เทวดาฝึกหัด - เทวดาฝึกหัด นิยาย เทวดาฝึกหัด : Dek-D.com - Writer

    เทวดาฝึกหัด

    จอร์จจี้ เวลตั้น คนธรรมดาชาวมอนทาน่า ตายลงด้วยเหตุผลที่แสนจำเจอย่างการถูกรถชนระหว่างพยายามช่วยแมว และเมื่อตื่นมาอีกทีเขาก็กลายมาเป็นเทวดาฝึกหัดเสียแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    133

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    133

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    5
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ก.ค. 67 / 17:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เมื่อรู้สึกตัวอีกที ภาพแรกที่เห็นก็คือท้องฟ้าสีฟ้าสดใสปราศจากก้อนเมฆ ร่างกายรู้สึกเบาสบาย ไม่หลงเหลือความปวดเมื่อยจากการทำงาน ไม่มีเหงื่อเหนี่ยวเหนอะ และที่แน่ๆไม่มีความเจ็บปวดจากการถูกรถชนมาหมาดๆหลงเหลืออยู่

    จะยกเว้นก็เพียงความรู้สึกเปียกชื้นข้างๆแก้ม เมื่อหันไปมอง จึงได้เห็นลูกแมวตัวเล็กๆหน้าตาคุ้นเคยกำลังเลียเขาอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

    ท้องฟ้า ก้อนเมฆ เบาสบาย และรถชน องค์ประกอบอันลงตัวที่ทำให้เขาสามารถสรุปได้ว่า ตายซี๊แหง๋แก๋ แน่นอน

    ทันทีที่ได้ข้อสรุป เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที เขาตายแล้วหรอ! เขายังเด็กๆอยู่เลยนะ ตายแล้วจริงๆหรอ เขาลูบคลำใบหน้าและลำตัวของตนเอง และค้นพบว่าทุกอย่างยังอยู่ครบดี ดูดีเป็นปกติทุกอย่าง แม้กระทั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของเขาก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน ร่างกายรู้สึกมีชีวิต แต่สภาพรอบตัวนั้นบ่งบอกคนละอย่าง

    ตอนนี้เขาสวมชุดแบบฮีเมตัน หรือเอาง่ายๆก็คือผ้าขาวๆห่มไปมาแบบเทพกรีกนั่นแหละ นอนอยู่บนเตียงหิน ที่ต้องบอกว่านุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ สภาพห้องตกแต่งแบบสไตล์กรีกโบราณ นอกจากเตียงก็มีโต๊ะหิน เก้าอี้หินบุนวมอย่างหรูหรา มีเสาหินสลักลวดลายอ่อนช้อย ที่สูงค้ำฟ้า ด้านข้างมีประตูไม้ ส่วนอีกด้านเป็นระเบียงเปิดโล่ง มีเพียงผ้าแพรบางๆมีทองกั้นเอาไว้ เมื่อเขาเดินไปแหวกผ้าม่านถึงได้เป็นเมืองทั้งเมือง เมืองสีขาวส้มสดใส เงียบสงบ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ที่ที่เขาอยู่นั้นน่าจะตั้งอยู๋บนเขา ทำให้สามารถมองลงไปเห็นทั้งเมืองได้ เลยอาณาเขตเมืองออกไปคือเมฆสีขาวสะอาด แผ่ออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา

    เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ภาพทั้งหมดนี้ช่างดูน่าอัศจรรย์ และด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ดูเหมือนว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แค่อาจจะไม่ใช่คนๆเดิมอีกต่อไป เขาควรจะตื่นเต้นดีใจ แต่ตัวเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัวสุดๆ

    เขายังคงเป็น จอร์จจี้ เวลตั้น คนธรรมดาอายุ 34 ที่เกิดและเติบโตที่มอนทาน่าก่อนจะย้ายมาอยู่แคลลิฟอเนีย ทำงานเป็นนายหน้าขายบ้านอย่างสุจริต ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จนะกระทั่งตัดสินใจกระโดดเข้าไปช่วยลูกแมวที่กำลังจะถูกรถชน ก่อนจะที่จะตายด้วยสาเหตุที่จำเจที่สุดในโลก ที่เลวร้ายไปกว่านั้น นอกจากเขาจะตายแล้ว ยังช่วยแมวไว้ไม่ได้ด้วย หลักฐานก็คือเจ้าแมวสีขาวที่เลียเขาอยู่เนี่ยแหละ

    ในเมื่อเขานั้นสุดแสนจะเป็นมนุษย์ธรรมดา เมื่อโผล่มาในเมืองกลางท้องฟ้า เขาควรจะทำยังไง! กระโดดกลับลงไปให้ขิตรอบ 2 งั้นหรอ ถึงจะตายมาแล้ว แต่ต้องลงไปไส้แตกเป็นแพนเค้กก็ฟังดูไม่ใช่กิจกรรมที่น่าสนใจสักเท่าไหร่

    ระหว่างที่เขานั่งกลุ้มใจอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่ประตูจะเปิดเข้ามา หญิงสาวในชุดคล้ายคลึงกันปรากฏตัวขึ้น ผิวสีขาวราวกับไข่มุก เส้นผมยาวยักศกสีทองเหมือนเส้นไหม ใบหน้างดงามราวกับนางฟ้า เป็นความงดงามที่ไม่ว่าใครก็ต้องมองตาค้าง

    ตรงข้ามกันกับหน้าตา เสื้อผ้าหน้าผมและสถานที่ คือกระเป๋าหนังทำงานสีดำที่หล่อนหิ้วมาด้วย กระเป๋าเอกสารคุณภาพดีที่ให้แต่ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก

    “อรุณสวัสดิ์ รบกวนอ่านเอกสารและมาตามเวลานัดพรุ่งนี้ด้วย กรุณาอย่าสาย” หล่อนวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะหิน ฉีกรอยยิ้ม ว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงหวานราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า ทว่าวิธีและเนื้อหาที่พูดนั้นไม่ได้ต่างจากหัวหน้าบ้างานดุๆเลยแม้แต่น้อย พูดจบก็หันหลังกลับทันที

    จอร์จได้แต่มองตามด้วยความงุนงง สถานที่บ้าบอนี่คืออะไรกันแน่ 

    แต่ถึงอย่างไงก็ดูจะไม่ได้มีทางเลือกมาเท่าไหร่นัก จอร์จขยับตัวลุกขึ้น เดินตรงไปยังโต๊ะหิน เอื้อมมือหมายจะเปิดกระเป๋าออก ก่อนจะชะงักไปสักครู่ แต่สุดท้ายเขาก็เปิดมันออกในที่สุด

    กระเป๋าใบนี้เป็นกระเป๋าธรรมดาเลย กระเป๋าเอกสารแข็งๆแบบตามที่เห็นได้ในหนัง ด้านในมีชุดฮีเมตันอีกชุดวางอยู่ ผ้าดูจะเยอะชิ้นกว่า คงจะเป็นทางการมากกว่า วางมาข้างๆกันคือเอกสาร ใส่แฟ้มจ่าหน้ามาอย่างเป็นทางการ

    ‘เอกสารแนะนำเบื้องต้น สำหรับเทวดาฝึกหัด’

    เขาหยิบมันขึ้นมาดู ตัวเอกสารไม่ได้หนามากอาจจะประมาณสัก 10 หน้าได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาติดใจ หัวข้อนี่แหละ

    หรือว่า....เขาตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดา!

    เป็นครั้งแรกตั้งแต่ขึ้นมาที่นี่ที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาได้ สมองเริ่มแล่น คิดดูแล้วก็สมเหตุสมผลที่สุด ที่นี่ยังไงก็ต้องเป็นสวรรค์ ดินแดนแบบเทพกรีก ตั้งอยู่บนก้อนเมฆ แถมผู้หญิงที่สวยขนาดนั้นก็ต้องเป็นนางฟ้าอยู่แล้ว จะว่าไปบนสวรรค์ก็ต้องมีดนตรีดีๆ อาหารอร่อยๆ วิวสวยๆ นอนๆไปไม่ต้องทำอะไรแน่ๆเลย

    ถึงจะไม่แน่ใจว่าแล้วการเป็นเทวดามันจะต้องฝึกหัดอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผลิกกระดาษอ่านหน้าถัดไปทันที ยิ่งอ่านรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งจางลง เมื่อจบหมด หน้าของจอร์จก็ซึดเผือด

     

    และทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จอร์จ หรือบัดนี้ได้ชื่อใหม่ว่า โอเรติส เทวดาหน้าใหม่อายุ  1 วัน จะมายืนอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง สถานที่ที่ซึ่งจากนี้ไปคือที่ทำงานของเขา อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะตัดสินใจไปเกิดใหม่หรือโลกแตกเสียก่อน

    จะเรียกว่าอาคารก็ดูจะเป็นคำนิยามที่ธรรมดาเกินไปสักหน่อย แลดูเหมือนวิหารบูชาเทพเจ้า สร้างขึ้นจากหิน พร้อมแกะสลักภาพของเหล่าเทพโบราณกาลเอาไว้บนเสาขนาดใหญ่ชนิดที่ว่าต้องใช้คน 3 คน โอบ ประตูบานใหญ่ตั้งตระหง่านราวกับภูเขา ราวกับจะโอ่อวดถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของที่นี่

    สำหรับโอเรติสแล้ว ความงามอลังกาลทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย หลังจากเขาเสียเวลาปลุกกล้ำกับชุดผ้าบ้าๆนี่ที่ดูเหมือนจะใส่ง่าย แต่พอต้องมาใส่เอง ไม่ว่าใส่ยังไงเขาก็ลงเอยด้วยการเปิดเผยเนื้อหนังเกินควร กว่าจะจัดแต่งให้อยู่ในสภาพที่รับได้นั้น เขาก็เสียเวลาไปมากแล้ว ยังดีที่บนสวรรค์ผู้คนไม่พลุกพล่านสักเท่าไหร่และแน่นอนว่าไม่มีรถติดให้ต้องรำคาญใจ ทำให้เขามาถึงได้อย่างรวดเร็ว

    เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ประตูใหญ่ยักษ์ก็ยิ่งดูน่าเกรงขามขึ้น เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถเปิดประตูนี้ได้อย่างไร ต้องใช้แรงเปิด หรือว่ามีบัตรยืนยันตัวตน หรือเป็นประตูอัตโนมัต แต่เมื่อเขาเดินเข้าอีกก้าว เพียงเท่านั้นประตูก็ขยับด้วยตัวเอง กางเปิดออกเผยให้เห็นห้องด้านใน

    ข้างนอกที่แห่งนี้ดูเหมือนกับสวรรค์ แต่ข้างในคือนรกที่แท้จริง

    คอกโต๊ะทำงานสีเทาวางเรียงกันยาวเหยียด ไม่ว่าจะมองตรงไป หันไปทางซ้ายหรือขวา ก็เต็มไปด้วยคอกทำงานเหล่านี้พร้อมกับคอมพิวเตอร์อย่างเก่าเครื่องโตตั้งประจำโต๊ะอยู่ เหล่าเทวดานางฟ้าจำนวนมากบ้างก็นั่งประจำโต๊ะ บ้างก็เดินหอบเอกสารไปมา บ้างก็คุยโทรศัพท์ ทั้งตึกเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงของเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดและเสียงโทรศัพท์ตลอดเวลา ดูเหมือนกับมนุษย์เงินเดือนไม่มีผิด จะแปลกก็แค่ชุดฮีเมตันของพวกเขา ที่แน่นอนว่าใส่เรียบร้อยต่างจากของเขาโดยสิ้นเชิง

    โอเรติสชะงักค้างเติ่งอยู่ที่หน้าประตู หรือว่า จริงๆแล้วเขาตกนรกกันแน่นะ

    ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก การหืออือกับหัวหน้างานก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยอยู่ดี พยายามเมินแขนขาที่รู้สึกชาขึ้นมาเสียดื้อๆ และก้าวเข้าไปทีละก้าว

    บนเอกสารที่เขาได้มาเมื่อวานนั้น ระบุไว้ว่าให้เขามาที่นี่ และตามหาชายที่ชื่อว่ามาโกส ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าของเขา

    เขาเดินเข้าไปยังโต๊ะที่ใกล้ที่สุดที่มีชายสวมแว่นเหลี่ยมนั่งพิมพ์เอกสารอยู่

    “สวัสดีครับ ผมกำลังตามหาคนที่ชื่อว่ามาโกส...” พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ขัดขึ้น “เด็กใหม่สินะ” เขาว่าและชี้นิ้วลึกเข้าไปด้านใน “เดินตรงเขาไปเลย จะเห็นคนๆนึงที่...อืม...แตกต่างจากคนอื่นเขา” เขาว่าก่อนจะก้มหน้ากลับไปมองหน้าจอ เขากล่าวขอบคุณก่อนที่จะผละออกมา”

