ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : {SF} Lament 6
Lament 6
(PG – 18)
แสงสว่างยามเช้าที่แหวกผ่านผืนผ้าม่านในห้องบรรทมกว้างปลุกให้เจ้าของดวงตาคมสวยยอมฟื้นตื่นขึ้นจากห้วงนิทราแสนหวานหลังจากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาได้ใช้พลังงานทางกายไปไม่ใช่น้อย แขนยาวประกอบด้วยมัดกล้ามดูงดงามได้รูปหยัดยันให้เรือนกายสูงใหญ่เปลือยเปล่าภายใต้ผืนผ้าห่มสีแดงสดลุกขึ้นนั่งเรียบเรียงสติและเรื่องราวเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาที่ดูจะตีกันในหัวให้วุ่นไปหมด
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงจำได้ดีนั้นคือเรือนร่างงดงามบริสุทธิ์ของผู้เป็นเจ้าสาวของตน
ผิวขาวเนียนละเอียดนุ่มมือ กลิ่นกายหอมละมุนอ่อนหวาน เสียงครวญครางเสนาะหู
แทบไม่น่าเชื่อว่าปาร์คชานยอลคือโอรสแห่งกษัตริย์ชิลลา
“อือ..”
มือหนาที่พลั้งเผลอลูบไล้หัวไหล่นวลเนียนของเจ้าสาวของตนไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบนั้นถูกชักกลับเข้าหาตัวทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงเสียงครางเครือแหบแห้งในลำคอเพราะถูกรบกวนก่อนที่มันจะถูกยกกลับมาลูบตบใบหน้าและแก้มของตัวองค์จักรพรรดิหนุ่มเองเพราะเกิดรู้สึกกระดากอายกับการกระทำของตัวเองที่คล้ายกับการกลืนน้ำลายตนเองเสียอย่างนั้น
“อย่าได้คิดแตะต้องตัวข้า...หากว่าข้ามิได้สั่ง”
ที่สั่งห้ามไปนั้นเป็นเพราะไม่ได้ต้องการในตัวอีกฝ่ายมิใช่รึ?
แล้วเหตุใดร่างกายจึงไม่รักดีเช่นนี้..
มันร่ำร้องต้องการแต่จะสัมผัสเรือนกายตรงหน้าเสียจนน่ารำคาญ
ไม่เข้าใจจริงๆ..
ใบหน้าสมบูรณ์แบบขยับส่ายไปมาเพื่อไล่ความคิดที่รังแต่จะกวนใจให้หายไปก่อนจะตัดสินใจหยัดลุกขึ้นจากพื้นที่นอนนุ่มแล้วก้าวเดินไปจัดการชำระเรือนกายเปื้อนเหงื่อและคราบร่องรอยจากเมื่อค่ำคืนเสีย ทว่าองค์จักรพรรดิหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดรั้งเอวตนจากผู้ที่เพิ่งตื่นขึ้นจากห้วงนิทราเสียก่อนจึงต้องทิ้งตัวลงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างช่วยไม่ได้
“ฝ่าบาท.. อย่าเพิ่งเสด็จไปไหนได้หรือไม่”
“พระมเหสี เจ้าลืมข้อตกลงของเราแล้วงั้นรึ?”
สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นแผ่วเบาราวกับเอ่ยกับตนเองทว่ามั่นคงพอจะให้คนที่ห่างเพียงลมหายใจและแผ่นหลังกั้นอย่างพระมเหสีแห่งแผ่นดินใหญ่ได้ยิน แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นแขนเรียวที่ขึ้นรอยสีกุหลาบประปรายตามต้นแขนและหัวไหล่กลับกระชับเข้าหากันแน่นขึ้นอีกแทนที่จะปล่อยตามคำสั่งกลายๆของผู้เป็นพระสวามีแห่งตน
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท ทว่าหม่อมฉัน.. หม่อมฉันจำเป็นต้องทำ”
“ดูท่าเจ้าจะพูดไม่รู้เรื่องเสียแล้วพระมเหสี”
มือใหญ่ทว่าเย็นเยียบไร้ซึ่งความอบอุ่นในความคิดของพระมเหสีขยับปลดอ้อมแขนที่ฉุดรั้งตนออกอย่างไม่ไยดีนักด้วยเพราะไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนักกับสิ่งที่ตนเรียกว่าความดื้อดึงของพระมเหสี เรือนกายสูงใหญ่หยัดลุกขึ้นยืนทันทีที่เป็นอิสระพร้อมทั้งตั้งท่าจะเดินจากห้องบรรทมกว้างใหญ่ไปยังห้องสรงน้ำทว่าขายาวกลับต้อหยุดชะงักแทบจะในทันทีเมื่อได้ยินบางสิ่งจากพระมเหสีของตน
“เด็กหนุ่มผู้นั้น.. ได้โปรดเชื่อหม่อมฉันเถอะฝ่าบาท เขาจะทำให้พระองค์เจ็บปวด”
