คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 5
ภาพของสาวน้อยหน้าใส
แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงยีนง่ายๆ ผมสีน้ำตาลสั้นๆเสยเปิดหน้าผากเหมือนเด็กๆ มีลูกหมานอนหมอบอยู่บนตัก มือบอบบางลูบไล้ศีรษะเล็กๆด้วยกิริยาคล้ายปลอบโยนให้เจ้าตัวเล็กสงบลง...ถือเป็นภาพที่แปลกตาอย่างยิ่งสำหรับตินพล
ตามปกติแล้ว ผู้หญิงที่มีสิทธิ์นั่งเคียงคู่กับเขาในรถมินิสีดำด้านหลังคาแดงรุ่นใหม่ล่าสุดคันนี้
ล้วนเป็นสาวสวยที่ได้ชื่อว่าเลอเลิศในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนางเอกคนสวย
นักร้องสาวคนดัง หรือสาวไฮโซตระกูลดี
และแต่ละคนก็มักจะนั่งวางมาดงดงามอยู่บนเบาะข้างๆ ชวนเจ้าของรถหนุ่มคุยด้วยกิริยาอ่อนหวานฉอเลาะ
ไม่เคยมีใครดูสบายๆเป็นธรรมชาติอย่างสาวน้อยคนนี้สักคน
ที่สำคัญ ไม่เคยมีใครกล้าหอบหิ้ว ‘ลูกหมาจรจัด’ ขึ้นมาบนรถเขาด้วย!
ตินพลปรายตามองเจ้าหมาก็เห็นนอนนิ่งสงบบนตักเล็กๆ
ตัวของมันอ้วนกลมผิดลักษณะหมาจรจัดมากนัก แถมขนยังฟูนุ่ม เป็นสีน้ำตาลอ่อนพาดเส้นสีดำตรงกลางหลัง
สมชื่อที่เจ้าของตั้งให้ไม่มีผิด
หลังแจ้งความประสงค์ว่าต้องการจะคุยกับเธอ
หญิงสาวทำให้เขาแปลกใจด้วยการพยักหน้ารับง่ายๆไม่มีเกี่ยงงอน
แต่เธอก็ทำให้เขาชะงักไปกับคำขอที่ว่า
‘แต่ฉันต้องเอา “คาราเมล”
ไปด้วยนะคะ’
ตินพลขมวดคิ้วเข้าหากัน ‘คาราเมล...คุณจะเอาขนมไปกินบนรถผมหรือไง’
ดวงตากลมโตของอีกฝ่ายเป็นประกายพราวขึ้นมาทันที
แต่เมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆของเขาก็กลั้นยิ้มเอาไว้ได้
‘ไม่ใช่ค่ะ
คาราเมลเป็นหมา ฉันเก็บมาจากแถวนี้เอง ว่าจะเอาไปเลี้ยงที่ทำงาน’
เจอคำพูดนี้เข้า ตินพลถึงกับหาคำโต้ตอบไม่ทัน
ได้แต่ยืนอึ้ง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปร่งประหลาด แต่ไหนแต่ไร เวลาพูดคุยกับผู้หญิง
บทสนทนามักไม่มีอะไรมากไปกว่าหวานใส่กัน อ้อนกัน จีบกันไปมา
มีเพียงน้ำหนึ่งที่เป็นคนพิเศษ เพราะเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน
รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว จึงพูดได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องมาหวานใส่กันให้นึกขำ
ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะพูดคุยเรื่องปกติสามัญกับเพศตรงข้าม ยิ่งเรื่องเกี่ยวกับหมาแบบนี้
ยิ่งไม่เคยพูด
เจ้าหล่อนถือโอกาสที่เขายืนงงทำอะไรไม่ถูก
ตัดบทว่า
‘ไปกันเถอะค่ะ
ฉันฝากคาราเมลไว้ข้างหน้าสวนสนุก เขาไม่ยอมให้เอาเข้ามาด้วย’
พูดจบ ร่างเล็กๆก็หันกลับ
ออกเดินนำไปก่อนอย่างมั่นใจ ไม่ได้หันกลับมาดูด้วยซ้ำว่าเขาจะเดินตามไปหรือไม่
ตินพลมัวแต่งงจนนึกไม่ทันว่าควรแสดงกิริยาอย่างไร
เขาก้าวตามหญิงสาวไปโดยอัตโนมัติ ไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่า...นั่นเป็นครั้งแรกที่คนมากเสน่ห์อย่างเขายอมโอนอ่อนผ่อนตามคำพูดของผู้หญิง
ไม่ใช่ถือเอาแต่ตัวเองเป็นหลักดังที่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นๆเรื่อยมา
“คุณรู้อะไรบ้าง บอกผมมาให้หมด”
หลังเงียบกันไปอึดใจใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจถามตรงๆ
คนฟังนิ่งไปเป็นครู่ สีหน้าบอกชัดว่ากำลังคิดหาถ้อยคำเหมาะสม
มือที่ลูบศีรษะเจ้าหมาช้าลง และสุดท้าย เธอก็ตอบด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง
“ฉันคงไม่รู้มากไปกว่าคุณหรอกค่ะ”
“แต่คุณเป็นคนห้ามผมเข้าไปในบ้านบ้าๆนั่น”
อีกฝ่ายสวนทันที “คุณต้องรู้อะไรบ้างสิ”
เพลงฝนจ้องหน้าคนพูดเขม็ง
ด้วยแววตาราวกับจะค้นลึกให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของความรู้สึก
“คุณเจออะไรในบ้านปรารถนาหรือคะ”
ตินพลอ้าปากจะตอบ
แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ทำให้ชะงักอยู่แค่นั้น เขามองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ
“ถ้าคุณไม่รู้ล่วงหน้า
จะมาห้ามผมไว้ทำไม”
อีกฝ่ายนิ่งงันไป
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน้อยๆเหมือนกำลังชั่งใจในบางอย่าง
“นี่คุณผู้ช่วยสไตลิสต์” ตินพลลงเสียงหนัก
“ผมไม่มีเวลามาพูดล้อเล่นกับคุณหรอกนะ ถ้ารู้อะไรก็ควรบอกมาให้หมด
เรื่องนี้สำคัญกับ...ผมนะ” ชายหนุ่มกลืนคำว่า ‘ชีวิต’ ลงไปได้ทัน
แต่อีกฝ่ายก็ชำเลืองมองคล้ายรู้ในที
“ฉันรู้ค่ะว่าเรื่องนี้สำคัญกับ...คุณ
แต่ถ้าอยากให้ฉันเล่า คุณควรบอกมาก่อนว่าพบอะไรในบ้านปรารถนา อีกอย่าง
ฉันชื่อเพลงฝนค่ะ ไม่ใช่ผู้ช่วยสไตลิสต์ โอเค้...? กรุณาเรียกให้ถูกด้วย”
ตินพลรู้สึกเหมือนเหตุการณ์กำลังย้อนกลับไปเมื่อหัวค่ำ
เขาพูดอย่าง ผู้หญิงคนนี้พูดไปอีกอย่าง เหมือนหมาไล่งับหางตัวเองไม่มีจุดสิ้นสุด
และไม่ได้คำตอบเสียที ความหงุดหงิดทำให้เสียงของเขาเข้มขึ้น
“คุณนี่ยังไงนะ พูดวกไปวนมา
จะบอกก็ไม่บอก มาอมพะนำอยู่ได้ หรือว่าความจริงแล้วคุณไม่ได้รู้อะไร
เป็นแค่แฟนคลับหรือเปล่า คุณเพลงฝน หรือที่พี่เม้ยเรียกว่า ‘เรน’” ตอนท้ายเขาออกเสียงเรียกชื่อเธอหนักๆคล้ายประชด
“อันที่จริงฉันเพิ่งรู้จักคุณวันนี้นี่แหละค่ะ
ปกติไม่ค่อยชอบดูละคร” คำตอบนั้นเรียบก็จริง แต่ความหมายกลับทำให้คนฟังถึงกับจุก
พูดอะไรไม่ออก
อีกฝ่ายไม่สนใจสีหน้าท่าทีของเขา
เธอชะโงกมองข้างทางแล้วบอกง่ายๆ
“ถึงแล้ว จอดตรงนั้นได้เลยค่ะ
ริมทางเท้าด้านหน้า ตรงหน้าปากซอย”
ตินพลถอนใจเฮือก นึกโมโหที่ถูกขัดใจ
แต่ก็ยอมลดความเร็วลงแล้วเบี่ยงพวงมาลัยเข้าจอดเทียบชิดริมทางเท้าตามคำสั่งโดยดี
ตั้งใจว่าจะจอดรถคุยกันสักพักให้รู้เรื่องมากกว่านี้ ขับรถไปคุยไป เป็นการแยกสมาธิเป็นสองทาง
ทำให้ความสามารถทางการแยกแยะของเขาลดลงไปพอควร
ทว่ายังไม่ทันจะดับเครื่องยนต์ดังที่ตั้งใจไว้
เสียงใสๆก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“ดึกมากแล้ว ฉันขอตัวเลยดีกว่า
ขอบพระคุณมากที่อุตส่าห์มาส่ง”
คนอุตส่าห์ขับมาส่งอ้าปากค้าง
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย จะรีบไปไหน”
“เราคุยกันรู้เรื่องดีแล้วค่ะ”
คำตอบชัดเจน “ต่อให้คุณถามอีกกี่รอบ ฉันก็ตอบได้แค่นี้ เอาอย่างนี้ รอไว้พบกันคราวหน้าแล้วกันนะคะ
เราค่อยคุยกันอีกที”
“เดี๋ยวก่อน...” ตินพลเรียก
แต่อีกฝ่ายไม่ฟังเสียแล้ว เพราะเปิดประตูก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว
ไม่ลืมหอบเจ้าลูกหมาตัวนั้นไปด้วย
ตินพลสบถ
เขาบิดกุญแจดับเครื่องยนต์แล้วพรวดพราดเปิดประตู ทว่ายังไม่ทันจะก้าวลงไป
เสียงกดแตรยาวเหยียดก็ทำให้ต้องชะงักอยู่ในท่านั้น รถคันหนึ่งแล่นปาดหน้าในระยะประชิดชนิดที่ว่าถ้าเขาเปิดประตูก้าวลงไปเมื่อครู่
คงโดนชนกระเด็นไม่มีเหลือแน่
รอจนรถคันนั้นขับจากไป
เขาก็ไม่เห็นเงาร่างเล็กๆนั้นเสียแล้ว
ยายผู้หญิงตาโตเจ้าของชื่อแปลกหูกับน้องหมาหายตัวไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
ไม่ผิดอะไรกับสตรีงามที่เขาพบในห้องแห่งไฟเมื่อสักครู่!
บ้านหลังนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง
การตกแต่งเรียบๆไม่มีอะไรสะดุดตา ยกเว้นจุดเด่นคือกระจกใสบานใหญ่ยาวจรดพื้น
ลักษณะภายนอกแม้จะเก่าแก่ แต่โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง บอกให้รู้ว่าเจ้าของบ้านคงจะเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี
รั้วไม้ระแนงสูงระดับคอทำให้มองเข้าไปเห็นสภาพภายในได้รำไร
ด้านหน้าประกอบด้วยสนามกว้างปลูกหญ้าตัดเรียบสะอาดตา
ไม้ยืนต้นหลายชนิดตั้งตระหง่าน มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ในความมืด
เป็นเวลาเนิ่นนานที่ไม่มีใครเดินผ่านหน้าบ้าน
ทั้งๆตั้งอยู่กลางซอย แสงสว่างของดวงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูงส่องกระทบร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนสงบนิ่งไม่ไหวติง
สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง นัยน์ตาดำสนิทเป็นประกายครุ่นคิด
เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ตกอยู่ภายใต้เงามืดคมเฉียบเหมือนรูปสลักที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ตินพลเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงมายืนอยู่ที่นี่
ณ บ้านต้องห้ามหลังนี้
น้ำเสียงเข้มงวดของผู้เป็นมารดาดังก้องอยู่ในความทรงจำที่ยาวนาน...
‘อย่าไปยุ่งกับลุงเชียวนะเต
ถือว่าแม่ขอร้อง’
‘ลุงเขามีอะไรแปลกๆ อยู่ห่างๆเขาไว้เป็นดี’
‘ลุงของลูก วันๆเอาแต่ส่องพระ
ตามหาสมบัติโบราณอยู่นั่นแหละ สักวันของจะเข้าตัวเอา ที่แม่ห้ามลูกไปเจอเขา
ก็เพราะกลัวจะเจออันตรายไปด้วย’
ตินพลนึกถึงชายชราวัย ๖๐เศษ
รูปร่างยังคงผึ่งผายน่ามอง ไม่ดูเหนื่อยล้าเช่นผู้อยู่ในวัยเดียวกัน
ผิวคล้ำแดดผิดกับหลานชาย ซึ่งมีผิวนวลสะอาดค่อนไปทางขาวเสียมากกว่า
คนทั่วไปจึงดูไม่ออกว่าทั้งคู่เป็นเครือญาติกัน ดวงหน้าแม้จะชราด้วยวัย
แต่ก็ยังเห็นเค้าความคมคายในวัยหนุ่มได้ชัด
นัยน์ตาคมกริบเป็นประกายเข้มลึกบ่งความแข็งแกร่งภายใน
ทุกครั้งที่ดวงตาคู่นั้นตวัดมองใคร
อำนาจในแววตาจะทำให้อีกฝ่ายต้องชะงักด้วยความยำเกรง
ลุงของเขา...ลุงลือฤทธิ์
ตินพลได้พบลุงเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ
๑๙ ปี จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะลุงเป็นพี่ชายแท้ๆของแม่
และเป็นญาติคนเดียวที่แม่มีอยู่ เนื่องจากคุณตาคุณยายเสียชีวิตไปหมดแล้ว
ญาติคนอื่นก็ห่างเหินกระจัดกระจาย แทบไม่เคยพบหน้ากัน
ตินพลนึกหาคำมาอธิบายไม่ถูก
ความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับแม่ของเขามีแต่ความห่างเหิน เท่าที่จำได้
ทั้งคู่ไม่เคยแสดงความผูกพันอย่างพี่น้องให้เห็น แม่แทบไม่เคยเอ่ยถึงลุง
ถ้าจะพูดถึงบ้างก็เป็นไปในแง่ร้ายอยู่ตลอด
และห้ามขาดไม่ให้เขาติดต่อกับลุงไม่ว่าวิธีใด
และเหตุผลที่ได้พบหน้ากัน
ก็เป็นเพราะเขาจงใจไปสมัครเข้าเป็นสมาชิก ‘ชมรมเรื่องลี้ลับ’ ซึ่งลุงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่
เรื่องทั้งหมดเขาสืบข้อมูลด้วยตัวเองแล้วปิดเป็นความลับไม่ให้ใครรู้
แม้กระทั่งน้ำหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิท เขาก็ไม่ได้บอก
ตั้งใจจะดูปฏิกิริยาของลุงด้วยว่าจะโต้ตอบอย่างไร
เมื่อเห็นหลานชายคนเดียวมายืนอยู่ตรงหน้า
ทว่า...เพียงครั้งแรกที่สบตา ตินพลก็ตระหนักได้ว่าลุงรู้ว่าเขาเป็นใคร
เพียงแต่ลุงไม่พูดอะไร
เช่นเดียวกับเขา
หลังจากวันนั้น ตินพลได้รู้จักลุงมากขึ้น
เขาพบว่าคำเตือนของแม่ไม่ได้เกินจริงเลย
ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเรื่องลี้ลับ ตินพลเชื่อว่าลุงมีบางสิ่งบางอย่างในตัว
เป็นสิ่งพิเศษที่เขาเองก็ระบุชัดเจนไม่ได้ว่ามันคืออะไร
รู้เพียงว่าสิ่งนั้นทำให้ลุงแตกต่างและไม่เหมือนใคร อย่างไรก็ตาม ตินพลไม่เคยมองลุงในแง่ลบหรือของจะเข้าตัวดังที่แม่บอก
ตรงกันข้าม เขาอยากจะคิดว่าอำนาจในมือลุง เป็นไปเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามด้วยซ้ำ
เขารู้สึกได้เอง ทั้งๆไม่เคยพูดคุยกับลุงในเรื่องนี้แม้สักคำ
ชายหนุ่มเองก็ตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงได้สนใจเรื่องของลุงมากนัก
มันอาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของหนุ่มน้อยวัยรุ่นกับของต้องห้ามก็ได้ ที่สำคัญ
คนอย่างเขามีลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง คือยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อถูกแม่ห้ามปรามหลายครั้งเข้า
ก็เกิดความรู้สึกอยากพิสูจน์ อยากรู้ อยากลอง
‘ส่วนผลน่ะหรือ...’
เสียงแผ่วๆคล้ายเสียงกระซิบดังแว่วขึ้นในความเงียบ
ตินพลยืนนิ่งไม่ขยับ ตั้งใจจะเงี่ยหูฟังให้ชัด
เสียงนั้นเตือนใจให้เขานึกถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อหัวค่ำอย่างช่วยไม่ได้
มีความคล้ายคลึงบางอย่างที่เขาเองก็ระบุไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ลมพัดมาหอบหนึ่ง
รอบตัวกลับสงัดเงียบราวกับเสียงที่ได้ยินเป็นแค่หูฝาด ตินพลถอนใจลึกล้ำ
แววตาเป็นประกายสับสนระคนลังเล ใช่แล้ว เขามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากลุง
เพราะรู้แน่แก่ใจว่าลุงคือผู้เชี่ยวชาญด้านเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติทั้งหลาย
และเขาค่อนข้างมั่นใจว่าลุงต้องรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่
ทว่า...ภาพดวงหน้าคมคายฉลาดเฉลียว
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายหยิ่งและอวดดีของใครคนหนึ่งผ่านเข้ามาในความทรงจำ
ตินพลชะงักงันราวกับเจ้าของร่างมายืนอยู่ตรงหน้า
เขาจำได้แม้แต่รอยยิ้มถือดีของหมอนั่น รอยยิ้มของผู้ชนะ
‘วันนั้น’ ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ตินพลไม่เคยลืม
วันนั้นก็ไม่ต่างจากวันนี้
เขามาบ้านหลังนี้ด้วยใจที่มุ่งมั่น อยากจะรู้จักลุงให้มากขึ้น
อยากสร้างความผูกพันฉันคนในครอบครัว อยากให้ลุงรู้ว่า...ถึงแม้แม่จะรังเกียจ
ไม่ต้องการลุง แต่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ตรงกันข้าม เขาออกจะนับถือลุงด้วยซ้ำไป และแม้ลุงจะไม่เคยปริปากเรื่องเขาเป็นหลาน
แต่ตินพลรู้ดีว่าลุงยอมรับเขา แววตาของลุงบอกเช่นนั้น
เขาในวัย ๑๙ เอื้อมไปกดกริ่ง
รอผู้เป็นลุงมาเปิด ตั้งใจว่าจะพูดกันตรงๆให้รู้กันไปเสียที
หลังจากเก็บงำเรื่องความผูกพันทางสายเลือดมาได้จนจบปีการศึกษาแรก
กำลังจะขึ้นปีการศึกษาที่สอง
ใครคนหนึ่งก้าวออกมาจากบ้าน
ร่างนั้นสูงเพรียว ไหล่กว้างได้ส่วนสัด ไม่ใช่รูปร่างของชายชราที่เขาเห็นจนคุ้นตา
แต่เป็นหนุ่มฉกรรจ์ในวัยเดียวกับเขา ผู้ชายที่มีแววตาคมกริบบ่งความฉลาดลึกล้ำ
และท่าทางอวดดีอย่างคนมีดีให้อวด
นพคุณ...
ริมฝีปากของอีกฝ่ายโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ตรงกันข้ามกับแววตาที่เฉยเมยไร้ความรู้สึกยินดี
‘มาหาอาจารย์หรือยังไง’ คำทักนั้นอาจฟังปกติ แต่บางอย่างจากสีหน้าท่าทาง สำหรับตินพล
มันฟังดูเหมือนนพคุณกำลังรวน
เขาไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับ ‘นายมาทำอะไรที่นี่’
คนถูกถามเลิกคิ้ว ‘ฉันอยู่ที่นี่’
ตินพลถึงกับระงับสีหน้าไม่อยู่ ‘อยู่ที่นี่’ เขาทวนคำ ทั้งแปลกใจและไม่เข้าใจ เท่าที่จำได้
ลุงใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีแม้แต่คนดูแลบ้าน
แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าหมอนี่จะมาอยู่ในบ้าน
เดือนที่แล้วเขาแวะมาแอบดู
ยังไม่เห็นมันเลยนี่นา
ความคิดนี้ทำให้ตินพลหลุดปากถามออกไป
‘นายอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร’
อีกฝ่ายชะงักไปราวกับคำถามนั้นกระทบใจ
ตินพลไม่รู้ตัวหรอกว่าคำพูดของเขาทำให้นพคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ‘อยู่ที่นี่ในฐานะอะไร’ ถ้อยคำนั้นกรีดความรู้สึกของคนฟังอย่างร้ายกาจ
สำหรับคนโดดเดี่ยวไร้ญาติขาดมิตรอย่างชายหนุ่ม
คำถามที่ทำร้ายจิตใจได้รุนแรงที่สุดก็คือคำถามที่ทำให้รู้สึกว่า...เขาไร้ซึ่งความสำคัญ
นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างไม่เป็นมิตร
รอยยิ้มรวนๆผุดขึ้นที่มุมปาก
‘อาจารย์บอกว่าฉันเหมือนหลานชาย
จะเข้านอกออกในเมื่อไหร่ได้ทุกเวลา’
ความจริงแล้วนพคุณตั้งใจตอบเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง
ไม่ทันคิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะไปกระทบใจ ‘หลานชายตัวจริง’ เข้า
ที่สำคัญเขาไม่เคยรู้ความสัมพันธ์ของลือฤทธิ์กับตินพล
ก็เลยพูดไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แต่ตินพลไม่รู้ข้อนี้
จึงรับความหมายของมันเข้าเต็มๆ
ลุงบอกว่านพคุณเหมือนหลานชาย อนุญาตให้หมอนี่เข้านอกออกในได้ทุกเวลา
ในขณะหลานชายตัวจริงอย่างเขา ลุงกลับไม่เคยแม้แต่จะปริปากพูดด้วย
ความรู้สึกบางอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่าเสียหน้าตื้อขึ้นมาในใจ
ตินพลหันหลังกลับไม่โต้ตอบ ไม่ออกความเห็นใดๆ ไม่สนใจแม้จะได้ยินเสียงตะโกนเรียก
“เฮ้ย ไอ้เต จะไปไหนวะ” ของนพคุณ คนอย่างเขามีศักดิ์ศรีพอ
ในเมื่อลุงเลือกนพคุณเป็น ‘หลานชาย’ โดยไม่แยแสเขา
เขาก็ไม่ควรดันทุรังอยู่ต่อให้อับอาย
บางทีแม่อาจพูดถูก
เขาควรอยู่ห่างจากลุง
หลังจากวันนั้น
ตินพลถอยห่างจากชมรมเรื่องลี้ลับชนิดที่เรียกว่าหักดิบ เขาไม่สนใจความเป็นไปของชมรมเล็กๆนั้นอีก
แม้น้ำหนึ่งจะชักชวนแกมบังคับอีกหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ทำหูทวนลมเสีย
‘ตัวเองเป็นคนชวนมาเข้าชมรมแท้ๆ
พอเบื่อละทิ้งเราเฉยเลย’ หญิงสาวบ่นอุบ
‘ก็เธอมีไอ้พี่เก้า
ที่ไม่รู้จะเก้านิ้วจริงหรือเปล่าแล้วนี่ ฉันจะอยู่ต่อทำไมล่ะ’ เขาทำเป็นพูดเล่น และเพื่อนสาวก็ชูมะเหงกใส่เป็นการตอบแทน
น้ำหนึ่งไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก
อาจจะชินแล้วกับนิสัยรักง่ายหน่ายเร็วของเขา ที่สำคัญ
ขณะนั้นตินพลได้รับการติดต่อให้เล่นละครเป็นเรื่องแรก
จึงต้องใช้เวลาและความทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ละครเรื่องนั้นชื่อว่า ‘ตราบสิ้นแสงอัสนี’
เป็นผลงานของนักเขียนหน้าใหม่มาแรงนามปากกา ‘อสิตา’ ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกนักแสดงด้วยตัวเอง และคอยควบคุมการแสดงอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากเจ้าตัวเป็นคนละเอียดลออและจริงจังกับการทำงานมาก
ตินพลผู้รับบทพระเอกจึงต้องเหน็ดเหนื่อยมากกว่าคนอื่น
โชคดีที่เขาเป็นคนอดทนและไม่ยอมแพ้ ก็เลยสามารถผ่านมาได้ในที่สุด
ผลของความพยายามได้รับการตอบแทนเมื่อละครออกฉาย
เพียงแค่ตอนแรก เขาก็กลายเป็นพระเอกขวัญใจที่ทุกคนกล่าวขวัญถึง สื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์
หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเว็บไซต์ต่างๆลงข่าวกันครึกโครม เว็บบอร์ดต่างๆก็มีกระทู้พูดถึงเขาหลายร้อยกระทู้
ล้วนแต่เป็นความเห็นในทางบวก ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือฝีมือการแสดง
ประวัติเก่าๆถูกนำมาพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชื่อเสียงไหลมาเทมาไม่หยุด
จากนั้นชีวิตของตินพลก็มีแต่ขาขึ้น
ปลายปี เขาคว้ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่ดีเด่นประจำปีไปครอง
ชื่อของเขาติดนักแสดงอันดับหนึ่งที่ทุกคนต้องการตัว ช่องป้อนงานดีๆให้ไม่ขาดสาย
ชื่อของลุงเริ่มจางไปจากความนึกคิด พร้อมกันนั้น
เขาก็เดินห่างจากชมรมเรื่องลี้ลับมากขึ้นทุกที
ไม่ได้นึกถึงอีกเลยจนกระทั่งวันนี้...
ลมเย็นๆลูบไล้ผ่านใบหน้าราวกับจะปลอบโยน
ตินพลกะพริบตา แล้วภาพเก่าๆก็จางหายไป
เกือบหกปีแล้วสินะที่เขาไม่ได้มาเยือนบ้านหลังนี้
ไม่ได้ติดตามข่าวของลุงอีก ไม่มีการสืบเรื่องเก่าๆอย่างที่เคยทำมาตลอด
ทุกอย่างจบลงตั้งแต่วันนั้น วันที่เขากับนพคุณยืนเผชิญหน้ากันตรงรั้วเก่าๆแห่งนี้
และฝ่ายนั้นประกาศตัวว่าเป็นหลานชายคนหนึ่งของลุง
คำตอบนั้นเหมือนมือยักษ์ที่ผลักไสให้เขาต้องก้าวจากมา
มือของตินพลเกือบจะเอื้อมไปกดออดแล้ว
ทว่าภาพความทรงจำในอดีตหยุดเขาเอาไว้
เขาไม่อยากเจอหน้านพคุณ
ไม่อยากถูกถากถางด้วยแววตาและคำพูดอย่างที่เคยโดนมาแล้วในอดีต
ไม่อยากรับรู้ความรู้สึกที่ว่า ขณะเขาให้ความสำคัญกับลุง
ยอมกระทั่งขัดคำสั่งของแม่ ลุงกลับไม่เคยแยแสสนใจเขา
หลากหลายอารมณ์สับสนวุ่นวายในใจ
ในที่สุดตินพลตัดสินใจหันหลังกลับ แล้วก้าวจากไปเงียบๆ ภาพนั้นไม่ต่างจากการฉายซ้ำของฉากในอดีต
วันนั้นเขาก็ก้าวจากมาด้วยความรู้สึกนี้ไม่มีผิดเพี้ยน ความรู้สึกของคนแพ้
คนที่ถูกผลักไสอย่างไม่ไยดี
ชายหนุ่มไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ที่มุมหนึ่งของหน้าต่างไม้ชั้นบนที่มืดทึบ
ร่างของผู้ที่เขานึกถึงยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยสีหน้าครุ่นคิดระคนห่วงใย
ห้องนั้นมีขนาดค่อนข้างเล็กจนอาจเรียกได้ว่าสตูดิโอ
ภายในประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์จำเป็นน้อยชิ้น ด้านหนึ่งวางเก้าอี้นวมที่ดึงออกมาเป็นเตียงได้
โต๊ะสูงหนึ่งตัวสำหรับวางพักของ และครัวเล็กๆ เพียงเท่านั้นก็แทบจะเต็มแน่นเนื้อที่
อย่างไรก็ตาม เจ้าของห้องดูจะมีนิสัยรักสะอาดและเป็นระเบียบ
จึงเก็บกวาดไว้เรียบร้อย ทำให้ไม่ดูรกรุงรัง มุมด้านหนึ่งปูแผ่นยางบางๆรองรับด้วยโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กกะทัดรัดพร้อมหมอนอิงหลากสี
แลดูสดใสสะดุดตา
ประตูเปิดออก ร่างเล็กบางก้าวเข้ามา
หญิงสาวหน้าใส ผิวสะอาด และนัยน์ตากลมโตกระจ่าง ทำให้ดวงหน้านั้นคล้ายเด็ก เธออุ้มลูกหมาไว้ในมือข้างหนึ่ง
อีกข้างหอบกระเป๋าดูทุลักทุเล
เจ้าลูกหมาดิ้น
เพลงฝนจึงย่อตัวปล่อยมันลงบนพื้น หมาน้อยวิ่งไปทั่ว จมูกดมสำรวจพื้นที่ใหม่อย่างแปลกใจ
“ห้ามฉี่ล่ะ คาราเมล”
เจ้าของห้องรีบห้าม เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะญี่ปุ่น ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนกองหมอนนุ่มๆ
มือรูดซิปเปิดกระเป๋า
หยิบถุงพลาสติกใสบรรจุกระป๋องอาหารสำเร็จรูปของสุนัขออกมา
หญิงสาวเปิดกระป๋อง เทอาหารลงในถุง
พับปากลงเพื่อให้เป็นรูปทรงภาชนะ เจ้าหมาน้อยได้กลิ่นอาหารก็เลยกระดิกหางแล้วเดินเข้ามาใกล้
จมูกซุกลงในอาหารด้วยทีท่าหิวโหย
เพลงฝนนั่งมองเพื่อนร่วมห้องตัวจิ๋วกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
รอยยิ้มขยายกว้าง
“อร่อยใหญ่นะ หิวละซี” เธอล้อ
และเจ้าหมาผงกศีรษะ เห่ารับจนเธอสะดุ้ง
“จุ๊” หญิงสาวยกปลายนิ้วแตะริมฝีปาก
หันรีหันขวางอย่างตกใจ “เบาซี เดี๋ยวใครได้ยินเข้า ซวยพอดี
แกอยู่ได้แค่คืนนี้เท่านั้นแหละ พรุ่งนี้ไปบ้านพักใจกัน”
เจ้าหมาเอียงคอมอง แล้วก้มหน้าก้มตากินอย่างหิวจัด
เพลงฝนยิ้มขัน เธอหยิบกล่องโฟมอีกใบออกจากกระเป๋า
มันคืออาหารที่เหลือจากกองถ่ายแฟชั่นเมื่อบ่าย ข้าวหมูทอดที่เย็นจนชืด
แต่เธอก็กินได้อย่างไม่เดือดร้อน เพราะชินเสียแล้ว
หญิงสาวตักอาหารใส่ปาก เคี้ยวช้าๆ ภาพของใครคนหนึ่งปรากฏในความทรงจำ
ผู้ชายร่างสูง ตาคม
หล่อเหลาราวรูปสลัก ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเขาเปี่ยมด้วยเสน่ห์
ทั้งรอยยิ้มละลายใจ และดวงตามากมายด้วยความรู้สึก ตั้งแต่เกิดมา
เพลงฝนไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนสะดุดตาอย่างเขามาก่อน เรียกว่ายืนเฉยๆเขาก็ยังดูโดดเด่น
เหมือนแท่งแก้วเจียระไนที่สะท้อนแสงแพรวพราวอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากได้รับ ‘คำขอ’ ให้ไปช่วยเหลือดาราหนุ่มนามตินพล เพลงฝนยอมรับว่าลังเล
การทำงานในวงการเดียวกันทำให้เธอรู้จักชื่อเสียงเลวร้ายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
แต่ก็น่าแปลก พอได้พบกันเข้าจริงๆ เธอกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้อันตรายอย่างฉายา
ตรงกันข้าม เขาเป็นคนใจดีเอามากๆเสียด้วยซ้ำ ดูจากสายตาที่มองคาราเมลก็รู้
