J'ai Jaim - J'ai Jaim นิยาย J'ai Jaim : Dek-D.com - Writer

    J'ai Jaim

    ฌอง เด็กชายคนนึงที่เกิดมาบนความโชคร้าย เติบโตมาท่ามกลางโลกอันโหดร้ายและคนที่กลับกลอก และนั่นก็ได้หลอหลอมให้เด็กธรรมดากลายเป็นปีศาจร้าย

    ผู้เข้าชมรวม

    109

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    109

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ก.ค. 65 / 16:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    กี่วันแล้วนะ ฌองคิดในใจ มือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนลูบท้องที่แบนราบแนบซี่โครงของตนเอง

    ชื่อของเขาคือ ฌอง ส่วนนามสกุลนั้นไม่มี เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ได้หญิงชรานางหนึ่งเก็บมาจากตลาดสดเพราะถูกแม่ที่แท้จริงทอดทิ้งไปเมื่อ 12 ปีก่อน จากนั้นนางก็เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายของเขา

    นางตั้งชื่อให้เขาว่าฌอง ที่แปลได้ว่าพระเจ้าทรงเมตตา ราวกับจะปกปิดความจริงที่ว่าโลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับเด็กน้อยเหลือเกิน

    ตัวนางเองก็ใช่ว่าจะสะดวกสบาย เป็นเพียงหญิงชรายากจนที่ไร้ครอบครัว ในยุคสมัยที่ฝรั่งเศสนั้นข้าวยากหมากแพง มีการปฏิวัติปรากฏขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ขุนนางขูดรีดประชาชน โรคร้ายแพร่ระบาดคร่าชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ชีวิตของนางขึ้นอยู่แค่ว่าจะจบช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

    เพียงแค่ 5 ปีหลังจากเก็บฌองมา โรคร้ายก็พาชีวิตของนางไป ทิ้งเพียงเด็กน้อยที่ไม่ประสาไว้เพียงลำพัง ทรัพย์สินอันน้อยนิดของหญิงชราก็ถูกชาวบ้านทั้งหลายรุมทึ้งราวกับแร้งป่าหายวับไปในพริบตา ฌองในวัย 5 ปี กลายเป็นเด็กกำพร้าไร้บ้านโดยสมบูรณ์ ด้วยความโชคดีทำให้เขาเอาชีวิตรอดมาได้ถึง 7 ปี ทุก ๆ วันมีเพียงความคิดที่ว่า ‘หิวข้าว’

    การตามหาอาหารคืองานที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวของเขา ที่นอนสามารถหาได้ตามใต้สะพานหรือบ้านร้างเก่า ๆ โชคดีหน่อยอาจจะได้นอนที่โบสถ์ เสื้อผ้านั้นนาน ๆ ทีก็จะได้เปลี่ยนสักทีตามขยะที่บ้านคนที่ค่อนข้างมีฐานะเอามาทิ้ง แน่นอนว่านั่นหมายความว่าเขาจะต้องไปแย่งชิงกับบรรดาคนไร้บ้านที่เหลือ ส่วนของยาของหรูหราที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง ในยามป่วยเขาก็ทำได้แค่เพียงหาที่อุ่นๆนอนพักเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาหาได้ และนั่นก็ทำให้เขามีเวลาว่างในแต่ละวันเหลือเฟือเช่นกัน

    กิจกรรมโปรดอันดับสองของฌอง (แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือการเอาชีวิตรอด) ก็คือการส่องชีวิตชาวบ้านชาวช่อง บางทีก็นั่งดมกลิ่นขนมปังหอมๆ ที่โชยออกมาตามหน้าต่างและปล่องไฟระหว่างที่ตนเองกินเศษขนมปังแข็งๆที่เก็บมาได้จากร้านเบเกอรี่แถวตลาด

    บ้านหลังแรกที่เขาชอบไปเฝ้าดู เป็นบ้านเล็ก ๆ อยู่ในเขตเมืองด้านนอก เป็นครอบครัว 3 คน คนเป็นพ่อนั้นเป็นชายอายุน่าจะราว ๆ 30 ปี เป็นคนตัดฟืน ส่วนภรรยานั้นน่าจะอายุน้อยกว่าเล็กน้อย ร่างกายผอมแห้ง นางเป็นคนเย็บผ้า ทั้งคู่มีลูกด้วยกันหนึ่งคน เป็นเด็กชายตัวน้อยที่เพิ่งจะเริ่มเดินได้เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา เป็นเด็กน้อยที่แสนโชคดีคนหนึ่งที่ผ่านฤดูหนาวอันหิวโหยมาได้

    สองสามีภรรยาชอบทะเลาะกัน ทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างวันหนึ่งผู้เป็นภรรยาทำอาหารเย็นเสร็จช้า สามีกลับมาถึงบ้านก็โวยวายเสียงดัง ภรรยาได้ยินเข้าก็โมโหหน้าแดงแปร๊ด ชี้หน้าด่าสามีว่าหาเงินได้น้อย นางไม่มีเงินซื้อกับข้าว ทั้งคู่ทะเลาะกันนานจนเด็กน้อยตื่น และนั่นคือยามที่ฌองรู้สึกอัศจรรย์ใจทุกครั้ง

