ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
[EXO] TAOBAEK .. It's feeling

ลำดับตอนที่ #15 : {SF} Lament 7 (END)

  • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 57





Lament 7 (END)

(PG – 18 / NC - 18)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            เป็นเวลายาวนานเพียงใดไม่อาจทราบที่เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีอ่อนถูกบังคับจับนั่งและพาลุกเดินตามหลังสาวชาววังราวกับเป็นตุ๊กตาหรือเครื่องหุ่นกระบอกไร้ชีวิต หากแต่เจ้าของเรือนร่างบอบบางกลับมิได้นึกใส่ใจกับมันมากและยังคงทำตัวราวกับเต็มใจจะเป็นตุ๊กตาไร้จิตใจที่แม้จะถูกพาไปจัดการประทินโฉมหรือจับสวมใส่ในอาภรณ์เนื้อดีเช่นไรก็มิได้ปริปากบ่น

 

            ส่วนเหล่าสาวชาววังผู้มีหน้าที่ตกแต่งตุ๊กตาแพคฮยอนตัวน้อยให้สวยสดงดงามมีชีวิตชีวาขึ้นมานั้นแม้ว่าพวกหล่อนมิได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทว่าจากปฏิกิริยาไร้ซึ่งความยินดีปรีดาในยศถาบรรดาศักดิ์แสนน่าอิจฉาที่จะได้รับของเด็กหนุ่มรูปงามนั้นก็สามารถบ่งบอกได้ในระดับหนึ่งว่าบุคคลอันจะมาเป็นพระสนมขององค์จักรพรรดิหนุ่มแห่งแผ่นดินใหญ่นี้มิได้มีความเต็มใจแต่อย่างใด

 

ใบหน้าสวยหวานราวอิสตรีบัดนี้กลับยิ่งแลดูไม่ต่างจากสตรีเพศเมื่อถูกจับบำรุงตกแต่งด้วยเครื่องหอมและเครื่องประทินโฉมนานาชนิด ยิ่งได้อาภรณ์ตัวยาวสีแดงเลือดนกตัดกับผิวขาวนวลผ่องและเรือนผมสีอ่อนด้วยแล้วสาวชาววังทั้งหลายต่างก็ลงความเห็นว่าพระสนมองค์นี้ช่างงดงามไม่แพ้พระมเหสีผู้สง่างามแม้เพียงนิด

 

 

หากว่าความงามของพระมเหสีเป็นความงามที่สูงสง่าค่าแล้ว ความงามของพยอนแพคฮยอนก็เป็นความงามที่น่าค้นหา

 

ทว่าพวกหล่อนต่างก็ลงความเห็นว่าเป็นความงามอย่างไร้ซึ่งชีวิตเช่นกัน

 

 

ด้วยเพราะอากัปกิริยาที่ยังคงนิ่งเฉยไม่ไหวติงบวกกับแววตาที่ยังคงทอดมองไปยังที่แสนไกลอย่างไม่ได้สนใจในความมีตัวตนของสาวชาววังหลายชีวิตแม้เพียงนิดทำให้พวกหล่อนที่หมดหน้าที่ลงแล้วทำได้เพียงล่าถอยออกมาจากตำหนักเล็กกันเงียบๆ ปล่อยให้ตุ๊กตาที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพียงลำพังอีกครั้ง

 

หลังจากถูกบังคับพาตัวออกจากตำหนักใหญ่ขององค์จักรพรรดิมาด้วยฝีมือของนายทหารหนุ่มสองนายเด็กหนุ่มก็ยังไม่ได้ปริปากพูดคุยกับใครอีก ส่วนภายในหัวนั้นยังคงคิดวนเวียนหาวิธีช่วยเหลือแม่ทัพหนุ่มคนรักของตนไปด้วย ทว่าสุดท้ายก็ต้องเลิกล้มความคิดไปเพราะสำนึกสำเหนียกในสภาพน่าสมเพชของตนภายหลังจากได้พบว่าแม้เพียงแค่กำลังจะขัดขืนไม่ให้สาวชาววังทั้งหลายมายุ่งกับร่างกายตนนั้นยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ

 

 

สุดท้ายแล้วพยอนแพคฮยอนก็ทำได้เพียงนั่งรอเวลาให้ชายอื่นมาย่ำยีร่างกายตน

 

 

เพียงคิดได้เท่านั้นเด็กหนุ่มก็ยิ่งทวีความเจ็บใจให้มากขึ้นได้เหลือคณานับ ยิ่งนึกไปถึงใบหน้าของผู้เป็นสหายรักและองค์เหนือหัวของชายคนรักของตนแล้วความศรัทธาและเคารพยำเกรงก็ยิ่งลดลง ซึ่งหากจะบอกว่าองค์จักรพรรดิหนุ่มทำให้ผู้ที่เกือบกลายเป็นตุ๊กตามีลมหายใจกลับคืนมามีชีวิตได้ดังเดิมก็ดูจะไม่ผิดนัก แม้ว่าคำว่ากลับคืนมามีชีวิตนั้นจะเจือปนด้วยความแค้นเคืองและผิดหวังไปเกินครึ่งแล้วก็ตาม

 