ว่ากันว่าผู้มีความรักนั้นมักจะตาบอด
แม้ผู้อื่นจะสามารถล่วงรู้และคาดการณ์ได้อย่างไรก็ตาม แต่ตัวเขาเองนั้นกลับมิอาจทำได้
โง่เขลา...ไม่อาจรับรู้ได้ถึงสิ่งที่จะทำให้ตนเจ็บปวด
“งั้นรึ? วันนี้ข้าคิดจะไปเยี่ยมเขาอยู่พอดี ขอขอบใจสำหรับความหวังดีของเจ้าแล้วกันพระมเหสี”
และไม่อาจรับรู้ได้ถึงผู้ที่จะเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตน
อู๋อี้ฟาน...ช่างโง่เขลา
เสียงย่ำใบไม้แห้งและรากไม้แก่ดังกรอบแกรบขึ้นทั่วบริเวณป่ากว้างสลับกับเสียงหอบหายใจอย่างอ่อนเพลียของชายหนุ่มตัวสูงและเด็กหนุ่มตัวเล็กกว่า เวลานี้เป็นเวลาราวสิบสองชั่วยามได้แล้วกับการเดินเท้าภายหลังจากการหลบหนีออกจากพระราชวังหลวงตามความต้องการของทั้งคู่ ทว่าดูเหมือนว่ายิ่งก้าวเดินไปข้างหน้ามากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกอ่อนล้ามากขึ้นเท่านั้นเพราะทั้งระยะเวลาและสัมภาระของทั้งคู่ต่างก็ดูจะเป็นข้อจำกัด
จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าอาจจะยังคงไปต่อตอนนี้ไม่ไหวแล้วอดีตแม่ทัพหนุ่มผู้ทิ้งภาระหน้าที่ของตนมาจึงเอ่ยชวนแกมบังคับให้เด็กหนุ่มข้างกายตนได้พักเสียก่อน เมื่อได้เห็นว่าเจ้าของเรือนกายเล็กได้หย่อนกายลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่จึงค่อยหย่อนตัวลงนั่งตามไปข้างกัน
“เหนื่อยไหม..”
สุ้มเสียงที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับมือเรียวสวยที่เกลี่ยเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้าคมเรียกให้ชายหนุ่มผู้ได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนต้องหันมอง ริมฝีปากหยักยกรอยยิ้มบางเบาให้แก่อีกฝ่ายแล้วจึงส่ายศีรษะตอบกลับเพื่อให้อีกฝ่ายวางใจก่อนจะเลื่อนมือกร้านขึ้นกอบกุมมือเรียวของอีกฝ่ายแนบแก้มตน
“ข้าหายเหนื่อยแล้ว”
เพียงได้เห็นแววตาห่วงใยจากพยอนแพคฮยอน หวงจื่อเทาก็รู้สึกราวกับได้กำลังวังชากลับคืน
“ฮื่อ.. จับมือข้าทำไม ข้ายังเช็ดให้ท่านไม่หมด....”
ประโยคที่ถูกเอ่ยอย่างไม่พอใจนักในคราแรกกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงันเมื่อสัมผัสได้ถึงมือหยาบกร้านของอีกฝ่ายที่เกลี่ยเช็ดหยาดเหงื่อที่ไหลมาจากหน้าผากของตน และยิ่งไม่กล้าเอ่ยถามเข้าไปอีกเมื่อดวงตาเรียวสวยได้สบเข้ากับดวงตาคมเข้มของอีกฝ่ายที่ฉายแววห่วงใยไม่แพ้กัน
หากดวงตาของพยอนแพคฮยอนทำให้หวงจื่อเทาได้กำลังวังชากลับคืนแล้ว
ดวงตาของหวงจื่อเทาก็คงจะทำให้พยอนแพคฮยอนรู้สึกอบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจ
ไว้วางใจได้ .. ความรู้สึกลึกๆของพยอนแพคฮยอนเอ่ยเช่นนั้น
“อวดเก่ง..”
คำพูดของชายหนุ่มที่มักได้ยินเป็นประจำเสียจนชินหู ในวันนี้มันกลับไม่ทำให้รู้สึกย่ำแย่หรือเจ็บใจเหมือนกับในวันแรกที่ได้ยิน แต่มันกลับทำให้ริมฝีปากบางต้องเม้มเข้าหากันเพราะรู้สึกได้ถึงความเอ็นดูเจือห่วงใยอย่างไม่ปิดบังในน้ำเสียง ฉับพลันเมื่อคิดได้เช่นนั้นแก้มขาวเปื้อนฝุ่นเจือจางก็กลับมีริ้วสีชมพูระเรือเจือจางแต้มเบาบางอย่างชวนมอง
ฝ่ายคนมองอย่างเช่นหวงจื่อเทาเมื่อได้เห็นเช่นนั้นแล้วก็กลับอดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกเย้ากับแก้มแดงเรื่อนั้นด้วยปลายจมูกโด่งเป็นสันของตน ชายหนุ่มทั้งกดแช่คลอเคลียหยอกเย้าเสียจนเด็กหนุ่มฝืนอดกลั้นรอยยิ้มเขินอายไม่ให้เผยออกมาไม่ได้
“ท่านแม่ทัพ อย่าแกล้ง..”
