“เลนินบุรุษเหล็กแห่งโลกคอมมิวนิสต์” - “เลนินบุรุษเหล็กแห่งโลกคอมมิวนิสต์” นิยาย “เลนินบุรุษเหล็กแห่งโลกคอมมิวนิสต์” : Dek-D.com - Writer

    “เลนินบุรุษเหล็กแห่งโลกคอมมิวนิสต์”

    สำหรับหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ประจำวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2549 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ

    ผู้เข้าชมรวม

    3,579

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    3.57K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ค. 51 / 21:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เมื่อประมาณปี ค.ศ.1982 ผมได้ติดตามพลอากาศเอกสิทธิ์   เศวตศิลา ขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปรัสเซีย เพื่อที่จะไปดูลู่ทางการนำปลาทูน่าสดเข้ามาในประเทศไทย อุณหภูมิของรัสเซียในช่วงเดือนกรกฎาคมในเวลากลางคืนนั้นอยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส ท่ามกลางความหนาวเหน็บ   สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถสัมผัสได้คือ ความยากจนข้นแค้นและความเป็นคอมมิวนิสต์ของคนรัสเซีย เพราะทุกอย่างอยู่ได้ด้วยอุดมการณ์ แม้ประชาชนจะอยู่กันอย่างยากลำบาก แต่พวกเขาก็ภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของการเป็นประเทศผู้นำในโลกคอมมิวนิสต์  ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับกลิ่นไอของคอมมิวนิสต์เช่นรัสเซีย และเมื่อ 2 ปีที่แล้วผมได้กลับไปยังรัสเซียอีก เพื่อไปทดสอบการบินของเครื่องมิกซ์ 25 ที่มีความเร็วถึง 3 เท่าของความเร็วเสียง  การกลับไปเยือนรัสเซียครั้งที่สอง  ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในกรุงมอสควาว่า ร้านรวง

      ต่าง ๆ ภัตตาคาร ฟาสต์ฟู้ดจากค่ายเสรีนิยมเช่น แม็คโดนัลด์, เค เอฟ ซี ผุดขึ้นมาอย่างมากมายและข้อสำคัญคือราคานั้นสูงลิบลิ่วจนผมแทบไม่สามารถซื้ออะไรได้เลย ในขณะเดียวกันไกด์ที่ดูแลผมได้บอกว่าคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลดี ๆ มีราคาสูงถึงตารางเมตรละสอง- สามแสนบาท แพงกว่าทำเลที่ดีที่สุดของเมืองไทยเสียอีก สิ่งนี้เองที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของรัสเซียดีขึ้นมากตามค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้รัสเซียยังได้รับการขนานนามว่าเป็น China of Europe อีกด้วย

       

      ในความเป็นตัวตนในอดีตอันยาวนานและเก่าแก่ของรัสเซียได้ถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อมีบุรุษคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่แสนธรรมดาแต่ถูกกดขี่ข่มเหงจนทำให้เขาสนใจที่จะนำเอาแนวความคิดของมาร์กซิสมาเผยแพร่เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและความยุติธรรมขึ้นในหมู่ชาวรัสเซีย ทั้ง ๆที่ในยุคสมัยนั้นเต็มไปด้วยระบอบศักดินา เจ้าขุนมูลนายและความไม่เท่าเทียมกันอย่างมากในสังคม  บุรุษที่ผมนำมาฝากในวันนี้คือ เลนิน ผู้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาให้กับบ้านเกิดเมืองนอนของเขา   เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความแตกต่างทางชนชั้นของคนจนและคนรวย ทำให้ความคิดที่อยากจะเรียนรู้สิ่งใหม่ เขาต้องการให้เกิดการกระจายตัวของการกินอยู่ที่ดีให้ตกไปอยู่กับคนรัสเซียในวงกว้าง ไม่ใช่ตกไปอยู่ในแวดวงของคนรวยเพียงไม่กี่หยิบมือ และเมื่อเขาได้ศึกษาและได้เรียนรู้ถึงปรัชญาและเป้าหมายที่มาร์กซิสได้เขียนนั้น ทำให้เขาสรุปออกมาว่าหากเขานำระบบการปกครองแบบสังคมนิยมที่อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วมาใช้จึงจะทำให้ชาวรัสเซียได้รับปัจจัยสี่ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

