ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    | รวม SF - KiHae | [Kibum x Donghae]

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] All I want for New year is you

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      4
      22 ก.พ. 56

    Title :: All I want for New year is you 
    Author:: Kibummi
    Pairing :: Kibum x Donghae
    Rating :: ใสที่สุด!
    Author note ::  คิบอมมิคิดถึงคู่รักพลัดถิ่นค่ะ TT~









            All I want for New year is you ♥


     


            จีฟ่าน ตงไห่ @ Taipei








            
            

            ผมยังจำความรู้สึกของ 'รักครั้งแรก' ได้ดี
            ยังจำได้ว่าใครคือ 'คนแรก' ที่ทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไป
            แต่ในความเป็นจริงแล้วมันยากนัก. . . .
            ที่ 'คนแรก' จะเป็น 'คนสุดท้าย' ในชีวิต










            “คิมคิบอม! เอาหน้าออกไปห่างๆเลยนะ!”


            เสียงหวานๆแต่ทว่าห้วนจัดดังขึ้นเมื่อผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาในขณะที่ผมกับเขายืนดูพระอาทิตย์ตกลงไปในทะเลสาบกว้าง ผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมทำหน้าบูดบึ้งที่ไม่ค่อยสมจริงเท่าไรกลับมาให้ด้วย 


            ใครจะไปเชื่อได้ล่ะว่ากำลังโกรธ...
            หน้าแดงแบบนี้ผมตีความเองได้ว่าเขากำลังเขิน!




            “ก็มันสวยดี”
            
            ผมตอบกลับไปแบบกำกวมเพราะตาของผมมองพระอาทิตย์กับใบหน้าของเขาสลับกัน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกันกับผม แต่น่าแปลกที่อีทงเฮมีใบหน้าหวานน่ารักเหมือนผู้หญิง โดยเฉพาะดวงตาหวานสีชาที่เหมือนเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ตลอดเวลานี้แหละที่ทำเอาผมถอนตัวไม่ขึ้น

            “เหอะ!”

            แฟนผมเขาพ่นลมกลับมาก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่ 


            ได้ยินกันไม่ผิดหรอกครับ ผู้ชายคนนี้เขาเป็น 'คนรัก' ของผมเอง ถึงแม้เราสองคนจะไม่เคยพูดถึงสถานะที่ชัดเจน แต่เราทั้งคู่ก็ต่างรู้ดีว่าความรู้สึกของเราที่มีให้กันนั้นเป็นแบบไหน


            “โกรธเหรอ” ผมพูดเสียงอ่อนพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น อีกทั้งยังวางลำแขนโอบกระชับไหล่บางด้วย เพราะยืนกันอยู่ที่ระเบียงห้องพักรีสอร์ทจึงไม่ต้องนึกกลัวสายตาใคร

            “ไม่ได้โกรธ จะโกรธอะไรเล่า มาเที่ยวนะ โกรธกันได้ไง” ทงเฮตอบ และถึงเขาจะไม่หันมามองหน้าผม แต่ผมก็ยังยิ้มออกเพราะเขากลับเอนหัวลงมาพิงไหล่ผมไว้ ผมอดไม่ได้เลยขยี้ผมเขาเบาๆ

            

            “สวยจัง... นายดูสิ นกบินผ่านมาพอดีเลย”


            ดูเหมือนว่าอาการแสนงอนของเขาจะลดลงไปแล้วเพราะตอนนี้เขากำลังชี้ชวนให้ผมดูฝูงนกที่บินผ่านพระอาทิตย์ดวงใหญ่ไปเป็นสาย ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆของทงเฮทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

            “คิบอมหิวยัง”

            หลังจากเจ้านกตัวสุดท้ายบินผ่านแสงสีส้มไปแล้วเขาก็หันกลับมาถามผมซึ่งแน่นอนว่ากำลังมองหน้าเขาอยู่ ถึงแม้บรรยากาศในตอนนี้มันจะสวยขนาดไหนแต่สำหรับผมแล้ว ขอเลือกมองคนตรงหน้าดีกว่า

            “อื้ม” ผมตอบสั้นๆเพราะเป็นพวกพูดน้อยอยู่แล้ว

            “งั้นไปหาอะไรกินกัน จะได้รีบกลับมาดูพระจันทร์~” เขาดึงแขนผมไปเขย่า ทำตัวเหมือนเด็กๆอีกแล้ว 

            “แต่ตอนนี้หิวมากเลย”

            “อ้าว แล้วยืนอยู่ทำไมอ่ะ ไปดิ” เขาเอียงหน้าถามอย่างฉงน คิ้วเรียวๆเริ่มผูกเข้าหากัน สงสัยเป็นเพราะเห็นผมคลี่ยิ้มออกมา

            “ขอรองท้องก่อนได้มั้ย”

            “หื้ม?”