    ทันทีที่ลูกน้อยเข้ามาอยู่ในรัศมี ทั้งสองจะสงบศึกอย่างรวดเร็ว และเข้าไปหาเด็กน้อยจูบกอดอย่างรักใคร่ ถึงแม้จะยังมีสายตาพิฆาตส่งหาอีกฝ่ายอยู่ แต่น้อยครั้งเหลือเกินที่ทั้งสองจะด่าลูกของตน ทั้งสามจะกินข้าวเย็นร่วมกันก่อนจะเข้านอน แขนโอบกอดลูกน้อยไว้ตรงกลาง

    ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ มีบ้านร้างหลังหนึ่ง หลังคาที่นี่พังเป็นรู แต่ที่ฌองชอบมากเพราะมันมีห้องด้านในที่มีผนังรอบด้าน ถึงจะส่งกลิ่นเหม็นเกินทน แต่ฌองชอบความเงียบและความเป็นส่วนตัวของที่นี่ เหมาะที่จะให้เขาซุกตัวนอน ใช้แขนสองข้างโอบกอดตนเอง จินตนาการถึงความอบอุ่นของแขนสองสามีภรรยาที่กอดลูกน้อย ใช่ เขาสร้างภาพบ้านอันอบอุ่นขึ้นมา และตนเองก็คือเด็กน้อยคนนั้น ในฝันเขาสามารถมีชีวิตที่อบอุ่นอย่างนั้นได้

    หากจะกล่าวว่านั่นคือความฝันเพียงอย่างเดียวของเด็กชายก็ไม่ผิด เขาใช้เวลาว่างทั้งหมดแอบติดตามเฝ้าดูครอบครัวเล็ก ๆ นี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง

    ในวันนั้นหลุยซ์ ชายไร้บ้านอาศัยอยู่ริมแม่น้ำแซน ใกล้เคียงกับอาณาเขตของฌอง มาชักชวนเขาเข้าไปในอาณาเขตเมืองชั้นใน

    หลุยซ์เป็นคนบ้าบิ่น ไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่เป็นคนมีความสามารถ สามารถหาอาหารได้มากมายอย่างที่คนอื่นๆทำไม่ได้ เป็นที่มีหน้ามีตาในหมู่คนไร้บ้าน ฌองเองก็นับถือเขาไม่น้อย ดังนั้นเมื่อเขาชวนจึงไม่ลังเลตามเขาไปทันที

    อาณาเขตเมืองชั้นในนั้นมีการตรวจตราที่เข้มงวดมากกว่าเมืองชั้นนอกมาก มีแต่คนร่ำรวยมีอิทธิพลอาศัยอยู่ ชาวบ้านยากจนและคนไร้บ้านไม่มีสิทธิย่างกรายเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าหลุยซ์เก่ง

    เขาพาฌองเดินลักลอบไปตามท่อระบายน้ำ ไปตามตรอกเก่าๆ ผ่านตลาดมืด ซ่อนตัวไปกับความมืดในยามกลางคืน พาฌองเข้ามาด้านในได้สำเร็จ

    เด็กน้อยมองโลกใบใหม่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง กำแพงขาวตั้งตระหง่าน มีคบเพลิงส่องแสงสว่างไสวทุกหนแห่ง ถนนหนทางเป็นหินปูยาว สะอาจสะอ้าน เขาสามารถได้กลิ่นหอมสดชื่นของอากาศบริสุทธ์ได้เลยทีเดียว

    หลุยซ์ตบบ่าเขาและฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่เจ้าตัวก็วิ่งหายลับไปในความมืด คงจะไปทำธุระบางอย่างที่ฌองไม่ได้อยากรู้เลย ในตอนนี้เขาตื่นเต้นอยากออกสำรวจโลกใบใหม่เบื้องหน้านี้มากกว่า

    อาคารในที่นี่ไม่ใช่ไม้ที่ก่อสร้างอย่างลวก ๆ อย่างเมืองชั้นนอก แต่เป็นอาคารหินสร้างและประดับประดามีลวดลายสวยจนแทบลืมหายใจ มีกระจกสะท้อนแสงวิบวับ ดอกไม้หลากสีผลิบ้านอยู่ใต้หน้าต่าง จากจุดที่เขายืนอยู่สามารถเห็นหอคอยปราสาทตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ แม้จะอยู่ออกมาแสนไกลก็ยังทำให้เขาขนลุกได้จากความยิ่งใหญ่ของมัน ฌองเดินเอาตัวแนบไปตามกำแพง จมูกดมกลิ่นหอมแปลกใหม่ สายตาก็คอยสอดส่งเขาไปตามคฤหาสน์หรูหรา นาน ๆ ทีเขาก็จะเห็นคนในบ้าน ช่วง ๆ แรก เขาก็จะตกใจจนต้องวิ่งไปซ่อนในพุ่มไม้ แต่พอผ่านๆไปเขาก็เริ่มรู้ว่าคนพวกนี้ไม่ค่อยมองออกมานอกหน้าต่างหรอก จากนั้นจึงค่อย ๆ สังเกตคนรวยเหล่านี้มากขึ้น

    คนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าแบบที่นาน ๆ ทีเขาจะเห็นที สีสันสดใส ประดับผ้าลูกไม้ มีหลายชั้น ฟูฟองดูตระการตามาก ๆ คล้ายกับเสื้อผ้าของราชวงศ์และแวววาวน้อยกว่ามาก

    เด็กน้อยค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง และที่นี่นี่เองที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไป ถ้าเด็กน้อยคนนี้รู้ว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขาอาจจะเลือกจะไม่มาที่นี่แต่แรกก็เป็นได้ แต่ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่รู้หรอกว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น

    ที่นี่ฌองได้เจอกับคนคนหนึ่ง เด็กสาวที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา ผมสีน้ำตาแดงยาวเป็นลอนประดับไปด้วยริบบิ้นสีชมพู ชุดกระโปรงฟูฟ่องสีชมพูตัดกับผิวสีขาวจัดของเธอ ใบหน้านั้นราวกับกระเบื้องเคลือบ งดงามไร้ที่ติ ในตอนนั้นฌองแทบลืมหายใจ เขาตกหลุกรักเด็กสาวคนนี้อย่างจัง

    เขาจับจ้องเธอทุกลมหายใจ ยามที่เธออกจากห้องไปเขานั้นก็กระวนกระวาย วิ่งตามหาหน้าต่างบานใหม่จนเห็นเธออีกครั้ง เขาปีนขึ้นต้นไม้จนสามารถมองเห็นห้องนอนของเด็กสาวได้ สาวใช้สองคนกำลังช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสีขาวบริสุทธ์

    นับจากนั้นเด็กชายก็จะแอบย่องมาตามทางที่หลุยซ์ได้บอกไว้ เพื่อมาเฝ้าดูเด็กสาวในดวงใจ นับวันเขาก็ใช้เวลามากขึ้นเรื่อย ๆ ในการนั่งมอง

    เพียงชั่วครู่ฤดูหนาวก็มาเยืยนอีกครั้ง การหาอาหารเป็นไปอย่างยากลำบาก นอกจากนั้นเขายังต้องหาเสื้อผ้าใหม่ด้วย เวลาทั้งวันถูกใช้ไปกับการคุ้ยขยะและเดินไปตามตรอกซอกซอยอย่างสิ้นหวัง ทว่าเขานั้นยังโชคดี ภาพของเด็กสาวคอยปรากฏขึ้นในหัวทำให้เขามีพลังและไม่ยอมแพ้แม้ในยามที่ร่างกายจะไม่ไหวแล้วก็ตาม

    พระเจ้ายังคงเข้าข้างเขา รุ่งสางวันหนึ่ง ฌองเดินไปตามถนนสายหลักที่ว่างเปล่า บ้านเรือนส่วนมากยังคงดับไฟอยู่ แต่ก็มีกลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่เตรียมขายลอยโชยมาในอากาศ เด็กชายเดินตามไปโดยที่ไม่รู้ตัว

    เขาหยุดยืนอยู่ห่างออกไปจากร้านเบเกอรี่พอสมควร สายตาจับจ้องไปที่แสงไฟสีส้มที่ลอดผ่านหน้าต่างออกมา เขาเริ่มวาดภาพตนเองเข้าไปอยู่ในที่แห่งนั้นและถูกห้อมล้อมไปด้วยอากาศอุ่นและกลิ่นหอมอบอวลของเบเกอรี่ เขาเพ่งอยู่กับภาพในจินตนาการจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูด้านหลังแม้แต่น้อย

    ชายชราคนหนึ่งกับเอาขยะออกมาทิ้ง วางรอคนเก็บขยะมาเอาไปในตอนเช้า ตอนนี้ชายชรากำลังโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของหลานชายวัยสิบกว่าปีของตน และก็ช่างบังเอิญที่ได้มาพบกับเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันยืนเหม่ออยู่หน้าบ้านสวมเสื้อผ้าบาง ๆ ราวกับอยู่ในฤดูร้อน เด็กชายตรงหน้าช่างดูผอมแห้งอิดโรย ชีวิตแลดูกลับจะหายไปได้ทุกเมื่อ

    เด็กชายสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงมือหนึ่งบนไหล่ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว

    บนไหล่ของเขามีมือที่เหี่ยวย่นของชายชราวางอยู่ บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย ดวงตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ทว่าริมฝีปากกลับวาดเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ในมืออีกข้างของเขาถือเสื้อหนาวพอดีตัวเด็กชายเอาไว้ ชาราค่อย ๆ บรรจงวางเสื้อหนาวลงบนตัวเด็กชาย และยังสวมหมวกไหมพรมและผ้าพันคอให้ด้วย เขายื่นถุงสีน้ำตาลให้ด้วยอีกหนึ่งถุง ข้างในคือขนมปังที่เขาซื้อมาเมื่อวาน เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินถอยออกไป หยุดมองชั่วครู่ ชายชรายกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยลง

    ถึงจะคล้ายกับหลายชายของเขา แต่ก็ไม่ใช่ หลานชายของเขาจากไปเพราะภาวะตัวเย็นหลังจากตกลงไปในน้ำ ถึงจะพากลับมาบ้านทัน ทว่าด้วยเงินที่มีหมอกลับไม่ยอมรักษา สิ่งที่ชายชราพอทำได้คือหาซื้อเสื้อผ้าหนาไปหลานใส่ แต่สุดท้ายเด็กชายก็จากไป และเด็กชายตรงหน้าของเขาในตอนนี้ก็คงจะตายในไม่นานถ้ายังสวมเสื้อผ้าบางเฉียบอย่างนั้นต่อไป เขาไม่สามารถช่วยหลานตัวเองได้ ก็หวังว่าจะสามารถช่วยคนอื่นเล็กน้อยได้บ้าง

    ชายชรากลับเข้าบ้านไปแล้ว น้ำอุ่น ๆ ไหลอาบหน้าเด็กชาย ชั่วเวลาไม่กี่วินาที เขารู้สึกเหมือนกับได้สัมผัสความอบอุ่นที่โหยหามาทั้งชีวิต ในขณะเดียวกันความรู้สึกมากมายในดวงตาในชายชราก็ทำให้เด็กชายรู้สึกเสียใจอย่างอธิบายไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจ สิ่งที่ชายชราโหยหาคืออดีต หิวโหยที่จะได้มันกลับมา แต่สำหรับเด็กชายนั้น เขาไม่เคยมีอดีตที่สวยงามที่อยากให้เขากลับไป คงจะเป็นความโชคดีหนึ่งเดียวในความโชคร้ายของเขา

    ฌองยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้นพักใหญ่ ๆ จนไฟตามบ้านเริ่มค่อย ๆ สว่างขึ้น เขาถึงรู้สึกตัวและเริ่มออกวิ่ง เวลาก่อนฟ้าสว่างนั้นเหลืออีกไม่มาก

    เด็กชายมุ่งหน้าไปยังเมืองชั้นใน มุดผ่านท่อต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่

    เด็กสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงของเธอ ผมสีแดงยาวสยายอยู่บนหมอน เธอดูมีความสุขอยู่ในห้วงความฝันของเธอ เขานั่งเฝ้ามองเพียงชั่วครู่ กินขนมปังที่ชายชราให้มาก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงมาเที่ยวเล่นด้านล่าง

    กลิ่นอาหารโชยมาจากทิศทางหนึ่ง มันเป็นห้องครัวของคฤหาสน์ มันเป็นเพียงห้องเดียวที่สว่างไสวและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ที่นั่นมีอาหารมากมายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มีทั้งขนมปังและเบเกอรี่หลายหลาย มีแฮมชิ้นใหญ่ ไส้กรอกที่อวบกว่านิ้วของเขา ในตะกร้ามีไข่หลายสิบฟอง ถัดออกไปมีผลไม้หลายสีสัน หลาย ๆ อย่างเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นยังมีเหยือกสารพัดเหยือกที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านในบ้าง

    ราว ๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฟ้าสว่างแล้ว (เด็กชายแอบอยู่ในพุ่มไม้จึงไม่มีใครเห็น) อาหารถูกทยอยยกออกไป ฌองก็เดินตามไปราวกับถูกสะกดวิญญาณมายังห้องอีกห้อง มีโต๊ะตัวยาวพอคนสิบคนนั่ง บนโต๊ะมีดอกไม้ชิงเทียนและเครื่องแก้วเครื่องเงินวางอยู่เต็มโต๊ะ มีชายวัยกลางคนผิวขาวซีดสวมชุดขุนนางนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ หญิงสาวท่าทางสูงศักดิ์อีกคนนั่งอยู่ด้านข้าง เธอสวมกระโปรงฟูฟ่องเหมือนสุ่มไก่ เธอมีผมสีแดงน้ำตาลเหมือนกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ

    บรรดาหญิงคนใช้ค่อย ๆ วางอาหารลงบนโต๊ะอย่างบรรจง และถอยออกไปอย่างมีมารยาท อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นเรียกได้ว่ามากมายเกินกว่าจะกินหมด ในเหยือกที่เขาเห็นตอนแรกมีของเหลวสีดำ สีน้ำตาล สีเหลือง และยังมีแยมอีกหลายชนิด

    หลังที่บรรดาสาวใช้ถอยออกไปกันจนหมด ชายวัยกลางคนก็เริ่มลงมือกินเป็นคนแรก พวกเขาใช้เวลากินกันเพียงชั่วครู่ เด็กสาวนั้นเพียงจิ้มผลไม้เพียงไม่กี่คำ และดื่มน้ำสีเหลือง สีหน้าดูไม่พอใจ เธอเขี่ยอาหารในจานไปมาก่อนจะลุกเดินจากไป ทิ้งอาหารเต็มจานไว้ด้านหลัง ไม่ต่างกับอีกสองคน รวม ๆ แล้วอาหารมากมายนั้นพร่องไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง หลังจากทั้งสามลุกออกไปแล้ว บรรดาสาวใช้ก็เข้ามาเก็บจานออกไป

