คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Lesson 2 : อย่าทำตัวเด่น...จะเป็นภัย
2
อย่าทำตัวเด่น...จะเป็นภัย
ทันทีที่รถของฉันเทียบท่าจอดลงตรงตัวบ้าน เหล่าบรรดาคนใช้ทั้งหลายก็มายืนออเพื่อรอรับใช้ฉันกันอย่างเอิกเกริก พ่อกับแม่ที่เหมือนรอฉันมานานชั่วกัปชั่วกัลป์ก็วิ่งออกมาหาแล้วถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ทันที
“เป็นไงบ้าง เข้ากับเพื่อนๆได้หรือเปล่า”
“เวลาจ้องกระดานดำปวดตามั้ยลูก”
“แล้วอาจารย์ปฎิบัติกับลูกอย่างดีอย่างที่พ่อฝากฝังเอาไว้มั้ย”
“ถ้าไม่ชอบโรงเรียนนี้บอกแม่เลยนะ แม่จะพาไปลาออก!”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นค่ะ ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างปกติสุข” ฉันตัดบทด้วยการโบกมือทั้งสองข้างเพื่อหยุดให้พ่อแม่วิตกกังวลแล้วแย่งกันถามไถ่ ก่อนจะส่งยิ้มให้พวกท่านสบายใจอีกครั้งหนึ่ง “โรงเรียนวันนี้ก็...ดีค่ะ”
“ก็ดีเองเหรอ” พ่อ
“มันแตกต่างจากที่หนูคิดเอาไว้นิดหน่อย”
“การที่ไม่มีเอฟโฟร์อย่างในหนังที่พี่ชอบเล่าให้เธอฟังมันทำให้ผิดหวังขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“พี่ชายใหญ่ >O<” ฉันวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายคนโตที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านด้วยความคิดถึงคะนึงหา “วันนี้ฉันต้องอดทนมากที่จะไม่ทักทายพี่เลยนะ”
“พี่เองก็อยากเข้าไปคุยกับเธอเหมือนกัน แต่เดี๋ยวจะผิดสังเกตมากจนเกินไป”
“พี่ไม่ให้ฉันเข้าไปทักเพราะกลัวแฟนคลับพี่จะถล่มฉันใช่มั้ยล่ะ ฉันเพิ่งรู้นะว่าพี่เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆมากขนาดนี้”
พี่ชายใหญ่ของฉันในที่นี้คือ ‘ไมโล’ ผู้ชายในกลุ่ม ‘เดอะบอย’ ที่เดินผ่านฉันเมื่อตอนกลางวันและเราแค่สบตาเท่านั้น ตอนฉันลืมตาขึ้นมาเห็นเขาฉันยอมรับเลยว่าหัวใจฉันสั่นไหวน้อยๆ เพราะพี่ชายใหญ่ของฉันเมื่อเทียบกับตอนเด็กๆแล้วตอนนี้เขาหล่อมากกกก จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาได้กลายเป็นที่นิยมของสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วไปในโรงเรียนแห่งนั้น ก็เขาเล่นดูดีไปซะทุกอย่าง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระเอกเกาหลีแถมหน้ายังติดหวานนิดๆไปทางผู้หญิง ดวงตาสีฮาเซลที่หาได้ยากในหมู่คนทั่วไปรับกับผิวขาวอมชมพู ที่ฟ้องว่าเกิดจากโคตรผู้รากมากดี
อุต๊ะ! พี่ชายใหญ่เกิดในครอบครัวของฉันง่ะ กั่กๆๆๆ ^O^
เพราะหล่อเหลา เรียนเก่ง และชาติตระกูลดี ความใฝ่ฝันของพี่ชายใหญ่จึงอยากที่จะเป็นทูตเพราะเขาบอกว่า ‘มันยาก’ ความท้าทายคืออาหารอันโอชะของพี่ชายใหญ่เชียวล่ะ
“ก็ไม่ใช่ว่าโรงเรียนนี้จะไม่มีเอฟโฟร์ซะทีเดียว ฉันแค่คิดไม่ถึงว่าเอฟโฟร์ในซีรี่ย์จะเป็นแก๊งเดอะบอยของพี่ชายใหญ่ พี่รู้มั้ยว่าสมาชิกในกลุ่มพี่มีจำนวนเท่ากับเพื่อนๆของเต้าหมิงซื่อเชียวนะ”
“อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครนะ -*- มันน่าอาย”
“ไม่เห็นน่าอายเลย ถ้าจะมีคนที่ต้องอายคนๆนั้นต้องเป็น...”
“เป็นคร่ะ?”
เสียงของชายน้อย น้องชายคนเล็กที่เดินเข้าบ้านมาอย่างนักเลงโตทำให้ฉันหันไปมองแล้วชี้หน้ามันอย่างเอาเรื่อง
“ก็ตัวนั่นแหละ มาเล่!”
