉันแทบจะไม่มีเพื่อนเลยนอกจากเอลริน เธอเป็นคนที่มีพร้อมทุกอย่างพ่อแม่ของเธอเป็นนักการเมืองและทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก แถมเธอยังเป็นคนที่หน้าตาดีอีกด้วย ฉันอิจฉาในตัวเอลรินมากเธอแทบจะไม่มีจุดด้อยเลย ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องไหนๆดูเธอจะถนัดไปหมด ฉันยิ่งอยู่กับเอลรินก็เหมือนยิ่งเปรียบเทียบตัวเองกับเธอ ซึ่งเทียบไม่ได้เลย เอลรินเป็นคนที่พูดเก่ง อ่อนโยน คุณสมบัติพวกนี้ทำให้ผู้ชายหลายๆคนหวั่นไหวมาก แน่นอนว่าเธอมีคนรู้ใจแล้ว นั้นคือ เรย์ ชายแจ๊คเก็จแดง ที่ดูเงียบๆพิลึกๆนิดๆนั้นเอง ฉันอึ้งมากตอนแรกๆที่รู้เรื่องนี้ เอลริน ไอดอลของเพื่อนหลายๆคนคบกับชายพิลึกที่อยู่กับแจ๊คเก็จหนังสีแดงทั้งวันทั้งคืน ช่างเป็นคู่ที่ต่างกันนัก ดั่งรองเท้าส้นสูงกับรองเท้าแตะเสียจริง ฉันเคยถามเอลรินเล่นๆว่าเธอคิดอย่างไรที่เลือกคบกับผู้ชายที่ดูแปลกๆอย่าง เรย์

    อืม...คงจะเป็นวันแรกเลยมั้งที่เจอเรย์ เขาใส่แจ๊คเก็จหนังสีแดงมาช่วยยกกล่องหนังสือเข้าห้องสมุด วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมากด้วย เรย์กลับบ้านไม่ได้เลยอยู่ที่ห้องสมุดกับฉัน เราเลยเริ่มคุยกันตั้งแต่นั่นมา ฉันเป็นคนที่ชวนเขาคุยก่อน แล้วก็...ขอคบกับเขาก่อน เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างฉันกำหนดเองแทบทั้งหมด นี้แหละมั้งที่ทำให้ฉันรักเขามากเอลรินพูดทำหน้าปลื้มนิดๆ

    สำหรับฉันได้ฟังเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายให้ตลอดและการตกหลุมรักใครคนหนึ่งมันง่ายขนาดนี้เลยหรือ มันหน้าแปลกที่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันเลย ความสัมพันธ์แบบนั่นมันคืออะไรกัน

                จนมาถึงฤดูฝนเป็นวันแรกของปี ฉันเดินถือร่มเนื้อตัวเปียกมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าและได้พบกับเรย์  ตามปกติเรย์จะไม่ค่อยมาเช้านักและฉันไม่ค่อยพูดกับเรย์มากเท่าไรอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยสนิทกันนัก แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิม วันนี้ฉันไม่เห็นเขาใส่แจ๊คเก็จหนังสีแดงมันผิดปกติมากและท่าทางของเขาก็แปลกกว่าทุกวันด้วย ฉันเดินผ่านเขาไปอย่างช้าๆ

                Hi!... เขาพูดกับฉันแล้วหันมามองหน้า ทำให้ฉันหยุดชะงักอยู่กับที่

              hi!...ฉันทักตอบกลับ

                เปียกมาเชียวคงเดินมาโรงเรียนสิน่ะเขาพูดพลางสายตาจ้องมองที่ฉัน

                            มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเจอเขาแล้วจ้องเขานานขนาดนี้ ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันนานมากแล้วสิน่ะ (โอ้...พระเจ้า ท่านช่างสรรค์สร้างมนุษย์เพศชายตนนี้มาเกิดที่โลกมนุษย์เสียจริง เป็นงานที่ท่านเท่านั้นที่ทำได้ รอยยิ้มที่ทำให้ใครหลายๆคน ต่างต้องใจเต้น เพราะลักยิ้มที่มุมปากของเขาและหน้าตาที่อ่อนโยนทำให้เขาเป็นคนที่ดูดีอย่างไม่หน้าเชื่อ ใบหน้าที่งดงาม เรียวปากดั่งเม็ดทับทิมสีแดง ทรงผมที่จัดเข้ากับใบหน้าที่ดูยาวเข้ารูป ร่างกายที่สูงเด่นเป็นสง่า ไหนจะผิวพรรณที่ดูขาวเข้ากับสภาพอากาศเสียจริง เห็นเขาแล้วฉันก็รู้เหตุผลของเอลรินที่เลือกคบกับเขา เพราะวันที่ฝนตกเขาจะเผยกายที่แท้จริงของเขานี้เอง

                อืม...ใช่ ฉันเดินมาโรงเรียน วันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดเลยล่ะ ร่มคันนี้คงเล็กไปสำหรับหน้าฝนปีนี่ก็ได้มั้งฉันพูดด้วยอาการสั้นเทา แถมรู้สึกว่าจะมีไข้ด้วย และตอนนี้ฉันอยากเข้าห้องเรียนมาก

                ดูเธอสิ สั่นไปหมดแล้ว คงหนาวมากสิน่ะ อ้อ..ฉันมีเสื้อแจ๊คเก็จหนังสีแดงอยู่ข้างในห้อง ถ้าไม่รังเกียจฉันให้เธอยืมใส่ก็ได้น่ะเขาพูดแล้วเดินเข้าไปในห้องโดยผ่านทางประตูหลังห้อง

                เรย์...ไม่เป็นไรหรอก ฉัน...   เรย์หยิบเสื้อแล้วยื่นเสื้อมาให้ฉัน

                ไม่เป็นไรได้ไง เดี๋ยวอีกซักพักก็จะเป็นหวัด อบอุ่นร่างกายไว้ก่อนจะได้ไม่เป็นไรไงเรย์พูดด้วยท่าทางซีเรียส จริงจังอย่างบอกไม่ถูก

                อืม...ก็ได้ งั้นก็ขอบใจมากน่ะฉันหยิบเสื้อแจ๊คเก็จหนังสีแดงมาจากมือเขา แล้วสวมใส่อย่างสบาย เสื้อตัวใหญ่อบอุ่นจัง แต่แย่ตรงที่เสื้อนักเรียนเปียกไปด้วยทำให้ยังหนาวอยู่ดี

                            เข้าชั่วโมงเรียนที่ห้าฉันเริ่มทนเรียนไม่ไหว รู้สึกเวียนๆหัว เพราะฉันถอดเสื้อแจ๊คเก็จเมื่อตอนเข้าเรียนชั่วโมงแรก ถึงจะยังไงฉันก็กลัวเอลรินมองฉันไปในทางที่ผิด แล้วคืนแจ็คเก็จให้เรย์ไป อุณหภูมิในร่างกายเริ่มสูงขึ้น ฉันพยายามบอกตัวเองว่าให้ทนต่อไปแล้วไปพักผ่อนที่บ้าน แต่แล้ววันนี้กลับไม่เป็นใจ ฉันเดินโซเซ หน้ามืดเป็นพักๆไปที่โรงอาหาร สุดท้ายเอลรินก็ต้องผยุงฉันไปส่งที่ห้องพยาบาล

                ไม่ไหวทำไหมไม่อก ดีน่ะไม่เป็นลมไปซะก่อนเอลรินติฉัน (ฉันควรจะรู้สึกผิดใช่ไหมเนี่ย)

                ไหนล่ะ คนป่วย บอกแล้วให้ใส่เสื้อแจ๊คเก็จคลุมไว้จะได้ไม่หนาว ที่สุดก็ต้องมานอนป่วย แย่จริงๆเลยน่ะเรย์เดินเข้ามาในห้องพยาบาล แล้วจัดยาอย่างคล่องแคล่ว นั้นสิน่ะ เขาก็ต้องคุ้นเคยกับการจัดยาอยู่แล้วก็เขาอยู่ชมรมเด็กติดยานิ(ชมรมคนรักยา แต่เรียกในเชิงล้อเลียน)

                            เอลรินมองหน้าฉันแล้วเธอก็หัวเราะเบาๆ นั้นมันทำให้ฉันกลุ้ม เรย์ไม่หน้าพูดขึ้นมาเลย แต่เขาหน้าจะรู้ว่าฉันคิดยังไงที่ไม่ยอมใส่เสื้อของเขา

                          เธอน่าจะเชื่อเรย์น่ะ จะได้ไม่เป็นไข้ไง ยังไงก็ควรจะเป็นห่วงตัวเองก่อนน่ะ ฉันแคร์เธอมากกว่าเรย์อีกเข้าใจรึยังเอลรินพูดด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน ฉันรู้สึกดีที่มีเอลรินเป็นเพื่อน เธอนั่งอยู่ข้างๆเตียงของฉัน  ความรู้สึกแบบนี้มีแต่เอลรินเท่านั้นที่ให้กับฉันได้ เพื่อนรักตลอดไป

                                        ฉันตื่นมาอีกครั้งในห้องพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาที่โรงเรียนเลิกเรียนพอดี ฉันปวดหัวมากแต่ก็ต้องตื่นเพราะฉันควรกลับไปรักษาตัวที่บ้านมากกว่าที่นี้ ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียง เสียงประตูห้องพยาบาลเปิด

                      

                           

    รักต้องห้าม ของฉันและเธอ จะเป็นไปได้หรือไม่ ฉันควร จากไปหรือเขาควรไป เรื่องราวของรักที่ถูกความทรงจำย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ จากนี้ฉันและเธอต้องอยู่กับปัจจุบัน ไม่อาจกลับคืนสู้อดีตได้อีกแล้ว....

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น