คนสมัยนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดนะ ทำไมถึงใจไม้ไส้ระกำกันขนาดนี้ นี่ผมนั่งรอมาตั้งนานแล้วยังไม่มีใครเอาอะไรมาให้กินเลย ไอ้ที่เหลือๆอยู่นี่ก็โดนพวกที่มาก่อนผมเอาไปกินจนไม่มีอะไรจะให้กินแล้ว
คิดแล้วก็อดนึกถึงเมื่อก่อนไม่ได้ ตอนที่ผมยังอยู่บ้านกับพ่อน่ะ อาหารการกินอะไรนี่ไม่เคยขาดหรอก แม้พ่อผมจะไม่ได้รวยมาก แต่ก็ไม่ได้อนาถถึงขนาดรอกินของที่คนอื่นเค้าเอามาให้อย่างนี้หรอก
เมื่อท้องมันหิว ผมก็เลยอดคิดถึงเรื่องเมื่อสี่ห้าปีก่อนไม่ได้
-------------------------------------------------
“กลับบ้านเร็วๆนะเป้ วันนี้พ่อมีเซอร์ไพรส์”
พ่อผมนี่ก็รักผมดีอยู่หรอก ผมรู้ว่าแกรักผมมาก แต่ว่ามันก็น่าอึดอัดใจอยู่เหมือนกัน ผมน่ะอายุก็สิบแปดย่างสิบเก้าแล้ว มีสิทธิเลือกตั้งเหมือนๆกันกับผู้ใหญ่ แต่พ่อผมยังทำกับผมยังกะผมยังเป็นเด็กๆ ไปเรียนวิทยาลัยเทคนิคก็ตามไปส่งผมทุกวัน กลับถึงบ้านก็ทำกับข้าวหาขนมไว้รอ แกคงคิดว่าจะตามใจผมทุกอย่างเพื่อชดเชยที่แกหย่ากับแม่ตั้งแต่ผมอายุหกเดือนทำให้ผมกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่มาจนถึงทุกวันนี้
แล้ววันนี้วันเกิดผมพอดี แกคงจะมีเค้กมีของขวัญอะไรมาให้อีกน่ะสิ ทำยังกะเด็กๆ น่าเบื่อชะมัด
ผมพยักหน้ารับปากพ่อไปแกนๆ แล้วก็บึ่งฟีโน่คู่ใจออกจากบ้านไปทันที ชีวิตวัยรุ่นมันต้องอย่างนี้สิ ขี่มอเตอร์ไซค์ให้ลมปะทะหน้า สรวลเสเฮฮากับเพื่อนฝูง กินเหล้ากันให้เมาไม่รู้เรื่อง แล้วก็จบลงที่บนเตียงกับสาวงาม ไม่ใช่ขลุกอยู่กับพ่อเป็นลูกแหง่
จุดหมายของผมวันนี้คือบ้านไอ้ตี้ ไอ้นี่มันเป็นคนที่โคตรจะเจ๋งครับ มีอะไรสนุกๆมาให้ทำกันอยู่บ่อยๆ ไปบ้านมันนี่ไม่เคยผิดหวังหรอก วันสำคัญอย่างวันเกิดนี่ผมเลยเลือกที่จะไปปักหลักอยู่บ้านมัน
“พวกไอ้เอ้ไอ้ชาญรออยู่ในสวน ดูดบ้องกันอยู่ มึงจะไปมั้ย”
บอกแล้วไงมาเจอมันนี่ไม่มีผิดหวัง วันนี้คงได้เมากันให้เปรม สวนของไอ้เอ้นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปหลายกิโล แล้วยังลึกเข้าไปในป่าอีก ทางเข้าก็ลึกลับซับซ้อน พวกผมเลยยึดเป็นที่สังสรรค์กันบ่อยๆ
“มีของขวัญอะไรให้กูป่าวมึง วันนี้วันเกิดกูนะเว้ย” ผมแหย่มันไปเล่นๆ แต่ในใจก็อยากได้จริงๆ เพราะของขวัญจากเพื่อนๆนี่มักจะถูกใจผมมากกว่าของขวัญจากพ่อเสมอ อย่างปีที่แล้วไอ้ตี้นี่ให้ท่อไอเสียดัดแปลง บิดทีเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน ส่วนไอ้เอ้ก็อุตสาห์เอาปืนไทยประดิษฐ์ของพ่อมันห่อใส่กล่องของขวัญผูกโบว์ให้อย่างดี
“ไอ้สัด เนื้อไง มีเนื้อให้ดูดฟรียังไม่พอใจอีกเหรอมึง”
มันหันหน้ามาหาผมยิ้มๆ ผมยาวของมันปลิวสยายตามแรงลมที่ปะทะ ปลายผมสะบัดมาโดนหน้าของผมที่ซ้อนท้ายมันอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เวลาไปไหนมาไหนกับมัน มันต้องเป็นคนขอขับฟีโน่แล้วให้ผมซ้อนท้าย มันคงอัดอั้นที่พ่อมันห้ามขับมอเตอร์ไซค์นับตั้งแต่วันที่มันเมาแล้วขับไปชนร้านโจ๊กจนพังไปทั้งร้าน