“ตัวนี่เพ้อเจ้อ ออกจากโลกของซีรี่ย์แล้วเข้าสู่โหมดความจริงเสียที โลกใบนี้มันโหดร้ายมากนะ”
‘มาเล่’ หรือไอ้ตัวแสบที่มาทักทายฉันในวันนี้ตอนกลางวันแล้วถูกโรสด่ากระเจิงนั่นคือน้องชายของฉันเอง แต่ฉันกับเขาตอนอยู่โรงเรียนจำเป็นต้องอยู่ชั้นเดียวกันเราเลยคุยกันแบบปกติ ไม่เรียกพี่เรียกน้องเพราะมันจะดูแปลกๆ ขอแนะนำหมอนี่หน่อยก็แล้วกัน ทันทีที่ฉันลืมตามาเห็นใบหน้าของเขา ฉันก็บอกกับตัวเองว่า ‘มันแสบแน่นอน’ เพราะใบหน้าที่แสนจะหล่อคมคายที่น่าจะได้มาจากพ่อล้วนๆกับวาจาที่กวนไปทุกอณูประสาท ฉันบอกได้เลยว่าหมอนี่จะต้องมีคนเกลียดมากกว่าคนชอบ แล้วก็จริง เพราะตั้งแต่อยู่โรงเรียนฉันได้ยินแต่เรื่องไม่ดีของมาเล่ตลอดเวลา
อ้อ...ครั้งหนึ่งชายน้อยของฉันเคยไปแคสท์เล่นโฆษณาด้วยนะ แต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้ดู ตายังมองไม่เห็น...คิดดูละกันว่าหล่อขนาดไหน
“มันจะโหดร้ายน้อยลงถ้านายจะทำตัวให้มันคล้องจองกับพี่ชายใหญ่สักหน่อย ลองเอานายกับพี่ชายมาเปรียบเทียบกันซิว่ามันเข้ากันไหม คนนึงอยากเป็นทูตแต่อีกคนอยากเป็นนักเลง!”
“เค้าไม่ได้อยากเป็นนักเลง เค้าอยากเป็นนักแข่งรถ แล้วคนจะเป็นนักแข่งรถมันก็ต้องดูแบ๊ดแบ๊ดหน่อย”
“แบ๊ดแบ๊ดซูบารุน่ะสิ สำหรับฉันนายยังคงเป็นเด็กเอ๋อตลอดเวลา ขี่รถหัวฟาดขึ้นมากลายเป็นติงต๊องกว่าเดิมฉันรับไม่ได้นะ”
“ทำไมชอบเอาเค้าไปเทียบกับพี่ไมโลจังเลย!”
“ก็ต้องเทียบสิ นายเป็นแบบนี้จริงๆ!”
“ไม่เอาน่าๆ คนเรามันก็ต้องแตกต่างกันสิ ถ้าเหมือนกันหมดเราจะรู้ได้ไงว่าแบบไหนดีแบบไหนไม่ดี...เลิกเถียงกันแล้วไปทานข้าวกันดีกว่าเนอะ พี่อยากฟังเธอเล่าเกี่ยวกับการเรียนวันแรกให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง พี่ตื่นเต้นกว่าที่ตัวเองได้ไปเรียนอีกนะเนี่ย” พี่ชายใหญ่
“ค่ะ >O<”
“ไม่เห็นสนุกเลย!” มาเล่
นี่แหละครอบครัวของฉัน ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 5 คน ซึ่งมีพ่อของฉัน ผู้ซึ่งตอนนี้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพานิชย์ และแม่ที่เป็นแม่บ้าน วันๆไม่ทำอะไรนั่งดูทีวีตลอดๆแต่ก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือเพราะพ่อทิ้งบัตรเครดิตไว้ให้ 10 ใบ อยากจะรูดเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่นาง
พี่ชายใหญ่ (ไมโล) คือพี่ชายคนโต
ฉัน (เมลานี) คือพี่สาวคนกลาง
ชายน้อย (มาเล่) เป็นน้องชายคนเล็ก
แทนแท้นนนน นี่แหละครอบครัวอันสุขสันต์ของเรา!!!