    เด็กชายวิ่งกลับมาที่ห้องครัว คาดหวังจะเห็นอาหารอีกสักครั้ง ไม่ได้เป็นอาหารให้อิ่มท้องแต่เป็นอาหารตาก็ยังดี ทว่าอาหารที่กลับเข้ามานั้นมีไม่มาก มีเพียงขนมปังที่ยังไม่ได้ถูกแตะ น้ำและแยมในเหยือกเท่านั้นเอง

    แล้วอาหารที่เหลือละ เสี้ยวหนึ่งในหัวใจ เด็กชายอยากให้มันถูกนำไปทิ้งเหลือเกิน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเขาอาจจะได้ลองกินอาหารเลิศรศสักครั้ง ไม่นานเขาก็เห็นสาวใช้เดินเอาอาหารมาเทใส่ถังด้านนอก แต่ทว่าปริมาณที่เห็นทำให้ความดีใจทั้งหมดหายไป

    ทำไมมันถึงเยอะขนาดนั้น อาหารที่ถูกทิ้งเยอะเหลือเกิน เยอะแบบที่เขาคงพอประทังชีวิตไปทั้งปี แต่อาหารพวกนี้กลับถูกทิ้งทั้งหมด ที่นี่ไม่เหมือนเมืองด้านนอก ข้างนอกนั่นอาหารที่ถูกทิ้งมักเป็นของที่เสียแล้ว ที่ดี ๆ นั้นน้อยมาก แต่นี่คืออาหารที่เพิ่งถูกปรุงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน และเท่าที่เขารู้อาหารทั้งหมดนี้ถูกทำขึ้นเพื่อคนเพียงสามคนเท่านั้นเอง

    ฌองมองไปยังบ้านหลังอื่น ๆ เขาถึงได้เห็น อาหารปริมาณมหาศาลทุกหนทุกแห่ง

    รอจนทุกคนกลับเข้าบ้านไป เด็กชายจึงรีบพุ่งเข้าไปกอบโกยอาหารจำนวนมากและพลุบหายไป

    หลุยซ์ยืนหัวเราะร่าอย่างชอบใจพลางตบบ่าเขาไปด้วย ผลงานที่เขาทำในรอบนี้คงทำให้เขามีหน้ามีตาในบรรดาคนไร้บ้านด้วยกันขึ้นบ้าง ฌองยืนกินครัวซอง ด้านหน้าของเขาคือกลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ แย่งอาหารกินกันอย่างตะกละตะกลาม

    รสชาติของของขนมปังในปากมันช่างหอม กลมกลอม หวานมันเค็ม เหมือนรสชาติของสรวงสวรรค์ แต่ถึงมันจะอร่อยเท่าไหร่ เขากลับรู้สึกถึงแต่รสชาติของความขมขื่น อาหารราคาแพงนี้ไม่สามารถช่วยเติมเต็มความหิวโหยในจิตใจเขาได้ เพราะในยามนี้สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่อาหารอีกต่อไป

    คนอย่างพวกเขา เพียงแค่อาหารที่ถูกทิ้งก็กลายเป็นของล้ำค่า เป็นของสำคัญที่จำตัดสินว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ แต่ทว่าของล้ำค่านี้กลับเป็นเพียงขยะในสายตาคนอื่น เป็นของที่พวกเขาสามารถทิ้งได้อย่างง่ายดาย ยามนี้เขาตระหนักถึงความแตกต่างอย่างแท้จริงระหว่างคนรวยและคนจน

    เขารู้ว่าชีวิตของคนจนเป็นอย่างไร เขารู้สึกลำบาก แต่ที่ผ่าน ๆ มา สิ่งเดียวที่เขาต้องการคงเป็นแค่ครอบครัวเท่านั้น แต่ในตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและคับแค้นใจ เขาอยากทำร้ายพวกคนในเมืองชั้นใน

    พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เขาอยากจะทวงความยุติธรรมคืน ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไง

    นับตั้งแต่วันนั้น ฌองก็ใช้เวลาส่วนมากไปกับการอยู่ในเมืองชั้นใน เขาเพียงแค่ซ่อนตัวไปตามพุ่มไม้ เฝ้ามองและเรียนรู้วิถีชีวิตของพวกคนรวย และแน่นอนว่ามีอาหารเพียงพอให้ประทังชีวิตได้มากมาย

    อย่าได้เข้าใจผิดว่าที่ฌองทำเพราะต้องการช่วยเหลือคนยากคนจน เด็กชายรู้ดีถึงกระดูกว่าคนจนเองก็มีความละโมบ ความเห็นแก่ตัวที่น่ารังเกียจกว่าคนรวย พวกเขาก็เอารัดเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่าเช่นกัน เด็กชายก็เกลียดพวกเขาเช่นกันเพียงแต่สิ่งที่ขุนนางโฉดทำ มันทำร้ายคนนับพันนับหมื่นจนถึงแก่ชีวิตได้

    บ้านหลังแรกที่เขาไปเฝ้ามองคือบ้านของเด็กสาวผมแดง บิดาของนางเป็นผู้พิพากษา เขารู้อยู่แล้วว่าทุก ๆ วันมีคนมาร้องเรียนเรื่องราวมากขนาดไหน ทั้งถูกขโมย ฆาตกรรม เอารัดเอาเปรียบ ล้วนมีหมด ทว่าชีวิตของชายผู้นี้กลับสะดวกสบายเสียเหลือเกิน ในแต่ละวันเวลาทำงานไม่มากเลย ส่วนมากเป็นเวลาของการพูดคุยกับบรรดาผู้มีอำนาจคนอื่น ๆ มากกว่า คดีส่วนมากก็เป็นความขัดแย้งระหว่างขุนนางด้วยกันเอง