มอเตอร์ไซค์ของเราทะยานออกห่างจากบ้านไอ้ตี้ไปเรื่อยๆ ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งถนนสายเล็ก แต่แสงไฟวับแวมจากเสาไฟฟ้าก็ทำให้พอจะมองเห็นทางได้บ้าง ไอ้ตี้ใช้ความเร็วเต็มที่เพราะชินทางแถวนี้อยู่แล้ว จะชะลอบ้างก็เพียงแต่ตอนจะคุยกัน
“มึงดูเรื่องเล่าเช้านี้เมื่อเช้าป่าววะเป้ เรื่องคนปาหินใส่รถอะ” ไอ้ตี้ชะลอรถแล้วหันมามองหน้าผม
“ดูสิ กลัวโดนปาเหรอมึง”
ได้ยินคำตอบของผมแล้วมันก็หันกลับไปบิดเครื่องต่อ เมื่อรถวิ่งใกล้จะถึงทางแยกจากถนนใหญ่ ผมสังเกตเห็นกาดำตัวหนึ่งสยายปีกเกาะอยู่ที่หลักกิโล สำหรับคนอื่นอาจจะดูน่ากลัว แต่สำหรับผมที่อยู่แถวนี้มาทั้งชีวิต ภาพอย่างนี้เป็นภาพที่ผมคุ้นตาเสียแล้ว กระทิงแดงขวดน้อยถูกผมควักออกมากระดกแล้วโยนไปไว้ที่ตะแกรงรถ คืนนี้ยังอีกยาวไกล ผมต้องเตรียมตัวให้พร้อม
“กูไม่กลัวหรอกว่ะ ใครมันจะมาปามอเตอร์ไซค์” อยู่ดีๆไอ้ตี้ก็หันมาชวนผมคุยเรื่องเดิม
“แล้วถามหาพ่อมึงเหรอ” ผมตะโกนตอบมันแข่งกับเสียงลม พวกเราหยาบคายกันอย่างนี้เสมอจนไม่มีใครคิดจะโกรธเคืองกันแล้ว
“กูก็ถามไปงั้นแหละ”
“อยากปาเหมือนพวกนั้นน่ะสิมึง”
“พ่อมึง กูถามเฉยๆ กูจะอยากปาทำไม กูไม่ใช่พวกโรคจิตนะโว้ย”
“ไม่อยากปาหรือไม่กล้าปา”
“ไม่อยากโว้ย”
“ไม่กล้าอะดิมึง อย่างมึงนะเหรอจะกล้าฆ่าคน ครั้งที่แล้วตอนไปรุมกระทืบพวกเด็กช่างมึงยังไม่ยอมไปเลย”
“ไอ้สัดเป้ เด็กช่างพวกนั้นมันเพื่อนกู”
“มึงฆ่าคนไม่ได้หรอกว่ะ กูดูหน้ามึงกูก็รู้แล้ว”
“ทำไมกูจะไม่กล้าวะ”
แล้วไอ้เป้ก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด มันคว้าเอาขวดกระทิงแดงในตะกร้ารถ ปาใส่รถเก๋งที่สวนมาในเลนตรงข้าม เสียงเบรกรถดังลั่นก่อนที่รถเก๋งคันนั้นจะเสียหลักและพลิกคว่ำลงข้างถนนพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
---------------------------------------------
“ไอ้สัด มึงปาทำไมวะ”
“มึงอย่าพูดมาก ลงไปดูหน่อยแม่งตายมั้ย”
พวกเราดับรถมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างทาง แล้วลุยพงหญ้าตรงไปยังรถเก๋งวีออสที่พลิกคว่ำอยู่ตรงนั้น ดูจากป้ายทะเบียนกทม.ที่ติดอยู่หลังรถแสดงว่ารถคันนี้จะต้องเป็นของคนต่างถิ่นและฐานะก็คงจะพอใช้ได้
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าแม่งตายแล้ว พวกเราเอาโทรศัพท์เอาเงินไปใช้ก็คงไม่มีใครรู้”
ไอ้ตี้เสนอความคิด แต่มันก็คงไม่ได้ทำอย่างใจหวัง เพราะเมื่อพวกเราเดินไปถึง ปรากฎว่าหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายคลานออกมาพ้นจากซากรถพอดี