ความจริงแล้วแม้จะไม่พอใจอยู่เป็นทุนเดิมที่ได้รับรู้ว่าองค์จักรพรรดิหนุ่มมีท่าทีพออกพอใจในตนเองอย่างออกนอกหน้าทว่าก็ไม่เคยได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรมากถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะในยามนั้นเด็กหนุ่มยังคงเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอย่างไรผู้ที่เป็นสหายกันคงไม่มีวันถือโทษโกรธเคืองถึงขั้นนี้ได้

 

 

หรือที่ผ่านมาจะเป็นความผิดของพยอนแพคฮยอนที่ไม่หักห้ามใจตนเอง

 

 

เพราะมัวแต่ปล่อยจิตใจให้จมดิ่งวกวนอยู่กับเรื่องเดิมซ้ำซากไปมาเด็กหนุ่มจึงไม่ทันได้ยินเสียงสาวชาววังที่เฝ้าหน้าห้องหลายต่อหลายคนส่งเสียงอุทานหวีดเสียงร้องอย่างตกใจกับบางอย่าง และอาจด้วยเพราะใบหน้าหวานที่หันเหรับแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามอบความสว่างในห้องทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนในยามนี้ได้จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกขานชื่อของตนเป็นภาษาเช่นชาวแพคเจนั้นเล่าเด็กหนุ่มจึงกลับมามีสติได้

 

 

“ป๋ายเฉียน”

 

 

และเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเจ้าของชื่อก็ถึงกับใจเต้นระรัวด้วยความยินดีอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“ท่านลู่หาน”

 

“ชู่ว...อย่าเสียงดัง”

 

 

ชายหนุ่มขี้เล่นยกปลายนิ้วชี้ขึ้นทาบบนริมฝีปากพร้อมทั้งทำหน้าจริงจังอย่างที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้เห็นก่อนจะชะโงกหน้าไปแนบหูเข้ากับบานประตูไม้อย่างต้องการรับรู้ถึงผลงานที่ตนจัดการไปเมื่อครู่ และก็ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงโวยวายหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกกับเพลิงขนาดเล็กที่ลุกโหมที่ประตูตำหนัก

 

 

เรื่องทำให้ผู้อื่นประหลาดใจขอให้ยกให้ลู่หานผู้นี้เถอะ.. ขอรับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

 

ฝ่ายเด็กหนุ่มนั้นเล่าแม้จะรู้สึกยินดีที่เห็นหน้าผู้เป็นดั่งอาจารย์และพี่ชายผู้ใจดีของตนอีกคราหนึ่งแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เจ้าตัวรู้หน้าที่อันควรของตนตอนนี้แม้เพียงนิด จนเมื่อได้กลิ่นเผาไหม้จากเปลวไฟและไม้เนื้อดีจึงได้สติคืนกลับมา ดวงตาเรียวหันเหมามองหน้าชายหนุ่มหน้าหวานตรงหน้าตนอย่างต้องการคำตอบที่ชัดเจนและสิ่งที่ได้ก็เป็นผืนห่อผ้าที่ภายในมีเสื้ออาภรณ์ดังเช่นชาวบ้านสามัญธรรมดา

 

 

“รีบเปลี่ยนเสีย ไม่เช่นนั้นเราคงหัวขาดกันทั้งหมดนี่”

 

 

ไม่ทันรอให้ผู้เป็นครูของตนกล่าวจบเด็กหนุ่มก็ลงมือปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากกายไปจนหมดเสียแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มขี้เล่นเกือบที่จะเบือนใบหน้าหนีผิวกายขาวผ่องแต้มรอยสีชมพูจางอ่อนไม่ทัน แม้จะรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้อยู่บ้างแต่เมื่อรู้สึกรับรู้ได้ถึงอิสรภาพที่อยู่เพียงเอื้อมแล้วก็ไม่มีการรีรอสิ่งใดอีก ทว่าถึงแม่กระนั้นแล้วก็ยังอดนึกถึงชายผู้เป็นที่รักไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถามผู้พาตนหนีด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างปิดไม่มิด พอได้ยินเช่นนั้นผู้เป็นดั่งพ่อสื่อของคนทั้งคู่ก็ถึงกับกระตุกรอยยิ้มขบขันออกมาก่อนจะเอ่ยปากตอบคำถามไปพลางห่มคลุมผืนผ้าปิดบังเรือนผมสีอ่อนของเด็กหนุ่มไปพลางด้วยน้ำเสียงเช่นคนขี้เล่นดังเดิม

 

 

“เจ้าเด็กอ่อนหัดนั่นน่ะรึ? คงหนีไปหลังจากวางเพลิงเสร็จแล้วกระมัง”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงบรรเลงพิณเป็นจังหวะทำนองเพลงอ่อนหวานเข้ากับบรรยากาศที่มีแต่ละอองควันขาวบางเบาอันเกิดจากจากเครื่องหอมเรียกให้รอยยิ้มเคลิบเคลิ้มผุดขึ้นบนมุมปากผู้บรรเลงและผู้ฟังได้ไม่ยากเย็น ทว่าสำหรับทางฝั่งผู้ฟังอย่างองค์จักรพรรดิหนุ่มนามอู๋อี้ฟานที่มีธุระสำคัญในราตรีนี้แล้วดูจะเป็นทำนองที่เฉื่อยชาและแช่มช้อยเสียจนนึกงุ่นง่านรำคาญใจได้ไม่ยากเช่นกัน