“ชู่ว...ข้าบอกให้เรียกข้าว่าอย่างไร เจ้าลืมแล้วงั้นรึ?”
เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาข้างแก้มนุ่มเสียจนเด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่านั่นเป็นเสียงกระซิบ ในครานี้ริมฝีปากบางเฉียบไม่เพียงถูกเม้มไว้เท่านั้น แต่มันยังถูกฟันซี่ขาวขบกัดไว้อย่างลังเลใจที่จะเอ่ยออกมาเพราะไม่เคยต้องเรียกผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ฝ่ายคนแกล้งนั้นรึก็ไม่ใช่จะไม่รู้ถึงความรู้สึกปั่นป่วนของคนถูกแกล้ง
อยู่ใกล้กันเสียขนาดนี้มีหรือจะไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
หวงจื่อเทารู้ดีว่าในยามนี้ลูกแมวน้อยกำลังเขินอายเพียงใด
“ท...ท่านพี่.. ไม่แกล้งข้านะ ~”
ริมฝีปากหยักที่เฉียดไปมาข้างแก้มสีระเรื่อนั้นกระตุกยกยิ้มอย่างพอใจแทบจะในทันทีที่ได้ยินสรรพนามเรียกแทนตนจากเด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักก่อนที่มันจะถูกกดย้ำแผ่วเบาให้แก้มทั้งสองข้างยิ่งแดงหนักเข้าไปอีกด้วยความเขินอาย จนเมื่อโดนกำปั้นเล็กๆทุบเข้าที่ไหล่ด้วยแรงที่ไม่น้อยนักชายหนุ่มจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้เป็นอิสระเสียที
ลูกแมวน้อยตัวนี้นอกจากจะเขินอายได้น่ารักแล้วยังมือหนักเสียอีก
ไม่ว่าจะในยามปกติหรือแม้แต่ในยาม.....ก็ตาม
“เอาล่ะ เจ้าจงรออยู่ที่นี่เสียก่อน ข้าจะไปหามื้อเที่ยงมาให้เจ้า”
“ข้าอยากไปด้วย”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าได้พัก”
โต้เถียงกันได้เพียงไม่กี่ประโยคเด็กหนุ่มก็กลับต้องมานั่งที่เดิมเพราะรู้ตัวดีว่าต่อให้เถียงให้ตายแค่ไหนอีกฝ่ายก็คงไม่มีทางปล่อยให้ตนได้เดินไปไหนมาไหนอีกสักพักแน่ ระหว่างที่นั่งพักอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็พลันนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ตนยังคงเป็นเชลยของชายผู้เป็นที่รักของตนก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะเผลอยกรอยยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะไปหาอะไรมาให้กิน รออยู่นี่อย่าหนีเสียล่ะ”
ดูเหมือนว่าในวันนั้นข้าจะคิดถูกที่ไม่ตัดเชือกทิ้งแล้ววิ่งหนีไปเสีย
ไม่เช่นนั้น...ข้าคงไม่ได้มานั่งรอเขาแบบในตอนนี้
ขายาวก้าวข้ามรากไม้ที่ขึ้นอย่างระเกะระกะบนพื้นดินด้วยความระมัดระวังตามนิสัยส่วนตน ท่อนแขนยาวสองข้างเองรึก็หอบเอาฟืนเท่าที่จะหาได้จากบริเวณใกล้มาพร้อมกับไก่ป่าและนกตัวอวบอ้วนที่หามาเพื่อประทังชีวิตก่อนออกเดินทางต่อ ริมฝีปากหยักยกรอยยิ้มออกมาบางเบาเมื่อนึกถึงจุดหมายปลายทางที่คาดการณ์ว่าตนและเด็กหนุ่มจะไปถึงภายในค่ำวันนี้อย่างแน่นอน
หวงจื่อเทาและพยอนแพคฮยอนช่างโชคดีที่ลู่หานมีเรือนพักหลังน้อยอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงนัก
ตามความคิดของหวงจื่อเทา ยิ่งใกล้ก็ยิ่งไกลสำหรับการหลบหนี
ทว่าอารมณ์ดีไปได้ไม่นานนักอดีตแม่ทัพหนุ่มก็กลับต้องชะงักฝีเท้าลงเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของสัตว์ป่าที่เริ่มหายไปไม่เหมือนกับเมื่อครู่ก่อน ยิ่งได้สังเกตเห็นหมู่นกโบยบินไปเกาะยังกิ่งไม้ที่อยู่ถัดไปอีกหลายต่อหลายต้นราวกับกำลังหลบหนีอะไรบางอย่างที่กำลังคุกคามถิ่นตน ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ของคนที่เคยเดินทางผ่านป่าชายหนุ่มจึงก้มตัวลงแนบหูข้างหนึ่งลงกับพื้น
เสียงฝีเท้าม้า.. หนึ่ง... ไม่สิ สาม สี่.. ห้าตัว
และเสียง...