“ช่วยด้วย สองคนนั้นช่วยด้วย พี่ถูกปาหิน”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือพร้อมกับแววตาวิงวอนจากผู้หญิงที่เป็นคนขับรถดึงดูดให้พวกเราเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น แต่ที่ดึงดูดสายตาเรามากกว่าก็คือใบหน้าสะสวยของเธอ ใบหน้าขาวสวยที่มองเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนแถวนี้เป็นแน่
“พี่มาคนเดียวเหรอครับ”
หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายพยักหน้าแทนคำตอบ คะเนจากสายตาแล้วเธอน่าจะอายุสักสามสิบต้นๆ แต่รูปร่างของเธอนี่สะโอดสะโองชนิดที่ว่าเด็กวัยรุ่นยังอาย ตอนนี้เธอนอนตะแคงอยู่กับพื้นทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นเรือนร่างเธอเต็มๆ หน้าอกใหญ่ที่กองราบอยู่กับพื้น สะโพกผายและเอวคอด รวมไปถึงน่องขาวนวลที่มีรอยเลือดกระเซ็นเป็นจุดแดง
“พี่ลุกไม่ได้ พี่ขยับขาไม่ได้”
เธอส่งเสียงโอดครวญเหมือนกับต้องการให้พวกผมเข้าไปช่วยให้เร็วที่สุด เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจนขึ้น แม้จะมีริ้วรอยบ้าง แต่เค้าโครงหน้าของเธอแสดงให้เห็นว่าสมัยเป็นสาวสะพรั่งเธอคงเนื้อหอมไม่น้อย
ผมพลิกตัวเธอจากที่นอนตะแคงอยู่ให้นอนหงายขึ้น ผมไม่รู้หรอกครับว่าจะต้องปฐมพยาบาลอะไรยังไง ตั้งใจเพียงแต่จะเข้าไปดูใกล้ๆเท่านั้น และเมื่อหญิงสาวเปลี่ยนเป็นนอนหงาย ผมก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจากข้างกายผม ไอ้ตี้ทำตาโตเมื่อมันมองเห็นว่า หญิงสาวต่างถิ่นกำลังโชว์ความขาวเนียนของเรือนร่างให้มันเห็นเต็มๆ!
เมื่อกี้เธอนอนตะแคงอยู่เราจึงยังไม่ได้เห็นในส่วนนี้ แต่เมื่อผมพลิกตัวเธอขึ้นนอนหงาย พวกเราจึงได้เห็นว่า ชุดแซ็กสีขาวที่เธอใส่อยู่นั้น ตะเข็บด้านข้างที่เธอนอนทับอยู่เมื่อกี้แตกออกยาวตั้งแต่ชายกระโปรงจนถึงบริเวณรักแร้!
เรือนร่างของสาวชาวกรุงจึงโชว์ความขาวเนียนต่อพวกผมอย่างเต็มตา เราสองคนผ่านผู้หญิงมานักต่อนักทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ แต่สาวๆที่ผ่านมาของพวกเราล้วนแต่เป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันทั้งนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสได้เห็นเรือนร่างของสาวกรุงเทพ
ผิวขาวที่เราได้เห็นมันช่างต่างกันเหลือเกินกับผิวคล้ำของสาวชาวบ้าน ไล่ตั้งแต่ฝ่าเท้าแดงเนียนในรองเท้าส้นสูงหุ้มข้อสีดำที่ไม่เหมือนกันเลยกับฝ่าเท้าแตกกร้านบนรองเท้าแตะของสาวชนบท ข้อเท้าขาวไล่ไปจนถึงปลีน่องเนียนนั้นมันขาวอย่างกับไม่เคยโดนแดดกร้ำกรายมาก่อนเลยในชีวิต เสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจากปากเพื่อนผมที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ
“จัดมั้ยวะตี้”
เพื่อนรักพยักหน้าแทนคำตอบ ที่ผ่านมาพวกเราเคยพาผู้หญิงไปลงแขกกันมาบ้าง และหนึ่งในรหัสลับในหมู่พวกเราก็คือคำว่า “จัด” ซึ่งหมายถึง จัดการข่มขืนเหยื่อนั่นเอง!