 

 

หากสายพิณขาดเสียเองได้คงจะดีไม่น้อย

 

 

แต่ความคิดนั้นเล่าก็เป็นได้เพียงความคิดเท่านั้นเพราะถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิหนุ่มก็ยังคงต้องนั่งสำรวมกิริยาท่าทางให้เหมาะสมแล้วนั่งสดับฟังเสียงบรรเลงพิณจากฝีมือของผู้เป็นแม่แห่งแผ่นดินคนใหม่ต่อไปด้วยเพราะบัดนี้พระองค์กำลังอยู่ในสายตาของแม่แห่งแผ่นดินคนเก่าอยู่ มิรู้ว่านึกสนุกสำราญใจอันใดขึ้นมาองค์ไทเฮาจึงได้มีรับสั่งให้ทั้งองค์จักรพรรดิหนุ่มและพระมเหสีเข้าเฝ้าก่อนจะตรัสออกมาให้ได้ประหลาดใจกันทั้งคู่ว่าพระนางเรียกตัวมาเพียงเพราะมีพระประสงค์จะสดับรับฟังเสียงบรรเลงพิณจากองค์ชายชานยอลผู้มีฝีมือเลื่องลือด้านศิลปะและดนตรีการ

 

และดูเหมือนบัดนี้คำกล่าวขวัญร่ำลือนั้นจะได้รับการพิสูจน์จากผู้ฟังกิตติมศักดิ์ทั้งสองเป็นที่เรียบร้อย พระมเหสีอดรู้สึกประหม่าขึ้นในอกมิได้เมื่อเผลอยกเงยใบหน้าขึ้นมาสบตากับองค์ไทเฮาอย่างพอดิบพอดีราวจัดวางแต่ก็เพียงแค่ครู่ก่อนที่มันจะหายไปเพราะรอยยิ้มเอ็นดูผสมชื่นชมจากพระมารดาแห่งพระสวามีตน เมื่อนั้นเรียวนิ้วที่บรรจงเสกสรรบรรเลงดนตรีจากสายพิณจึงหยุดสั่นไหวลงได้กว่าครึ่งของที่เป็นอยู่

 

ส่วนองค์จักรพรรดิหนุ่มแม้ว่าจะไม่พอใจนักกับการต้องนั่งข่มตนสำรวมกิริยาเป็นระยะเวลานานหากแต่เมื่อได้สดับฟังเสียงทำนองแว่วหวานจากฝีมือของพระมเหสีผู้งามสง่าของตนแล้วก็อดชื่นชมเช่นมารดาตนมิได้ว่าช่างเป็นดนตรีที่ละเอียดลออและงดงามชวนฟังและหันมองหาตัวผู้เล่นมิใช่น้อย เพราะนึกเช่นนั้นจึงได้เสตาคมกลับมาให้ความสนใจใบหน้างดงามราวสาวแรกรุ่นขององค์ชายแห่งชิลลาอีกครา

 

 

วินาทีนั้นพระองค์จึงได้รู้จักกับคำว่าต้องมนต์สะกดอย่างแท้จริง

 

มิใช่มนตราหลอกลวงดังเช่นที่รู้สึกกับพยอนแพคฮยอนแม้แต่น้อย

 

 

โดยไม่รู้ตัว ชายผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินใหญ่จดจ้องทั้งปลายนิ้วที่ลากเลื่อนเรื่อยไปตามเส้นสายทั้งหลายของพิณตัวโต ปลายเส้นเกศาที่พลิ้วไหวตามจังหวะขยับกายให้สอดคล้องกับท่วงทำนองเพลง เรือนกายที่ยังคงตั้งตรงงามสง่าบ่งบอกถึงการอบรมที่ดี หรือแม้กระทั่งดวงเนตรที่หลับพริ้มราวกับดิ่งจมสู่ห้วงอารมณ์ตามเสียงดนตรีจนเห็นเส้นขนตางามงอนชัดเจนนั้นก็อยู่ในสายตาขององค์จักรพรรดิหนุ่มเสียทั้งสิ้น

 

แม้องค์จักรพรรดิหนุ่มจะไม่รู้ตัวว่าตนเผลอไผลจับจ้องภาพงดงามเช่นศิลปะชั้นเลิศตรงหน้าด้วยท่าทีเช่นไร หากแต่องค์ไทเฮาก็ยังคงสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ดวงตาคู่คมของผู้เป็นโอรสแห่งตนได้อย่างชัดเจน นึกแล้วก็น่าเสียดายที่พระมเหสีมัวแต่ตั้งใจบรรเลงดนตรีเสียจนมิได้ลืมตาขึ้นจับจ้องตอบดวงตาคู่ที่ว่านั่น มิเช่นนั้นคงได้รับรู้ถึงแววตาที่หญิงงามทั่วแผ่นดินใหญ่ฝันหามาเนิ่นนานเสียที

 

 

“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ”

 

 