ฝีเท้าคนจำนวนหนึ่ง
กำลังใกล้เข้ามา
“รอยเท้าบ่งบอกว่าเป็นทางนี้...”
พร้อมกับเสียงคน
ไม่ต้องรอคำตอบเป็นตัวเป็นตน ชายหนุ่มโยนของในมือสองข้างทิ้งแทบจะในทันทีก่อนจะออกวิ่งเต็มกำลังฝีเท้าไปหาผู้เป็นที่รักของตน และหากหูของเขาไม่ได้ผิดเพี้ยนไปดูเหมือนจะมีเสียงคนเอ่ยพูดตะโกนอะไรบางอย่างพร้อมทั้งฝีเท้าม้าที่เริ่มชัดขึ้นในโสตประสาท
เร็วเกินไป.. เร็วเกินไปแล้ว
เพียงได้เห็นเจ้าของเรือนผมสีเด่นสะดุดตากับแผ่นหลังเล็กภายใต้อาภรณ์ตัวเดียวกับเมื่อคืนยังคงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมชายหนุ่มอดีตแม่ทัพแห่งวังหลวงก็ถึงกับโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง ทว่าจะวางใจนานนั้นคงไม่อาจทำได้เพราะจากการคาดการณ์แล้วอีกเพียงชั่วครู่เสียงฝีเท้ามาและเสียงตะโกนไล่หลังเหล่านั้นคงจักมาถึงจวนตัวเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มเสียงเบาเพื่อมิให้อีกฝ่ายตกใจจนเกินไป
“แพคฮยอน เก็บของ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเรียบนิ่งพร้อมกับมือหนาที่เก็บของหนักขึ้นบ่าตนแล้วหันมาฉุดรั้งเรือนกายเล็กของเด็กหนุ่มที่ยังคงไม่เข้าใจกับท่าทีเร่งรีบขัดกับน้ำเสียงเรียบนิ่งของตนให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่เข้าข้างคนทั้งคู่สักเท่าไรนักเมื่อเสียงฝีเท้าม้าที่ชายหนุ่มกลัวนักกลัวหนาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องให้พูดอะไรมากนักเด็กหนุ่มก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุอันใดขึ้น
ทหารจากวังหลวง...
“ทำไมมันเร็วเช่นนี้..”
เพียงได้ยินคำพูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมาเล็ดลอดจากริมฝีปากบางเฉียบชายหนุ่มก็แทบไม่อยากให้อภัยตนเองที่คำนวณการพลาดไปเช่นนี้ แต่ครั้นจะมามัวโทษตัวเองรึก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรนัก คิดได้เช่นนั้นมือหนาจึงทำหน้าที่เป็นตัวช่วยดึงรั้งเจ้าของมือเรียวเล็กกว่าให้ออกวิ่งหนีเสียงฝีเท้าม้าด้านหลังตนไปพร้อมๆกัน
ยิ่งได้ยินเสียงตะโกนสั่งให้ตนและเด็กหนุ่มข้างกายหยุดยั้งฝีเท้าดังใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไรหวงจื่อเทาก็ยิ่งมั่นใจว่าผู้ที่ตามรอยตนและเด็กหนุ่มมาจนถึงกลางป่าได้เช่นนี้จะต้องได้รับคำสั่งมาให้จับเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรึไม่ก็ทั้งคู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นอาจจะมีใครคนใดคนหนึ่งเพลี่ยงพล้ำได้รับบาดเจ็บจากอาวุธไปแล้วเป็นแน่
หากเป็นโจรป่าคงไม่มีจุดประสงค์ได้นอกจากอาหาร สมบัติ และเด็กหนุ่มข้างกายข้า
แต่การที่ข้ายังคงอยู่และไม่ถูกเข่นฆ่าแต่อย่างใดนั้นก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าคนพวกนี้เป็นใคร
หรือหากกล่าวให้ถูกคือใครเป็นคนส่งคนพวกนี้มา...