“วันนี้วันเกิดมึง กูให้มึงก่อนเป็นของขวัญละกัน”
หญิงสาวผู้โชคร้ายคงยังไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เธอทำสีหน้าดีใจเมื่อไอ้ตี้เข้าไปจัดแขนเธอแล้วประคองขึ้น เธอค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นนั่งตามแรงยกของไอ้ตี้ แต่ทันทีทันใดนั้นเธอก็ต้องเปลี่ยนสีหน้า เมื่อไอ้ตี้กระชากชุดแซ็คตามรอยขาดจนมันหลุดออกจากเรือนร่างของเธอ
หญิงสาวตะโกนด้วยความตกใจพร้อมกับยกสองมือขึ้นปกปิดหน้าอกอวบอิ่มที่ตอนนี้มีเพียงบราเซียสีดำตัวจิ๋วห่อหุ้มอยู่ แต่ฝ่ามือน้อยของเธอก็โดนผมที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอกระชากออก
“อย่าทำพี่เลยขอร้องนะ จะเอาอะไรพี่ให้ทุกอย่าง”
คำขอร้องประเภทนี้ผมได้ยินจนชินแล้วครับ ผมยิ้มให้เธอและก้มลงกระซิบข้างหู
“เงียบๆ อย่าร้องถ้าไม่อยากตาย”
เมื่อได้ยินเสียงไอ้ตี้ขู่ น้ำตาใสๆก็เริ่มไหลออกมาจนมาสคาร่าที่เธอปัดขนตางอนไว้เปรอะออกมาเป็นรอยดำเป็นทางยาวตามทางน้ำตา ผมบรรจงหอมแก้มเธอเบาๆ กลิ่นเครื่องสำอางค์ที่เธอแต่งแต้มใบหน้าไว้จนแดงระเรื่อติดจมูกผมมาเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ผมไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
“หอมดีว่ะเป้”
ไอ้ตี้พึมพำออกมาหลังจากซุกจมูกลงกับลำคอระหงของเธอ และผมก็ได้กลิ่นเหมือนกันกับที่มันได้กลิ่นเมื่อซุกหน้าลงไปกับหน้าอกคู่งามคู่นั้น กลิ่นที่ว่าคือกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่เธอประพรมไว้นั่นเอง
หญิงสาวถดตัวออกจากพวกเราด้วยความผวา แต่เพราะขาที่เจ็บอยู่ทำให้เธอไปไหนได้ไม่ไกลนัก เมื่อมือจับโดนขาเปื้อนเลือดเธอจึงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“เบาๆไอ้เป้ เดี๋ยวแม่งมีคนได้ยิน”
“โอ้ยยยย”
เธอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอีกแล้วเมื่อผมกระชากขาของเธอที่เจ็บอยู่อย่างไม่นึกสงสาร น้ำตาที่ไหลพรากจนเครื่องสำอางเลอะเลือนจึงเป็นทั้งน้ำตาจากความกลัวและความเจ็บปวดผสมกัน
“จับไว้ให้กูนะตี้”
ผมจัดการเผด็จศึกเหยื่อจนเสร็จสม ตามมาด้วยไอ้ตี้ที่ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นสวรรค์ตามมาอีกคน เรามานั่งพักมองหน้ากัน ขบคิดว่าจะทำอย่างไรกับเธอต่อไปดี แต่เมื่อผมมองไปดูหน้าเธอปรากฎว่าตาเล็กหยีที่กรีดอายไลเนอร์เป็นทางยาวนั้นกลับหลับพริ้มไปแล้ว
“สงสัยแม่งเจ็บขาจนสลบไปแล้ว”
“เอาไงดี” ไอ้ตี้หันมาถามผม
“มึงบอกมึงกล้าฆ่าคนไม่ใช่เหรอ”
แทนคำตอบที่มีให้ผม มันเอื้อมมือลงไปวางบนลำคอขาวผ่อง ออกแรงบีบจนร่างงามสะดุ้งเฮือก หน้าอกที่เคยกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจกลับนิ่งไม่ไหวติง
พวกเราจัดการเก็บเอาทรัพย์สินมีค่าทุกอย่างจากตัวเธอและบนรถ ลากเอาศพสาวสวยไปทิ้งข้างทาง แล้วก็ตะบึงฟีโน่คู่ใจไปดูดกัญชากับพรรคพวกในสวนจนเมาหลับไปถึงเช้า
------------------------------------------
“ทำไมไม่กลับบ้านล่ะเมื่อวาน”
“เพื่อนนัดทำรายงานน่ะครับ แล้วทำไมมีคนมาบ้านเราเยอะแยะยังงี้ล่ะพ่อ”
“เป้ทำใจให้ดีๆนะ นั่งลงก่อน ค่อยๆฟังพ่อพูด”
“เมื่อวานวันเกิดเป้ มีคนๆหนึ่งที่เป้อยากเจอมากเค้ากะจะมาเซอร์ไพรส์วันครบรอบอายุสิบเก้าของเป้”
“คนที่เป้ถามหาทุกวัน คนที่พ่อบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้เค้าเจอเป้น่ะ เมื่อวานเค้ามาหาเป้แล้วนะ”
“แม่ของเป้ขับรถลงมาจากกรุงเทพมาหาเป้ แต่ถูกพวกจัญไรปาหินใส่รถแล้วลากไปฆ่าข่มขืนเมื่อวานนี่เอง”
โลกของผมแทบดับวูบลงเมื่อสิ้นเสียงพ่อ ปาหิน! ฆ่าข่มขืน! รถจากกรุงเทพ! แม่! แม่! แม่!