คล้ายถูกตบหน้าให้ฟื้นคืนหลังจากเผลอหลงลืมสติไว้กับพระมเหสีผู้งดงามแทบทั้งหมดเมื่อได้ยินเสียงขออนุญาตจากนายทหารผู้หนึ่ง องค์จักรพรรดิหนุ่มกล่าวอนุญาตให้นายทหารชั้นล่างเสียมารยาทได้หลังจากที่องค์ไทเฮาทอดถอนหายใจและพยักหน้าอนุญาตแล้ว พระมเหสีเองเมื่อเห็นว่านายทหารผู้นี้ดูจะมีธุระกิจการสำคัญจึงได้ยอมเสี่ยงโดนลงโทษเช่นนี้ก็หยุดมือที่กำลังบรรเลงดนตรีลงเพื่อรับฟังเรื่องสำคัญที่ว่าก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้ยินเนื้อความกระชับรีบเร่ง

 

 

“ฝ่าบาท ตำหนักเล็กถูกวางเพลิงพะยะค่ะ”

 

“อะไรกัน...แล้วรู้ตัวคนทำหรือไม่?”

 

 

ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ร้อนรนเร็วที่สุดจะมิใช่องค์จักรพรรดิทว่ากลับเป็นพระมเหสีที่เผลอพลั้งปากถามออกไปก่อนแม้ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบก็ตามที หากแต่ภายในดวงตากลมโตทั้งคู่กลับฉายแววคล้ายเป็นห่วงเป็นใยอะไรบางอย่างอย่างเหลือล้นจนองค์จักรพรรดิหนุ่มเองก็อดสงสัยมิได้ ครั้นจะเอ่ยปากถามก็กลัวว่าจะเสียเวลาและทำให้เด็กหนุ่มว่าที่พระสนมตนบาดเจ็บเอาได้จึงตัดความสงสัยทิ้งเสียและลุกขึ้นทำท่าจะขออนุญาตพระมารดาออกจากตำหนักไปเสีย ทว่ากลับต้องชะงักตัวไว้เพราะคำสั่งขององค์ไทเฮาเอง

 

 

“พระมเหสี เจ้าช่วยไปตรวจสอบแทนองค์จักรพรรดิที...พอดีแม่มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับฝ่าบาท”

 

“พะยะค่ะ”

 

 

ว่าจะเอ่ยปากรั้งให้พระมเหสีหยุดก็ดูจะไม่ทันการเพราะดูเหมือนเจ้าของเรือนกายสง่างามนั้นจะเร่งรีบเหลือเกินกับการไปทำหน้าที่แทนตน เรียวขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็พ้นประตูออกไปปล่อยให้ผู้เป็นพระสวามีต้องเก็บข่มความหงุดหงิดในจิตใจไว้แล้วยอมหันหน้ากลับมาไถ่ถามถึงเรื่องสำคัญที่ว่าจากปากของผู้เป็นมารดาตน

 

 

“เสด็จแม่มีเรื่องสำคัญอะไรรึพะยะค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามจนจบองค์ไทเฮาก็ถึงกับกระตุกรอยยิ้มที่ผู้เป็นลูกไม่อาจหยั่งถึงได้ว่าผู้เป็นมารดาอยู่ในอารมณ์เช่นไรก่อนจะยกพัดไม้เนื้อดำขึ้นสะบัดคลี่กางออกทำท่าพัดให้ลมแก่ตัวเองแล้วเงียบเสียงไป ทิ้งให้องค์จักรพรรดิหนุ่มอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นระยะเวลานานพอดู จนเมื่อเห็นแววตาที่เริ่มไม่พอใจกับการกระทำคล้ายเมินเฉยของตนแล้วองค์ไทเฮาจึงค่อยเอ่ยปากเอื้อนเอ่ยคำพูดให้คนฟังได้ทำหน้าไม่ถูกเล่น

 

 

“เจ้าคิดว่าแม่หูหนวกหรือตาบอดแล้วเช่นนั้นรึ?”

 

 

เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้คนมีชนักติดหลังกลายเป็นชายใบ้ไปได้โดยง่าย ครานี้กลับเป็นองค์ไทเฮาเองที่ต้องรู้สึกไม่พอใจกับท่าทีคล้ายนิ่งใบ้ของโอรสแห่งตนอันเป็นข้อยืนยันว่าคำถามของตนควรจะมีคำตอบเช่นไร หากแต่กิริยาท่าทางของพระนางก็ยังคงสำรวมและนิ่งสงบได้อย่างน่าชื่นชมทว่ากลับดูน่าเกรงขามและหวาดหวั่นสำหรับผู้ทำผิดยิ่งนัก

 

 

รู้เรื่องแล้วงั้นรึ?

 

ใครกันที่ปากโป้ง? พระมเหสีงั้นรึ? หรือเป็นนางกำนัลคนใดกัน?

 

 

“ท.. ท่านแม่กล่าวอะไรกันพะยะค่ะ? ข้าไม่เข้าใจ ท่านแม่จะหูหนวกตาบอดได้อย่างไรกัน?”