            เขาครางออกมาแบบมึนงงในคำพูดของผม แต่การกระทำหลังจากนั้นมันกลับอธิบายได้หมด เมื่อผมก้มลงจูบกลีบปากแดงๆเหมือนผลเชอร์รี่ของเขา รสชาติหวานล้ำที่ไม่อาจเปรียบได้กับของหวานชนิดใดในโลกทำเอาผมติดใจ จูบเขานานกว่าที่คิดไว้ว่าจะเพียงแค่จุ๊บเบาๆ ในทีแรก


            “โอเค~ ได้รองท้องแล้ว ไปกินข้าวกัน”                

            “เอาแต่ใจกับฉันอีกแล้วนะ คิมคิบอม!”
            


            หลังจากนั้นผมก็โดนทงเฮทุบชุดใหญ่
            แต่มันก็คุ้มนะครับ!






            พอทงเฮทุบผมจนหนำใจเขาแล้วเราสองคนก็ออกไปหาอะไรใส่ท้องรอบเย็นกันในร้านอาหารเล็กๆ ใกล้รีสอร์ท และคงเป็นเพราะในตอนนี้มันเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสเชื่อมต่อเข้ากับปีใหม่ จึงทำให้คนเยอะเกือบทุกร้าน เราจึงรับประทานอาหารง่ายๆ ก่อนจะกลับมาจิบน้ำชาและขนมเค้กที่เขาซื้อกลับมา

            “ไม่กินเหรอ”

            เขาถามพร้อมกับยื่นช้อนที่เขาตักสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กมาให้ผม ผมส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะไม่ค่อยชอบขนมหวานเท่าไร เขายื่นปากกลับมาแบบขัดใจนิดหน่อยก่อนจะหันปลายช้อนเข้าปากตัวเอง


            ที่ The Grand Place ร้านขนมของเขาก็มีแบบนี้แต่เขาก็ยังกินได้ไม่เบื่อ
            ก็คงเหมือนกับผมที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ผมก็มองได้ไม่เบื่อเหมือนกัน ^^


            “อากาศดีจริงๆเลย” ทงเฮบอกพร้อมกับชูแขนรับลมเอื่อยๆที่พัดมาจากทะเลสาบ พระจันทร์ดวงสวยลอยเด่นอยู่บนฟ้าและเป็นเงาสะท้อนลงมายังผืนน้ำ ช่วยให้บรรกาศโดยรอบโรแมนติกยิ่งขึ้น สมกับเป็นสถานที่ฮันนีมูนอันดับต้นๆของไต้หวัน

            เรานั่งจิบชาเคล้าบรรยากาศริมระเบียงไปจนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร น้ำชาในกาหมดแล้ว เช่นเดียวกับขนมสารพัดอย่างที่ทงเฮซื้อมา เขาไม่ได้กินคนเดียวหรอก เพราะผมนี่แหละที่ต้องช่วยเขากินด้วยเพราะพอผมบอกให้ทิ้งขนมพวกที่เขากินไม่หมด ทงเฮก็ทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้


            แบบนี้ผมก็แพ้น็อคเลยน่ะสิ!!

            

            “ง่วงก็ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้กลับแต่เช้านะ” ผมเอื้อมมือไปโยกหัวเขาที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งเมื่อเห็นว่าตาของเขากำลังจะปิด แต่ก็ยังนั่งมองทะเลสาบอยู่อย่างนั้น ทงเฮเอียงหัวหลบก่อนจะสวนกลับมา

            
            “นายง่วงก็ไปนอนสิ ฉันไม่ได้ง่วงสักหน่อย”

            “ดื้อจัง ตาจะปิดอยู่แล้วยังจะฝืนอีก”

            “ก็...” เค้าอ้าปากเตรียมจะเถียง แต่พอเห็นผมจ้องเขาก็หุบปากแล้วหันหน้าไปทางอื่น แต่มีหรือผมจะยอม ในเมื่อไม่ยอมลุกไปดีๆ ผมก็ลุกไปอุ้มเขาขึ้นจากเก้าอี้

            “นี่ปล่อยฉันนะ!!”