       

      เลนินเป็นผู้จุดชนวนแห่งความคิดและเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จนทำให้โลกกลายมาเป็นสองค่ายซึ่งเป็นปฏิปักษ์และจ้องที่จะทำร้ายกันจนเกือบนำไปสู่สงครามโกลครั้งที่ 3 แต่โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายอำนาจลดการขยายวงของสงครามให้ลงมาเหลือเพียงแค่สงครามเย็นที่ให้ประเทศบริวารของแต่ละฝ่ายทำสงครามห้ำหั่นกันเอง  เลนินเป็นผู้ที่ทำให้เกิดประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์จนขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อย ๆ สู่การต่อสู้เอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง สงครามเย็นเป็นสงครามที่ใช้ทำกำลังคน กำลังเงินอย่างมากมายมหาศาลกว่าสงครามใด ๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก  การซ่องสุมอาวุธ กำลังคน และเงินนั้นมากที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะบันทึกไว้ แต่โชคดีที่ผู้นำของทั้งสองขั้วได้คำนึงถึงความร้ายแรงของระเบิดปรมณูที่เคยสร้างความเสียหายให้กับญี่ปุ่น และตระหนักดีว่า หากยังคงต่อสู้ห้ำหั่นกันต่อไป โลกคงต้องพบกับความวิบัติครั้งใหญ่หลวง จึงทำให้ทั้งรัสเซียและสหรัฐอเมริกายกเลิกความคิดที่จะนำอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งมีความรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูถึง 10 เท่า จะว่าไปแล้วหากอภิมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายยังคงดื้อดึงที่จะทำลายล้างกัน โลกเราคงต้องตกอยู่ในหายนะแน่ ๆ

       

      ที่ผมยกมาดังกล่าวข้างต้นล้วนเกิดมาจากพื้นฐานที่รัสเซียมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบบกษัตริย์กลายมาเป็นระบบคอมมิวนิสต์อย่างสุดขั้วและเต็มรูปแบบ เลนินคือบุรุษที่เป็นผู้เริ่มและนำรัสเซียให้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงแบบ 180 องศา และเลี่ยนแปลงไปสู่ความล้าหลังในเรื่องของเศรษฐกิจและการกินอยู่ของรัสเซีย จนทำให้เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วรัสเซียต้องอยู่อย่างอดอยาก และเป็นประเทศที่ยากจนของโลก จนทำให้มีชาวรัสเซียส่วนหนึ่งหลบหนีออกจากประเทศ แต่ปรากฎว่าในด้านกลาโหมรัสเซียกลับมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับผู้นำ นับเป็นเรื่องที่มีความขัดแย้งอย่างมากกับสภาวะความเป็นจริง เพาะถึงแม้ว่ารัสเซียจะเป็นผู้นำทางด้านกลาโหม แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนชาวรัสเซียกลับต้องอยู่อย่างอดอยาก มิหนำซ้ำรัสเซียยังเกิดความรู้สึกฮึกเหิมและต้องการที่จะเป็นใหญ่จนคิดที่จะเปลี่ยนแปลงของการปกครองของโลกใบนี้

       

      วันนี้ผมจึงขอนำชีวประวัติของบุคคลซึ่งเคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนการปกครองทั้งโลกมานำเสนอ เพื่อสะท้อนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแต่เกิดมาจากความไม่เสมอภาค และการที่คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบ จนกลายเป็นชนวนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของหลาย ๆ ประเทศในโลก  เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้สังคมไทยได้คิดและปรับให้ช่องว่างของคนรวยและคนจนแคบขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต

       

       

       

       

      ประวัติ

       

      เลนิน มีชื่อจริงว่า วลาดิมีร์ อิลยิช เลนิน ถือกำเนิดเมื่อ วันที่ 10 เมษายน ค.ศ.1870 เป็นบุตรของนาย อิลยา นิโคลาเยวิช อุลยานอฟ และ นางมาเรีย อเลกซานดรอฟนา อุลยานอฟ