 

 

ดวงตาคู่คมที่เคยมีแต่ความมั่นอกมั่นใจและทระนงในศักดิ์ของตนบัดนี้กลับสับส่ายล่อกแล่กไปมาโดยที่ตัวผู้ออกอาการไม่อาจรู้ได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเจ้าของใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้นก็ยังคงปั้นแต่งรอยยิ้มคล้ายคนซื่อให้มารดาตนเพราะหวังเพียงว่าจะกลบเกลื่อนความผิดที่มีได้เสียสิ้น องค์ไทเฮาที่เห็นเช่นนั้นจึงเริ่มคลี่รอยยิ้มบางเบาอย่างใจดีให้ก่อนจะประคองใบหน้าของโอรสผู้หลงผิดไว้แล้วจับจ้องดวงตาคมทั้งคู่พร้อมเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ดวงตาคู่นั้นต้องยอมหลุบต่ำลงอย่างสำนึกผิด

 

 

“แม่เคยสอนเจ้ามิใช่รึว่าไม่เอ่ยออกมา.. มิใช่ไม่รู้”

 

 

หากแต่ที่สำนึกนั้นก็เพียงแค่ส่วนที่ปิดบังความจริงกับมารดาตนเท่านั้น

 

 

“ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ปิดบัง...แต่ข้าทำไปเพราะความรัก..”

 

“ความรักงั้นรึ? รักที่เอาแต่ตนสุขใจไม่สนว่าใครหน้าไหนจะทุกข์งั้นรึ?”

 

 

ผู้เป็นมารดาจึงต้องเปิดทางสว่างให้แก่ผู้เป็นลูก...ที่เดินทางผิด

 

 

“ไม่มีความรักเช่นนั้นหรอกนะอี้ฟาน สิ่งนั้นมันคือความหลงใหลใคร่ครอบครองเพียงเท่านั้น”

 

“แต่ข้าทำให้เขามีชีวิตที่สุขสบายได้..”

 

“ทำให้เขาสุขกับเงินทองแต่ทุกข์กับคู่ครองที่มิได้รัก เจ้าทำได้ลงงั้นรึอี้ฟาน?”

 

 

ผู้ฉลาดเป็นเลิศย่อมมีวันพลาดกลายเป็นผู้เขลาเบาปัญญา

 

ผู้เขลาเบาปัญญาเองก็เช่นกัน ย่อมมีวันที่มีไหวพริบรู้ผิดชอบได้

 

 

สำหรับตัวองค์จักรพรรดิหนุ่มเองแล้วใช่ว่าจะไม่เคยมีความคิดเช่นที่มารดาตนเอ่ยเข้ามาขัดแย้งในหัวเมื่อได้ตัดสินใจลงไปกับการกระทำผิดบาปครานี้แต่ที่ยังคงเดินหน้ากระทำการต่อจนเรื่องราวบานปลายมาได้เป็นเพราะความดื้อดึงและความคิดเข้าข้างตัวเองเผื่อว่าสักวันเด็กหนุ่มจะหันกลับมามองเห็นสิ่งที่ตนจะมีให้ทั้งความสุขสบาย ยศถาบรรดาศักดิ์และสมบัติเงินทองบ้าง

 

 

หากแต่เมื่อได้คิดตามประโยคสุดท้ายที่มารดาตนเอ่ยแล้ว..

 

 

“อี้ฟานลูกรัก...หากเจ้ารักเด็กหนุ่มผู้นั้นจริงเจ้าควรดีใจที่เขารักกับแม่ทัพหวง..”

 

 

ความดื้อดึงและความคิดเข้าข้างตัวเองก็หายไปเสียสิ้น

 

 

“เพราะเจ้าจะวางใจได้ว่าคนที่เจ้ารักจะได้อยู่กับคนที่เจ้าไว้ใจได้มากที่สุด”

 

 

สิ้นคำผู้เป็นมารดาแล้วองค์จักรพรรดิหนุ่มก็พลันปล่อยให้ความอ่อนแอครอบงำตนเองดังที่ไม่เคยทำมาก่อนเรียกให้ดวงตาที่เคยสงบนิ่งสะกดกลั้นอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยมขององค์ไทเฮาสั่นระริกอย่างสงสารเวทนาในความโง่เขลาของโอรสแห่งตนมิได้ มือหนาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นลูบไล่ไปตามใบหน้าตนเองคล้ายกำลังลบล้างความผิดที่เกาะกุมอยู่ก่อนที่มันจะเลื่อนไปหยุดอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้างที่เริ่มเปียกชื้น ชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ผู้ไม่เคยร่ำไห้ให้ผู้ใดเห็นบัดนี้กำลังปล่อยให้ความรู้สึกผิดและเสียใจในการกระทำของตนเรียกเร่งน้ำใสให้ไหลมาราวเขื่อนน้ำพังทลาย

 

ทว่าปล่อยให้ความสำนึกผิดเสียใจเกาะกุมจิตใจอยู่ได้ไม่นานก็พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมิใช่เวลาอันสมควรจะต้องมานั่งร่ำไห้โดยเปล่าประโยชน์ องค์จักรพรรดิหนุ่มจึงปาดเช็ดน้ำเนตรใสทิ้งเสียแล้วเอ่ยปากขอตัวไปจัดการเรื่องของคนในตำหนักที่ถูกวางเพลิงกับมารดาตน หากแต่สตรีสูงวัยกลับส่ายศีรษะห้ามพร้อมทั้งเอ่ยปากเฉลยเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้ฟังต้องทำสีหน้าตกใจใส่

 

 

“ความจริงแม่เองที่เป็นต้นคิดเรื่องวางเพลิงตำหนักนั่น”

 

“ท...ท่านแม่.. แล้วแพคฮยอน เด็กหนุ่มผู้นั้นล่ะพะยะค่ะ?”