ขณะที่นั่งกินข้าวฉันก็เล่าเรื่องต่างๆที่ได้พบเจอในวันนี้ ทั้งอาจารย์ที่ชอบบ่นตลอดทางอย่างสมทรง โรสที่ถูกรังแกอย่างโหดร้ายในห้องน้ำ ซึ่งพอเล่าถึงตรงนี้มาเล่ถึงกับทำช้อนส้อมตกตอนที่ได้ยิน
“แล้วตัวเห็นหรือเปล่าว่าใครเป็นคนทำ”
“เค้าจะไปเห็นได้ยังไง กว่าจะเจอก็ไม่รู้ว่าโรสถูกขังอยู่ในนั้นนานแล้วหรือยัง ถามก็ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนทำ แต่ดูหน้าตาของนางแลดูอึดอัดมากเลยนะที่ได้เรียนที่นี่ แถมยังบอกกับเค้าอีกว่าให้ลาออกไปเถอะ อย่าเรียนเลยที่นี่ ตอนพูดนี่ตาแดงก่ำเหมือนคนใกล้บ้าเลยล่ะ”
“งั้นโรงเรียนนี้ก็ไม่น่าเรียนเลยน่ะสิ ลูกสาวที่อ่อนแอและน่าทนุถนอมของแม่จะเรียนได้เหรอ ลาออกดีกว่ามั้ย พรุ่งนี้แม่ไปทำเรื่องเลย” แม่ทำน้ำเสียงหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ฉันเลยโบกมือปฎิเสธแล้วรีบแก้ตัวอย่างเร็ว
“มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะแม่ และถ้าจะมีเรื่องร้ายแรงจริงๆหนูเชื่อว่าพี่ชายใหญ่กับชายน้อยจะช่วยหนูได้ สองคนนี้น่ะมีอิทธิพลกับโรงเรียนนี้มากนะคะ”
“แล้วสองคนนี้จะช่วยหนูได้ยังไง ในเมื่อไม่ได้เปิดตัวว่าเป็นพี่น้องกัน ไม่รู้ทำไมจะต้องปกปิดด้วย...เราน่ะตัวดีเลยไมโล ทำไมต้องไม่ให้บอกใครว่าเมลานีเป็นน้องสาว” แม่ยังคงไม่เข้าใจ ส่วนพี่ชายใหญ่ได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร
ก่อนจะเข้าเรียน พี่ชายใหญ่เสนอแนะให้ฉันเข้าไปเรียนโดยไม่ต้องบอกใครว่าเราเป็นพี่น้องกัน บวกกับตอนนี้ฉันเป็นคนเดียวที่ใช้นามสกุลของแม่ จึงเป็นเรื่องง่ายดายที่จะไม่มีใครสงสัย
แล้วทำไมฉันต้องใช้นามสกุลแม่น่ะเหรอ...เพราะตอนคลอดฉันพ่อกับแม่ทะเลาะกันหนักถึงขั้นเลิกกัน ตอนไปจดรับฉันเป็นบุตรแม่เลยให้ใช้นามสกุลตัวเอง จนป่านนี้ฉันก็ยังไม่ไปเปลี่ยนเลย ส่วนมาเล่ใช้นามสกุลเดียวกับพี่ไมโล แต่กลับอ้างกับใครต่อใครว่าเป็นญาติห่างๆกัน เหตุผลที่พี่ไมโลให้ทำแบบนี้เพราะอยากให้ฉันอยู่ในโรงเรียนนี้โดยไม่ต้องมีใครปกป้อง
‘โลกใบนี้มันโหดร้ายกว่าในโรงเรียนเยอะ ถ้าเมลานีอยู่ที่นี่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาพี่น้อง เมลานีจะแข็งแกร่ง’
นี่แหละ...เหตุผลที่เข้าไปเรียนโดยไม่ได้บอกใครว่าเป็นพี่น้องกัน และโรงเรียนนี้ทำให้ฉันเห็นแล้วว่า...ต้องแข็งแกร่งจริงๆถึงจะอยู่ได้
จากโรสน่ะนะ -__-
“จริงเหรอ แน่ใจนะ...”
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวไปข้างบนนะครับ”
มาเล่ที่กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งจานปลีกวิเวกโหวงเหวงออกไปจากบริเวณนี้ในทันที พวกเราทั้งหมดได้แต่มองแล้วกระพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ แม่เลยเปลี่ยนเรื่องแล้วถามต่อว่าวันนี้มีอะไรอีก
“แล้วก็ได้เจอกับเด็กเกเรคนนึงกำลังหนีเรียนค่ะ...”
ใช่...ผู้ชายคนนั้น จนป่านนี้ฉันยังคงจำแววตานั้นได้เป็นอย่างดี
ดวงตาที่สบกันแล้วทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ
ตึกตึก...ตึกตึก...
อั้ยย่ะ! หัวใจฉันเต้นแรงเกินไปแล้วนะ มีใครได้ยินหรือเปล่าเนี่ย!!!
“เป็นอะไรหรือเปล่าเมลานี”
พี่ชายใหญ่ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นฉันเอามือกุมอกด้านซ้ายของตัวเอง แต่ฉันรีบปฎิเสธ
“ป...เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไมจับหน้าอกอย่างนั้นล่ะ เจ็บอกเหรอ O_o”
“อยู่ๆหัวใจก็เต้นแรงน่ะค่ะ”
“ไปหาหมอมั้ย O_O” แม่
ทุกคนในบ้านจะอ่อนไหวกับฉันเป็นพิเศษเพราะคิดว่าฉันอ่อนแอเพียงเพราะช่วงระยะเวลาหนึ่งฉันมองอะไรไม่เห็น ฉันส่ายหัวดุกดิก (>< )( ><) อย่างยืนยันว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
“ไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ มันไม่ได้เต้นแรงแบบจะทะลุออกมานอกอกขนาดนั้น คงตื่นเต้นที่ได้เล่าเรื่องโรงเรียนวันนี้น่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค” พ่อที่ฟังอยู่นานยิ้มให้ “ท่าทางเมลานีของพ่อคงชอบที่นี่มากจริงๆ ^^”
“ค่ะ เมลานีชอบ”
นอกจากฉันจะแชร์ประสบการเรียนวันแรกให้ครอบครัวที่บ้านฟังแล้ว ฉันยังไม่ลืมที่จะเล่าให้เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งฟัง นั่นก็คือ ‘mr.j’ เพื่อนทางโทรศัพท์ที่ฉันกับ ‘เขา’ ติดต่อกันมา 1 ปีกว่าแล้ว
“แม้มันจะไม่ค่อยเหมือนกับที่คาดหวังเอาไว้สักเท่าไหร่แต่รวมๆแล้วก็ไม่เลวเลยนะ จริงๆฉันอยากใส่เครื่องแบบไปเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆเขาแต่ถ้าใส่ไปเรียนที่นี่คงจะเชยได้เลย!”