    “ขอให้โชคดี” ชายแว่นว่าทิ้งท้าย ช่างเป็นคำพูดที่ดูเป็นลางไม่ดีเสียจริงๆ 

    เขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเดินเข้าไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนมันจะไม่มีที่สิ้นสุด โต๊ะทำงานโต๊ะแล้วโต๊ะเล่าทอดตัวยาวเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเห็นโต๊ะตัวนึงซึ่งถูกวางกองท่วมไปด้วยเอกสาร เยอะชนิดที่ว่าสามารถบังตัวคนคนนึงได้มิดสนิท แต่ว่ามันกลับไม่สามารถบดบังเจ้าของโต๊ะได้

    ชายชราผมสีเทาร่างใหญ่มหึมา กล้ามเป็นมัดๆ ทำให้โต๊ะดูเล็กไปเลย ถึงจะมีร่องรอยความชราบนใบหน้า แต่ก็ต้องบอกว่ารังสีแห่งอำนาจแผ่ออกมาจากตัวเขา ดูๆแล้วก็คล้ายกับรูปปั้นเทพสงครามอยู่ไม่น้อย เทพสงครามที่แก่ตัวลงสักหน่อย

    เขากำลังพิมพ์เอกสารเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทว่าเสียงพิมพ์ดีดของเขานั้นดังราวกับเขากำลังผ่าฟืนอยู่เลยทีเดียว

    ไม่แน่ใจว่าจะเดินเข้าไปถามยังไงให้ไม่ถูกสับเป็น 2 ท่อน ชายชราก็เงยขึ้นมามอง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องมาราวกับเหยี่ยว และเสียงของเขาก็ดังหยั่งกับฟ้าผ่า

    “มาสายแล้วก็อย่าแต่มัวยืนเหม่อ! เดินมานี่!” เขาเดินตามสั่งเข้าไปอย่างว่าง่ายทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    “สวัสดีครับ ผมจอ...โอเรติสครับ ฝากเนื้อฝาก...” เป็นอีกครั้งที่เขาถูกตัดบทขาดดังฉับ “นั่งโต๊ะข้างๆนี่ หน้าที่ของเจ้าคือการจับตาดูชีวิตของมนุษย์และจดบันทึกทุกอย่างอย่าให้พลาด เข้าใจ?” ชายชราว่าและยื่นเอกสารแผ่นนึงมาให้ มันเป็นเอกสารคล้ายคลึงกับเอกสารยืนยันตัวตน เพียงแต่ไม่ได้มีรหัสหรือตราประทับแบบโลกมนุษย์ บนเอกสารมีรูปแปะอยู่ พรัอมกับประวัตความเป็นมาครอบครัว และสถานการณ์ปัจจุบันของบุคคล

    งานแรกของเขาคือเด็กชายวัย 8 ขวบ ‘ไมเคิล แคนส์เบิร์ก’ หรือรู้จักกันในชื่อไมค์

    เด็กชายชาวเท็กซัส เติบโตมาในครอบครัวสมาชิก 6 หน่วย บิดาของเขา โจนส์ แคนส์เบิร์ก ชายผู้มุ่งมั่นวัย 38 ปี ตรากตรำในการทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวอยู่ที่มหานครนิวยอร์ก ส่วนมารดาคือ ซาร่า แคนส์เบิร์ก วัย 36 ปี เดิมทีทำงานอยู่ในบริษัทโลจิสติก ก่อนจะลาออกมาหลังคลอดลูกชายคนแรก มิกกี้ แคนส์เบิร์ก ปัจจุบันอายุ 10 ปี กำลังจะเข้าเรียนมัธยมในไม่ช้า และสมาชิกใหม่ล่าสุดของครอบครัว แองจี้ และ แมรี่ แคนส์เบิร์ก ลูกสาวฝาแฝดวัย 4 ขวบ ที่กำลังซุกซนได้ที่

    ตัวไมค์นั้นถูกส่งมาอยู่กับปู่ อัลเบิร์ต บอริส วัย 62 ปี ที่ก็เป็นคนหัวโบราณ แข็งทื่อ และดุไม่ใช่น้อย เขาถูกส่งมาตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ หรือก็คือหลังจากน้องทั้ง 2 คลอดได้ไม่นานเพราะมารดาไม่สามารถเลี้ยงคนเดียวได้ไหว และไม่ได้สามารถจ้างพี่เลี้ยงได้ ดังนั้นความฝันและความต้องการเพียงอย่างเดียวของไมค์ คือรอมารดามารับกลับบ้านไปสักที

    ด้านล่างสุดของเอกสารพิมพ์เอาไว้ว่า สถานะ: ยื่นเรื่องเรียบร้อย

    “ไมค์ แคนส์เบิร์กจากเท็กซัส ข้าได้ยื่นเรื่องคำขอเรียบร้อยแล้ว เจ้าแค่ต้องจบันทึกความเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดยใช้คอมพิวเตอร์ที่ได้เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์เอาไว้” ชายชราว่าพลางชี้ไปที่คอมพิวเตอร์

    โอเรติสเอื่อมมากดเปิด ตรงข้ามกับหน้าตาตกรุ่น มันเปิดติดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานภาพของเด็กชายตัวเล็ก ผิวขาวซีด หัวดำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นภาพของเด็กชายในหลายๆมุม ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านข้าง หน้าบ้าน รวมไปถึงภาพของคนใกล้ตัวอย่างคุณตาและพ่อแม่พี่น้องที่อยู่กันคนละบ้านอยู่มุมเล็กๆด้านล่าง ส่วนด้านซ้ายบนของจอคือค่าสถานะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก สภาพจิตใจและร่างกาย ดูเผินๆก็คล้ายกับเกมเดอะซิมอยู่ไม่น้อย

    หน้าจอข้างๆนั้นเรียบกว่ามาก มันคือโปรแกรมจดบันทึก มีตารางต่างๆไว้ให้พร้อม

    “จำไว้ว่าหน้าที่เจ้ามีแค่จดบันทึก อย่าได้คิดทำอะไรเกินหน้าที่ เวลาเลิกงานคือ 5 โมง ถึงเวลาก็กลับกลับบ้านได้” พูดจบเจ้าตัวก็กลับไปที่โต๊ะทำงานของตน

    ฟังดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรยาก ออกจะเรียบง่ายจนน่าเบื่อด้วยซ้ำไป

     

    วันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 17.00 นาฬิกา ณ บ้านของ อัลเบิร์ต บอริส

    ไมค์กลับมาจากโรงเรียนได้สักพักแล้ว ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับการบ้านคณิตศาสตร์ ทว่าถึงจะจ้องมาเป็นชั่วโมงก็ยังไม่สามารถทำมันได้ สำหรับตอนนี้ยิ่งมอง ตัวเลขก็เริ่มเป็นเหมือนลายเส้นยึกยือไร้ความหมาย

    ว่ากันตามตรงแล้วไมค์ก็ไม่ใช่เด็กที่ชาญฉลาดที่สุดในห้อง เขาเป็นเด็กที่ธรรมดาเอาเสียมากๆ ไม่โดดเด่นทั้งความสามารถด้านการเรียน ทางด้านกีฬา หรือแม้แต่นิสัยก็ไม่ได้เป็นคนที่น่าสนใจเท่าไหร่นัก ด้วยความเป็นเด็กเงียบๆเก็บตัว แถมยังติดขี้อายเสียอีก

    ยิ่งนั่งก็ยิ่งมึน ท้องก็เริ่มร้อง สุดท้ายจึงตัดสินใจดันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินออกจากห้องมาที่ห้องครัว

    บ้านของอัลเบิร์ต เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ​ เฟอร์นิเจอร์ก็ออกเก่าๆ ตัวเย็นส่งเสียงดังฮึ่งให้ได้ยินมาแต่ไกล แต่ถึงจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ขัดสน

    ตัวอัลเบิร์ตเองนั้น ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่หน้าโซฟา เขาเป็นชายร่างใหญ่ มีเค้าโครงความแข็งแรง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเริ่มลงพุงบ้างแล้วก็ตาม สายตาจับจ้องไปที่ทีวีที่กำลังรายการแข่งอเมริกันฟุตบอลย้อนหลังอยู่

    ไมค์เดินตรงไปที่ทีวี หยิบพิซซ่าเก่าๆออกมาอุ่นกิน เขากำลังจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ตอนที่ตาลุกพรวดขึ้นและตะโกนโวยวายดังลั่น ท่าทางอารมณ์เสียจัด ทีมที่ตาเชียร์คงจะแพ้

    เห็นอย่างนั้น เขาถึงได้หันหลังกลับแทบไม่ทัน “เอ้า จะไปไหน มานั่งกินดีๆสิ อย่ามัวแต่ไปกินในห้อง” เสียงห้วนๆของตาดังตามหลังมา เขาถึงได้หันกลับมายิ้มแห้งๆ “ครับ” ก่อนจะเดินตัวเกร็งไปที่โซฟา ส่วนอัลเบิร์ตนั้นมุ่งตรงไปที่ตู้เย็น คว้าเบียร์และพิซซ่ามาทั้งถาดและเดินกลับมาที่ทีวีโดยไม่แม้แต่จะอุ่นมัน

    “บ้าบอ เล่นอะไรกันวะ เฮ้ย อย่าปล่อยโล่ง เฮ้ยๆๆๆ” ตาตะโกนโวยวายพลางจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ไมค์ได้แต่ทำตัวลีบเล็กลงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เดิมทีปู่ก็ไม่ใช่คนที่ใจเย็นอะไร แต่ยิ่งดูกีฬาแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนโหวกเหวกโวยวายน่ากลัวที่สุด โดยเฉพาะคราวนี้ที่ดูเหมือนว่าทีมฟุตบอลโปรดท่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

    ไมค์พยายามจะขยับตัวให้น้อยที่สุด กินให้เงียบที่สุด หวังว่าจะไม่ทำให้ปู่สนใจ ตอนนี้พิซซ่าเก่าเก็บไม่เหลือรสชาติใดๆแล้ว รีบกิน รีบหนี

    ทันทีคำสุดท้ายหายเข้าปาก ยังไม่ทันเคี้ยวดีๆ เขาก็ค่อยๆลุกขึ้น ทว่าแขนเขากลับถูกรั้งเอาไว้

    ราวกับมารปีศาจ “จะไปไหน นั่งอยู่นี่แหละ หัดดูบอลบ้าง” ปู่ว่า “วันๆเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง กีลงกีฬาไม่เล่น ทำตัวอย่างกะเด็กผู้หญิง” ว่าแล้วก็ยกเบียร์ขึ้นกระดก แต่ก็ต้องเบ้หน้า “ไปเอามาให้ปู่อีกขวดสิ” เขาพูดและยื่นขวดเก่าให้

    ไมค์พยักหน้าและค่อยๆลุกขึ้น ไม่ทันที โดนปู่ฟาดหลังเขาให้ “ลุกขึ้น ขยับตัวให้มันเร็วๆ กระฉับกระเฉง ทำตัวให้มันมีเรี้ยวมีแรงหน่อย อยู่โรงเรียนเดี๋ยวเขาว่ากันว่าฉันไม่ให้ข้าวแกกิน” ถึงจะไม่ใช่การฟาดจริงๆ แต่มือปู่ก็หนักเอาเรื่อง เด็กชายถลาหน้าแทบทิ่ม ยังดีที่ยั้งเอาไว้ได้ เขารีบหยิบจานเปล่าของตนเองและของปู่ เดินหนีไปห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ขวดมายื่นให้ปู่ ผู้ที่กำลังยืนตะโกนด่าเสียงดังอยู่หน้าทีวีและรับขวดไปโดยไม่แม้จะมองหน้า เป็นโอกาสอันดีให้เด็กชายแอบหลบเข้ามาในห้องได้อย่างปลอดภัย

    ภายในห้อง การบ้านคณิตศาสตร์ยังถูกกางทิ้งเอาไว้ที่เดิม แต่เจ้าของนั้นไม่เหลือแรงจะทำแล้ว

    เด็กชายกระโดดทิ้งตัวลงบนเตียง ดึงสมุดบันทึกเล่มบางๆออกมาจากใต้ฝูก สมุดปกสีน้ำตาลเรียบๆ ไม่มีอะไรเขียนอยู่ด้านบน แต่สภาพนั้นค่อนข้างยับยู่ยี่ อาจเพราะถูกเปิดใช่บ่อย หรืออาจจะแค่เพราะว่าถูกยัดลวกๆไว้ใต้เตียงก็เป็นได้

    ไมค์เอื้อมหยิบดินสอข้างหัวเตียง เปิดมายังหน้าที่ว่างเปล่าและเริ่มขีดเขียนบันทึกประจำวัน

    หน้าต่างใหม่เด้งขึ้นบนหน้าจอ เป็นไฟล์สมุดบันทึก โอเรติสไล่ตาอ่านอย่างเร็วๆ มันเป็นบันทีกที่เขาเขียนถึงแม่ ตั้งใจเอาไว้ว่าเมื่อแม่มารับจะเอาให้อ่าน เล่มล่าสุดนี้เริ่มเขียนตั้งแต่ 7 ขวบกว่าๆ ดูเหมือนเด็กชายจะพยายามเขียนให้ดูสนุก เขาเล่าเรื่องกิจกรรมสนุกๆที่โรงเรียน เขียนสิ่งที่เขาทำให้ดีและภูมิใจ แทบจะไม่เขียนเรื่องแย่ๆ เศร้าๆเลย และเพราะอย่างนั้นหนังสือนี่ถึงได้บางเฉียบแม้จะเขียนมาเป็นปีๆ

    แค่อ่านคร่าวๆก็มีแค่ไปโรงเรียน เรียนได้ สอบผ่าน กินอาหารอร่อยบ้างนานๆที โอเรติสปัดผ่านๆจนมาหยุดอยู่ที่บันทึกที่ไมค์กำลังเขียน ตัวอักษรใหม่ๆค่อยๆปรากฏขึ้นมาทีละตัว ดูเหมือนว่ามะรืนนี้จะเป็นวันเกิดปีที่ 9 ของเด็กชาย และเป็นวันที่แม่สัญญาว่าจะกลับมารับ ไมค์ดูตื่นเต้นมาก เพราะเขาเขียนได้เรื่อยๆ ยาวกว่าทุกๆวันอยู่เอาเรื่อง

    กว่าจะเขียนเสร็จก็ปาไปราวๆครึ่งชั่วโมง ไมค์พับสมุดและยัดลงใต้เตียงเช่นเดิม เขามุดตัวลงใต้ผ้าห่ม ดึงตุ๊กตาม้าเก่าๆขึ้นมากอด หลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม

     

    พอไมค์หลับ ก็ไม่ได้มีอะไรให้จดบันทึกมากนัก โอเรติสจึงได้เริ่มไล่มองแทบต่างๆ บนหน้าจอ ที่มุมซ้ายบนเป็นแทบสีเหลืองกระพริบช้าๆ ทิ้มแทงตามานาน พอได้จังหวะ เขาก็ไม่รอช้ากดเปิดทันที

    หน้าจอใหม่กางออก หน้าตามันคล้ายกับหน้าจอเวลาคนทำโค้ดดิ้ง มีรายละเอียดเต็มไปหมด มันเป็นเอกสารคำร้องขอพรของไมเคิล มีโควตที่ไมเคิลสวดขอมา พร้อมกับวันที่บันทึกเอาไว้

    เป็นคำขอที่เดาได้ไม่ยาก อยากกลับบ้าน อยากเจอแม่  อยากให้แม่มารับเร็วๆ ลิสต์ยาวเหยียดที่ทั้งหมดเขียนมาเนื้อหาก็เหมือนเดิม มันยาวหลายร้อยบรรทัด กว่าจะไถลงไปสุด ดูเหมือนเด็กชายจะขอเหมือนเดิมแทบทุกวันมา 4 ปีแล้ว เอาง่ายๆ เขาเริ่มสวดขอตั้งแต่วันแรกที่มาถึง และดูเหมือนว่าวางแผนจะทำเช่นนั้นยันวันที่คำขอเป็นจริง

    ไล่อ่านไป เขาก็อดขำไม่ได้ บางวันเด็กชายก็จะขอร้อง บางวันก็ปกติดี บางวันก็บนบานเซ่นไหว้ด้วยขนมจากอาหารกลางวัน บางวันก็โวยวาย หรือแม้กระทั่งข่มขู่ก็ยังมี

    มาด้านล่างสุด ขึ้นเป็นตัวอักษรสีเหลืองๆ Proceeding… เป็นสถานะปัจจุบันของเอกสาร

    พับหน้าจอปิดไป เวลาบนโลกมนุษย์ก็เช้าแล้ว

     

    วันที่ 18 พฤศจิกายน เวลา 7.00 นาฬิกา ณ บ้านของ อัลเบิร์ต บอริส

    ทันทีที่เสียงนาฬิกาปลุกดัง ไมค์ก็กระเด้งขึ้นจะเตียงทันที ฟาดมืออย่างสะเปะสะปะจนกระทั่งเสียงดังน่ารำคาญหยุดไป

    เด็กชายนั่งสะลืมสะลือตาปิดอยู่สักพักใหญ่ๆก่อนที่จะยันตัวลงจากเตียง อาบน้ำแปรงฟันแอบลวกๆ เปิดตู้เสื้อผ้าและเสื้อกางเกง 2-3 ตัวก็หล่นลงมา เขาโยนมันกลับเข้าไปกองรวมกับเสื้อผ้าสะอาดทที่ถูกกองอย่างเละเทะอยู่ คว้าเสื้อและกางเกงมั่วๆมาชุดหนึ่ง ก่อนจะแต่งตัวให้เรียบร้อย

    ไมค์คว้ากระเป๋านักเรียนมาทั้งๆที่ยังไม่ได้รูดซิป และเดินหัวกระเซิงออกจากห้อง

    ตอนนี้ในบ้านนั้นว่างเปล่า มีเสียกรนดังออกมาจากประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม ปู่ไม่ใช่คนตื่นเช้าสักเท่าไหร่ แต่นั่นเป็นเรื่องที่ดี และเขาก็อยากที่จะรีบหนีออกจากบ้านก่อนที่ปู่จะตื่นเช่นเดียวกัน

    อาหารเช้าของไมค์ เป็นซีเรียลชามนึงที่สามารถจัดการให้เรียบได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที และเด็กชายก็พาตัวเองมารอที่ป้ายรถโรงเรียน ไม่นานนักรถบัสสีเหลืองก็มาถึง ภายในรถนั้นเต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายของเด็กๆ เมื่อขึ้นมาถึงได้เห็นสภาพที่เรียกได้ว่าราวกับสวนสัตว์ บ้างก็โหนราว บ้างกีนเบาะ โยนของ ส่วนคนขับนั้น ปลงสนิทไปเรียบร้อย

    ไมค์พาตัวเองมุดตัวเองเข้าไปด้านในสุดของรถและนั่งริมชิดหน้าต่าง กอดกระเป๋าเป้และมองออกไปด้านนอก ไม่มีใครมาทัก และเขาเองก็ไม่ได้ทักใครเช่นกัน อีกหนึ่งวัน ธรรมดาๆของ ไมเคิล แคนส์เบิร์ก

    นั่นคือจนกระทั่งเด็กชายคนนึงสวมหมวกกลับด้านเดินขึ้นรถมา และทันทีที่เดินขึ้นมา บรรยากาศบนรถก็เปลี่ยนไปทันที ทุกคนนั่งเงียบเรียบร้อย แหวกทางให้เขาเดิน ซึ่งเจ้าตัวก็เดินกร่างราวกับเป็นเจ้าถิ่น ยิ่มร่าอย่างพอใจ

    ไมค์พยายามมุดหน้าลงไปใต้กระเป๋า มองไปนอกต่าง ทำตัวให้เงียบและลีบที่สุดเท่าที่ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นสายของเด็กกร่าง จัสติน รูสเวลล์ไปได้

    “เฮ้ย ไอเปี๊ยก ลุก” มันว่า พร้อมโยนเป้ของตัวเองลงข้างๆไมค์ เด็กชายค่อยๆเงยหน้าขึ้น ไม่ได้เงยสูงสักเท่าไหร่เพราะจริงๆแล้วจัสตินนี่ก็ไม่ได้สูงไปกว่าเขาเลย

    “แต่ว่าเรามาก่อนนะ....” เขาว่าเบาๆ หน้าตาไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ อยากจะเถียงแต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าควรไหม

    “พูดอารายหว้า ไอเปี๊ยก” ไม่รอดพ้นหู จัสตินสวนควับทันที “อยากไปนั่งเฝ้าถึงขยะก็ไม่บอก” ระหว่างที่พูด เด็กตัวโตๆอีก 2 คนก็รีบลุกขึ้นมายืนข้างๆ และดูเหมือนยักษ์เฝ้าประตูยังไงชอบกล “แต่ก็นะ เป็นหนูก็ควรอยู่เฝ้าถังขยะนั่นแหละ” ว่าแล้วก็หัวเรอะดังลั่น พร้อมกับเด็กยักษ์ 2 คนที่หัวเราะตามราวกับคณะประสานเสียง

    ไมค์ส่ายหัวรัวๆ รีบลุกขึ้นและพลุบตัวลอดไปหาที่นั่งที่อื่น แต่ไม่วายมีเสียงตะโกนตามหลัง “คราวหน้าอยากไปกลับบ้านก็เรียบบอกนะ ไอหนูเปี๊ยก เดี๋ยวพี่พาไปส่ง” ว่าไปก็หัวเราะไป

    นอกจากเวรกรรมที่ต้องมาเจอจัสตินบนรถแล้ว การเดินทางก็เป็นไปอย่างราบรื่น นั่งซุกตัวเงียบๆไปตลอดทางจนถึงโรงเรียน

    เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน เด็กๆพากันวิ่งกรูลงจากรถ ส่วนไมค์นั้นรถจนฝูงลิงที่บ้าคลั่งนั้นผ่านไป จึงค่อยๆขยับตัว ทว่าทันทีที่เขาลุกขึ้นยืนก็ถูกชนอย่างแรงจนกลับลงไปนั่งเหมือนเดิม

    “อุ๊บส์ โทดที มองดีไม่เห็นหนูข้างทาง” จัสตินว่าและหัวเราะเสียงๆ ก่อนจะเดินก่างขาลงจากรถพร้อมกับลูกสนุนของเขา

    วันนี้ไม่ใช่วันดีของเขาเลยจริงๆที่ต้องมาเจอกับหัวโจกของโรงเรียนตั้งแต่เช้า ไมค์ถอนหายใจและเดินลงจากรถ ต่างจากเด็กคนอื่นๆ เขามุ่งตรงเข้าห้องเรียน และนั่งที่ประจำกลางๆห้องริมหน้าต่าง ตำแหน่งที่จะไม่ต้องอยู่รวมกับเด็กหลังห้อง และไม่เป็นที่สนใจของเพื่อนๆที่เหลือ

    เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เริ่มจากวิชาคณิตศาสตร์ ที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองลืมหยิบการบ้านมาด้วย ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์เขาในสายตาครูดีขึ้นเลย ต่อด้วยวิชาภาษาอังกฤษ วิชาหนึ่งเดียวที่เขาเอาตัวรอดได้อย่างไม่ลำบากมากนัก

    เสียงระฆังพักเที่ยงดัง เสียงสวรรค์ของเด็กส่วนมาก และเสียงนรกสำหรับเด็กไม่มีเพื่อนและเป็นที่เพ่งเล็งแบบไมค์

    ระหว่างที่เขากำลังจะเดินเนียนๆไปกับเพื่อนส่วนมาก “ไมค์ๆ” คุณครูเรียกทำเอาเด็กชายสะดุ้ง “ครับ”

    “เธอช่วยครูถือกองสมุดนี่มาที่ห้องพักครูหน่อย” ครูว่าและเดินออกไปพร้อมกับกองหนังสือแรก เหลือกองโตๆเอาไว้อีกกอง ไม่มีทางเลือก แต่ต่อให้เลือกได้ เขาก็คงจะช่วยอยู่ดี ในเมื่อนี่คือสุดยอดหนทางในการหลีกเลี่ยงพวกอันธพาลหลังห้อง

    หลังจากที่เก็บสมุดเรียบร้อย เขาถึงได้ไปที่โรงอาหาร ตักอาหารเรียบร้อย เดินเงียบๆก้มหน้าก้มตา มุ่งไปด้านหลังสุด

    แก๊งเด็กนักกีฬาตัวใหญ่เดินคุยกันเสียงดังสวนทางมา ไม่แม้แต่จะเบี่ยงตัวหลบ ถึงแม้ไมค์จะบีบตัวสุดๆ ก็ยังไม่วายถูกชนจนเซและสะดุดขาโต๊ะแข็งๆ ล้มโครม สปาเกตตี้ซอสแดงกระเด็นไปทั่ว ทั้งเสื้อทั้งหน้าเลอะเทอะไปหมด

    ทั้งโรงอาหารตกอยู่ในความเงียบภายในเสี้ยววินาที ก่อนที่เสียงหัวเราะคิกคักจะเริ่มต้น และกลายเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นทั้งโรงอาหาร เขาเรียบโกยเศษอาหารแบบลวกๆ และลุกขึ้นยืน สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้ายิ้มกริ่มของจัสตินที่นั่งอยู่บนโต๊ะ กระดิกเท้าที่ยื่นออกมาอย่างยี้ยวน

    “โทษที นึกว่าชอบเก็บเศษอาหารกิน” เขาหัวเราะและลุกขึ้นยืนพร้อมกับบรรดาลูกสมุนและเดินสวนออกไป