    พวกเขาจะยิ้มแย้ม ดื่มชา กินขนมกัน พูดจากันหวานชื่น ในช่วงแรกเขาถึงได้เข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน ต้องหลายวันให้หลังที่เขาเริ่มเห็นซองเงินที่แอบถูกส่งให้กันลับ ๆ และความหมายแฝงในคำพูดของพวกเขา

    มีคนมากมายเลยทีเดียวที่ทำเรื่องผิดพลาดไปในชีวิต และหลายคนก็ต้องรับผิดชอบมันด้วยชีวิต แต่สำหรับคนบางคนพวกเขาเพียงแค่ใช้เงินลบเรื่องราวไปก็เท่านั้น

    โดยที่ไม่ได้ทำงานอย่างบริสุทธ์ ตระกูลบราซิโอกลับมีเงินใช้มากมาย

    สิ่งที่ฌองสนใจก็คือสมุดบัญชีล้ำค่าที่เมอซิเออร์บราซิโอเก็บไว้ที่โต๊ะทำงานของเขา มันเป็นสมุดที่จดเรื่องเลว ๆ ที่เขาทำเอาไว้ ถ้าหากเอามาเปิดโปงได้ คอของเมอซิเออร์บราซิโอคงหนีกินโยตินไม่พ้น

    เมื่อตกค่ำ เด็กชายก็แอบเข้าไปในคฤหาสน์ทางด้านหลัง ในขณะที่สาวใช้หัวเราะคิกคักกันอยู่ เขาขโมยชุดเด็กรับใช้มาเปลี่ยน ก่อนจะเดินแอบเข้าไปตามทางที่แอบศึกษามาก่อน

    เดินเลี้ยวมาออกจากปีกคนใช้ เขาสู่ทางเดินกลาง ห้องทำงานอยู่สุดทางเดิน ฌองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะวิ่งข้ามไปยังประตูห้องทำงาน เขารับผลักประตู ทว่ามันล็อค

    ฌองใช้เวลาสะเดาะกลอนอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็เข้ามาได้สำเร็จ เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่สาวใช้จะเดินผ่านมา

    ในลิ้นชักชั้นบน หนังสือหนังปกดำนอนนิ่ง แม้จะหวาดหวั่นแต่เขาก็หยิบมันคือมา ช่างเย็นและหนักเหลือเกิน เหมือนกับความรู้สึกในตอนนี้เหลือเกิน ความหวาดกลัวที่เกาะกินหัวใจและภารกิจที่หนักอึ้งอยู่บนบ่า แต่เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จ อยากน้อยก็เพื่อขจัดความรู้สึกในใจเขาออกไป

    เขามัดหนังสือเอาไว้แนบตัวและกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวว่าสมุดล้ำค่าได้หายไปแล้ว

    เมอซิเออร์โอแบร์ พ่อค้าผู้ร่ำรวยเป็นรายถัดไป หากพูดถึงเรื่องเงินทองแล้ว ทุกคนล้วนต้องพูดถึงชายคนนี้ แม้แต่ฌองเองก็ยังรู้จัก ร้านค้าในเมืองชั้นนอกหลายร้านล้วนเป็นของเขา เป็นร้านหรูหราเพียงไม่กี่ร้านที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองชั้นนอกทำให้เป็นที่รู้จักไปทั่ว ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแลดูใจดีของเขาจึงทำให้เป็นผู้มีอำนาจที่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน

    แต่ถ้าหากขุดให้ลึกก็จะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขา ปีศาจหน้าเลือดจึงจะเป็นชื่อเรียกที่แท้จริง ทักษะการเจรจาของเขานั้นเป็นเลิศ โฆษณาสินค้าชวนเชื่อหลอกลวงผู้บริโภค โก่งราคาสูงเกินจริงอ้างเหตุผลล้านแปด ขายสินค้าคุณภาพไม่ได้มาตราฐาน

    ชายผู้นี้โกงกินทั้งคนรวยและคนจน ปลิ้นปล่อนเชื่อถือไม่ได้ แต่ด้วยบารมี เงินทองและความสามารถของเขาจึงทำให้ไม่มีใครกล้าหือรือด้วย

    ไม่มีใครหวาดระแวงเด็กชายคนรับใช้ตัวผอมบาง นั่นทำให้บัญชีลับมาอยู่ในมือของฌองอย่างง่ายดาย

    บ้านหลังสุดท้ายที่เด็กชายไป ตระกูลดิมอง เป็นบ้านที่ร่ำรวยมากเสียจนสองหลังแรกเทียบไม่ติด อำนาจที่อยู่ในมือของพวกเขาจะเป็นรองก็แค่พระราชาและโป๊ปเท่านั้นเอง