[อย่างนี้มีเพื่อนใหม่แล้วจะลืมเพื่อนคนนี้หรือเปล่าเนี่ย]
“โหย จะลืมได้ไงกัน! นี่พอกินข้าวเสร็จฉันก็โทรหานายเลยนะ ‘j’ ว่าแต่วันนี้เปิดเทอมพร้อมกันหมด นายล่ะ ที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง”
[วันนี้ยังไม่ได้ไปเรียนเลย เห็นเป็นวันแรกอาจารย์ไม่ค่อยสอนอะไรเท่าไหร่หรอก]
“อย่าประมาทไปนะ วันแรกอาจารย์ที่โรงเรียนฉันก็แจกการบ้านมาให้บึ้ม!”
[โรงเรียนอะไรกันนะที่เธอเรียน วันแรกก็แจกการบ้านซะละ]
“ก็ตกลงกันไว้ว่าจะไม่บอกไง ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกันและต้องเซฟข้อมูลเอาไว้เป็นกฎของเรา ลืมแล้วเหรอ”
[ไม่ได้ลืม ก็แหย่เล่น เผื่อหลุดบอกบ้างอะไรงี้ ฮะฮะ]
“หรือจริงๆแล้วนายอยากเจอฉัน ก็ได้นะ ฉันไม่มีปัญหาหรอก ตอนนี้ตาของฉันก็มองเห็นแล้ว จะได้แฟร์ๆกับเราทั้งคู่ไง นายเห็นฉํน ฉันเห็นนาย >O<”
[ไม่เอาดีกว่า เผื่อเธอไม่สวยขึ้นมาจะเสียความรู้สึกไม่อยากคุย]
“เดี๋ยวก็เตะยอดหน้าเลย!”
[โหดจัง! ล้อเล่นน่า เอาไว้ให้พร้อมกว่านี้ สนิทกันกว่านี้แล้วเราค่อยเจอกันเนอะ ...โอเค วันนี้ไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะไปโรงเรียน ราตรีสวัสดิ์!]
“ฝันดี >O<”
ที่เห็นด้านบน คือบทสนทนาระหว่างฉันกับ ‘j’ เพื่อนที่คุยกันตามสายโทรศัพท์ มีช่วงหนึ่งที่ฉันเหงามากๆ ไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีเพื่อน แม้จะมีพี่ชายน้องชายอยู่ด้วยกันแต่เขาก็ไม่ได้อยู่กับฉันตลอดเวลา ทั้งคู่ต้องรีบนอนเพื่อตื่นไปโรงเรียนทำให้ฉันต้องหาเพื่อนด้วยการโทรเข้าไปในไลน์แล้วสุ่มหาเพื่อนตามสายโทรศัพท์ หลังจากได้ยินประกาศจากโฆษณาวิทยุแล้วฉันก็ได้เจอกับเขา คนสองคนที่แสนเหงาเริ่มต้นคุยกันแล้วเล่าปัญหาของตัวเองให้แต่ละคนฟัง j เป็นผู้ชายที่มีเนื้อเสียงไพเราะ เวลาพูดแต่ละคำจะสะกดชัดเจน ฉะฉาน แต่ฉันจับความรู้สึกได้ว่าเขากำลังเศร้ากับอะไรบางอย่างซึ่งพลังมันมหาศาลมาก จนสามารถล้วงความลับของเขามาได้สำเร็จ
‘คนรักของฉันตาย’
จากนั้นเขาก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดและระบายถึงความรักที่เขามีต่อเธอคนนั้น ฉันรับฟังทุกปัญหาของเขามาโดยตลอดหนึ่งปีเต็ม เรียกได้ว่าความสุข ความทุกข์ เราร่วมแบ่งปัน ร่วมกันแชร์ จนเรากลายเป็นเพื่อนสนิทกันในสาย บางครั้งฉันก็เผลอหวั่นไหวกับคนฝั่งตรงข้ามที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาด้วยซ้ำ
และเพราะความรู้สึกนี้ทำให้ฉันบอกกับตัวเองว่า ‘อันตราย’ และต้องระวังตัวมากขึ้น เลยออกกฎเหล็กไปว่า
‘ห้ามบอกข้อมูลที่ทำให้รู้ตัวตนหรือตามสืบได้ไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม’ ตอนแรกเจไม่เข้าใจ ฉันเลยอธิบายไปว่าฉันต้องการเพื่อน ไม่ใช่แฟนตามสายโทรศัพท์ ซึ่งนั่นทำให้ j เข้าใจและปฎิบัติแบบนั้นเรื่อยมา
พูดถึงเรื่องหวั่นไหว...ฉันลืมเล่าเรื่องผู้ชายที่สบตาให้เขาฟัง
ไม่สิ...ไม่ใช่ลืม ฉันไม่คิดจะบอกเขามากกว่า เพราะกลัว j จะน้อยใจ
มีผู้ชายคนหนึ่ง ที่เพียงฉันแค่สบตา...ก็รู้สึกได้ว่าจะเสียการทรงตัวและความเป็นตัวของตัวเองไป จิตใจของฉันหวั่นไหวเพียงเพราะสบตาเขาคนนั้น
‘เทวะ’
พรวด!!!