น้ำตาผมไหลซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทุกสิ่งทุกอย่างข้างๆกายมันหมุนเคว้งคว้างจนผมเวียนหัวเลยต้องทรุดลงนั่งกับพื้น เสียงผู้คนดังโหวกเหวกโวยวายรอบตัวผมดังสนั่นก่อนที่สติของผมจะดับวูบลง
---------------------------------------------
“ผมขออนุญาตจับกุมนายเปรมศักดิ์ วรการ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาตน และข้อหาลักทรัพย์ ขออนุญาตผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องช่วยหลบออกจากทางตำรวจด้วยครับ”
ตำรวจในเครื่องแบบห้านายตรงเข้ามาในบ้านแล้วสับกุญแจใส่มือผมทั้งสองข้าง เมื่อเช้านี้ผมตะลึงกับความจริงที่ได้รับรู้จนเป็นลมล้มไป แต่เมื่อผมฟื้นขึ้นมา เสียงไซเรนก็ดังลั่น คราวนี้เมื่อความจริงที่ว่าผู้ร้ายที่ฆ่าข่มขืนเมียเก่าของพ่อผมก็คือลูกชายของเธอเอง ผู้ที่ต้องตกตะลึงจนเป็นลมล้มพับจึงกลายเป็นพ่อและญาติๆทั้งหลายนั่นเอง
“ไอ้เป้ มึงทำลงไปได้ยังไง ไอ้เนรคุณเอ้ย”
“เป้ทำอะไรลงไปรู้ตัวมั้ย”
“ไอ้หลานอัปปรีย์ ไอ้หลานจัญไร”
“มันข่มขืนได้กระทั่งแม่ตัวเอง ตายไปมันต้องเป็นเปรต ไอ้เปรตนรกเอ้ย!”
----------------------------------------------------
สายลมหนาวพัดผ่านต้นตาลดังหวัดหวิว นี่ก็ใกล้จะเช้าแล้วอาหารยังตกถึงท้องผมไม่ถึงครึ่งท้องเลย แต่โชคชะตาก็ยังไม่โหดร้ายกับผมเกินไปนัก นั่นเงาตะคุ่มเป็นจุดดำๆกำลังถือถาดใส่อาหารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ผมมองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ก็พอมองออกว่าอาหารในถาดต้องเป็นอาหารดีๆแน่ๆ
ชายคนนั้นวางถาดอาหารลงกับพื้นแล้วยกมือท่วมหัวก่อนจะเดินหนีไป เมื่อเขาลับตาแล้ว ผมจึงโน้มตัวลงหยิบเอาอาหารในถาดขึ้นมา ใบตาลที่อยู่ข้างๆครูดคอผมจนเป็นรอยขีดข่วน แต่ตอนนี้ผมหิวจนไม่สนแล้ว แม้ขนมชิ้นเล็กๆนี้มันจะดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับฝ่ามือของผม แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน ผมหยิบขนมขึ้นมา วางมือข้างหนึ่งท้าวกับยอดมะพร้าวแล้วก็ยัดขนมเข้าไปในปากเล็กอย่างยากลำบาก
มันช่างเป็นขนมที่อร่อยมาก เมื่อขนมผ่านเข้าปากลงคอไปได้ ผมจึงหวีดร้องด้วยความดีใจ
เป็นเสียงหวีดหวิวเย็นยะเยือกดังไปทั่วหมู่บ้าน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น