 

“เขาก็ต้องอยู่กับคนรักของเขาสิฝ่าบาท...”

 

 

กำลังจะคิดอยู่แล้วว่าตนจะไม่มีโอกาสได้ชดเชยความผิดกับคนทั้งคู่

 

กำลังจะคิดอยู่แล้วว่าทุกอย่างคงสายเกินไป สายเกินกว่าจะร้องขอคำให้อภัยจากสหายรัก

 

หากว่ามิได้มีประโยคท้ายสุดขององค์ไทเฮา..

 

 

“...แม่ให้พวกเขาหลบอยู่ในตำหนักแม่เอง”

 

 

จอมเจ้าเล่ห์!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหลายภายในวังจบลงองค์จักรพรรดิหนุ่มก็ได้ปรับความเข้าใจกับสหายรักที่แน่นอนว่าพร้อมเสมอกับการให้อภัยและได้จัดให้มีงานมงคลขึ้นเพื่อลบล้างไถ่โทษความผิดที่ตนได้กระทำไป ในวันนี้จึงมีการประดับตกแต่งด้วยของประดับและผืนผ้าอาภรณ์สีมงคลทั่วทั้งเรือนพำนักของแม่ทัพหนุ่มคู่กายด้วยเพราะงานมงคลนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับชายหนุ่มหน้าดุคมที่บัดนี้ถูกจับแต่งกายด้วยอาภรณ์เนื้อดีสีแดงสดพระราชทานแต่เช้าของวัน

 

แม่ทัพหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนออกมาก่อนจะก้าวขาเข้ายังเรือนพักของตนเพื่อจับจูงมือพาตัวเจ้าของเรือนกายบอบบางภายใต้ชุดอาภรณ์เข้าคู่กันออกมายังอีกฝั่งฟากหนึ่งที่ได้จัดเตรียมห้องและของทำพิธีมงคลเอาไว้แล้ว ซึ่งพอได้สัมผัสเข้ากับมือเรียวที่ชื้นเหงื่อแล้วความกดดันทั้งปวงในอกก็เริ่มผ่อนคลายลงพร้อมกันกับที่ริมฝีปากหยักค่อยๆหยัดรอยยิ้มเอ็นดูเจ้าใบหน้าหวานภายใต้ผืนผ้าคลุมหน้าสีแดงสด

 

ฝ่ายเด็กหนุ่มผู้งดงามที่สุดของวันเมื่อได้เงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าคมของแม่ทัพหนุ่มคนรักของตนผ่านผืนผ้าคลุมสีแดงสดก็เผลอขบเม้มริมฝีปากประดับสีแดงชาดของตนเองแน่นด้วยเพราะความประหม่านั้นเริ่มแล่นริ้วขึ้นจุกในอกปะปนกับความเขินอายที่มีมาเป็นทุนเดิมหลังจากได้ยินคำชมจากสาวชาววังมาตั้งแต่เมื่อยามเช้าที่ผ่านมาว่าตนนั้นงดงามเหมาะสมกับแม่ทัพหนุ่มเสียเหลือเกิน พอคิดได้เช่นนั้นดวงตาเรียวสวยที่เกือบจะเงยขึ้นมองเสี้ยวหน้าของคนรักตนจึงหลุบลงต่ำมองทางเดินตรงหน้าแทน และโดยไม่รู้ตัว มือเรียวสวยข้างที่กอบกุมเข้ากับมือหนาของคนข้างกายก็เผลอกระชับเข้าหากันจนอีกฝ่ายรู้สึกได้และต้องหลุดเสียงหัวเราะขบขันในลำคอให้คนฟังรู้สึกร้อนขึ้นบนแก้มสองข้าง

 

 

“อา.. เจ้าบ่าวเจ้าสาวมากันแล้ว”

 

 

เสียงส่อแววเช่นชายหนุ่มขี้เล่นของลู่หานดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าข้าราชการในวังหลวงบ่งบอกการมาถึงของบุคคลสำคัญในพิธีการมงคลในวันนี้พร้อมทั้งกระตุกรอยยิ้มที่คนมองไม่อาจตีความได้ว่ากำลังรู้สึกยินดีหรือเพียงนึกสนุกอยู่แน่ หากแต่แท้จริงแล้วนั่นคือรอยยิ้มภาคภูมิใจในความสามารถตนเองที่ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ต่างหาก

 

 

ในที่สุดก็มีงานมงคลดังที่เคยคาดคิดไว้.. เจ้านี้ช่างเก่งเสียจริงพ่อหมอลู่หาน

 

ดูท่าคงต้องรับอาชีพโหรหลวงเสริมไปกับการรับสอนภาษาด้วยแล้วกระมัง

 

 

แม้พิธีการครานี้จะเป็นพิธีการมงคลที่องค์จักรพรรดิหนุ่มยินยอมและเต็มใจให้มีการจัดขึ้นหากแต่เมื่อเห็นภาพยามผู้ที่ตนเคยหลงใหลเสียมากมายกำลังกระทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเคียงข้างกับแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นสหายตนแล้วก็อดรู้สึกปวดร้าวขึ้นมามิได้ หากแต่พระองค์ก็ยังคงไม่แสดงอาการใดออกมาให้ผู้ใดได้เห็นแม้แต่มารดาตนที่นั่งยิ้มอย่างพึงพอใจราวกับหญิงชราที่กำลังจะได้หลานสะใภ้มาเพิ่ม นอกเสียจากดวงตาคู่คมที่ฉายแววยินดีปนกับความฝืนใจอย่างไรพิกลเท่านั้น