“ตัวนอนหรือยัง!”
ประตูห้องนอนฉันถูกเปิดออกโดยมาเล่ น้องชายที่เสียมายาทที่สุดใน 9 โลก
“นี่ถ้าเค้าแก้ผ้าอยู่ตัวจะทำยังไงเนี่ย”
“ก็มองเดะ -,.- ทำเหมือนกับว่าไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันมาก่อน”
“อย่ามาพูดจาแทะโลมนะยะ เค้าเป็นพี่สาวนะโว้ยไอ้คาสโนว่าตัวแสบ! แล้วมีอะไรทะเล่อทะล่าเข้ามาป่านนี้ นึกว่านอนไปแล้วซะอีก”
มาเล่ปิดประตูแล้วกระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมทั้งทำสีหน้าจริงจัง
“ตัวสนิทกับโรสมากขนาดไหน”
“ไม่สนิทเลย =__= นางแลดูเหนื่อยหน่ายกับการแนะนำโรงเรียนให้เค้าด้วยซ้ำ ถามทำม่ะ?”
“ก...ก็...ก็แค่อยากรู้ว่าโรสเป็นยังไงบ้างก็แค่นั้น”
“เปียกแม่กเป็นลูกหมาเลยน่ะสิ เห็นมีรอยบวมช้ำบนหน้าด้วย ใครกันนะใจร้ายทำนางได้ลงคอ ตัวพอจะรู้ป่ะ”
“เค้าคิดว่าต้องเป็นเพราะเค้าแน่เลย”
“ห๊ะ?”
“จริงๆ เพราะเค้าหล่อมาก เท่มาก ป๊อบปูล่ามาก แม้แต่นายกยังอยากได้ไปเป็นลูกชาย ดังนั้นการที่โรสถูกทำร้ายน่าจะมีสาเหตุมาจากเค้า T^T”
“ไปนอนมั้ย =__=”
“จริงๆนะเว้ย แฟนคลับเค้าแต่ละคนน่ะน่ากลัวทั้งนั้น บางคนถึงกับเคยกระโดดตึกชั้น 4 ประชดที่เค้าทิ้งมาแล้วก็มี”
“ตัวมีมุมที่เค้าไม่คิดว่าจะมีเลยนะเนี่ย”
“ก็เค้าหล่ออ่ะ คิกๆ >O<”
“นี่ซีเรียสแล้วจริงๆเหรอ =__=”
“ก็ได้ (เข้าโหมดซีเรียสจริงจัง) เค้าคิดว่าที่โรสโดนแบบนี้เพราะโรสต่อปากต่อคำกับเค้าที่โรงอาหาร พอดีสาวๆเห็นเข้าเลยไปแก้แค้นให้เค้าเพื่อไม่ให้เสียหน้ามากจนเกินไป”
“งั้นตัวก็ต้องไปขอโทษโรส”
“ตัวไม่เห็นเหรอว่าโรสเกลียดเค้าขนาดไหน แม้แต่หน้ายังไม่อยากจะมองเลย”
“แล้วจะให้ทำยังไง จะให้เค้าไปขอโทษแทนมั้ยล่ะ”
“ถ้าตัวไปขอโทษแทน โรสจะยิ่งสงสัยน่ะสิว่าตัวเป็นอะไรกับเค้า เดี๋ยวจะพาลเลิกคบตัวไปอีกไม่รู้ด้วยนะ”
“เออจริง -__- งั้นทำไงดี”
“นั่นสิทำไงดี”
“เห็นเค้าเป็นอิคคิวซังเหรอวะ เอาปัญหามาให้แก้เนี่ย”
“นะนะ พี่สาวคนสวยของเค้า” น้องชายตัวแสบเอามือถูกันในท่าไหว้ “ทำยังไงก็ได้ให้โรสรู้สึกดีขึ้นหน่อย เค้ารู้สึกผิดจะแย่แล้วเนี่ย >O<”
“ถ้างั้น...” อยู่ๆฉันก็คิดอะไรขึ้นมาได้ตอนมองหน้าน้องชาย “จริงๆการทำแบบนี้อาจจะทำให้เค้ากับโรสเป็นเพื่อนสนิทก็ได้ ช่างเป็นการซื้อใจอย่างยอดเยี่ยม”
“อะไรเหรอ O_O”
“ตอนพักกลางวันตัวเดินมาหาเค้าก็พอ ที่เหลือเค้าจัดการเอง”
“ตัวจะทำอะไร”
“อย่าถามมาก ถ้าถามจะไม่ช่วยให้โรสรู้สึกดีขึ้นนะ”
“เฮอะ ก็ได้...แต่แน่ใจนะว่าจะได้ผล โรสจะรู้สึกดีขึ้น”
“แน่ใจ”
“พรุ่งนี้เจอกัน” เอสโว่ทำมือเป็นรูปปืนแล้วยิง เป็นสัญลักษณ์ที่รู้กันสองคนพี่น้องว่าได้ทำข้อตกลงกันเอาไว้แล้ว
“เดี๋ยวก่อน”
“หือ”
“ทำไมต้องแคร์โรสขนาดนั้นดั้ว?”