    ไมค์ได้แต่มองตาม ใบหน้าร้อนแดงก่ำ ความรู้สึกอยากปาของทิ้งพุ่งพรวดขึ้น แต่ความกลัวที่มากกว่าทำให้เขาได้แต่มองตามละจิกถาดในมือแน่น

     

    สุดท้ายมื้อเที่ยงก็ผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่คำเดียว แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อในตอนบ่าย จัสตินและพรรคพวกนั้นขี้เกียจและสนใจการนอนมากกว่าที่จะมาแกล้งคนอื่น เด็กชายจึงได้ทุ่มเทเวลาไปกับการนั่งงงตัวย่อเคมีต่างๆ

    ทันทีที่กระดิ่งเลิกเรียนดัง ไมค์ก็มุ่งตรงกลับบ้านทันที เมื่อคิดว่าวันนี้คือวันอะไร ความโมโหทั้งหมดที่ผ่านมาก็ละลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เขาเดินตรงมารอรถโรงเรียนอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน รอยยิ้มฉีกกว้างอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่แม้แต่จะสนใจเด็กผู้หญิงชุดชมพู 3-4 คนที่ยืนซุบซิบด้วยสายตารังเกียจอยู่ข้างๆด้วยซ้ำไป

    เวลาแลดูจะผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน เขาย่ำเท้าอยู่กับที่ จนแล้วจนรอดรถก็ไม่โผล่มาสักที เด็กชายหันหลังกลับและเริ่มออกวิ่ง

    เขาสาวเท้ายาวๆถี่ๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ มุ่งหน้ากลับบ้าน กว่าจะมาถึงก็หายใจหอบจนแทบอยากจะลงไปนอนกับพื้น

    ปู่ยังไม่กลับบ้าน เขาพุ่งตรงเข้าห้อง คว้ากระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่เขาใช้ไปทัศนศึกษาออกมา โกยเสื้อผ้าออกจากตู้และเริ่มทำการยัด

    เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝ่าเท้าหนักๆ ตามด้วยเสียงทีวี ปู่กลับมาแล้ว แต่เด็กชายไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาเก็บของต่อไป

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาพุ่งตัวไปที่ประตู แง้มบานประตูออกและมองลอดออกไป

    อัลเบิร์ตเดินมาที่โทรศัพท์ “ฮัลโลว” เขาพูดเสียงเหนื่อยหน่ายสุดๆ “โอ้ ซาร่า” ไมค์ตาเป็นประกาย แม่โทรมา คงกำลังจะมารับแล้วสินะ

    เขาไม่ได้ยินเสียงแม่ เห็นแต่หน้ายื่นฟัง เสียงหน้าหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ลางสังหรณ์ใจก็เริ่มจะไม่ดี

    “เฮ้อ ทำไมแกเป็นคนแบบนี้วะ” ชายชราว่า หมดแรงเกินกว่าจะตะโกนกลับไป “ไอเด็กนี่ วันๆก็ทำแต่หน้าบูด” “เออๆ ช่างมันเถอะ อย่างไงก็อยู่มาแล้ว เออๆ แค่นี้แหละ” แล้วก็วางสาย กระแทกโทรศัพท์ สายตาเหลือบมาเห็นไมค์ที่แอบอยู่ที่ประตู

    อัลเบิร์ตกวักมือเบาๆ หน้าตาดูไม่ดุเหมือนปกติ มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยที่ปรากฏขึ้นมา

    “มานี่” เมื่อเด็กชายมัวแต่รั้งรอ อืดอาด ปู่จึงต้องเรียกซ้ำ

    ไมค์เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่

    “เอาไปเก็บซะ”

    หัวใจของเขาร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เริ่มเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    “แม่เอ็งไม่ว่างมารับแล้ว ทนๆอยู่กันต่อไปละกัน” ปู่ตบหัวเขาๆ และหันหลังเดินกลับไปที่โซฟา “วันนี้อยากกินอะไรบอกว่าละกัน ตามใจวันนึง” ปู่ตะโกนตามหลังมา พร้อมกับเสียงทีวีที่ดังขึ้น

    ไมค์ยืนค้างอยู่ที่เดิม ขยับตัวไม่ออก ทุกอย่างที่ปู่พูดมา เขาได้ยิน แต่เหมือนกับมันเป็นแค่เสียง เป็นเสียงแปลกๆที่ไม่มีความหมายใดๆ

    ....ไม่ว่าง....

    ไม่เป็นไร เขาเดินไปเองก็ได้

    เด็กชายเหลือบตามองปู่ที่กลับไปสนใจทีวีเหมือนปกติ และหันไปมองประตู

    ไม่ยากหรอก ปู่เคยพากับไปบ้านอยู่ทุกปี เขาจำทางได้แหละ

    ทีละก้าวๆ สุดท้ายเด็กก็ออกมายืนอยู่นอกบ้าน ในมือกำเศษเงินที่แอบหยิบมาจากเคาเตอร์ไว้ อีกข้างกระชับกระเป๋าใบใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มออกเดิน

     

    จนท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท ไฟบนถนนติดๆดับๆ ไม่เหลือคนบนถนน จะมีก็แต่คนเมา 2-3 คนเดินลากคอกันไปตามทาง และคนไร้บ้านที่นอนเกาพุงอยู่บนม้านั่ง

    หลังจากที่ออกมาจากบ้านเขาก็ขึ้นรถบัสออกมาอีกเมืองข้างๆ แต่โผล่มาอีกทีก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ไหน เขาไม่มีมือถือติดตัว และเศษเงินที่ขโมยมาก็เกือบจะหมดแล้ว

    เด็กชายเริ่มมองไปรอบๆ ไม่คุ้นอะไรเลย ร้านค้าก็ปิดหมด และคนที่เขาเห็นก็ไม่ค่อยหน้าเข้าไปคุยสักเท่าไหร่

    รอบตัวเริ่มดูหน้าขนลุก มือเริ่มสั่น และท้องก็เริ่มร้อง ตาเริ่มร้อน แต่ก็ต้องกล้ำกลืนทั้งหมดลงไป และเริ่มออกเดิน

    ต้องหาสถานีตำรวจ หรือสถานีดับเพลิง คงพอจะมีใครช่วยได้บ้าง  เขาเดินไปตามถนนที่ดูจะสว่างที่สุด เดินไปเรื่อยๆก็เริ่มมีเสียงเพลงและผู้คน เด็กชายเดาว่าคงเข้าใกล้ตัวเมืองขึ้นแล้ว จึงรีบเร่งฝีเท้าไป

    มาถึงต้นตอของเสียง เป็นร้านแสงสีสว่างไสว มีเพลงดังลั่น และมีคนเยอะมากๆ แต่งตัวกันระยิบระยับฉูดฉาด บรรดาผู้หญิงล้วนแต่แต่งตัวน้อยชิ้นจนไม่กล้ามอง ควันบุหรี่โขมงไปทั่วจนควันคอต้องไอออกมา ผู้คนพูดคุยกันเสียงดัง ไม่มีใครสนใจเด็กชายที่โผล่มาอย่างผิดผิดทาง

    เขารีบเดินหนีออกมา หลบมาอยู่ซอยข้างๆ มีคนยืนคุยกันอยู่ประปราย แต่อย่างน้อยก็คนน้อยลงแล้ว และเสียงก็ไม่ดังเท่า

    ไมค์หยุดหายใจ และตบหน้าออกตัวเองเบาๆ พยายามสงบสติและหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิด

    “เฮ้” มือนึงจับเข้าที่บ่า จนเด็กชายสะดุ้งโหยง หันควับกลับมา

    เป็นผู้ชายวันรุ่น 3 คนใส่เสื้อแจ็คเกตหนัง ในมือคีบบุหรี่ที่ถูกจุดเอาไว้แล้ว

    ชายคนหน้าสุดเห็นเขามองบุหรี่จึงรีบโยนมันลงและขยี้ดับด้วยเท้า “โทดๆ” เขาว่า “ไอหนูมาทำอะไรที่นี่” เขาถามพลางย่อตัวลง “พ่อแม่ละ”

    ไมค์ได้แต่เงียบ ไม่แน่ใจว่าควรตอบอะไร

    “หลงทางหรอ” เขาถาม เพื่อนด้านหลังสะกิด “รอนี่นะ” เขาว่าและเดินห่างออกไป เด็กชายเห็นพวกเขาเริ่มคุยกระซิบกระซาบกัน คนที่เขามาคุย ทำไม้ทำมืออะไรสักอย่าง เขาไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าคุยเรื่องอะไร

    ไม่นานพวกเขาก็กลับมา ชายคนเดิมย่อตัวลงมา “ที่นี่ไม่ปลอดภัยนะ เดี๋ยวพวกพี่พาไปส่งที่สถานทีตำรวจ” เขาว่าและยิ้มอ่อน “ไม่ต้องกลัวๆ” เขาว่าและตบหลังเบาๆ พาเขาเดินออกมาจากตรอก

    พวกเขาเดินขึ้นมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ สวมมวกกันน็อค “ส่งกระเป๋า และขึ้นมา” เขาว่าตะโกนสู้เสียงเพลง เพื่อนของเขาอีก 2 คนนั้นขึ้นไปซ้อนอีกคันกันเรียบร้อย “พี่มีหมวกอันเดียว แต่เดี๋ยวขับช้าๆ จับแน่นๆก็พอ”

    ดูๆแล้ว ก็ไม่น่าใช่คนเลวร้ายอะไร เด็กชายจึงค่อยๆยื่นกระเป๋าให้ แต่พยายามยันตัวขึ้นรถ เขาจึงเอื้อมมือมาช่วยดึง “โทดทีๆ รถมันคันใหญ่ใช่ไหมละ” เขาหัวเราะ “จับแน่นๆนะ” และรถก็เริ่มออกตัว

    รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ เขาไม่ได้ขับเร็วเท่าไหร่นัก และคอยหันกลับมาเช็คเด็กชายตลอด เขาสะพายกระเป๋าของไมค์เอาไว้ให้อีกด้วย

    ลมเย็นๆ และการมีคนมาช่วย ทำให้ไมค์ผ่อนคลายลงมาก

    ไม่นานเขาก็เห็นแสงสีฟ้าๆของสถานีตำรวจอยู่ไกลๆ รถชะลอลง ห่างสถานีไปประมาณ 3 ช่วงตึก

    “ลงตรงนี้นะไอหนู สถานีอยู่ข้างหน้านั่นเลย เดินตรงไปเลยนะ พวกพี่ไปกันอีกทาง” เขาว่า

    ไมค์พงกหัว และกระโดดลงมา “ขอ..” เงยหน้าขึ้นมากำลังจะขอบคุณ เขาดันบิดรถอย่างแรงและพุ่งหายลับไปอีกทางอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประเป๋าและของทุกอย่างของเขา

    ด้วยความตกใจ ไมค์ชะงักนิ่งไป ก่อนจะเริ่มวิ่งตามและหกล้มลงอย่างแรง “เดี๋ยวก่อน” เขาตะโกน ใช่ว่าอีกฝ่ายจะหยุด และที่สำคัญพวกเขานั้นหายไปไกลเกินกว่าจะได้ยินแล้ว ไมค์หยุดยืนอยู่กลางถนน และเริ่มร้องไห้

    เจ็บจัง... เจ็บ....

    หัวเขาของเขาถลอกจนเลือกไหล มือ 2 ข้างก็เป็นรอยถากจากพื้นซีเมนต์

    แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือกระเป๋า

    กระเป๋าใบนั้นใส่ของทุกอย่างที่สำคัญสำหรับเขา สมุดบันทึก รูปภาพ ตุ๊กตา จริงๆก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรเลย แต่แน่นอนว่าเด็กวัยรุ่นพวกนั้นไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย

    “แม่จ๋า....” ร้องไห้ อย่างให้มีคนมาปลอบ อยากให้แม่มาอุ้มเหมือนตอนเขาเด็กๆ มาเป่าแผลให้

    แต่มองไปรอบตัวก็มีแต่ความมืดที่ว่างเปล่า

    “ปู่.....” ถึงปู่จะขี้หงุดหงิดโวยวาย น่ากลัว แต่อย่างน้อยก็คอยตามดูแลเขาตลอด แต่ตอนนี้เขาไม่มีใครเลย

    เขารู้สึกโง่และไร้ความสามารถสิ้นดี คงเพราะอย่างนี้ที่แม่ไม่อยากมารับเขา เด็กชายร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ๆอย่างไม่ลืมหูลืมตา ก่อนที่จะค่อยๆสงบลงได้บ้าง เขาเดินสะอื้นกลับไปที่สถานี

    ไฟสว่างๆ แอร์เย็นฉ่ำ

    “มีอะไรให้ช่วยครับ” เสียงเอื่อยๆดังขึ้นมาจากหลังเคาเตอร์

    “ฮึก” ตอบไม่ออก ไมค์เริ่มร้องไห้อีกรอบจนเจ้าหน้าที่ตำรวจชะโงกหน้าออกมา

    “เฮ้ย เด็กหลง” เขารีบลุกออกมา “ใจเย็นๆก่อนนะ” เจ้าหน้าที่ว่า พลางคว้าชิดชู่มาเช็ดหน้าให้ “ยืนทำอะไร ไปตามดอริสมาทีดิ๊” เขาหันไปมองกับเพื่อนอีกคน

    “ไหน ชื่ออะไรเอ่ย”

    “ไมค์ครับ” เขาตอบ รับชิดชู่มาถูหน้า ตอบเสียงสั่น

     

    วันที่ 19 พฤศจิกายน เวลา 3.00 นาฬิกา ณ สถานีตำรวจ

    ประตูกระจกของสถานีถูกผลักเปิดออก ชายชราร่างใหญ่ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าดำขรึ้มมาแต่ไกล

    “ไมค์ แคนส์เบิร์ก โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้” พูดเสียงดังลั่น

    “สวัสดีครับ ผู้ปกครองของน้องไมค์ ใช่ไหมครับ” เจ้าหน้าที่ประจำเคาเตอร์ลุกขึ้นพร้อมยื่นเอกสารให้​ “รบกวนช่วยกรอกเอกสารให้ด้วยนะครับ”

     

    ใช้เวลาราวๆครึ่งชั่วโมง ไมค์ก็ขึ้นมาอยู่บนรถกระบะโทรมๆพร้อมกับอัลเบิร์ตในที่นั่งคนขับแผ่รังสีทมึนไม่พูดไม่จา

    เหมือนความเงียบก่อนพายุเข้า

    ทันทีที่ถึงบ้าน ปู่หันควับกลับมาทันทีจนเด็กชายสะดุ้งโหยง

    “เอ็งคิดอะไรของเอ็งวะ”

    “ทำอะไรทำไมไม่คิดก่อน ทำไมเอ็งถึงโง่อย่างงี้”

    “ละดู กระป๋งกระเป๋าโดนปล้นหมด ละยังไง ถ้าเป็นอะไรคนซวยคือใคร ไม่ใช่แค่เอ็งนะเว้ย ละนี่เอาเงินที่ไหนไป หะ”

    “หนีออกไปทำไม ไหน นั่งเลย รู้ไหมว่าปู่ต้องออกไปเดินหาเอ็ง โทรถามโรงเรียน เอ็งก็ไม่อยู่ ละเพื่อนก็ไม่มีอีก หายไปไหนไม่รู้ ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปหมด แทนที่จะได้นั่งพัก ทำงานเหนื่อยๆกลับมาต้องมาตามเด็กอีก แค่แม่เอ็งคนเดียวทำตัวเป็นปัญหาไม่พอ เอ็งต้องทำด้วยเรอะ เห็นอยู่เงียบๆตลอด นึกว่าจะเรียบร้อย ที่ไหนได้ก็ตัวปัญหาเหมือนกัน”

    ไมค์ได้แต่ยืนกุมมือเงียบๆ น้ำตาไหลแหมะๆ ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ไม่รู้จะตอบว่าอะไร

    “เฮ้ย ได้ยินที่พูดไหม อย่ามัวแต่ร้องไห้ ทำตัวให้มันแมนๆหน่อย ไม่งั้นจะโดนปล้นเรอะ ได้ยินก็ตอบสิ”

    “ครับ” ไมค์ตอบเสียงอ่อย

    “ไม่ได้เรื่อง กลับเข้าห้องไปเลย เอ็งถูกกักบริเวณเดือนนึง อย่าส่งเสียงดังเชียวนะ” จบประโยค เด็กชายก็รีบวิ่งเข้าห้องมาทันที

    กลับเข้ามาในสภาพที่คุ้นเคย ห้องที่ปลอกภัย เขาขึ้นเตียงทันทีทั้งๆที่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ร้องไห้ ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ ปนเปกันไปหมด

    ‘ถ้าสวรรค์มีจริง ช่วยผมเถอะนะครับ ได้โปรดช่วยผมที ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ผมแค่อยากกลับไปหาแม่ ได้โปรด’

    ความคิด ความต้องการ ความปรารถนาของเด็ก มันเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน บริสุทธ์ เด็กต้องการแค่ความรักของพ่อแม่ แค่นั้น...

    สิ่งง่ายๆที่ไม่ได้มีราคาอะไร สิ่งที่เด็กทุกคนควรจะได้ แต่ไมค์ไม่มี

    ตลอดทางกลับบ้าน ภาพไมค์ร้องไห้ผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด โผล่ขึ้นมาซ้ำๆ วนไปวนมา มันพอจะมีอะไรที่เขาทำได้บ้างไหมนะ....

     

    สภาพออฟฟิศแทบจะปราศจากผู้คนนั้นเงียบสงบ โอเรติสในสภาพเหนื่อยหอบ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ และกดเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอย่างรีบร้อน

    หน้าจอกระพริบถี่ๆก่อนจะขึ้นโลโก้ 4 สีหน้าตาคุ้นเคยแปลกๆ ค่อยๆโหลดหน้าจออย่างช้าๆ ใจเย็นราวกับมีเวลาทั้งหมดในโลก

    ในที่สุด ภาพเด็กชายก็ปรากฏขึ้น ไมค์ยังคงนอนหลับสลบอยู่บนเตียงที่บ้านของอัลเบิร์ต ผ้าห่มหล่นลงไปกองที่พื้น น้ำลายไหลเยิ้มจนเลอะหมอนเป็นดวง แลดูเป็นยามเช้าที่สงบสุข

    แต่สิ่งที่สะดุดตาคือ แสงกระพริบสีเขียวที่มุมซ้ายบน พร้อมกับเครื่องหมายแจ้งเตือน มันคือเอกสารฉบับเดิม เพิ่มเติมคือสถานะที่เปลี่ยนไป

    สถานะ: คำขออนุมัติ ให้พรเรียบร้อย

    ไม่ได้มีอธิบายเพิ่มเติมเท่าไหร่นัก แต่แสงสีเขียวนั้นช่างทำให้ใจที่ว้าวุ่นมาทั้งคืนสงบลงในที่สุด เขาถอนหายใจเฮือกออกมา ฟุบหัวลงกับโต๊ะ เวลายังเหลือเฟือก่อนเริ่มงาน นอนต่ออีกสักหน่อยคงจะได้

     

    โต๊ะบนสวรรค์ถึงแม้จะหน้าตาน่าเบื่อเหมือนโลกมนุษย์ แต่กลับนอนสบายอย่างไม่น่าเชื่อ โอเรติสนั้นหลับยาว รู้สึกตัวอีกที่คือแรงที่ฟาดลงกลางหัว ดังปั๊ก สะดุ้งพรวดทันที

    โต๊ะทั้งโต๊ะปกคลุมอยู่ในเงามืด เมื่อเงยหน้าขึ้นถึงได้เห็นมาโกสยืนกอดอกพร้อมกับเอกสารหนาเป็นปึกที่ถูกม้วนจนเป็นท่อนยาว

    “อย่าให้เกิดขึ้นซ้ำสอง” เขาว่า โยนเอกสารแท่งนั้นลงบนโต๊ะและหันตัวจากไป

    โอเรติสลูบหัวตัวเองเบาๆ สมองยังคงเบลออยู่ๆ เขาหยิบเอกสารขึ้นมากางคลี่ดู แต่ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญ และมองไปรอบๆตัว

    บนหน้าจอ หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น เธอมีผมสีทอง หน้าตาเหนื่อยล้า ผิวของเธอขาวซีดเหมือนกับไมค์ไม่มีผิด

    เธอกำลังยืนคุยอยู่กับอัลเบิร์ต หน้าตาหงอยๆ ก้มหน้ามองเท้าขณะที่ชายชราขยับปากยาวๆ

    ตาสว่างขึ้นทันที เขารีบสวมหูฟังและขยับตัวเข้าใกล้หน้าจอ

     

    วันที่ 19 พฤศจิกายน เวลา 9.00 นาฬิกา ณ บ้านของอัลเบิร์ต

    “ไมค์!” เสียงตะโกนลั่นบ้านของอัลเบิร์ตดังจนได้ยินไปถึงหัวถนน “ออกมานี่” เด็กชายวิ่งหน้าคว่ำออกมา เสื้อผ้ายับยู่ยี่ หัวฟู ตายังคงครึ่งเปิดครึ่งปิด บนหน้ามีคราบน้ำเลยเปรอะแก้ม เขามองไปรอบตัวอย่างงุนงง

    “ไมค์” หญิงสาวเรียก ดวงตาของเธอนั้นเป็นประกายขึ้นมาทันที

    เด็กชายหันไปมอง สมองยังคงไม่ประมวลผล หน้าตาของเธอดูคุ้นเคย

    ตาเบิกโพล่ง ปากอ้าค้าง “แม่!” ไมค์ตะโกน เสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็น และวิ่งพรวดเข้าไปหาทันที

    เขากระโดดเข้ากอด และเริ่มร้องไห้ พูดอะไรออกมาฟังไม่ได้ศัพท์

    ซาร่าหัวเราะเบาๆ ตาของเธอเองก็เอ่อไปด้วยน้ำตาเช่นเดียวกัน “แม่ขอโทษนะ” เธอว่า แต่ได้แค่เพียงนิดเดียวก็เสียงสั่นเครือ และเริ่มต้นร้องไห้

    “ไปร้องไห้กันในห้องไมค์นู้น อย่ามาเสียงดังแถวนี้!” อัลเบิร์ตผู้ที่ซึ่งย้ายตัวเองกลับไปที่หน้าทีวีเรียบร้อยแล้ว ยังอุตส่าห์ไม่วายส่งเสียงกลับมาหาแม่ลูกที่กอดคอกันร้องไห้อยู่หน้าประตูบ้าน

     

    “แต่ภาษาอังกฤษก็ได้อยู่ใช่ไหมละ” ซาร่าถามพลางดันถ้วยไอศรีมไปข้างหน้าเด็กชาย

    ไมค์ยักไหล่ “ก็พอได้ฮะ” เขาตอบ จ้วงช้อนตักไอศกรีมขึ้นมาคำโตๆ หยีตาจากความเย็นที่พุ่งจี๊ดเข้าสมอง “คำเล็กๆก็ได้ นานๆที” แม่ว่า หัวเราะเบาๆและยื่นแก้วน้ำให้ “ลูกชอบกินไอศกรีมใช่ไหมละ”

    “ชอบมากๆเลยฮะ ช็อกโกแลตคือชอบที่สุด แต่ผมก็กินได้หมดแหละฮะ” ตอบพลางตักอีกคำเข้าปาก “แต่ผมไม่ค่อยได้กินบ่อยๆหรอก ปู่เขาไม่ชอบออกจากบ้าน และไม่ชอบมาที่วุ่นวายๆด้วย”

    ซาร่าหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงชั่วครู่เดียว เธอก็ฉีกยิ้มขึ้นมาใหม่ “กินเยอะๆเลยนะ ไม่พอบอกแม่ได้เลย” เธอว่า พลางตักคำเล็กๆเข้าปาก รสชาติมันหวานเกินกว่าที่เธอชอบไปสักหน่อย
    “แล้วโรงเรียนเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”

    “อืม...” ไมค์ชะงัก “ก็พอได้ฮะ ผมเพื่อนไม่ค่อยเยอะหรอก ผ่านไปวันๆ” เห็นสีหน้าแม่ไม่สู้ดี เขารีบพูดต่อ “ปกติผมชอบใช้เวลาในห้องมากกว่าฮะ นั่งเขียนบันทึก วาดรูปอะไรยังงี้ สนุกดี”

    “จริงๆ ผมมีสมุดเต็มไปหมดเลย แม่เอาไปก็ได้ ผมให้” ไมค์ว่า “ตอนนี้ผมไม่ได้เอามาด้วย มันมีเยอะเกินไป แต่ผมจดทุกอย่างไว้หมดเลย จะได้เหมือนเราอยู่ด้วยกันไง” พูดไปกินไป ปากก็เปรอะไปหมด

    ซาร่าเอื้อมหยิบชิดชู่มาเช็ดให้อย่างเบามือ

    “แม่ขอโทษนะไมค์” เธอว่า เดินอ้อมมานั่งข้างๆ ดึงเด็กชายเข้ามากอด 

    เสียงสะอื้นเบาๆ ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก ได้แต่กอดตอบ รู้สึกแปลกๆสับสนไปหมด

     

    “ไมค์มาดูนี่สิ นี่แองจี้กับแมรี่ไง จำได้ไหม” หลังจากใช้เวลาสักพักในการสงบติ สองแม่ลูกก็กลับมานั่งคุยเล่าเรื่องกันไปเรื่อย

    ซาร่าหยิบโทรศัพท์ออกมา และกวักมือเรียก เขาโผล่หัวมาดู บนหน้าจอคือวิดิโอเด็กตัวเล็กๆสองคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ผมสีทองเช่นเดียวกับซาร่า หน้าต้าน่ารักจิ้มลิ้ม คนนึงกำลังยิ้มร่าหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหันมาหาฝาแฝดของตัวเองและจิ้มหน้าเข้าอย่างจังจนอีกคนร้องไห้ลั่นทันที กล้องสั่นอย่างแรง และทั้งหมดที่ไมค์เห็นในตอนนี้ก็คือเพดานฝาสีเนื้อ

    ‘แองจี้หยุดเลยนะ!’ เสียงตะโกนของซาร่าดังออกมา ผสมกับเสียงกรี๊ดโหวกเหวกและเสียงร้องไห้ลั่นบ้าน

    ซาร่าไถเลื่อนไปรูปต่อไป หัวเราะเบาๆ “ที่บ้านเราเป็นอย่างนั้นแทบจะตลอดเวลาเลยละ วุ่นวายสุดๆ” ต่อมาเป็นรูปของสองฝาแฝดนั่งเล่นของเล่นกันอยู่ “แองจี้เป็นเด็กร่าเริงขี้เล่นมาก ซนแบบสุดๆ ละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ เดี๋ยวจะชวนแมรี่ไปทำอะไรพิศดานๆ”

    “ส่วนแมรี่ก็ชอบลองนะ ตามน้องตัวเองไปเรื่อย แต่ดันขี้แงสุดๆ มีอะไรนิดๆก็ร้องไห้ตลอด”

    ภาพเด็กผู้ชายอายุราวๆ 10 ปรากฏขึ้นมา เขาดูค่อนข้างสูง ผมสีทอง ผิวเข้มกว่าซาร่าและไมค์สักหน่อย เขาสวมชุดฟุตบอลและในมือก็ถือลูกอยู่ เขาหันมามองกล้องด้วยสายตาหงุดหงิดสุดขีด หน้าตาบึ้งตึง

    “มิกกี้” ไมค์พึมพำเบาๆ “ใกล้จะเข้ามัธยมแล้วละ ถ้าไมค์อยู่บ้านแทนมิก บ้านคงจะสงบกว่านี้มากเลยละ เจ้านี่ไม่เคยช่วยทำงานบ้านอะไรเลย แทบยังมีเรื่องที่โรงเรียนตลอด” ซาร่าหันมามองไมค์ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ

    “แต่เพราะอย่างนั้นแม่ถึงต้องให้ไมค์มาอยู่กับปู่ ไมค์คงเข้าใจใช่ไหมลูก” เธอว่า

    “ครับ” เขาตอบเบาๆ ถึงแม้ว่าจริงๆก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่

    “ถ้ามิกกี้มาอยู่กับปู่ ถ้าไม่ทะเลาะกันตายไปข้าง ปู่อาจจะเส้นเลือดในสมองแตกก่อนแน่ๆ” เธอว่า

     

    มันเป็น 3-4 ชั่วโมงที่ดีที่สุดในช่วง 3-4 ปีมานี้ เด็กชายทั้งยิ้ม หัวเราะและพูดคุยอย่างมีความสุข แม่ทั้งกอดและลูบหัวอย่างที่เขาอยากได้มาตลอด

    ทันทีที่กลับเข้ามาถึงบ้านของปู่ เด็กชายกรีบวิ่งเข้ามาในห้อง คว้ากระเป๋าเดินทางใบเดิมที่ยังไม่ได้รื้อมา โกยข้าวของอีก 2-3 อย่างใส่เป้และพุ่งตัวกลับออกมา

    “ขอบคุณมากนะคะ หนูไปก่อนนะคะ” ซาร่าบอกลา “ไมค์” เธอเรียก เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กชายวิ่งออกมาพอดี เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “มาให้แม่กอดหน่อยเร็ว” เธอย่อตัวลงมาจนเท่ากับเด็กชาย อ้าแขนและดึงตัวเขาเข้าไปกอดและหอม

    “แม่สัญญาว่าจะมาหาบ่อยๆนะ และจะรีบพาไมค์กลับบ้านเร็วๆนี้ละ” เธอว่าและจูบหัวของเด็กชาย ก่อนจะลุกขึ้น ยิ้มบางๆและโบกมือลา เปิดประตูเดินหายออกไป

    ประตูปิดลงตามหลัง บ้านตกอยู่ในความเงียบ ไมค์ยืนมองประตูนิ่ง เสียงรถสตาร์ทเครื่องและขับออกไป

    จากความดีใจและความสุขทั้งหมดที่มีมาทั้งวันหายวับไปราวกับความฝัน เหมือนฟองสบู่ที่แตกออกดังโผล๊ะ

    น้ำตาเริ่มไหล เด็กชายเริ่มสะอื้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ปู่ดึงตัวเขาเข้าไปกอดเงียบๆ หน้าตาเคร่งขรึมเหมือนเดิม ไม่พูดไปไม่จา แต่ก็ลูบหลังเขาไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เด็กชายร้องไห้ออกมา

     

    ใช้เวลานานกว่าเด็กชายจะหยุดร้องไห้ โอเรติสกำหมัดแน่น ปาดน้ำตาที่คลออยู่ออก ด้านบนของหน้าจอขึ้นสถานะใหม่แสดงผลว่าคำขอได้รับการตอบรับเรียบร้อยแล้ว

    แต่นี่คือผลที่ได้จริงๆหรอ แค่นี้?

    2-3 ชั่วโมงของความสุข? แล้วก็ต้องกลับมาร้องไห้ใจสลายอีกอยู่ดี...

    คนอื่นนิสัยแย่กว่านี้ยังมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ แต่ทำไมกับเด็กเล็กๆคนนึง แค่คำของ่ายๆ สวรรค์ยังให้ไม่ได้ เขาลุกพรวดขึ้นและมุ่งหน้ามาหามาโกสผู้ซึ่งนั่งหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ใกล้ๆ

    “ขอโทษนะครับ แต่ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษา” เขาว่า ชายชราเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อยเพียเสี้ยวินาทีลำลับไปทำงานต่อ แต่คราวนี้โอเรติสตัดสินใจที่จะยืนยัดต่อไป “เรื่องของไมค์ แคนส์เบิร์ก ผมคิดว่าผมลลัพธ์มีความผิดพลาดครับ” เขาว่า

    เสียงแป้นคีร์บอร์ดเงียบลงในทันที ชายชราบีบข้อดังกร๊อบเสียงดังและเงยหน้าขึ้นช้าๆ

    “ไหนเด็กใหม่ที่พึ่งมาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์คิดว่าสวรรค์ทำงานผิดพลาดยังไง ลองว่ามาสิ” เขาว่า สายตาเย็นยะเยียบจ้องมองมาทำเอาสันหลังเย็นยะเยือก แต่เขาก็ได้แต่ทำใจดีสู้เสือเท่านั้น

    สูดหายใจเข้าลึกๆและเริ่มต้นพูด “ผลการตัดสินในตอนแรกเขียนเอาไว้ว่าอนุมัติที่จะให้พรไมค์ ซึ่งคำขอของเขาคือการกลับไปอยู่กับแม่ แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ในตอนต้นชีวิตของไมค์บัดซบ ตอนจบก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม สุดท้ายแม่เขาก็ยังทิ้งเขาไปอยู่ดี ดังนั้นผมจึงคิดคงจะว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน”

    ทันทีที่เขาพูดจบ ชายชราก็หัวเราะเสียงดังลั่น ตบโต๊ะเสียงดังจนคนครึ่งออฟฟิศหันมามองเป็นตาเดียว

    “ใช้ได้ๆ เด็กใหม่” เขาว่าถึงใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่สายตาของเขานั้นยังคงเย็นเฉียบไม่เปลี่ยนจากเดิม “แต่คราวหน้าเก็บมุขไปเล่นหลังเลิกงานซะ” เขาว่า

    “แต่!”

    “ถ้าเรื่องมีแค่นี้ก็กลับไปทำงานซะ”

    “แต่ว...” มาโกสได้กลับไปนั่งพิมพ์งานเหมือนเดิม โอเรติสกำหมัดแน่นพร้อมจะเถียงต่อ แต่ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

    “ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน อย่าได้คิดว่าเพียงแค่เป็นเทวดาจะทำอะไรก็ได้” ชายชราว่าเสียงดัง “อย่าทำเรื่องไร้ประโยชน์ ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีซะ”

    ท้ายที่สุดโอเรติสจึงได้แต่หันหลังเดินกลับมาที่โต๊ะมือเปล่า

    เหตุผลบ้าบออะไรกัน.... มีเหตุผลอะไรบนโลกใบนี้ที่สมควรแก่การที่เด็กไร้เดียงสาคนนึงจะต้องทนเสียใจอยู่คนเดียว เขาทำอะไรผิด...ไม่มีเลยจริงๆ

    ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย

    บนหน้าจอ ไมค์นั้นยังคงนั่งน้ำตาซึมกอดตัวเองอยู่บนเตียง สายตาจ้องไปด้านหน้าอย่างว่างเปล่า กระเป๋านั้นถูกรื้ออกมา เสื้อผ้าถูกโยนกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

    เห็นอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกอยู่เฉยไม่ได้

    เขาเริ่มพลิกเอกสารต่างๆ เปิดคู่มืออ่าน กดปุ่มต่างๆบนจอ จนกระทั่งสะดุดสายตาเข้ากับปุ่มมุมขวาบนเล็กๆอันนึงที่อยู่บนหน้าเอกสารระบุบสถานะ ก่อนหน้านี้มันขึ้นเป็นปุ่มสีเทามาตลอด ตอนนี้มันขึ้นเป็นสีปกติที่สามารถกดได้ เขียนไว้ว่า ‘ยื่นคำร้องใหม่’

    โอเรติสไม่รอช้า กดเข้าไปทันที เป็นไปตามคาด ด้านในคือฟอร์มในการยื่นคำร้องใหม่ เต็มไปด้วยเอกสารหลายฉบับที่ต้องกรอก พร้อมกับกฏข้อบังคับและขั้นตอนระเบียบการต่างๆยาวเหยียด

    ขยับปรับเก้าอี้ให้ถนัด ขยับตัวเข้าใกล้หน้าจอและเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง

     

    หน้าจอขึ้นกระพริบ ‘ส่งเรียบร้อย’ พอขยับตัวถอยออกมา กระดูกก็ดังลั่นกร๊อบทันที ไม่ว่าจะขยับท่าไหนกระดูก็ลั่นดังไปหมด ใช้เวลาทั้งวันในการกรอกเอกสาร เงยหน้ามาอีกที ทั้งห้องก็มืดแล้ว แทบไม่มีใครเหลืออยู่ จะมีก็แต่เทวดา 2-3 องค์ที่กำลังเดินส่งเอกสาร เก็บงานกันอยู่ประปราย

    เมื่องานเสร็จสิ้นถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นสักหน่อย เขาสลับหน้าจอกลับมาที่ไมค์ ผู้ซึ่งตอนนี้กำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ประตูห้องนอนแหง้มออกเล็กน้อย อัลเบิร์ตโผล่หน้าเข้ามา หน้าตายังคงดูดุเดือดเช่นเคย ไฟห้องเปิดสว่างจ้า ชายชราถอนหายใจดังเฮือกแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาห่มผ้าให้ ปิดไฟและเดินกลับออกไปเงียบๆ

    เขาเกือบจะปิดจอไปแล้ว แต่ก็ต้องหยุดมอง อดจะอมยิ้มน้อยๆไม่ได้ คงจะไม่แย่เกินไปสำหรับไมค์ อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้กลับบ้านละนะ อีกไม่นานเท่านั้น คิดอย่างนั้นถึงได้รู้สึกสบายใจ

    เขาปิดหน้าจอลงและมุ่งหน้ากลับบ้าน

     

    รอยยิ้มหายไปหมดเหลือเพียงคิ้วที่ขมวดมุ่นและความดันในสมองที่พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว

    เขามาถึงที่ทำงานแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น แต่ทว่าสิ่งแรกที่เห็นหลังเปิดจอคือปุ่มสีแดง พร้อมกับสถานะ: เอกสารถูกปฏิเศษ

    โอเรติสฟุบหัวลงกับโต๊ะ อยากจะร้องโวยวายออกมาดังๆ แต่ก็ได้แค่กัดปากทุบโต๊ะเงียบๆ ในหัวเต็มไปด้วยความสบทที่คงจะพาเข้าดิ่งลงนรกอย่างรวดเร็ว

    ใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะทำใจได้ เขาเงยหน้ากลับขึ้นมา กลั้นใจเปิดเอกสารออกดู แต่มันก็ไม่ได้มีคำอธิบายอะไรนอกเหนือจากว่าเอกสารไม่ผ่าน เหลือบสายตาไปมองหัวหน้างานของตัวเอง แต่ก็เบนสายตากลับอย่างรวดเร็ว ไม่น่ามีประโยชน์อะไร เขาจะต้องหาทางอื่นด้วยตัวเอง

    เขายันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะ แอบมองมาโกสอีกที แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตอะไรเขา หรืออาจจะเห็นเพียงแต่ไม่สนใจก็เป็นได้

    โอเรติสเริ่มออกเดิน

    ที่นี่ใหญ่ขนาดนี้ คงจะต้องมีใครบ้างแหละที่พอช่วยเขาได้บ้าง

    เดินไปหลายสิบนาที แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยคอกโต๊ะและคนทำงานเยอะสุดขอบตา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมด ณ ตอนนี้ ให้เขาเดินกลับก็คงจะไปไม่ถูกแล้ว

    ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาชายคนนึงผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มแลดูใจดี

    “สวัสดีครับ”

    เขาหันมามอง ฉีกยิ้มสดใส “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยหรอครับ” หน้าตาดูเป็นมิตร น้ำเสียงก็เหมือนคนปกติ เห็นดังนั้นถึงค่อยวางใจพูดต่อได้

    “ผมชื่อโอเรติสครับ พอดีว่ามีปัญหาเรื่องเอกสารน่ะครับ ไม่ทราบว่าผมพอจะไปคุยกับใครที่ไหนได้บ้างหรอครับ”

    ชายอีกคนพงกหัวระหว่างฟัง หน้าตาสับสน “เอ๋ มีปัญหาหรอครับ ธรรมดาผมไม่เคยเจอไม่เคยได้ยินเลยนะว่ามี” เขาว่า “แต่ถ้ามีปัญหา ส่วนมากคุยกับหัวงานของคุณเลยก็ได้นะครับ”

    หัวเราะแห้งๆ “พอดีหัวหน้าเขายุ่งๆน่ะครับ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำอธิบายที่แสนจะจำเจหรือสีหน้าของโอเรติสที่ทำให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเต็มๆ “คุณมาโกสสินะครับ”

    “รู้ได้ยังไงครับ”

    “ชื่อเสียงเขาโด่งดังครับ เด็กใหม่ที่ไปอยู่ที่นั่นไม่ค่อยรอดหรอกครับ” เขาพูดพลางหัวเราะไปพลาง “ถ้างั้นลองเดินตรงเข้าไปอีกเพราะมาณ​ 500 เมตร เสร็จแล้วเลี้ยวขวา น่าจะเจอประตูกระจกบานนึง เดินเข้าไปเลยครับ นั่นเป็นแผนกคำร้องครับ” เขาชี้ลึกเข้าไปข้างใน

    โอเรติสโค้งหัวขอบคุณ พูดคุยกันอีกสองสามคำก็เดินจากออกมา

    เดินไปตามทางที่บอกถึงได้เจอประตูจริงๆ มันเป็นประตูกระจกที่ตั้งโดดๆขึ้นมากลางทาง เหมือนมีใครลืมวางทิ้งเอาไว้ แต่เมื่อมองทะลุเข้าไปก็สามารถเห็นห้องสีขาวอีกห้องได้จริงๆ ด้านในมีเคาเตอร์ตั้งอยู พร้อมกับคนนั่งประจำการ ป้ายได้บนเขียนไว้ว่าง ห้องยื่นคำร้อง

    เสียงกระดิ่งดังเบาๆเมื่อเขาผลักประตูเปิดเข้าไป แอร์ด้านในเย็นฉ่ำเสียงยิ่งกว่าข้างนอก มันดูเป็นห้องเรียบๆ ทุกอย่างเป็นสีขาวไปหมด มีม้านั่งสีขาววางเรียงให้นั่งรอคิว ทีวีข่าวจากโลกมนุษย์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ แต่ไม่มีใครดู

    เทวดาองค์นึงนั่งอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ไม่มีท่าทีจะสังเกตเห็นคนมาใหม่แต่อย่างใด

    คงจะเป็นความสามารถพิเศษของเหล่าเทวดาที่จะเมินสิ่งต่างๆรอบตัวได้ขนาดนี้

    เขาเป็นชายร่างผอมบ้าง ผิวขาวเนียน สวยราวกับผู้หญิง จริงๆก็ไม่ต่างจากทุกคนที่เหลือสักเท่าไหร่ สวยหล่อดูดีกันไปหมด

    “สวัสดีครับ” เขาทัก อีกฝ่ายเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมา “ครับ”

    “ผมมีคำถามเรื่องเอกสารน่ะครับ”

    “ครับ” ดูท่าทีแล้วคงจะเป็นคนพูดน้อย

    “พอดีว่าคำขอรอบแรกน่าจะมีความผิดพลาด ผมเลยยื่นเรื่องไปใหม่ แต่ว่าถูกปฏิเศษกลับมา เลยอยากจะทราบว่าสามารถทำยังไงได้บ้างไหมครับ”

    “คุณโอเรติสมาเรื่องของคุณไมค์ แคนส์เบิร์กใช่ไหมครับ” เจ้าของป้ายชื่อ เดย์มอส ตอบเสียงเรียบ เขากดแป้นพิมพ์อีกทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ไม่มีความผิดพลาดนะครับ”

    “แต่...”

    “ผมคาดว่าคุณคงยังอ่านคู่มือไม่ละเอียด” เดย์มอสว่าพลางหยิบคู่มือหนาปึกขึ้นมาและผลิกเปิดอย่างคล่องแคล้ว “ตามบทที่ 74 ว่าด้วยเรื่องของการให้พร ถึงจะเรียกว่าเป็นการให้พร แต่แท้จริงแล้วคล้ายคลึงกับการชี้แนะทางมากกกว่า โดยงานของเหล่าเทวดาคือการนำทางอย่างลับๆ ไม่ให้มนุษย์รู้ตัว และท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังเป็นคนตัดสินใจทำเองอยู่ดี การเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรงเป็นเรื่องต้องห้าม และจะถูกลงโทษสถานหนักถ้าหากฝ่าฝืน”

    “อีกหน้าที่สำคัญของเหล่าเทวดาคือการดูแลให้มั่นใจได้ว่า ทิศทางของโลกดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นที่สุดแล้ว การเข้าไปยุ่งเกี่ยวอาจทำให้เกิดผลเลวร้ายตามมาได้ ดังนั้นคุณโอเรติสวางใจได้ครับว่าระบบไม่ได้มีปัญหาอะไร” เขาปิดเอกสารเสียงดัง จนโอเรติสสะดุ้ง แต่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะกระพริบตา และพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย

    “ผมขอแนะนำว่า คุณควรอยู่เฉยๆ ทำหน้าที่จดบันทึก และหากมีปัญหาในการทำงาน ก็ติดต่อกับคุณมาโกสได้เลยนะครับ” เดย์มอสเน้นคำว่า ในการทำงาน เสียงดังฟังชัด ก่อนจะหย่อนก้นกลับลงไปบนเก้าอี้ “เชิญออกทางประตูเดิมได้เลยครับ”

    บานประตูเปิดออกทันที เรียกได้ว่าเป็นการไล่ที่โจ่งแจ้งสุดๆ ไม่เหลืออะไรให้แย้งได้อีก

     

    กลับมาถึงที่โต๊ะทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เขาจ้องหน้าจออย่างว่างเปล่า หงุดหงิดใจ

    มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาสามารถทำได้สิ

    เขาเปิดเอกสารขึ้นอ่านอีกรอบ

    ถ้าเปิดถูกปฏิเศษกลับมา เขาก็จะยื่นอีกรอบ เอาสิ ส่งมาส่งกลับ ใครจะยอมแพ้ก่อนกัน

    คิดได้ดังนั้น เขาจึงเริ่มต้นก้มหน้าก้มตาพิมพ์เอกสารอีกครั้ง

     

    เขาตั้งใจจดจ่อจนเลยเวลาเลิกงานอีกครั้ง

    เอกสารหนาปึกถูกปริ้นออกมา โอเรติสจัดกระดาษ ใส่เข้าซองอย่างเรียบร้อย และลุกขึ้น ทว่าเมื่อมองไปรอบตัวก็มืดสนิท ไม่เหลือใครแล้ว เขาหันมามองเวลาถึงได้รู้ตัวว่าดึกดื่นป่านนี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มก้าวเท้าเดินลึกเข้าไปข้างในอีกครั้ง อย่างไงซะเขาก็อยากเข้าไปส่งเอกสารวันนี้มันให้จบๆไป ยิ่งเร็วยิ่งดี ถ้าไม่เวิร์คยังไงก็กลับมาพรุ่งนี้เช้าอีกทีได้

    ขนาดออฟฟิศสว่างๆเต็มไปด้วยเทวดา เขายังหลงทาง นับภาษาอะไรกับคลำทางในความมืดเพียงลำพัง

    หลังจากเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามาหลายสิบนาที เขาก็เริ่มท้อใจ และเริ่มต้นเดินกลับ

    แต่ทว่าจู่ๆหมอกก็ลงปกคลุมหนาจนมองรอบตัวไม่เห็น เมื่อหมอกจางลง หลงเหลืออยู่แค่จางๆ รอบตัวเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    เขาตกใจสะดุ้งล้มลงกลับพื้น จากพื้นปูนสีเทาน่าเบื่อกลายมาเป็นปุยเมฆสีขาว รอบตัวมีเสาหินขนาดใหญ่ สูงยิ่งกว่าทางเข้าด้านหน้า

    หันหลังกลับไปก็ไม่ต่างจากทางไปต่อด้านหน้า ภาพออฟฟิศน่าเบื่อๆนั้นไม่มีให้เห็นแล้ว ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่มาก่อน เขากำเอกสารในมือแน่น หัวใจเต้นไม่เป็นสำ วางเท้าลงทีละก้าวๆอย่างช้าๆ เขาคงจะไม่ร่วงตกลงไปตายใช่ไหมนะ กลัวทั้งพื้น กลัวทั้งสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้ดผุจะมีทางเลือกสักเท่าไหร่

    ยิ่งเดินลึกเข้าไป อากาศก็ยิ่งเย็นลง เสียงพิณคลอให้ได้ยินอยู่ไกลๆ ผ้าสีขาวพลิ้วไหวห้อยระโยงรยางค์ลงมากจากท้องฟ้าด้านบน ขยับพลิ้วราวกับต้องลม ทั้งๆที่ที่นี่ไม่มีลมแม้แต่น้อย กลิ่มหอมแปลกๆลอยอยู่ในอากาศ ยิ่งเดินลึกเข้าไปสภาพรอบตัวก็ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ

    ผ้าขยับได้ราวกับมีชีวิต หมอกควันที่หลงเหลืออยู่ก็ม้วนตัวขึ้นมาราวกับแขนขา ภาพรอบตัวแลดูเบลอลง ทำให้เขาแยกไม่ออกอีกต่อไปว่านี่คือความจริงหรือความฝัน

    ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็นปลายทาง แท่นหินบูชาขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง เสาล้อมรอบอยู่เป็นวงกลม ด้านบนแกะสลักเป็นรูปปั้นของเทพเจ้าหลายองค์ ทว่าใบหน้านั้นล้วนแต่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ผ้าบางๆ ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งรู้สึกคล้ายกับว่ารูปปั้นเหล่านั้นกำลังมองกลับมาผ่านใต้ผ้าคลุมหน้านั่น

    บนแท่นบูชา ภาษากรีกถูกสลักอยู่บนแท่น 

    γνῶθι σεαυτόν

    μηδὲν ἄγαν

    Ἐγγύα πάρα δ'ἄτη

    ตัวเขาเองนั้นรู้เพียงว่าคงเป็นภาษาโบราณ แต่ความหมายนั้นก็ไม่อาจทราบได้

    ถึงจะไม่รู้ความหมาย ทว่ากลับรู้สึกได้ว่ามันคือคำเตือน คำเตือนที่เขาควรจะฟัง

    โอเรติสก้มลงมองซองเอกสารในมือ ในตอนนี้มันช่างหนักอึ้งเหลือเกิน สิ่งเขาคิดว่าถูกต้องและควรจะทำ กับความกลัวที่แผ่ซ่านออกมา

    ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ เขาก็รู้ได้โดยทันทีว่าที่นี่แหละ สถานที่ที่จะทำให้พรเป็นจริง และเขาก็รู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไร

    เขาเดินช้าๆเข้าไปที่แท่นหิน วางซองเอกสารลงตรงกลาง และเดินลงมาช้าๆ ราวกับกลัวจะปลุกใครตื่นเข้า

    ซองเอกสารสีน้ำตาลจากโลกมนุษย์ช่างดูแปลกตาและผิดที่ผิดทาง ทันใดนั้น เสียงเบาๆก็ดังขึ้นหัว ทันทีที่ได้ยินขนก็ลุกไปทั้งร่างกาย 

    ภาษาที่ฟังไม่ออก แต่แปลความหมายได้ว่า “โชคชะตาจะนำทางผู้ที่ติดตาม ส่วนผู้ที่ขืนขัดนั้นจะต้องถูกลากไป”

    หันกลับมาที่แท่นอีกที ตอนนี้เอกสารนั้นกลายสภาพมาเป็นหยดน้ำกลมๆสีน้ำตาล ลอยอยู่กลางอากาศ ลอยสูงขึ้นช้าๆ

    บ่อน้ำหินปกคลุมด้วยหมอกควันจางๆปรากฏขึ้นจากท้องฟ้า ดึงหยดน้ำหยดนั้นหายไปท่ามกลางความมืด ก่อนจะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว

    ทันใดนั้นภาพทุกอย่างก็ดับลง

     

    เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็กลับมาเห็นเพดานหินอันคุ้นเคย เสื้อผ้าเขาถูกเปลี่ยนเรียบร้อย ห้องของเขายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง เรื่องรางในวิหารแปลกๆแห่งนั้นเหมือนเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลือนรางเสียจนเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจสักเท่าไหร่

    เขาเดินทางมาที่ทำงานตามเวลา ในหัวกลับมาหมกหมุ่นเรื่องไมค์อีกครั้ง จนกระทั่งเปิดหน้าจอมาเห็นแสงไฟเสียงเขียวกระพริบอยู่ที่หน้าจอ

    คำขอกำลังถูกดำเนินการ

    โดยไม่รอช้า เขารีบเปิดภาพไมค์ขึ้นมาดูทันที

     

    วันที่ 23 พฤศจิกายน เวลา 17.24 นาฬิกา ณ บ้านของอัลเบิร์ต

    “บ๊ายบายปู่เร็วลูก” ซาร่าว่า

    ไมค์ยิ้มร่าพร้อมโบกมือให้กับอัลเบิร์ตจากในรถ “บ๊ายบายฮะปู่”

    ถึงแม้ปู่จะเพียงแค่พยักเพยิดหน้ากลับมา แต่เด็กชายก็ดูไม่ได้จะสะทบสะเทือนอะไร ตอนนี้เขาตื่นเต้นสุดๆ หลังจากไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี แม่ก็มารับเขากลับไปสักที และที่สำคัญการนั่งรถไปครั้งนี้เป็นการนั่งเที่ยวไป ไปแล้วไปลับไม่กลับมาละจ้า

    “เอาละ พร้อมไหม” แม่ถามยิ้มๆ พร้อมกับปลดเบรกมือ และรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ

    “พร้อมฮะ ตื่นเต้นมากๆเลย ผมจะนอนห้องเดียวกับมิกกี้รึเปล่าฮะ” ไมค์พูดรัวๆ แทบจะลุกขึ้นมากระโดดบนเบาะถ้าไม่ติดเข็มขัดขาดเบลท์ที่รัดเข้าอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามยื่นหัวไปข้างๆแม่ที่นั่งอยู่ด้านหน้า

    ซาร่าดันหันเขากลับมาเบาๆ “นั่งดีๆไมค์” เธอว่าก่อนจะหันกลับมาจดจ่อกับการขับรถ “แล้วก็ใช่ ห้องเดียวกับมิกกี้ลูก แต่ถ้ามิกกี้แกล้งอะไรบอกแม่ได้เลยนะ”

    “ครับ” ไมค์ตอบ ไม่คิดว่าจะเลวร้ายได้สักเท่าไหร่กันเชียว ตอนเด็กๆเขากับพี่ก็สนิทกันดี เขาเริ่มหันมาสำรวจรอบตัว รถนั้นมีกลิ่นแปลกๆนิดหน่อยเขาแยกไม่ค่อยออก ข้างๆเขาก็มีที่นั่งเด็กเล็ก 2 อันติดเอาไว้อยู่ และท้ายรถก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์กีฬา รถเข็นเด็ก ของเล่น บนเบาะยังมีเศษขนมชิ้นนึงหล่นอยู่ด้วยซ้ำไป

    แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้สามารถทำลายอารมณ์ดีๆของเด็กชายได้หรอก

     

    “โอเรติส” เสียงเรียกดุๆ ดึงเขาออกมาจากหน้าจอ มาโกสกำลังยืนจ้องมาด้วยสายตาดุเดือดแบบกินเลือดกินเนื้อ ข้างๆเขามีชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำอีก 2 คนที่แผ่รังสีน่ากลัวออกมาไม่ต่างจากมาโกสเลย

    “เจ้าถูกต้องสงสัยในการล้วงละเมิดกฎของสวรรค์ และจะถูกนำตัวเข้าสู่ศาลตัดสินทันที” ชายชุดดำคนนึงว่าขึ้น พร้อมกับหยิบเชือกเรืองแสงสีทองออกมา มันขยับด้วยตัวเองและรัดข้อมือทั้ง 2 ข้างของเขาเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่เขาจะทำอะไรเลย “เจ้ามีสิทธิที่จะไม่พูด ทุกคนพูดจะถูกนำไปเป็นหลักฐานตัดสินในชั้นศาล”

    โดยไม่ทันได้พูดได้จาอะไร เขาก็ถูกลากตัวมาที่ศาลแล้ว

    หน้าตาของศาลแห่งนี้คล้ายกับโคลอสเซี่ยม แน่นอนว่าสวยงามและอลังการ ที่เพิ่มเติมมาคือความน่าเกรงขาม น่ากลัวยิ่งกว่าศาลคือความรู้สึกที่ว่าเส้นด้ายชะตาชีวิตขอเขากำลังถูกวางอยู่บนเขียง พร้อมขิตได้ทุกเมื่อ

    เช่นเดียวกับทุกอาคารก่อสร้างบนสวรรค์แห่งนี้ คือหินทุกก้อนล้วนแต่ถูกแกะสลักอย่างสวยงาม ที่น่าตระการตาที่สุด ถ้าหากมาในฐานะผู้ชมก็คงจะเป็นรูปปั้นเทพีแห่งความยุติธรรมขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่ตรงกลางลาน มือด้านนึงถือตราชั่ง ส่วนอีกด้านถือดาบขนาดใหญ่ เนตรทั้งสองข้างถูกคาดเอาไว้ด้วยผ้าปิดตา เป็นส่วนประกอบระหว่างความงดงามและความดุดันที่สมบูรณ์

    ที่นั่งด้านบนนั้นกว้างขวาง ทว่าปราศจากซึ่งผู้คน ซึ่งสำหรับเขาเป็นเช่นนี้นั้นดีแล้ว ไม่เช่นนั้นคงยิ่งทั้งน่ากลัวและกดดันยิ่งกว่านี้หลายเท่าตัวอย่างแน่นอน

    เขาถูกจับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ตรงข้ามจากลูปปั้น แลดูเป็นภาพที่ตลกไม่น้อย เมื่อคนตัวเล็กๆนั่งอยู่กลางลานกว้างใหญ่ เหมือนคุยอยู่กับรูปปั้นเช่นนี้ แต่บอกจากมุมมองของคนที่นั่งอยู่ ความน่ากลัวนั้นเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณเมื่อที่นี่คือสวรรค์จริงๆ

    “เริ่มทำงานตัดสิน” เสียงดังกึกก้องดังจากทุกทิศทุกทาง ไม่สามารถบอกได้เลยว่าใครคือผู้พูด

    “โอเรติส เทวดาฝึกหัดถูกต้องสงสัยว่าล้วงระเมิดกฎของเหล่าเทวดา ฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้างาน เมินเฉยต่อคำเตือน บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามโดยไม่รับอนุญาต และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์​ ไมเคิล แคนส์เบิร์ก โดยตรง โดยส่งผลกระทบแก่ชีวิตมนุษย์จำนวนมาก ซึ่งเป็นอาญากรรมร้ายแรงขั้นสูง ที่ผลตัดสินให้เนรเทศกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง”

    “ท่านมาโกสมีสิ่งใดจะเสริมเพิ่มเติมอีกหรือไม่”

    มาโกสนั้นยืนกอดอกนิ่งอยู่ด้านหนึ่งของลาน แม้กระทั่งเขาก็ยังดูตัวเล็กไปเลยเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้

    “ไม่มี ข้าเห็นด้วยกับการตัดสิน” เขาว่า น้ำเสียงปราศอารมณ์ใดๆนอกไปจากความรำคาญ

    “เทวดาฝึกหัด โอเรติส มีคำแย้งใดๆหรือไม่”

    เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด ถึงการเป็นมนุษย์ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่การถูกลงโทษนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยจริงๆ

    “สิ่งที่ผมทำลงไปนั้น เพียงเพื่อต้องการช่วยเหลือไมเคิล แคนส์เบิร์กเท่านั้นขอรับ” เขาพูด รู้สึกได้ถึงความสั่นในน้ำเสียงของตน ยิ่งพูดเท่าไหร่เสียงก็ยิ่งหาย “ผมเชื่อว่าการกระทำของผมไม่ส่งผลร้ายต่อมนุษย์คนอื่นๆขอรับ”

    สาบานว่าแทบจะได้ยินเสียงหัวเราะเยอะดังออกมา

    “ในส่วนของผลกระทบนั้น” หน้าจาเรืองแสงปรากฏขึ้นด้านข้างด้านนึงของสนาม เป็นภาพของบ้านใหม่ของไมค์ ซาร่ากำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับสามี บ้านเละเทะไปหมด ชายวัยกลางคนตะโกนและเดินออกจากบ้าน ปิดประตูตามหลังเสียงดัง ส่วนเด็กสาวฝาแฝดสองคนนั้นก็ทะเลาะกันเองและร้องไห้จ้าอยู่มุมนึงของบ้าน

    ไมค์กับมิกกี้นั้นอยู่ในห้อง มิกกี้นั้นกำลังปีนออกบ้านทางหน้าต่าง ส่วนไมค์ได้แต่นั่งเงียบๆตาค้างอยู่บนเตียง

    สภาพบ้านนั้นเละเทะยับเยิน ข้าวของกระจัดกระจายไปหมด

    “นี่เป็นเพียงส่วนแรกของผลกระทบ หากเจ้ายังสงสัย ต่อจากนี้ผลลัพธ์จะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ สองสามีภรรยาแคนส์เบิร์กนั้นแยกทางกัน ส่งผลให้ภาระการเงินของครอบครัวนั้นตกอยู่ในสถานะวิกฤต ซาร่า แคนส์เบิร์กต้องทำงานทั้งวันเพื่อเลี้ยงดูลูกทั้ง 4 สุดท้ายเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากความเครียดและงานที่หนักเกินไป และเนื่องจากขาดความอบอุ่นและการอบรมที่ใกล้ชิดส่งผลให้มิกกี้กลายเป็นอันธพาลติดยาในอนาคต ดึงให้ครอบครัวไปพัวพันอยู่ในอันตรายบ่อยครั้ง ไมเคิลหลังจากจบชั้นมัธยมต้นก็ต้องออกมาช่วยแม่ทำงานและดูแลน้องทั้ง 2 หากสรุปโดยสั้น ชีวิตของทั้งครอบครัวจะดีกว่านี้ถ้าหากว่าไมเคิลนั้นอาศัยอยู่กับอัลเบิร์ตต่อไป”

    ภาพในอนาคตถูกฉายออกมาเป็นลำดับตามบรรยาย ภาพความหายนะของครอบครัว ทำเอาโอเรติสต้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา

    “หากไม่มีคำแย้งเพิ่มเติม จบการตัดสินเพียงเท่านี้” เสียงประกาศดังจบลง เรียกให้โอเรติสได้แต่หันมองเลิกลัก

    ดาบในมือรูปปั้นค่อยๆถูกยกขึ้นช้าๆ ก่อนจะฟาดลงบนพื้นอย่างแรง จนพื้นดินแตกออกเป็นหลุม เผยให้เห็นความว่างเปล่าด้านล่าง

    รอยร้าวค่อยๆลามขยายใหญ่เข้าใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ

    ไม่ว่าจะดิ้นเท่าไหร่ เชือกเรืองแสงก็ไม่ได้ดูจะหลวมขึ้นแม้แต่น้อย เก้าอี้เองก็หนักึ้งจนไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

    “ช่วยผมด้วย ผมผิดไปแล้ว” เขาตะโกน หันหน้าไปหามาโกสผู้ซึ่งหันหลังเดินออกไปแล้ว ไม่มีความแยแสใดๆทั้งสิ้น

    เสียงเขาถูกกลบไปด้วยเสียงพื้นถล่ม เพียงไม่กี่วินาที รอยร้าวก็ลามมาถึงใต้เท้า และพื้นก็แตกออก

    ในที่สุดเชือกก็คล้ายตัว ปล่อยเขาเป็นอิสระ ทว่ามันสายไปเสียแล้ว ชีวิตบนสวรรค์ไม่กี่วันของเขาได้จบลงแล้ว

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×