แม้จะรู้ดีว่าใครเป็นผู้ส่งทหารหลวงเหล่านี้มาตาจับตนและเด็กหนุ่มแต่หวงจื่อเทาก็ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะพาเด็กหนุ่มให้หนีไปด้วยกันกับตนให้ได้ ขายาวออกวิ่งเร็วขึ้นทุกทีทุกทีผิดกับขาเรียวที่สั้นกว่าที่ดูจะอ่อนล้าลดกำลังลงไปพร้อมกันกับความเร็วที่สวนทางกันกับคนตัวสูงกว่า ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่พาออกวิ่งนั้นย่อมรู้ดีได้จากแรงจับกระชับที่มือที่ดูจะแน่นขึ้นเสียยิ่งกว่าเก่าราวกับกลัวว่ามันจะหลุดออกจากกันในที่สุด
ไม่มีทาง.. ข้าไม่มีวันปล่อยมือจากเขาเป็นอันขาด
“หยุดเถิดท่านแม่ทัพ!”
เสียงตะโกนไล่หลังมาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจได้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีทว่ามันกลับทำอะไรคนที่เสียงดังยิ่งกว่านั้นอย่างหวงจื่อเทาไม่ได้แม้แต่นิด กลับกันเมื่อเห็นว่าเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มดูจะหดหายลงไปทุกทีชายหนุ่มจึงหันเอี้ยวช้อนเอาเรือนกายเล็กกว่าขึ้นบ่าแล้วออกวิ่งต่อไปอย่างดึงดันแม้จะรู้ดีว่ายิ่งวิ่งต่อไปในสภาพแบบนี้ตนก็ยิ่งหมดแรงง่ายขึ้นไปทุกที ทว่าดูเหมือนว่าความกลัวที่จะสูญเสียผู้เป็นที่รักไปจะเป็นตัวขับดันให้อดีตแม่ทัพหนุ่มกัดฟันอดทนออกแรงวิ่งต่อไป
“ท่านรู้ดีมิใช่รึท่านแม่ทัพว่าทำเช่นนี้ท่านเองจะมีแต่เสียกับเสีย”
รู้.. หวงจื่อเทารู้ดีอยู่เต็มอกว่าโทษทัณฑ์ที่ตนจะได้รับหากถูกจับตัวได้นั้นมีอะไรบ้าง
“ฝ่าบาททรงกริ้วมากนะขอรับท่านแม่ทัพ”
ยิ่งได้รู้ว่าตนเป็นผู้ทำให้มังกรโกรธหวงจื่อเทาก็ยิ่งไม่ยอมหยุดวิ่ง
มิใช่เพราะกลัวตนจะเป็นอะไรไป
หากแต่กลัวว่าคนในอ้อมแขนตนจะเป็นอะไรไปเสียมากกว่า
“ข้าเตือนท่านแล้วนะขอรับท่านแม่ทัพ..”
เสียงตะโกนประโยคสุดท้ายจากทหารหนุ่มเงียบลงไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าที่หยุดลงไปพร้อมๆกัน ทว่าชายหนุ่มรู้ดีว่าตนยังคงไม่พ้นจากเงื้อมมือทหารวังหลวงอย่างแน่นอน ขายาวสองข้างจึงยังคงขยับวิ่งต่อไปแม้จะมีเสียงประท้วงข้างหูจากคนที่ตนกำลังแบกไว้ในอ้อมแขนอยู่ตลอดทาง จนกระทั่งเริ่มแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีใครตามมาแล้วชายหนุ่มจึงยอมปล่อยให้เจ้าของเรือนกายเล็กในอ้อมแขนได้ลงเดินสมใจอยาก
ทว่า
ตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อผ่านพ้นอันตรายมาได้ก็มักจะชะล่าใจไม่ระวังตัวเท่าที่ควร
“ท.. ท่านพี่!!”
ดวงตาเรียวเบิกกว้างกว่าเดิมจนน่ากลัวว่ามันจะถลนออกมาพร้อมกันกับเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นภาพชายคนรักของตนถูกทหารหนุ่มอาศัยจังหวะช่วงทีเผลอสับแขนลงบนท้ายทอยซึ่งถือเป็นจุดสลบในร่างกายมนุษย์จนเรือนกายสูงใหญ่นั้นไม่อาจหยัดกายขึ้นได้ ฉับพลันน้ำใสก็พากันคลอหน่วงในดวงตาเรียวสวยก่อนที่มันจะกลั่นตัวร่วงลงสู่ผืนหญ้าเขียวปกคลุมดิน
อะไรกัน.. อีกนิดเดียวแท้ๆ ….
“จับตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นไว้ อย่าได้ลงมือทำร้ายร่างกายเป็นอันขาด”
สิ้นเสียงสั่งจากผู้เป็นนาย พลทหารสองสามคนก็พากันบังคับจับกุมเด็กหนุ่มที่ยังคงเรียกสติคืนมาจากภาพเมื่อครู่ไม่ได้ ข้อมือเรียวทั้งสองข้างต่างถูกจับมัดเข้าไว้ด้วยเชือกเส้นยาวคล้ายคลึงกันกับเมื่อคราวที่ตนยังคงเป็นเชลยของอดีตแม่ทัพหนุ่ม ยิ่งคิดเช่นนี้แล้วเด็กหนุ่มก็ยิ่งกลั้นหยาดน้ำตาไว้ไม่อยู่ได้แต่ปล่อยให้มันไหลเปรอะอาบแก้มขาวทั้งสองข้าง
แท้ที่จริงแล้วคนแผ่นดินใหญ่นั้นมิได้ดีอย่างที่ข้าคิดไว้แต่แรกจริงๆสินะ
ก็แค่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ ไม่สนแม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง
ไม่ต่าง... ไม่ต่างจากพวกชาวบ้านโหดร้ายพวกนั้นแม้สักนิด
เกลียด.. ข้าเกลียด... เกลียดเขาผู้นั้น ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งหมด
อู๋อี้ฟาน กษัตริย์แห่งแผ่นดินใหญ่ ... ข้าเกลียดเจ้า
บนบัลลังก์ทองสูงใหญ่เด่นตระหง่านภายในพระตำหนักใหญ่ภายในพระราชวังปรากฏเรือนกายสูงสง่าผู้เป็นเจ้าของทอดกายประทับองค์ด้วยท่าทีนิ่งสงบไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา ข้างบัลลังก์นั้นมีบัลลังก์ข้างกันของผู้เป็นมเหสีรูปโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือทว่าใบหน้าผุดผ่องนั้นกลับฉายแววหวั่นวิตกชัดเจนเมื่อได้จ้องลึกเข้าไปในดวงเนตรของผู้เป็นสวามีแห่งตน
ภายใต้ท่าทีที่สงบนิ่งนั้นใครเล่าจะล่วงรู้ได้ว่าภายในจิตใจนั้นมิได้สงบตามไปด้วยแม้แต่นิด
ราวกับกองเพลิงในที่อับลม แม้จะไม่พลิ้วไหวน่ากลัว แต่ความร้อนนั้นก็มิได้น้อยกว่า
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ พลทหารผู้นี้ทูลขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามาได้”
สิ้นเสียงองค์จักรพรรดิหนุ่มไปได้ไม่เท่าไรนักพลทหารหนุ่มผู้ได้รับมอบหมายภารกิจลับจากพระองค์ก็ก้าวเดินเข้าภายในห้องประทับพระองค์พร้อมทั้งถวายความเคารพ ทว่าเพราะไม่ต้องการความมากพิธีนักองค์จักรพรรดิหนุ่มจึงยกพระหัตถ์ของตนขึ้นห้ามไว้พร้อมทั้งถามถึงสิ่งที่ตนมอบหมายให้ไปทำมา ฝ่ายทหารหนุ่มเมื่อรับรู้ได้ถึงความโกรธกริ้วที่แฝงอยู่ในท่าทีเหล่านั้นจึงรีบหันไปสั่งพลทหารของตน
“เอาตัวเข้ามา”
ดวงตาคมกริบตวัดมองตามเสียงฝีเท้าที่ดูจะไม่มีท่าทีขัดขืนเท่าที่ควรแล้วก็ได้แต่แอบฉงนใจ และเมื่อยิ่งได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้ที่ตนหลงใหลแล้วองค์จักรพรรดิหนุ่มก็ได้แต่กำมือแน่นเพราะแม้จะได้ตัวเด็กหนุ่มกลับคืนมาแล้วแต่ดวงตาเรียวสวยกลับมิได้ถูกยกขึ้นจดจ้องใบหน้าของตนแม้แต่น้อย ซ้ำที่น่าปวดใจยิ่งกว่าคือดวงตาคู่นั้นกลับทอดมองแต่เรือนกายสูงใหญ่ที่ยังคงสลบไสลอยู่บนพื้นข้างกายตน
“หึ...ทหาร ปลุกมันขึ้นมา”
เสียงทุ้มเอ่ยสั่งขึ้นเรียบนิ่งท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วห้องประทับจนคนฟังอย่างพระมเหสีและเหล่าทหารอดจะหวั่นเกรงมิได้ว่าองค์จักรพรรดิหนุ่มจะทำเช่นไรต่อไป ยกเว้นก็แต่เด็กหนุ่มที่มิได้สะทกสะท้านกับเสียงนั้นแม้แต่นิดซ้ำยังยกมือเรียวที่ถูกมัดทั้งสองข้างขึ้นลูบไล้โครงหน้าของคนข้างกายตนอย่างเบามือ
รักกันมากงั้นรึ? รักกันจนลืมไปแล้วสินะว่ายังมีคนอื่นรวมถึงข้าอยู่...
“พวกเจ้า... รักกันมากสินะ”
เด็กหนุ่มยกเงยใบหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยทว่ามิได้ยกจนสบกับดวงตาของเจ้าของประโยคคำถามเมื่อครู่ ริมฝีปากบางเฉียบยกแย้มรอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งองค์จักรพรรดิหนุ่มเคยหลงใหลมันเสียมากมายแต่ในบัดนี้มันกลับช่างดูน่าอิจฉาเพราะมันมิได้ถูกมอบให้แก่พระองค์แม้แต่น้อย มันเป็นรอยยิ้มที่เด็กหนุ่มจงใจมอบให้ชายหนุ่มคนรักของตนหรืออดีตแม่ทัพหนุ่ม สหายของพระองค์นั่นเอง
“รักมาก รักอย่างที่คนอย่างท่านไม่มีวันจะเข้าใจได้”
เพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่เด็กหนุ่มเอื้อนเอ่ยตอบแก่องค์จักรพรรดิหนุ่ม ทว่าเพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วกับการโหมให้ไฟโมหะปะทุออกราวกับสายลมแผ่วเบาที่โบกพัดผ่านกองไฟจนมันลุกโหมกระหน่ำ ฉับพลันเรือนกายสูงสง่าก็ค่อยเดินเยื้องย่างกรายลงจากที่ของตนแล้วฉวยคว้าเอาถังน้ำที่ทหารหนุ่มกำลังจะยกสาดใส่คนที่นอนหมดสติแล้วเป็นฝ่ายทำมันเสียเอง
ทั้งรัก ทั้งหลงใหล ซ้ำยังทะนุถนอม
อีกคนรึก็สหายที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันมาแต่เยาว์วัย
ทว่ากลับตอบแทนกับความรักความไว้ใจของข้ากันด้วยคำว่าทรยศเช่นนี้งั้นรึ?
เมื่อเห็นดวงตาคมของผู้เป็นสหายแห่งตนลืมปรือขึ้นแล้วถังไม้ในพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิก็กลับถูกโยนทิ้งไปจนมันแตกพังคาตาใครหลายต่อหลายคนก่อนที่ใบหน้าคมที่เพิ่งจะยกเงยขึ้นมองคู่สนทนาของตนจะถูกหมัดหนักๆเหวี่ยงกระทบเข้าไปเต็มแรงจนมีรอยแตกที่มุมปาก ซึ่งการกระทำเช่นนี้เรียกเสียงร้องอย่างตกใจของเด็กหนุ่มออกมาได้ไม่ยากเย็นนัก
“ท่านพี่!”
ท่านพี่งั้นรึ... หึ ดูท่าจะได้ร่วมเสพสุขกันไปเรียบร้อยแล้วสินะ
“งั้นรึ.. แล้วเจ้าล่ะหวงจื่อเทา สหายรักของข้า...เจ้ารักกันนักใช่หรือไม่?”
“........ฝ่าบาท”
“ตอบมา! ข้าถามว่าเจ้าสองคนรักกันนักใช่หรือไม่!!!”
และเป็นอีกครั้งที่ใบหน้าคมถูกประเคนกำปั้นเสียเต็มแรงจนแทบจะล้มลงไป ทำเอาเด็กหนุ่มที่ทำท่าจะร่ำไห้ออกมาอีกครั้งต้องถลาตัวเข้าไปกันไว้เพราะกลัวว่าชายคนรักของตนจะโดนทำร้ายอะไรอีกก่อนที่พลทหารจะต้องมาดึงตัวออกห่างอย่างรู้หน้าที่ แต่แม้ว่าจะถูกทำร้ายเพียงใดแต่สิ่งที่ชายหนุ่มผู้เป็นถึงอดีตแม่ทัพแห่งแผ่นดินใหญ่ทำนั้นกลับเป็นการก้มลงค้อมหัวคำนับองค์จักรพรรดิแห่งตนเพื่อขออภัยต่อทุกสิ่ง
เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นเช่นไร ในยามนี้หวงจื่อเทาก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
หวงจื่อเทายังคงภักดีต่ออู๋อี้ฟานไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทว่า..
“กระหม่อมขออภัยฝ่าบาท...”
“............”
“กระหม่อมขออภัยที่บังอาจไปยุ่งกับสมบัติขององค์จักรพรรดิ”
ความรักนั้นก็มิใช่สิ่งที่หวงจื่อเทาจะทอดทิ้งเช่นกัน
“บัดนี้ข้ากระหม่อมหวงจื่อเทา แม่ทัพแห่งราชวงศ์อู๋ ขอยอมรับโทษที่บังอาจไปรักพยอนแพคฮยอน สมบัติและว่าที่พระสนมของพระองค์จนหมดหัวใจพะยะค่ะ”
สิ้นเสียงสารภาพความเงียบก็กลับเข้าปกคลุมทั่วห้องประทับพระองค์อีกคราจนตอนนี้กลับมีเพียงเสียงร่ำไห้ของพยอนแพคฮยอนที่แค้นเคืองตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการพยายามดิ้นรนจากมือที่แสนจะเหนียวแน่นและแข็งแรงของพลทหารสองคนและต้องมองชายคนรักของตนสารภาพความจริงที่ดูราวกับเป็นความผิดยิ่งกว่าฆ่าคนตาย
ฝ่ายองค์จักรพรรดิหนุ่มเมื่อได้ฟังคำสารภาพพร้อมทั้งขอรับโทษจากสหายรักของตนแล้วดวงตาคมก็กลับสั่นไหวอย่างสับสนกับความรู้สึกของตนที่ทั้งโกรธและแค้นเคืองปะปนไปกับความต้องการให้อภัยในส่วนลึกของจิตใจ แต่ครั้นเมื่อได้เห็นภาพเด็กหนุ่มที่ต้องร่ำไห้เพราะความรักในตัวสหายของตนมิใช่ตนแล้วองค์จักรพรรดิหนุ่มจึงตัดสินใจได้ด้วยอารมณ์โมหะที่ลุกโหมขึ้นยิ่งกว่าเก่า
“ขอรับโทษงั้นรึ..”
ในเมื่อรักกันมากจนกล้าทรยศหักหลังข้าถึงเพียงนี้คำว่าให้อภัยรึก็คงไม่ต้องใช้อีกต่อไป
“เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้รับโทษสมใจ .. ทหาร! นำตัวแม่ทัพหวงไปขังไว้ในคุกใต้ดิน อย่าได้ส่งข้าวส่งน้ำ อย่าได้ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป!!”
“ไม่!! ปล่อย ปล่อยข้า! .. ท่านพี่!!!!”
ริมฝีปากบางเฉียบเปิดอ้าออกอย่างพูดไม่ออกและไม่อยากจะเชื่อว่าผู้เคยเป็นสหายกันมาก่อนจะกล้าทำกันได้ถึงเพียงนี้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตั้งสติได้และร้องออกมาจนสุดเสียงให้พลทหารที่ยังคงจับกุมตนอยู่ได้ปล่อยมือออก ทว่ากลับกลายเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆเท่านั้นเพราะสุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงมองภาพชายคนรักของตนถูกคุมตัวไปโดยที่ตนทำได้เพียงดิ้นรนอย่างหมดหวัง
“ส่วนเจ้า.. ไม่อยากเป็นสนมของข้านักสินะ?”
ดวงตาเรียวตวัดหันกลับมาจดจ้องเจ้าของใบหน้าสมบูรณ์แบบที่กำลังเจรจากับตนอยู่อย่างแค้นเคืองจนองค์จักรพรรดิหนุ่มเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอื้อมพระหัตถ์เชยคางมนของเด็กหนุ่มขึ้นมอง ทว่าแรงสะบัดหันหนีนั้นกลับทำให้องค์จักรพรรดิหนุ่มขุ่นเคืองได้มิใช่น้อยจนเผลอเงื้อมมือขึ้นตบลงบนแก้มขาวเนียนจนมันขึ้นรอยแดง
“ในเมื่อไม่ต้องการนักข้าก็จะยัดเยียดมันให้! จงฟังไว้ คืนนี้ข้าจะให้นางกำนัลจัดการตบแต่งเจ้าให้งดงามพร้อมแก่การถวายตัวและเจ้าจักต้องนอนทอดกายรอภายในห้องบรรทมพร้อมแก่การเป็นสนมของข้า!!!”
สิ้นเสียงตวาดกร้าวเรือนกายสูงสง่าก็กลับเยื้องกรายเดินกลับนั่งประทับ ณ ที่เดิมของตนพร้อมกันกับพระมเหสีที่แม้จะต้องการส่งเสียงประท้วงทัดทานเพียงใดแต่ก็ไม่กล้าด้วยเพราะเกรงว่าโทสะของพระสวามีแห่งตนจะยิ่งทำให้เรื่องบานปลายไปยิ่งกว่า และอีกอย่างนั้นก็เป็นเพราะตนไม่อยู่ในฐานะที่จะคัดค้านทัดทานสิ่งใดได้ด้วยเพราะเป็นเพียงพระมเหสีที่มิได้เกิดจากความพิศวาสแม้แต่น้อย
ข้าควรทำเช่นไรจึงจะช่วยพวกเขาได้
คิดสิปาร์คชานยอล... คิดสิ..
คิดสิว่าต้องทำเช่นไรจึงจะหยุดยั้งลิขิตโหดร้ายแห่งพระเจ้าได้..
To Be Continue
.. TALK ..
ตามสัญญาจ้ะ.. ภายในอาทิตย์นี้จริงๆนะเนี่ยนะ 55555555555555
เก๊าขอโต้ดที่ดองนานเลย ยอมรับผิดแต่โดยดีเลย มาต่อแล้วนะคะแง.. T - T
ตอนนี้ด้วยความคิดถึงทุกคนเลยจัดหนักๆให้เลย คิดว่าตอนหน้าอาจจะจบแล้วล่ะค่ะ
ส่วนเรื่องลูกเสือ.. เดี๋ยวเอามาลงให้พร้อมตอนจบเนอะ เจอแนวพีเรียดไปตันเลยจ้า..
ความคิดเห็น