ปัง!!!
ประตูถูกปิดไม่ได้รับการตอบรับจากเลขหมายปลายทางที่ท่านเรียก แล้วชายน้อยของฉันก็ไม่ปรากฏกายอีกเลย หมอนี่ทำอะไรแปลกๆอีกละ -__-++
วันถัดมา...
ตอนกลางวัน : 12.12 น.
วันนี้ฉันพยายามที่จะคุยกับโรสมากๆแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก อาจจะเพราะว่านางอับอายที่ฉันไปเจอในห้องน้ำหรือเพราะมนุษย์สัมพันธ์แย่ติดส้นทีนหรืออย่างไรไม่ทราบได้ นางไม่เอื้อนเอ่ยพูดจาใดๆกับฉันเลย เชอะ! วันนี้ฉันจะทำเรื่องยิ่งใหญ่ให้หล่อนนะยะ สนใจกันบ้าง คนอย่างฉันอยากจะเป็นเพื่อนด้วยนี่เป็นบุญมากนะคะ
ฉันมองนาฬิกาข้อมืออย่างเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่มาเล่จะมา โดยมีโรสนั่งอยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ แน่ล่ะ นางยังคงไม่สนใจจะคุยกับใครอยู่ดี
ตึกตึก...
หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว O_o อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น!
ฟึ่บ!
ร่างสูงในเสื้อกล้ามสีดำเดินผ่านโต๊ะฉันไปราวกับสายลมพัดโบก ฉันมองตามร่างสูงและกลิ่นน้ำหอมที่เหมือนจะเคยได้กลิ่นจากที่ไหนด้วยความแปลกใจ คนตัวใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘เทวะ’ นั่งลงที่โต๊ะถัดจากฉันไป หมวกไหมพรมสีดำตัดกับสีผิวทำให้ฉันไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้
ดูเหมือนเขาจะรู้ตัว!
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันแล้วเบิกตาโพลงอย่างแปลกใจ O_o แล้วชี้นิ้วมา ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรมาเล่ก็เดินมาหาที่โต๊ะ ช่างผิดที่ผิดเวลาจริงๆ!
“เค้ามาละ ละไงต่อ?”
“ตัวทำให้เค้าอารมณ์ไม่ดีมากๆเลยนะ”
“อะไรวะ เค้าก็มาตามที่ตัวบอกไง”
จริงของมัน ฉันจะพูดอะไรได้ฉันเป็นคนนัดน้องชายมาที่นี่เอง เทวะมองฉันกับน้องชายสลับกันอย่างสนใจ ไม่สิ ตอนนี้ทุกคนในแคนทีนต่างมองมาทางเราทั้งคู่แล้ว ท่าทางว่าเรื่องป๊อบปูล่าของมาเล่จะไม่ใช่แค่เรื่องขี้โมเบ่เบ๋ -*-
“ทีนี้ให้ทำไงอีก”
“ยืนเฉยๆ”
“แล้วเค้าเต้นอยู่หรือไง...ว้าก ทำอะไรวะคะ!”
ฉันสาดน้ำใส่หน้ามาเล่ท่ามกลางเสียงที่เงียบกริบทั้งโรงอาหาร ไอ้ตัวแสบมองหน้าฉันแล้วอ้าปากพะงาบๆ โรสที่เงยหน้ามามองเหตุการณ์ทำหน้าตกตะลึงพึงเพริ่ดสุดๆ
“ไอ้คนเลว นายเป็นต้นเหตุที่ทำให้โรสต้องถูกรังแกใช่มั้ย”
“ห...หา =[]=”
“เป็นผู้ชายแทนที่จะทำตัวให้ดี กลับทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องมาทำร้ายผู้หญิงอีกคนหนึ่ง มันถูกต้อง มันสมควรแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“อะไรของตัววะ” มาเล่ตะโกนแบบมีแต่ลมไม่มีเสียง ฉันเลยกระซิบด้วยลมเช่นกัน
“ก็ตามๆน้ำนั่นแหละ จะขอโทษไม่ใช่เหรอ!”
“แต่...”
“นายเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นมั้ย เขาถูกผู้หญิงของนายรังแก นายจะรับผิดชอบยังไง”
“ล...แล้วจะให้ทำยังไง”
“ไปขอโทษเขาสิ ให้เขาได้รับศักดิ์ศรีคืนมาบ้าง”
“แล้วถ้าไม่ทำล่ะ”
“นายไม่กล้าหรอก!”
ฉันกระชากคอเสื้อไอ้ตัวแสบมาไว้ในมือแล้วสะบัดหัวพยักพเยิดให้ไปขอโทษโรส แต่ดูเหมือนมาเล่จะทำใจลำบากเสียเหลือเกินฉันเลยลากคอเขาไปที่โต๊ะที่โรสนั่งอยู่ เพิ่งสังเกตนะเนี่ยว่าสูงขึ้นขนาดนี้ ตอนเด็กๆเตี้ยเท่าเข่าฉันแท้ๆ -*- ตอนนี้แทบจะต้องเขย่งหาเรื่องกันเลยทีเดียว
“ขอโทษ”
“ไม่!”