 

ทว่าองค์จักรพรรดิหนุ่มกลับต้องรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแทนที่ความรู้สึกเหล่านั้นเมื่อมือหนาข้างหน้าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเรียวนิ้วที่สอดประสานและดวงตากลมโตที่จับจ้องอย่างจริงใจไม่ปั้นแต่งของพระมเหสีที่อยู่เคียงข้างกายตน โดยไม่รู้ตัวดวงใจที่เคยปิดกั้นด้วยความรู้สึกคล้ายอคติก็เริ่มหลอมละลายลงแลสั่นไหวเมื่อได้ยินประโยคที่กลั่นจากใจของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแม้จะแผ่วเบาก็ตามที

 

 

“ฝ่าบาท เมื่อใดที่พระองค์ทรงอ่อนล้า...ขอพระองค์โปรดทรงจับมือกระหม่อมไว้นะพะยะค่ะ”

 

 

และโดยไม่รู้ตัวก็เผลอกระชับมือเข้าหาก่อนจะสอดประสานไม่ยอมปล่อย

 

 

“โอรสแห่งกษัตริย์ชิลลาตรัสแล้วห้ามคืนคำ...สัญญากับข้าสิพระมเหสี”

 

 

และเผลอแย้มรอยยิ้มจากใจให้...แม้จะเพียงบางเบาก็ตามที

 

หากแต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับปาร์คชานยอลที่รอคอยให้ชายผู้นี้เปิดใจให้ตนเสียที

 

 

“พะยะค่ะ กระหม่อมสัญญา”

 

 

 

 

 

 

 

 

ริมฝีปากหยักของแม่ทัพหนุ่มเผลอยกขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นภาพที่เจ้าสาวคนสวยของตนกำลังเงยหน้าชมจันทร์ทั้งที่ผืนผ้าสีแดงสดยังคงปิดบังใบหน้าที่ตนหลงรักไว้ตามคำสอนก่อนเข้าหอของญาติผู้พี่จอมเจ้าเล่ห์ของตน ขายาวก้าวเข้าภายในห้องนอนที่ถูกจัดตกแต่งใหม่ตั้งแต่เมื่อค่ำคืนที่แล้วด้วยฝีมือของคนรับใช้ในเรือนตามคำสั่งของจอมบงการชื่อลู่หานคนเดิมแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าดูแล้วโล่งหูโล่งตาขึ้นกว่าห้องรกเอกสารและของสำคัญแบบเก่าของตนหลายเท่านัก

 

 

“เหม่อลอยอะไรอยู่งั้นรึ?”

 

 

เรือนกายบอบบางของคนที่ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับแสงจันทร์เผลอสะดุ้งอย่างตกใจกับสัมผัสอบอุ่นของมือหนาบนหัวไหล่ข้างหนึ่งของตนก่อนจะหันกลับมาคลี่รอยยิ้มติดเขินอายให้กับเจ้าบ่าวของตน เด็กหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกว่าไม่ได้คิดอะไรเพียงแต่ต้องการปล่อยใจชื่นชมความงามของค่ำคืนที่ไร้ซึ่งสิ่งรบกวนจิตใจเช่นคืนก่อนที่ผ่านมา ส่วนแม่ทัพหนุ่มเมื่อได้เห็นท่าทางสบายใจจากคนตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรวบเอวคอดเข้ามากอดอย่างหวงแหนและรักใคร่

 

 

“ข้าดีใจเหลือเกินที่ต่อจากนี้ข้าจะมีเจ้าอยู่ข้างกายเช่นนี้ตลอดไป”

 

“ข้าก็ดีใจ.. ดีใจที่สุด”

 

 

ริมฝีปากบางเฉียบคลี่รอยยิ้มอย่างอิ่มสุขออกมาทันทีที่เอ่ยจบ แขนเรียวสองข้างสอดเข้ากอดรัดเอวของเจ้าบ่าวตนด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันแล้วจึงเอนพิงศีรษะเข้ากับไหล่กว้างของแม่ทัพหนุ่มคล้ายต้องการออดอ้อน เมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนั้นผู้ถูกออดอ้อนจึงอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นสอดเข้าใต้ผืนผ้าคลุมหน้าสีแดงสดแล้วลูบแผ่วเบาที่ข้างแก้มเนียนของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าสาวของตนด้วยความทะนุถนอม

 

เด็กหนุ่มเผลอหลับตาลงด้วยความเขินอายเมื่อรู้สึกได้ถึงอากาศที่ถ่ายเทมากกว่าในยามที่ผืนผ้าคลุมปกปิดใบหน้าอยู่ซ้ำยังเผลอเม้มริมฝีปากเข้าหากันในทันที โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าในยามนี้ดวงตาคมกำลังจดจ้องพิจารณาใบหน้าและเรือนร่างภายใต้ผืนอาภรณ์ของตนด้วยสายตาที่ไม่ผิดไปจากชายนักรักผู้มากด้วยเล่ห์กลสักนิด จนเมื่อเผลอลืมตาขึ้นสบตากับดวงตาคมคู่นั้นถึงได้รับรู้และต้องเขินอายเสียยิ่งกว่าเดิมจนต้องเอ่ยปากขัดขึ้น