    ขุนนางโฉดชั่วกล่าวอ้างคำหวานและคำสัญญาในที่ขณะที่สายตาจับจ้องเพียงแค่เหรียญทองในมือเท่านั้น ไม่ใช่เพียงเงินของประชาชน แม้แต่เงินของพระราชาพวกเขาก็ไม่เว้น การวางแผนโค่นล้มราชวงศ์เพื่อยึดครองประเทศรอเพียงแค่เวลาเท่านั้น

    สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คงเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาเป็นชาวบ้านที่คอยดูแลแต่ละอาณาเขตเมืองภายนอก เป็นที่รักและนับถือของชาวบ้านทั่วไป แน่นอนทุกคนเชื่อสุดหัวใจว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกันเพราะไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร เห็นทีว่านั่นคงไม่ใช่เรื่องจริงแล้ว

    ทุกวันฌองได้ฟังสิ่งที่พวกเขาหารือกัน ความตกใจเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและกลายมาเป็นความโกรธแค้น

    พวกเขาเห็นประชาชนทุกคนเป็นแค่หมากเท่านั้น เป็นแค่เครื่องมือขับเคลื่อน เป็นเกมที่เล่นไปตามสิ่งที่พวกเขาวางไว้ และเมื่อเกมจบลงพวกเขาก็จะได้ขึ้นไปเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดิน โดยไม่ได้สนใจว่านั่นคือแผ่นดินที่อาบไปด้วยเลือดของพวกผองและประชาชน

    เด็กชายใช้เวลานานหลายเดือนในการรวบรวมจดหมายประทับตราที่เหล่าขุนนางเจรจากันเอาไว้ เหลือเพียงแค่พวกดิมองเท่านั้น เมื่อเขาทำสำเร็จก็จะได้เวลาเปิดโปง 

    เขาทำเหมือนทุก ๆ ครั้ง แอบเข้าไปสวมชุดเด็กรับใช้และเดินเนียน ๆ เข้าไปในส่วนคฤหาสน์หลัก ตามหาห้องทำงาน เขาเปิดประตูเข้าไป ในห้องมืดสนิท ยังไม่ทันทีเขาจะจุดไฟ ไฟก็ติดขึ้น เมอซิเออร์ดิมองยืนอยู่ที่มุมห้องในมือถือตะเกียง เขาแสยะยิ้ม เด็กชายผงะถอยหลัง เตรียมวิ่งหนี ทว่าด้านหลังก็เต็มไปด้วยทหารยามที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    “แกคิดว่าแผนเดิม ๆ จะใช้ได้ผลรึ แกคิดว่าข้าเหมือนเจ้าพวกโง่ที่ผ่าน ๆ มารึ”

    เมอซิเออร์ดิมองผงกหัวเล็กน้อย ทหารยามร่างใหญ่สองคนก็เขามาจับแขนสองข้างของฌองเอาไว้ แม้เด็กชายจะดิ้นต่อสู้ ถีบหรือเตะอย่างไรก็ไม่สามารถสะทกสะท้านทั้งสองคนได้เลย

    ฌองถูกพามารายงานที่สถานีตำรวจ มีหญิงคนใช้คนนึงเดินตามมา รายงานการลักขโมยและทำร้ายร่างกาย เกินครึ่งคือคำเท็ด ข้อหาร้ายแรงต่าง ๆ ที่เพียงพอให้เขาติดคุกตลอดชีวิตหรือถ้าโชคร้ายก็ตาย

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าขุนนางหวาดกลัวว่าความลับที่อยู่ในมือจะถูกเปิดเผยออกไป

    ไม่นานฌองก็ถูกจับโยนเข้าไปในคุกรอคำตัดสิน โดยไม่ต้องสงสัยด้วยอำนาจของเหล่าผู้มีอำนาจที่แค้นเคือง ฌองโดนทรมาณสารพัดเพื่อเค้นว่า ‘ของล้ำค่า’ ที่เขาขโมยไปอยู่ที่ไหน เด็กชายไม่เคยยอมปริปากบอก เด็กชายมีเพียงข้าวและน้ำปริมาณน้อยนิดเพียงแค่ให้เขาไม่ตายไปก่อน

    ราว ๆ หนึ่งสัปดาห์ถัดมาฌองก็ถูกผู้คุมนำตัวไปที่ศาล ไม่ว่าเด็กชายจะพูดอะไรก็จะถูกอีกฝ่ายโต้กลับจนหมดคำพูด และถูกกลับจนเขาดูเป็นคนเลวร้ายที่ใส่ร้ายป้ายสีชายผู้บริสุทธ์ ‘โชคดี’ เขาถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต

    ฌองใช่ชีวิตอยู่ภายในลูกกรงเพียงลำพัง ด้วยอาหารที่น้อยนิด หลายเดือนถัดมาเมอซิเออดิมองก็เข้ามาหา

    “ถ้าหากเจ้ายอมเปิดปากบอกว่าของที่ขโมยไปอยู่ที่ไหน ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้” ชายวัยกลางคนว่าด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง ฌองรู้ดีว่าอีกฝ่ายมองตนเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ไม่มีความสามารถทำอะไรได้ เขาทำราวกับว่าหากเขาถูกสั่งให้ตายก็ต้องตาย และถ้าถูกสั่งให้อยู่เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่