      เขาเป็นลูกคนที่สาม ร่าเริงแจ่มใส  โลดโผน วิ่งโครมคราม ตึงตัง เขาเริ่มหัดอ่านหนังสือตั้งแต่อายุห้าขวบ  สนใจการเรียนขยันและจริงจัง ได้รับคะแนนยอดเยี่ยมอยู่เสมอ นับเป็นเรื่องที่ดีเพราะเขามีต้นแบบที่ดีจากพ่อและแม่ของเขา ซึ่งคนทั้งสองนั้นมีความกระตือรือล้น ขยันขันแข็ง  เลนินมักช่วยสอนพิเศษวิชาต่างๆ ให้กับเพื่อนร่วมชั้นและช่วยอธิบายบทเรียนและปัญหายาก ๆ แก่เพื่อนและการแปลจากภาษากรีกและภาษาลาติน ขณะเรียนอยู่สองปีสุดท้ายในโรงเรียนเตรียมอุดม เขาได้ช่วยสอนครูโรงเรียนประถมชาวชูวาชคนหนึ่ง ซึ่งต้องการได้ใบสุทธิเพื่อเอาไปเข้ามหาวิทยาลัย ในที่สุดครูคนนั้นก็ได้ใบสุทธิอันเนื่องมาจากการช่วยติวของเลนิน

       

      ในค.ศ.  1886 พ่อของเขาเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน และอีกปีหนึ่งถัดมา ครอบครัวเลนินก็ต้องประสบกับโศกนาฏกรรมอีกครั้งหนึ่ง คืออเล็กซานเดอร์ พี่ชายสุดที่รัก ถูกจับกุมด้วยข้อหาว่ามีส่วนในการพยายามลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ ถูกตัดสินประหารชีวิต เขาถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1887 เหตุการณ์ในคั้งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจมาก แต่มันก็ทำให้เขาเข้มแข็งขึ้น และบังคับให้เขาจำต้องคิดจริงจังมากขึ้นเกี่ยวกับหนทางของการต่อสู้ปฏิวัติ  ช่วงนั้นเองที่เขาได้อ่านหนังสือชื่อ แคปิตอล ของคาร์ลมาร์กซ และทำให้เขายอมรับว่านั่นคือหนทางแห่งการต่อสู้เพื่อนำไปสู่การปฏิวัติเพื่อก่อให้เกิดความเสมอภาคในรัสเซีย

       

      ปลายฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1887 ภายหลังจากจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมพร้อมด้วยเหรียญทอง   เลนินศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคาซาน ซึ่งตอนนั้นเองที่นักศึกษาในรัสเซียได้แสดงออกถึงความไม่พอใจและต่อต้านระบบการปกครองแบบเดิม ๆ นักศึกษาออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกข้อบังคับ

      หลาย ๆ อย่าง เช่นการแต่งเครื่องแบบ  และให้รับอาจารย์ที่ถูกไล่ออกอันเนื่องมาจากมีความคิดก้าวหน้ากลับเข้าทำงานตามเดิม

       

      วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1887 คลื่นแห่งความไม่สงบได้แผ่เข้าไปถึงมหาวิทยาลัยคาซาน นักศึกษาพากันเปิดการชุมนุมพร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องหลายข้อซึ่งนอกเหนือไปจากขอบเขตของชีวิตในมหาวิทยาลัย เลนินก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงอธิการบดีมีความดังนี้ "อันเนื่องจากกระผมเห็นว่าไม่สามารถที่จะดำเนินการศึกษาต่อไปในมหาวิทยาลัยภายใต้เงื่อนไขของชีวิตมหาวิทยาลัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ กระผมจึงขอให้ ฯพณฯ ท่านออกคำสั่งที่จำเป็นให้ขีดฆ่าชื่อของกระผมออกเสียจากทะเบียนนักศึกษาของจักรวรรดิมหาวิทยาลัยคาซาน สิ่งนี้เองทำให้เขาถูกคุมขังรวมกับเพื่อนอีก 40 คน เมื่อพวกเพื่อน ๆ ถามว่าเขาจะทำอะไรต่อไปเมื่อถูกปล่อยออกไปแล้ว เลนินบอกว่า "มีหนทางสายเดียวเท่านั้นสำหรับผม คือต่อสู้ปฏิวัติ"  คำขอร้องของเขาเป็นจริง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเขาถูกคัดชื่อออกจากมหาวิทยาลัยและมีคำสั่งให้เนรเทศเขาออกไปจากคาซาน ไปอยู่ที่หมู่บ้านโคคุชคีโน ทำให้เขาไม่ได้เรียนหนังสือแต่ด้วยความใฝ่รู้ทำให้เขาอ่านหนังสือโดยศึกษาตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัย จากนั้นเขาก็อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสารทางสังคม-เศรษฐกิจ วรรณกรรม เนื่องจากอยู่ห่างไกลความเจริญ จึงเป็นเรื่องสำคัญเป็นพิเศษที่

      เลนินจะต้องตามให้ทันเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมและการเมืองและทิศทางของการต่อสู้ทางลัทธิที่กำลังดำเนินอยู่ เขาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าและจดบันทึกย่อและความคิดเห็นเกี่ยวกับงานประพันธ์ของคนที่เขาโปรดปรานคือ เชรนิเชฟสกี้

       

      ในค.ศ. 1888 เขาได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาอยู่ในเมืองคาซานได้ และหลังจากนั้นเขาได้รวมตัวกับเพื่อนฝูงเพื่อเรียกร้องความเสมอภาคและเป็นธรรมให้กับชนชั้นกรรมมากรจนเป็นเหตุให้เขาและบรรดาผู้นำถูกจับ  และในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897 หลังจากที่ถูกจำคุกอยู่ปีเศษ บรรดาผู้นำของสันนิบาตการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นกรรมกรก็ถูกพิพากษาให้เนรเทศไปอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ที่ห่างไกลของจักรวรรดิรัสเซียเป็นเวลาสามปี เลนินต้องไปรับโทษในหมู่บ้านชูเชนสโกเยในไซบีเรียตะวันออก  สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการที่เขาถูกเนรเทศคือการที่เขาต้องอยู่โดดเดี่ยวแยกจากงานปฏิวัติที่คึกคัก ช่วงแรก ๆ เขาต้องปรับตัวอย่างมาทีเดียว แต่โชคดีที่เขาได้รับหนังสือพิมพ์รัสเซียและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศนิตยสารภาษารัสเซียและเยอรมันประมาณ 12 ฉบับเพื่อติดตามข่าวสารและความเป็นไปในรัสเซีย และได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับลัทธิมาร์กซิสอย่างจริงจัง

       

      ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1891 เลนินแต่งงานกับ นาเดชด้า ครุปสกายา ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวสังคมนิยม ต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1899 เขาได้พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า พัฒนาการของระบบทุนนิยมในรัสเซีย ต่อมาในปี ค.ศ.1899 การเนรเทศของเขาก็ได้สิ้นสุดลง เขาได้เดินทางทั้งภายในรัสเซียและไปยังส่วนต่าง ๆ ของยุโรป และได้พิมพ์หนังสือพิมพ์อิสกรา เช่นเดียวกับสิ่งพิมพ์และหนังสืออื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ

      เขาได้ร่วมกิจกรรมของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยของรัสเซีย เขาได้เป็นผู้นำฝ่ายบอลเชวิกภายในพรรค ภายหลังจากที่แตกแยกกับกลุ่มเมนเชวิกที่ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากงานของเลนินชื่อว่า จะทำอะไรในอนาคต (What is to be done?) ในปี ค.ศ.1906 เลนินได้รับเลือกเข้าไปในคณะกรรมการบริหารพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยของรัสเซีย ในปี ค.ศ.1907 เขาได้ย้ายไปอยู่ที่ฟินแลนด์ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เขาได้ท่องเที่ยวไปในยุโรปต่อและร่วมในการประชุมและกิจกรรมของพวกสังคมนิยมในหลายๆแห่ง รวมถึงการประชุมซิมเมอร์วัลด์ในปี ค.ศ.1915 ด้วย เมื่อ อิเนสซ่า อาร์วัลด์ ออกมาจากรัสเซียแล้วตั้งถิ่นฐานในปารีส เธอก็ได้พบกับเลนิน และสมาชิกบอลเชวิกคนอื่น ๆ ที่ถูกเนรเทศมา ในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นสหายของเลนิน

      ในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1917 เขาได้ออกจากสวิตเซอร์แลนด์กลับไปยังเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หลังจากที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกโค่นล้ม และมีบทบาทสำคัญในขบวนการบอลเชวิก เขาได้พิมพ์เมษาวิจารณ์ (April Theses) ต่อมาหลังจากความล้มเหลวในการประท้วงของคนงาน เลนินได้หนีไปยังฟินแลนด์เพื่อความปลอดภัย เขากลับมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน และได้ปลุกระดมทหารให้ลุกขึ้นปฏิวัติโดยมีคำขวัญว่า อำนาจทั้งหมดเพื่อโซเวียตทั้งหลาย” (คำว่า โซเวียต แปลว่า สภา) เพื่อต่อต้านรัฐบาลชั่วคราวที่นำโดย(อเล็กซานดร์ เคเรนสกี้) ความคิดของเลนินเกี่ยวกับรัฐบาลนั้นเขียนอยู่ในบทความเรื่อง รัฐและการปฏิวัติ ซึ่งเรียกร้องให้มีระบบการปกครองใหม่ที่มีรากฐานมากจากสภาของคนงาน หรือโซเวียต

      ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1917 เลนินได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาที่ปรึกษาประชาชน (ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยต่อมา) โดยสภาคองเกรสโซเวียตในรัสเซีย ในขณะนั้น เลนินต้องเผชิญกับการโจมตีของเยอรมนี เลนินต้องการให้รัสเซียลงนามในสัญญาสันติภาพทันที ผู้นำบอลเชวิกคนอื่นๆ ต้องการให้ทำสงครามกับเยอรมนีต่อไปเพื่อเป็นการกระตุ้นการปฏิวัติในเยอรมนี ส่วนลีออน ทรอตสกี้ที่เป็นประธานในการเจรจานั้นรักษาสถานะเป็นกลางระหว่างสองฝ่าย คือ เรียกร้องสันติภาพ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีฝ่ายใดได้หรือเสียดินแดนเพิ่ม หลังจากที่การเจรจาล้มเหลว เยอรมนีก็ได้โจมตีและยึดครองดินแดนฝั่งตะวันตกของรัสเซียไปมาก ซึ่งส่งผลให้ข้อเสนอของเลนินได้รับการสนับสนุนการเสียงส่วนมากของผู้นำพรรคบอลเชวิก และในที่สุดรัสเซียก็ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสก์ ซึ่งรัสเซียเสียเปรียบอย่างมาก

      เมื่อเลนินยอมรับว่าระบบโซเวียตเป็นระบบเดียวเท่านั้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย เลนินจึงได้ปิดสภาร่างรัฐธรรมนูญรัสเซียลงเพราะว่าพรรคบอลเชวิกไม่ได้เสียงข้างมากในสภานั้น แต่พรรคที่ได้เสียงข้างมากคือพรรคปฏิวัติสังคมนิยมที่ต่อมาภายหลังแตกออกเป็นฝ่ายซ้ายที่นิยมระบบโซเวียต และฝ่ายขวาที่ต่อต้านระบบโซเวียต ส่วนพรรคบอลเชวิกนั้นมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรสโซเวียต และได้จัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับฝ่ายซ้ายของพรรคปฏิวัติสังคมนิยม อย่างไรก็ตาม การร่วมมือครั้งนี้ก็ได้ล้มเหลวลงหลังจากพรรคปฏิวัติสังคมนิยมต่อต้านสนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสก์ และได้ไปเข้าร่วมกับพรรคอื่นเพื่อล้มรัฐบาลโซเวียต สถานการณ์ได้เลวร้ายลง เมื่อพรรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคบอลเชวิก (รวมถึงกลุ่มสังคมนิยมหลายกลุ่ม) ได้พยายามล้มรัฐบาลโซเวียต เลนินได้ตอบโต้ด้วยการพยายามยุบพรรคเหล่านั้น แต่ไม่สำเร็จ

      ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ.1918 เหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นเมื่อ ฟันย่า คัปลัน สมาชิกพรรคปฏิวัติสังคมนิยม ได้เข้าใกล้เลนินหลังจากที่เลนินได้กล่าวปราศรัยในการประชุมพบปะ และกำลังเดินกลับรถ เธอได้ร้องเรียกเลนิน เมื่อเลนินหันกลับมาเพื่อจะตอบ เธอก็ได้นำปืนยิงเลนินไป 3 นัด 2 นัดทะลุเข้าที่ปอดและไหล่ของเลนิน เลนินถูกพากลับไปยังเครมลิน เพราะว่าเขาปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลเนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมีคนดักรอทำร้ายอยู่ที่โรงพยาบาลแน่ แพทย์ได้ถูกเรียกมาดูอาการของเลนิน แต่ได้ลงความเห็นว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปที่จะถอนลูกกระสุนออกมา ต่อมาไม่นานเลนินก็เริ่มฟื้นตัว แต่สุขภาพของเขาก็เริ่มย่ำแย่ลง และเชื่อกันว่าจากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสาเหตุของการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองของเลนินในเวลาต่อมา

      ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1919 เลนินและผู้นำพรรคบอลเชวิกคนอื่น ๆ ได้พบกับกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมจากทั่วโลก และได้ร่วมกันก่อตั้ง คอมมิวนิสต์นานาชาติ (คอมินเทิร์น) ในครั้งนี้ สมาชิกของคอมินเทิร์น รวมถึงพรรคบอลเชวิกเอง ได้แยกตัวออกจากขบวนการสังคมนิยม ต่อไปพวกเขาจะเป็นที่รู้จักกันว่า "คอมมิวนิสต์"   ในรัสเซีย พรรคบอลเชวิกก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย" ซึ่งต่อมาภายหลังจะกลายเป็น "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต" (CPSU)  ในขณะเดียวกัน สงครามกลางเมืองก็ได้แผ่ขยายลุกลามออกไปทั่วรัสเซีย การเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายชนิดและผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้จับอาวุธขึ้นสู้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายที่เข้าร่วมสงครามกลางเมือง แต่มีฝ่ายหลัก ๆ เพียงสองฝ่ายคือ ผ่ายกองทัพแดง (คอมมิวนิสต์) และฝ่ายกองทัพขาว (นิยมกษัตริย์) มหาอำนาจต่างชาติได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นก็ได้แทรกแซงสงครามนี้ (โดยเป็นฝ่ายสนับสนุนกองทัพขาว) แต่ในที่สุด ฝ่ายกองทัพแดงก็มีชัยในสงคราม โดยเอาชนะกองทัพขาวและพันธมิตรได้ในปี ค.ศ.1920

      สุขภาพของเลนินนั้นย่ำแย่จากความเครียดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการปฏิวัติและสงคราม ความพยายามที่จะสังหารเลนินเมื่อก่อนหน้า ลูกกระสุนในคราวนั้นก็ยังฝังอยู่ที่คอของเลนินบริเวณที่ใกล้เส้นประสาทมาก เกินกว่าเทคโนโลยีในสมัยนั้นจะช่วยผ่าตัดออกได้โดยไม่กระทบเส้นประสาท ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1922 เลนินมีอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองเป็นครั้งแรก เขากลายเป็นอัมพาตที่บางส่วนในซีกขวาของร่างกาย ทำให้เลนินมีบทบาทน้อยลงในรัฐบาล หลังจากการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองครั้งที่สองในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เลนินก็ได้วางมือจากกิจกรรมทางการเมืองทุกชนิด ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1923 เลนินมีอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองครั้งที่สาม ทำให้เขาต้องนอนอยู่กับเตียงและไม่สามารถพูดได้

      เลนินเสียชีวิตในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ.1924   เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมือง "เลนินกราด" เพื่อเป็นเกียรติแก่เลนิน เมืองนี้ยังคงชื่อเลนินกราดไว้จนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 จึงเปลี่ยนชื่อกลับเป็นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อย่างไรก็ตามในช่วงหลังจากนั้นมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับลัทธิพลังจักรวาลในรัสเซียค่อนข้างเป็นที่นิยม ทำให้มีความพยายามที่จะแช่แข็งร่างของเลนินไว้ เพื่อจะทำให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอนาคต อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นได้รับการซื้อเข้ามาในรัสเซีย แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้แผนนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยร่างของเลนินได้ถูกนำไปดอง และตั้งไว้ในอนุสาวรีย์เลนินในกรุงมอสโกว แม้ว่าก่อนเขาเสียชีวิตเขาได้แสดงความปรารถนาไว้ว่าไม่ต้องการให้ใครสร้างอนุสาวรีย์อะไรเพื่อระลึกถึงเขาก็ตาม

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×