“อยากตายเหรอ เห็นมั้ยว่าโรสหน้าบวมแค่ไหน”
“ม...ไม่ต้องหรอก” โรสพูดอย่างติดขัด “ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
“ดูหน้าเธอสิ ดู”
“เห็นแล้วโว้ย!”
“เห็นแล้วทำไง”
มาเล่เชิดหน้าแล้วพูดออกมาเบาๆ
“ขอโต้ด”
“พูดดังๆ”
“พี่นี่ก็!!!”
“นี่เป็นโอกาสของนายแล้วนะ”
“ขอโทษ!”
คำขอโทษหลุดออกมาจากปากมาเล่จนได้ ใบหน้าของโรสดูดีขึ้นมีรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก มาเล่ที่ตอนแรกประหม่าเต็มที่พอเห็นรอยยิ้มของโรสก็ทำหน้าแปลกใจแล้วหันมาสบตากับฉัน
“เห็นมะ แค่นี้เอง”
“ขอบคุณพี่สาว”
เขาพูดขึ้นเบาๆแบบได้ยินกันสองคน ฉันตบหลังเขาเบาๆแล้วยักคิ้วให้ แต่ลืมไปว่าการกระทำดังกล่าวที่เล่ามาตกอยู่ในสายตาของทุกคน มาเล่ที่สังเกตเห็นเลยผละออกจากฉันแล้วทำท่านักเลงเหมือนเดิม
“แค่นี้ใช่มะ ไปล่ะ”
โรสมองฉันแล้วถอนหายใจ หลังจากมองตามหลังมาเล่ที่หายวับไปแล้ว
“ขอบใจนะที่ทำแบบนี้ แต่เธอไม่ควรทำเลย”
“อ้าว ทำไมล่ะ ดูแฮปปี้ออก เธอก็ดูมีความสุขนะ” ฉันเอาแขนกระแซะโรส “ฉันเห็นเธอยิ้มด้วย”
“ยิ้มก็ส่วนยิ้ม แต่ตอนนี้ฉันเริ่มเป็นห่วงเธอแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“เคยได้ยินมั้ย อย่าทำตัวเด่นจะเป็นภัย”
“เอ๋?”
“ตอนนี้เธอเด่นแล้ว และภัยกำลังจะมาเยือนเธอแน่นอน”
“=[]= ฉันจะได้รับใบแดงจากเอฟโฟร์เหรอ”
“เธอเห็นที่ฉันโดนแกล้งใช่มั้ย”
“อะฮะ”
“เธอจะโดนหนักกว่านั้นราวกับมีคนพานรกทั้งขุมมาเยี่ยมเธอในวันคริสมาสต์อีฟเลยล่ะ”
“พูดเป็นเล่น ฉันไม่เชื่อหรอก และต่อให้จริงฉันก็จะปกป้องตัวเองให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมถูกขังอยู่ในห้องน้ำอย่างเธอแน่”
ฉันมั่นใจ ไม่มีใครทำอันตรายใดๆกับฉันได้หรอก!!!
รึเปล่า?
ถึงปากฉันจะบอกว่าไม่กลัว แต่ขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเรียนหนังสือ หรือเดินไปสนามกีฬา แม้กระทั่งเดินไปซื้อขนมฉันก็รู้หวั่นๆอย่างไรบอกไม่ถูก โรสเองที่เห็นว่าฉันช่วยและเห็นน้ำใจของฉันก็เลยตอบแทนน้ำใจด้วยการเป็นเพื่อนกัน (เหมือนเด็กน้อยเลยเนอะ คิกๆ) แต่มันก็มีบ้างช่วงเวลาที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
เอ๊ะ! ทำไมฉันอยู่คนเดียวล่ะ โรสไปไหน (>< )( ><)
“คิกๆ”
เสียงหัวเราะคิกคักที่ฟังดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ทำให้ฉันเหลียวซ้ายแลขวา ตอนนี้ฉันเดินกำลังจะพ้นตึกวิทยาศาสตร์เตรียมกลับห้องเรียนแต่ทว่ากลับรู้สึกเหมือนโรงเรียนนี้มันแคบลง
ทำไมมีแต่ชุดเชียร์ลีดเดอร์
เฮ้ย ฉันกำลังถูกล้อม(O_o )( o_O)
“เอ้าพวกเรา ปรบมือให้กับวีรสตรีผู้กล้าท้าอธรรมหน่อย”
แต่เสียงปรบมือที่ว่ากลับกลายเป็นจังหวะ 12 123 12 12 1 ราวกับมีแสตนด์และกองเชียร์อยู่ไม่ห่างไกลจากฉันมากนัก
“ทำอะไรกันเนี่ย”
แล้วเหล่าบรรดาเชียร์หลีดเดอร์ทั้งหลายก็ถูกแหวกออก พร้อมกับมีตัวเด่นที่ใส่ชุดหรีดสีน้ำเงินตัดกับสีแดงของทุกคนในทีมเดินออกมา ดีนะไม่มีพู่เชียร์ด้วย เกือบจะบอกให้เต้นเย้ยฟ้าท้าดินแล้ว !!!
“ทำอะไรน่ะเหรอ นั่นเป็นคำถามหรือเปล่า?”
“O_O เธอเป็นใครน่ะ”
“ถามชื่อฉัน? นั่นก็เป็นคำถามใช่มั้ย ก่อนที่เธอจะได้รู้คำตอบว่าฉันเป็นใคร เธอต้องถูกสั่งสอนเสียก่อนว่าอย่ามาเก่งที่นี่ โรงเรียนแห่งนี้ และกับผู้ชายคนนี้ที่ชื่อมาเล่!”
อ้อ แฟนคลับอีชายน้อยน่ะเอง นี่มันมาเฟียหลีดเดอร์ชัดๆ เฮ้ยๆ นั่นจะทำอะไรน่ะ เดินเป็นวงกลมแล้วบีบให้แคบทำไมกัน O_O
“เธอจะได้ลิ้มรสฝ่าเท้าของทีมเชียร์ที่เก่งที่สุดในโรงเรียนนี้ หลังจากสั่งสอนเธอเสร็จ ฉันจะแนะนำชื่อให้เธอได้รู้จักอย่างเป็นทางการ พวกเรา...จัดการ!”
ทุกคนง้างมืออย่างพร้อมเพรียงเตรียมจะจัดการ แต่ทว่า...เหมือนมีอะไรบางอย่างลอยคว้างมากลางอากาศแล้วกระโดดลงมาแหมะอยู่กลางวงล้อมเชียร์ลีดเดอร์
ทุกคนหยุดชะงักแล้วค่อยๆขยายวงล้อมออกไปราวกับมดแดงแตกรัง ฉันที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดมองคนที่มาอยู่กลางวงล้อมด้วยความตกตะลึง
ทำไมเขาถึง...
“ทำไมไม่ไปเรียนหนังสือกัน เอาเวลาเรียนมานั่งแกล้งคนทำถูกแล้วเหรอไง โดยเฉพาะเธอแนนนี่”
คนที่ชื่อแนนนี่คือสาวน้อยที่ใส่ชุดหลีดสีน้ำเงินเดินผ่าวงล้อมมาอย่างเด็กเอาแต่ใจ
“นี่มันเรื่องของพวกผู้หญิง อย่ามายุ่งได้มั้ยพี่เทวะ!”
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ก็ฉันเห็นอยู่ว่าเธอกำลังทำเรื่องไร้สาระ ฉันมันเป็นคนดี ไม่ยุ่ง ไม่ได้ ^O^”
เขาไม่พูดเปล่า ยังหันมายิ้มแล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉันราวกับสนิทสนมกันมานาน หัวใจของฉันยิ่งเต้นเร็วขึ้น ถี่ขึ้น จนลืมไปหมดแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเจอกับอะไรอยู่
“เรื่องของผู้หญิงผู้ชายมายุ่งไม่ได้ มันเป็นกฎ จำไม่ได้เหรอ”
“สำหรับฉัน...กฎมีไว้แหก”
“นี่พี่ช่วยยัยเด็กใหม่นี่เหรอ รู้มั้ยว่ายิ่งพี่ช่วยมัน ยัยนี่ก็จะยิ่งเดือดร้อน”
เทวะนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“จริง ยิ่งถ้าฉันช่วยก็จะยิ่งเดือดร้อน งั้นฉันไม่ช่วยละกัน”
“ฮึฮึ ในเมื่อพี่รุ้อย่างนี้ก็ดี ถอยออกมาจากยัยนั่นเลย”
“แต่ฉันไม่ชอบวิธีการนี้ การรุมมันทำให้ไม่เห็นภาวะผู้นำของเธอ...ไหนๆเธอก็มีพี่ชายใหญ่โต เก่งกล้าสามารถ เธอก็แสดงให้ลูกน้องเห็นหน่อยสิว่าเธอเองเก่งเหมือนพี่ชาย”
“เอ๋?”
“สู้กับยัยนี่ตัวต่อตัว”
“ห๊ะ ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย”
“หรือเธอไม่กล้า...เธอไม่กลัวสาวๆพวกนี้จะข้องใจที่ตกมาเป็นเบี้ยล่างเธอเหรอ วันๆเอาแต่หาเรื่องคนอื่นแต่ไม่เคยเห็นว่าหัวหน้าของพวกเธอเคยทำอะไรให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ว่างั้นมั้ยจ๊ะ สาวๆ >_O”
เพียงแค่เทวะขยิบตา สาวๆพวกนั้นก็เหมือนล่องลอยไปในอากาศ แนนนี่ที่ได้รับคำท้าแบบนั้นทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจ แต่พอเห็นทุกคนมองอย่างสงสัยตามการนำของเทวะ นางเลยเสียไม่ได้
“ได้ ตัวต่อตัว”
“ดี ตีกันตรงนี้แหละ ฉันเป็นกรรมการเอง เธอตกลงมั้ย”
“อ...อืม”
“สู้ๆล่ะ”
“=[]=”
“ฉันเอาใจช่วย”
นี่แค่มาเรียนวันที่สองเองนะ มีเรื่องให้กลับไปเล่าให้คนที่บ้านฟังอีกแล้ววววววว
ความคิดเห็น