    เขาเกลียดความรู้สึกเช่นนี้อย่างยิ่ง เกลียดยิ่งกว่าความหิวโหยที่เคยเป็นมา เขาเกลียดที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความหิวโหยที่น่ารังเกียจมันมาจากคนเลวเหล่านี้ คนเลวที่โยนอาหารทิ้งขว้าง

    “ถ้าไม่บอกก็คงต้องปล่อยให้ชีวิตที่น่าสมเพชของแกค่อย ๆ เน่าเฟะไปในคุกแห่งนี้” เขาฉีกยิ้ม “แน่นอนว่าข้าวสามารถเนรมิตรทุกอย่างได้ คนอย่างแกไม่มีทางเทียบเท่าคนอย่างข้าได้” ว่าแล้วก็หัวเราะร่า เขายื่นเท้าเข้ามาเขี่ยเด็กชายที่นั่งอยู่ที่พื้นแล้วพึมพัมกับตัวเอง “หนูสกปรก”

    และแล้วสติของฌองก็ขาดไป เด็กชายพุ่งตัวเข้าใส่ชายวัยกลางคนจนล้มโครมลงกับพื้น เขารู้สึกถึงพละกำลังที่มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขารู้สึกว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้ ในตอนนี้ความหิวโหยก็พุ่งกลับมา เขาหิวมากจนพร้อมจะกินทุกอย่าง และบัดนี้อาหารมื้อใหญ่ก็วางอยู่ตรงหน้า

    เด็กชายคว้าแขนชายวัยกลางคนขึ้นมา และกัดเขาอย่างแรง รสเค็มของเลือดเข้ามาในปาก ความคาวมันกลับกระตุ้นความอยากให้มากขึ้น เขากระชากชิ้นเนื้อออกมา

    เด็กชายปีนนั่งทำอีกฝ่ายที่กำลังกรีดร้องอย่างเจ็บปวด กดเข่าลงบนลำคออีกฝ่ายอย่างแรง กลืนชิ้นเนื้อลงคอ เลือดไหลอาบปากของเขาจนแดงฉาน เขาเริ่มกัดต่อไป เมอซิเออดิมองดิ้นรนก่อนจะค่อย ๆ นิ่งลงไป ดวงตาเบิกค้าง

    ฌองที่บัดนี้เองก็ไม่ได้รู้สึกตัว กัดกินเนื้อสดอย่างตะกละตะกลาม จนแขนทั้งข้างหายไปและพุงป่องออกมา ทว่าเขาไม่รู้สึกอิ่ม มันยังไม่พอ เขากินต่อจนทหารยามเข้ามาฟาดเขาจนสลบไป

    การ ‘กิน’ เมอซิเออดิมองนั้นกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วปารีส เขากลายเป็นปีศาจร้ายกินคนที่จะต้องถูกนำไปเผา

    ในวันสุดท้ายในชีวิตของเด็กชาย เขาถูกทหารร่างใหญ่ลากตัวออกไปที่ลาน เขาถูกมัดแขนมัดขาและปิดปากเอาไว้ เด็กชายปล่อยตัวแน่นิ่งไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น เขาถูกในไปมัดไว้บนเสาเหนือกองฟืน ทหารราดน้ำมัน และนักบวชเริ่มสาธยายความชั่วร้ายของเขา

    ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก กล่าวหาว่าเขาเป็นปีศาจร้าย ทั้งที่แท้จริงตนเองก็ไม่ใช่คนดี ทั้งที่ตนเองกำลังจะเผาเด็กชายคนนึงเพื่อควบคุมคนที่เหลือไว้ใต้อำนาจของตัวเอง

    ฌองส่งเสียงหัวเราะในลำคอ แต่ทว่าเสียงที่ออกมากลับต่ำอู้อี้น่ากลัว ผู้คนพากันมองอย่างหวาดหวั่นก่อนจะเริ่มร้องตะโกนสาปแช่ง

    ผู้คนเหล่านี้ก็เช่นกัน ต่างคิดว่าตนเองนั้นฉลาดเฉลียว คิดว่าตนเป็นคนดี ทั้งที่แท้จริงก็สนใจเพียงประโยชน์ของตนเช่นกัน และที่แท้จริงก็ทำเพียงวิ่งเต้นตามแผนการที่คนเลวเบื้องบนวางเอาไว้ ตายเสียก็ดี แค่น่าเสียดายที่ลากทุกคนไปด้วยไม่ได้

    ตอนนี้นักบวชก็กำลังจุดไฟลงในกอง เปลวไฟลุกขึ้นและลามอย่างรวดเร็ว ความร้อนที่แสนทรมาณลามเลียไปทั่วร่างกาย กลิ่นควนเหม็นฉุนจนหายใจไม่ออก สิ่งเดียวที่ยังชัดเจนคือความเกลียดชัง

    ในสายตาของทุกคนที่นั้นคือปีศาจร้ายกินคนกำลังถูกเผาและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ขณะเดียวกันในเสียงนั้นมันก็แสนบีบคั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ฝั่งอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปจนวันตาย

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×