 

 

“จ.. จริงสิ เรายังไม่ได้ดื่มเหล้ามงคลเลยนะครับท่านแม่ทัพ”

 

 

กระนั้นแล้วดวงตาเรียวก็ยังไม่อาจสบเข้ากับดวงตาคมที่ในยามนี้ฉายแววอ่อนโยนลงกว่าเดิมแต่ยังคงแฝงด้วยความเสน่หาอย่างโจ่งแจ้งได้จนต้องหันเบนใบหน้าออกไปหยิบแก้วเหล้ามงคลส่งให้เจ้าบ่าวที่กลายร่างเป็นหนุ่มนักรักไปเสียแล้วทั้งที่ยังคงก้มหน้าก้มตาหลบสายตาเจ้าชู้คู่นั้นอยู่ หากแต่ถ้าเด็กหนุ่มได้รู้ว่าท่าทางเช่นนั้นยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มคลั่งได้โดยง่ายแล้วเจ้าตัวคงเลือกที่จะดึงเอาผืนผ้าคลุมมาปิดบังใบหน้าตนเช่นเดิมเสียคงดีกว่า

 

 

ไม่เคยที่พยอนแพคฮยอนจะต้องเขินอายผู้ใดเช่นนี้มาก่อน

 

เพราะดวงตาคู่คมนั้นทำราวกับเรือนกายบอบบางตรงหน้าเปลือยเปล่า

 

 

แม้กระทั่งในยามที่ต้องเกี่ยวคล้องแขนกระดกแก้วเหล้ามงคลเข้าปากก็ยังไม่วายที่ดวงตาคู่นั้นจะยังจับจ้องอย่างไม่วางตาจนเด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหลงใหลในตัวของตนหรือเพียงแต่ต้องการแกล้งปั่นหัวให้เด็กหนุ่มต้องรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเล่นด้วย ทว่าพอได้ยินคำเอ่ยจากปากของอีกฝ่ายแล้วเด็กหนุ่มจึงเลิกคิดไปและหมกมุ่นอยู่แต่กับความเขินอายของตนต่อ

 

 

“งามเหลือเกิน...เจ้าสาวของข้า”

 

 

 

 

 

ฉากกุ๊กกิ๊ก

ไม่ลงลิ้งค์นะ หนูกลัวโดนแบน ไปหาในทวิตเตอร์เนะ

 

 

 

 

 

“ท่านพี่.. ท่านรักแพคฮยอนหรือไม่”

 

 

แม่ทัพหนุ่มอดกลั้นรอยยิ้มขบขันไว้แทบไม่อยู่เมื่อได้เห็นท่าทางคล้ายต้องการออดอ้อนแต่ก็กลัวว่าตนจะยังรังแกให้เขินอายเล่นอีกของเจ้าสาวแสนสวยของตน ริมฝีปากหยักจึงค่อยกดลงแผ่วเบาบนริมฝีปากบางหากแต่ไม่รุกล้ำด้วยเพราะเป็นจุมพิตจากความเอ็นดูในท่าทางแสนน่ารักมิใช่จุมพิตเสน่หาเช่นเมื่อครู่ แม่ทัพหนุ่มยกปลายนิ้วหัวแม่มือขึ้นเกลี่ยผิวแก้มเนียนและหน้าผากเนียนอย่างทะนุถนอมก่อนจะประทับริมฝีปากหยักลงไปแล้วเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น

 

 

“พี่รักแพคฮยอน...ได้ยินหรือไม่ว่าหวงจื่อเทารักแพคฮยอน รักเหลือเกิน..”

 

 

 

 

 

ขอบคุณเหลือเกินที่พระเจ้ามอบชายผู้นี้ให้มาเป็นคู่ชีวิตของข้า

 

แม้ว่าแรกพบจะไม่สวยงามเช่นตำนานรักใดๆ ซ้ำยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมากมาย

 

หากแต่พยอนแพคฮยอนก็ขอขอบคุณ.. ขอบคุณที่ท้ายที่สุดก็ยังให้เราได้รักกัน

 

 

 

 

 

“แพคฮยอนรักท่านพี่...รักที่สุด”

 

 

 

 

 

ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่พิสูจน์ว่าเราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน...เกิดมาเพื่อคู่กัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

END

 

 

 

 

                                                                                   

.. TALK ..

วรั้ย เขาทำไรกันอ่ะ หนูไม่รู้ไม่ชี้นะ 5555555555555

95% ที่เหลือถูกใจกันรึเปล่าคะ? คอมเม้นท์ให้หน่อยนะว่าเป็นยังไง * - *

ส่วนเรื่องการอ่านฉากกุ๊กกิ๊กให้หาดูในไบโอทวิตนะคะ สู้ๆ 555555555

พีเอสสึ. ใครชอบไคฮุนมั่งคะ? เรามีฟิคเรื่องใหม่แล้วนะ ติดตามได้ที่นี่ จิ้มเลย





 
:) Shalunla
ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture