คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The drakos
The drakos
กลางดึกคืนหนึ่งที่ซึ้งท้องฟ้าสีดำมืดสนิทเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์มีปีกซึ้งนั้นไม่ใช้นก เหล่าสัตว์มีปีกซึ้งกำลังโบยบินอยู่เหนือน่านฟ้ายามค่ำคืนพร้อมปล่อยลำแสงเป็นเส้นตรงซึ้งมีอนุภาพสามารถทำลายล้างสิ่งที่ลำแสงนั้นโดนได้เพียงพริบตา สัตว์บินได้เหล่านั้นมีขนาดลำตัวที่ใหญ่และยาวหลายเมตรแน่นอนว่าลำตัวที่ทั้งใหญ่และยาวนั้นไม่ใช้นกธรรมดาเป็นแน่
อันที่จริงมันก็ไม่ใช้นกแต่เป็นมังกรต่างหาก
“ว๊าก! นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?” เด็กหนุ่มร่างเล็กผู้น่าจะมีอายุไม่เกินสิบขวบตะโกนออกมาพลางวิ่งหนีเจ้าลำแสงวิบัตินั้นซึ้งมันกำลังทำลายเมืองที่เขาใช้พักพิงชั่วคราวจนราบเป็นหน้ากอง แต่อันที่จริงเขาไม่ได้หนีเจ้าลำแสงนั้นิย่างเดียวแต่ว่า
เขากำลังหนีฝาแฝดของตัวเองอยู่ด้วย
เด็กน้อยหันหน้ามองหลังเพื่อดูลาดลาวขณะที่กำลังวิ่งอยู่จนวิ่งไปชนใครคนหนึ่งซึ้งยืนขวางทางเขาจนเขาล้มลงก้นจำเบ้ากับพื้นถนนในซากปรักหักพังของเมืองที่เขาเคยใช้พักอาศัย “คิดว่าจะหนีฉันได้งั้นหรือคุณน้องชายฝาแฝด?” ทันทีที่เด็กน้อยได้ยินเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนซึ้งเขาได้วิ่งชนเมื่อครู่ก็ถึงกับหยุดชะงักทันที บุคคลซึ้งยืนอยู่ข้างหน้าส่วนสูงและอายุน่าจะพอๆ กันกับเด็กหนุ่มกำลังเอาปืนจ่อหัวเตรียมยิงเขาได้ทุกเมื่อ
แกร็ก
เสียงของปืนซึ้งถูกบุคคลตรงหน้าใช้นิ้วชักมันก่อนที่จะเหนี่ยวไกรปืนจ่อหัวเด็กชานด้วยรอยยิ้มของสุนัขจิ้งจอก เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น “ถึงแกจะเป็นพี่ฉันก็เถอะแต่เราเกิดวันเดียวกันนะเฟ้ย!” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วพร้อมกันนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “แล้วก็... อย่ามาเรียกฉันว่าน้องชายเพราะฉันไม่นับถือแกเป็นพี่อีกต่อไปแล้ว!” สิ้นเสียงอันแสนแหลมสูงของเด็กน้อย เด็กน้อยก็ออกตัววิ่งผ่านตัวเด็กชายผู้หน้าเหมือนกันราวกับแกะเพียงแค้เสียงของทั้งสองต่างกันเท่านั้นอีกครั้งแต่ทว่า
ปัง!
“แล้วใครเขาบอกว่าฉันนับถือแกว่าเป็นน้องชายกันละ?” เสียงทุ้มต่ำของเด็กชายหน้าเหมือนกับเด็กน้อยคนนั้นดังขึ้นหลังจากที่เขาปล่อยลูกตะกั่วเหล็กออกจากปากกระบอกปืนใส่ตัวเด็กน้อยซึ้งเพิ่งจะวิ่งผ่านตัวเขาไปเมื่อครู่ที่ตำแหน่งหัวใจด้วยการเล็งยิงที่แม่นยำผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกซึ้งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบขวบด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มหน้าเหมือนคนนั้นเก็บปืนแล้วมองขึ้นฟ้า
คืนนั้น... ดวงจันทร์มืดบอดสนิทจนกลมกลืนไปกับท้องฟ้าสีดำ เด็กหนุ่มหน้าเหมือนคนนั้นยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันหลังเดินเป็นเส้นตรงช้าๆ ตรงไปยังมังกรตัวใหญ่ยักษ์ซึ้งมีแผงคนเป็นสีเหลืองทองส่องประกายกลางลำตัวสีขาวนวลนั้นมีสัญลักษณ์รูปดอกกุหลาบซึ้งถูกบังเหียนใช้สำหรับควบคุมมังกรปิดทับไว้ เด็กหนุ่มเดินจนถึงแล้วกระโดดขึ้นบังเหียนอย่างชำนาญก่อนจะบังคับให้มังกรตัวใหญ่ยักษ์กางปีกซึ้งคล้ายคลึงกับปีกค้างคาวแต่มีสีขาวออกมาแล้วบินขึ้นสูงสู่น่านฟ้าจากไปพร้อมกับเหล่ากองทัพมังกรที่เพิ่งจะถล่มเมืองจนราบเป็นหน้ากลองไปเมื่อกี้
แล้วเด็กชายผู้ถูกยิงละ?
เด็กชายคนนั้น ณ ตอนนี้กำลังนอนจมกองเลือดเส้นผมสีน้ำเงินเข็มจนแทบจะกลมกลืนจนเป็นสีดำตัดสั้นระต้นคอบัดนี้ได้เปื้อนเลือดสีแดงสดซึ้งไหลนองออกจากปากแผลในตำแหน่งที่ถูกยิง ในขณะนั้นเองที่จู่ๆ ในซากปรักหักพังใกล้ๆ สถานที่เกิดเหตุนั้นก็ได้มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาตรงมายังเด็กชายผู้นอนจมกองเลือดคนนั้น
เธอเอาเท้าเขี่ย
“ตายแล้วสินะ” เด็กสาวเอ่ยด้วยสีหน้าขยะแขย่งนิดๆ ก่อนที่ที่จะล้มตัวลงไปนั่งพร้อมๆ กับที่ยกศพของเด็กชายขึ้นมาไว้บนตัก เธอลูบหัวเด็กชายราวกับจะหาเลขแล้วหลับตา “เจ้านั้น... เก่งไม่เบาเลยนี้โทวะ โซจิถึงแม้ในหัวของเด็กคนนี้จะมีข้อมูลของเจ้านั้นน้อยไปหน่อยทั้งที่อยู่ตระกูลโทวะเหมือนกันแท้ๆ แต่เอาเถอะหมอนี้ยังมีประโยชน์สำหรับการทำงานของเราอีกมาก ยังไงก็ต้องปลุกหมอนี้ให้ตื่นจากความตายเสียก่อน” ทันทีที่เสียงแหลมสูงปรี๊ดซึ้งไม่น่าจะมีมนุษย์ที่ไหนมีเสียงได้แบบเธออีกแล้วนั้นจบลงวงเวทสีเขียวก็ถูกวากขึ้นที่พื้นบริเวณที่มีทั้งสองอยู่กึ่งกลางพอดี เรือนผมสีเขียวมรกตสั่นไหวบวกผสมกับแสงสีเขียวรอบกายทั้งคู้นั้นทำให้รู้สึกอบอุ่น บาดแผลฉกรรจ์ในตัวเด็กชายค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนว่าชุดที่ขาดจนเป็นรูพลุนของเด็กชายก็กลับมาสภาพเดิมเช่นกัน สักพักวงเวทก็ค่อยๆ เรือนหายไปกับอากาศพร้อมๆ กับเด็กสาวผมสีมรกตที่กำลังจางหายไปกับอากาศปล่อยให้เด็กหนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่คนเดียวเพียงลำพัง ณ ซากปรักหักพังของเมืองที่เขาเคยอาศัยอยู่
\
“!!!” ในที่สุดชายบว่าไม่อยากตื่นซะงั้น “ฝันเมื่อกี้นี้มัน.... ปาเข้าไปอาทิตย์หนึ่งแล้วแฮะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา ทว่าเขากลับลืมไปเลยว่าในห้องทำงานอันแสนกว้างใหญ่ซึ้งมีชั้นวางหนังสือ แฟ้มเอกสารสาระงานต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับงานของเขานั้นยังมีหญิงสาวอีกนางหนึ่งอยู่ในห้องด้วย
“ฝันเหรอ... ไหนขอฉันดูหน่อยซิ” ทันทีที่นางพูดจบนางก็คว้าอะไรบางอย่างที่อยู่บนพื้นกระเบื้องขัดมันอย่างดีขึ้นมา มันมีลักษณะคล้ายหูฟังแบบครอบ ไม่มีสาย มีสีดำตัดน้ำเงิน แถมตัวครอบหูยังเป็นรูปดาวอีกต่างหาก หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มก่อนที่จะจับมันสวมหัวชายหนุ่มโดยที่ไม่ขออนุญาตก่อนตามสไตล์ของเธอ
ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยดวงตาสีเขียวน้ำทะเลที่ปรือเพราะยังง่วงอยู่...
“นี้เอเลน... ฉันบอกเธอกี่รอบแล้วว่าไม่ให้ดูก็คือไม่ให้ดูไงละ เอาไอ้เครื่องอ่านความจำงี่เง่าของเธอออกไปไกลๆ ฉันเลยนะไม่งั้นมันลงขยะแน่” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแหลมสูงคล้ายผู้หญิงพลางมองหญิงสาวตรงหน้า เส้นผมสีดำขลับมัดแกละสองข้างยาวถึงเขา ดวงตาสีฟ้าสดใสที่กำลังจ้องมองเขาอย่างกระหายใคร่รู้อยู่มันช่างน่าฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถีบออกไปนอกโลกชะมัด แถมสีหน้าของเธอยังคงนิ่งสงบเหมือนน้ำในแม่น้ำลำธารจนน่าหมั่นใส่ คนๆ นี้กะจะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยหรือไงกัน
“นี้เอเลนได้ยินที่ฉันพูดไหม? ถ้าไม่ได้ยินจะสงเคราะห์เปิดไมค์พูดให้ฟังนะ?” ชายหนุ่มเอยแล้วเขาก็ยันตัวให้ขึ้นมานั่งหลังตรงแล้วหยิบเอาเจ้าเครื่องอ่านความจำนั้นโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี
หญิงสาวมองการกระทำนั้นด้วยดวงตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันอยากรู้... อยากรู้ถึงความฝันของนายนี้นา โซระ” เธอพูดไปพลางเดินไปเก็บเครื่องอ่านความทรงจำที่ชายหนุ่มนาม โทวะ โซระ เพิ่งจะโยนมันทิ้งลงพื้นไปเมื่อกี้ เธอถือมันขึ้นมาระดับอกโตๆ ของเธอแล้วจับชายเสื้อกาวสีขาวเช็ดมันเพื่อลบรอยขีดข่วน พอแน่ใจว่าไม่น่าจะมีรอยขีดข่วนแล้วเธอก็นำมันกลับขึ้นไปวางไว้บนชั้นวางหนังสือซึ้งตอนนี้มันกลับกลายเป็นชั้นวางอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ นาๆ อย่างถะนุดถนอมแล้วเธอก็นั่งลงบนพื้นที่ ณ บัดนี้เต็มไปด้วยเศษกระดาษเต็มไปหมดจนแถบจะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว นั้นจึงทำให้เขามั่นใจได้เลยว่ากลิ่นของกระดาษใหม่ที่เขาได้กลิ่นนั้นมาจากไหน
“นี้เอเลนเธอทำอะไรในห้องของฉันกันเนี่ย!?” โซระตะโกนพร้อมเตรียมหาเรื่องหญิงสาวนักวิทยาศาสตร์ผู้สุดแสนจะมั่นใจในตัวเองแบบที่เรียกว่าถ้าเกิดผิดพลาดแม้เพียง 0.000001% ถึงกับคิดสั้นเลยทีเดียวซึ้งกำลังนั่งทำอะไรกับกระดาษแผ่นใหญ่บนพื้นอย่างตั้งอกตั้งใจโดยที่ไม่คิดจะแยแสสะภาพหรือแม้แต่คำพูดของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อยอยู่
“เอเลน่า ดี คาเมียล่า! นี้เธอฟังคำถามของฉันอยู่หรือป่าวฮะ!?” โซระตะโกรกรอกหูเอเลนด้วยเสียงแหลมปรี๊ดไม่เหมาะกับผู้ชายสักนิด ใบหน้าของเขาตอนนี้ได้กลายเป็นยักษ์ที่กำลังโกรธจัดและสามารจะฆ่าบุคคลตรงหน้าผู้กวนเบื้องล้างเป็นอย่างยิ่งได้ทุกนาที
หญิงสาวหรือ เอเลน่า ดี คาเมียล่า ซึ้งกำลังโดนโซระพูดกรอกหูเหตุผลเพราะเธอไม่ฟังคำถามของเขาเงยหน้าขึ้นมองโซระแล้วเอ่ยว่า “ฉันกำลังออกแบบชุดเกราะเวทให้เนตรอยู่นะ...” ด้วยเสียงแบบคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้น
คำตอบแบบนั้นมันยิ่งเรียกอารมณ์ความมีน้ำโฮมากกว่าเดิมอีกไม่ใช้หรือไง!?
“อย่ามาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนนะ… อีกอย่างไอ้สำนวนสุภาษิตคำว่าไปไหนมาสามวาสองศอกมันใช้เวลาจะเอามาตบมุขมั้ยนี้ฉันจริงจังอยู่นะ!?” รู้สึกว่าโซระคงจะเริ่มหน่ายกับเพื่อนแบบนี้เสียแล้วสิ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนกับเพื่อนจะทำแบบนี้กันบ้างละนะ “เอะ... เมื่อกี้เธอบอกว่าออกแบบชุดเกราะเนตรเหรอ?” ในที่สุดโซระก็รู้สึกตงิดใจกับคำพูดของเอเลน่าจนได้
หญิงสาวพยักหน้า
“อือ... พอดีมันว่างนะ อีกอย่างพอลองมานั่งนึกทบทวนอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเนตรดูมันก็ทำให้ฉันได้ข้อมูลเด็ดๆ มา...” แล้วเธอก็ก้มหน้าทำงานของเธอต่อหลังจากที่หยิบเอกสารหนาเป็นปึกๆ ให้โซระ โซระรับมันมาแล้วเปิดอ่านแบบคร่าวๆ พอให้เข่าใจก่อนจะพูดต่อ “จริงสินะ... มังกรของยัยนั้นโรซารี่ เกรดินเพราะเป็นมังกรสายป้องกัน รักษา และหลบหลีกเลยไม่คลอดไวพอนอาร์โมออกมา... โดยส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่เวทโจมตีระยะไกลเท่านั้น” โซระสรุปข้อมูลโดยย่อพอสังเขปฉบับเขาเข้าใจก่อนจะวางเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วย่อตัวลงไปนั่งยองๆ มองสิ่งที่เอเลน่ากำลังออกแบบอยู่
และนั้นก็ทำให้ถึงกับเงิบไปตามๆ กัน
“นี้นะเอเลน... ยัยเนตรนะอกไข่ดาวนะไม่ใช้ลูกเลม่อนแบบของเธอจะได้ใช้ลัทธิเปลืองเนื้อโชว์หนังแบบเธอได้” เขาเอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ และตอนนั้นเองที่จู่ๆ หลังมือสีซีดเผือดก็ตรงเข้ามาตบเขาเข้าอย่างจังจนหงายหลังล้มไปกับพื้น
“เปลี่ยนคำพูดซะ... นี้ฉันอุตสาห์จับจุดของเนตรออกมาแล้วแท้ๆ นะ เนตรนะเมื่อเป็นสายหลบหลีกแน่นอนว่าต้องไวเมื่อไวแล้วจะให้ใส่ชุดเกราะหนาเตอะหรือใส่เครื่องประดับเยอะๆ เสื้อผ้าหลายๆ ชั้นได้ยังไงกันล่ะ? เอาละ... ถ้าว่างก็จงมาเป็นลูกมือให้ฉันซะ” นั้นไม่แน่ใจว่าเป็นคำสั่งหรือคำของร้องกันแน่แต่ดูๆ แล้วเอเลน่าน่าจะมีจุดประสงค์ว่าขอร้องแต่คำพูดของเธอดันออกไปในทางคำสั่งซะนี้
โซระยิ้ม
“เอางั้นก็ได้... คืนนี้โต้รุ้ง ฮัดช่า!” แล้วเขาก็ลุกขึ้นพับแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองก่อนที่จะลงมือออกแบบชุดอย่างขยันขันแข็งโดยที่ตัวเขานั้นไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า...
วัน เวลาอันแสนสงบสุขกำลังค่อยๆ หมดไป ดั่งนาฬิกาทรายที่ทรายในโหลแก้มส่วนบนกำลังค่อยๆ หมดลง
ความคิดเห็น