นอกจากนี้เขาไม่มีทีท่าว่าจะเจ้าชู้กับเธอสักนิด
ทั้งยังมีน้ำใจขับรถมาส่งเธอที่บ้านเสียอีก
ข้าวหมดกล่องภายในเวลาอันรวดเร็ว
เพลงฝนปิดฝา รัดหนังสติ๊ก แล้วทิ้งกล่องลงในถังขยะอย่างว่องไว
เธอเข้าห้องน้ำอาบน้ำสระผม ใช้เวลาทำความสะอาดตัวเองครู่ใหญ่
เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง ดวงหน้าใสสะอาดชื้นด้วยละอองน้ำ
ริมฝีปากเป็นสีสดตัดกับผิวขาวละเอียด ชุดนอนง่ายๆประกอบด้วยเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขายาวเนื้อนุ่มเบาสบาย
เจ้าคาราเมลกินข้าวจนหมดถุงก็หลับไปง่ายๆตรงนั้นเอง
เพลงฝนมองภาพนั้นแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู เธอเก็บถุงข้าวทิ้งลงถังขยะ
แล้วก้าวตรงไปที่เตียง กลิ้งตัวไปมา ดึงผ้าแพรเย็นลื่นขึ้นมาห่มแค่เอว
ลมจากพัดลมมุมห้องพัดโชยแผ่วๆปะทะใบหน้า บวกกับความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน
ทำให้ดวงตาค่อยๆหรี่ลง อีกไม่กี่นาทีต่อมา เธอก็หลับไปง่ายๆไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก
ในห้วงฝันที่เลือนราง
เพลงฝนพบว่าตัวเองเดินอยู่ท่ามกลางแสงขาวพร่างพราว อากาศรอบตัวเย็นสบาย
ไม่มีไอความร้อนปะปนให้ระคายผิว กลิ่นหอมจางๆคล้ายดอกไม้อวลอยู่ในบรรยากาศ
หอมละมุนละไมในความรู้สึก
เสียงใสเบา
ฟังเสนาะคล้ายการเล่นเครื่องดนตรีดังลอยล่องลม แล้วร่างของสตรีนางหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ดวงหน้างามราวรูปปั้น พัสตราภรณ์ขาวสว่างกระจ่างตา
ริมฝีปากบางหยักเป็นขอบงามยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยิ้มที่งามนัก
และเต็มไปด้วยรอยอ่อนโยนปรานี
“ข้าขอบใจเจ้ามาก” น้ำเสียงนั้นไพเราะน่าฟัง
วงหน้าเล็กๆของเพลงฝนสลดลง “ดิฉันทำไม่สำเร็จ
ห้ามเขาไม่ได้”
“เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าได้สมบูรณ์แล้ว”
อีกฝ่ายตอบเรียบๆ “ที่เหลือเป็นชะตาของเขา ไม่มีใครฝืนได้”
“ดิฉันเสียใจ”
“ไม่เป็นไร
แต่ข้ามีเรื่องขอให้เจ้าช่วยอีกครั้ง เจ้าจะทำได้ไหม”
แทนคำตอบ
เพลงฝนพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ
ความมุ่งมั่นของเธอทำให้นัยน์ตาดำงามเหมือนนิลเจียระไนสั่นไหวด้วยรอยเต็มตื้น
“ขอบใจเจ้ามาก หญิงมนุษย์
สักวันเราจะตอบแทนเจ้า เราให้สัญญา”
“โปรดบอกมาเถอะค่ะ
ดิฉันยินดีช่วยทุกอย่าง”
หลังจากนั้นเสียงใสดังแผ่วอยู่ในความเงียบ
เพลงฝนนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เธอสดับรับทุกถ้อยคำไว้ในความทรงจำไม่ให้หลุดลอยหายไปได้
เพราะรู้ดีว่าเนื้อความทั้งหมดเกี่ยวพันกับชีวิตของผู้ชายคนนั้นโดยตรง
ความตั้งใจแรงกล้าท่วมท้นล้นความรู้สึก
เพลงฝนบอกตัวเองว่าจะต้องช่วยเขาให้ได้ อะไรบางอย่างบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี
และเธอเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจ
ไม่อยากเห็นเขาต้องเผชิญกับโชคชะตาอันโหดร้ายนี้เพียงลำพัง
เพลงฝนไม่รู้ตัวเลยว่า
บัดนี้เงาของผู้ชายคนนั้นได้ก้าวเข้ามาอยู่ในหัวใจของเธอเสียแล้ว
ความคิดเห็น