            โวยวายครับ ทงเฮทำได้แค่โวยวายเท่านั้นแหละ เพราะสุดท้ายผมก็อุ้มเขามาจนถึงเตียงนอนใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในห้องพัก


            นี่สินะ... สาเหตุที่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมเข้ามานอน
            เขินที่ต้องนอนเตียงเดียวกันล่ะสิอีทงเฮเอ้ย~




            “เอาแต่ใจตัวเองตลอดเลยนะ” 


            เขาว่าผมหลังจากที่ผมวางเขาไว้บนเตียง ทงเฮชอบบอกว่าผมเอาแต่ใจแล้วก็บังคับเขา แต่ผมก็ไม่เถียงหรอกเพราะมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

            “ก็เป็นห่วง” นี่ก็เป็นความจริงเหมือนกัน

            “ง่วงแล้ว นอนดีกว่า” เขาหน้าแดงมากตอนที่เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง แถมยังพลิกตัวหันข้างให้ผมที่นั่งอยู่บนเตียงด้วย 

            “ใจร้ายจัง... ใจคอจะนอนคนเดียวเลยเหรอ พรุ่งนี้ฉันต้องขับรถด้วยนะ” ผมแกล้งขยับตัวไปเบียดๆเขาที่นอนกอดหมอนข้างนิ่ง และผมพยายามไม่หลุดหัวเราะออกมาด้วย

            “ทงเฮ... ทงเฮครับ~” นี่ไม้ตายผมเลยนะ เพราะดูเขาจะเขินมากเวลาที่ผมพูดกับคำด้วยหางเสียงแบบนี้

            “เรียกอยู่ได้ จะนอนก็นอนดิ ที่มีตั้งเยอะ!” เข้าเด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง พร้อมกับขยับไปชิดขอบเตียงอีกฟาก เพื่อเว้นที่ให้ผมนอนด้วย แต่มันก็เป็นพื้นที่ที่ออกจะมากเกินจำเป็น

            “นอนตรงนั้นเดียวก็ตกเตียงหรอก”

            “ช่างฉันเถอะ”

            “กลัวอะไรทงเฮ” ผมถามกลับไปทันที เขาตาโตขึ้นมาเลย เห็นแบบนี้แล้วก็ชวนให้ขำ แต่ตอนนี้ขอเก็กหน้าขรึมไว้ก่อนแล้วกัน

            “ก็นาย...”

            “นอนได้แล้ว มัวแต่คิดเรื่องลามกอยู่นั่นแหละ”

            “ไอ้บ้า!” 

            หมอนใบโตลอยลงมากลางหัวผมเลยครับ ทงเฮเริ่มทำการทุบผมอีกแล้ว แต่หนนี้ผมไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ ผมจัดการรวบมือบางนั้นเอาไว้ พร้อมกับโถมตัวกอดเขาไว้ทั้งตัว แล้วยังพลิกตัวเขาให้กลับลงไปนอนบนเตียงด้วย

            “อื้อ ไม่เอานะ... ฉันกลัว” เขาหลับตาปี๋พร้อมกับพูดออกมาเมื่อผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ และในตอนนี้ก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาด้วย ผมจึงจูบลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบา

            “ขอแค่นอนกอด... ได้หรือเปล่า” ผมบอกเขาหลังจากถอนริมฝีปากออกมาจากผิวกายนุ่มนิ่มของเขาแล้ว ทงเฮค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาสีชาของเขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม

            “กอดอย่างเดียวนะ” เขาถามย้ำทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้

            “ไม่...”

            “คิบอม! ออกไปเลย” ทงเฮเอามือมาดันแผ่นอกของผมให้ออกห่างจากตัวเขา ดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะหมองลงไปด้วย เห็นแล้วก็ไม่อยากจะแกล้งอีก

            “จะขอจูบราตรีสวัสดิ์แค่ทีเดียว ไม่ได้จะขอทำอย่างอื่นสักหน่อย ฉันรู้ว่าแบบนั้นสำหรับเราสองคนมันคงเร็วเกินไป... เลิกกลัวได้แล้วนะครับทงเฮ” 

            เราสองคนจ้องตากันนิ่ง ไม่ต้องพูดอะไรอีกก็เข้าใจในสิ่งที่ต้องการที่จะถ่ายทอดให้กันและกันได้เข้าใจ ทงเฮเม้มริมฝีปากสีหวานของเขาเข้าด้วยกัน ก่อนที่เขาจะยื่นมันขึ้นมาแตะปากของผมเบาๆแล้วถอนออก

            “ขอบคุณนะ”

            ผมยิ้มให้กับคำขอบคุณของเขาก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมนนั้นเบาๆ แล้วกลับลงมานอนข้างๆเขา เป็นเพราะผมแกล้งยียวนจนทงเฮปาหมอนใส่หัวผมไปแล้ว ผมก็เลยยินดีชดใช้ด้วยการให้เขาหนุนนอนบนแขนของผม

            “ไม่เมื่อยเหรอ” เขาถามผมเมื่อผมจับให้เขานอนหนุนแขน

            “ถ้าเมื่อยเดี๋ยวพรุ่งนี้นายก็นวดให้ฉันไง”

            “นี่ๆ ปวดให้ตายก็ไม่นวดให้หรอก ไม่ได้ขอหนุนเองสักหน่อย” ทงเฮแกล้งเอาหัวทุบลงมาบนแขนผมหลายๆที ผมกับปิดท้ายด้วยการแลบลิ้นใส่ผมเหมือนเด็กๆ ก่อนจะชิ่งหลับตาเบียดตัวเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมกอดผมทันที

            ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่หัวเราะก่อนจะแกล้งหอมแก้มนุ่มนั้นซ้ำๆ ทงเฮได้แต่เบี่ยงหลบแต่ก็ไม่เป็นผลนัก จนกระทั่งผมพอใจกับการสูดดมความหอมจากผิวกายเขา เราสองคนจึงยุติศึกบนเตียงและหลับไปพร้อมๆกัน


            ในอ้อมกอดของกันและกัน ~






            
            
            

            “ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวจะปวดแขนก็ยังอยากทำเท่ห์อยู่ได้”

            เขาบ่นตอนที่เราแวะพักทานอาหารในสาถานีรถไฟแถบชานเมือง ถึงแม้จะบ่นแต่ทงเฮก็กำลังนวดแขนให้ผมไปด้วย น่ารักใช่มั้ยล่ะ

            “แล้วเท่ห์มั้ย” ผมแกล้งถามเขาด้วยใบหน้านิ่งๆ แถมยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเขาอีก ทงเฮผละตัวออกทันที เหมือนจะงอนแต่หน้าแดงมากอีกแล้ว

            “อยากโดนทุบเหรอ ไม่นวดแล้ว ไปซื้อขนมดีกว่า ตามมานะ” ทงเฮปล่อยมือออกจากแขนของผมก่อนจะลุกพรวดขึ้นทันที ผมหัวเราะเบาๆ ตอนที่มองตามเขาไป ก่อนจะเรียกเก็บเงินค่าอาหารเที่ยงที่เรากินไปเรียบร้อยแล้ว


            ผมออกจากร้านอาหารเพื่อที่จะเดินไปหาทงเฮที่ร้านขนมด้านหน้าสถานี ที่ผมรู้ก็เพราะเห็นว่าทงเฮแอบมองมันตั้งแต่ที่เราสองคนเดินเข้ามาในสถานีแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะเดินถึงหน้าร้านขนมก็ต้องหยุดเดินเมื่อหญิงสาวคนนึงทิ้งกระเป๋าเดินทางลงต่อหน้าผมโครมใหญ่

            “อุ้ย! ขอโทษค่ะ” เธอรีบก้มหัวให้ผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาเกือบโดนลูกหลง แต่ทว่าภาษาเกาหลีที่หลุดออกมาอย่างลืมตัวของเธอกลับทำให้ผมชะงัก 
            
            “จีฮวา...”

            “คิบอม! คิบอมจริงๆด้วย!!” 

            พอได้ยินเสียงทักของผมเธอก็เงยหน้ากลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนจะสวมกอดผมทันที แต่ไม่นานเธอก็รีบผละตัวออก

            “เฮ้ย~ เราขอโทษนะ ลืมตัวไปเลย ตอนนี้คิบอมเป็นดาราแล้วนี่”  

            “ไม่เป็นไร ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรานักหรอก” ผมหัวเราะให้กับท่าทีตื่นตกใจของเธอ ได้ยินแบบนั้นแล้วจีฮวาก็ยังไม่ยอมหยุดหันซ้ายมองขวา ผมเองก็เลยมองเหมือนกัน และก็ได้เห็นทงเฮกำลังมองเราสองคนออกมาจากร้านขนม ก่อนเขาจะหันกลับไปเลือกขนมต่อเมื่อเห็นว่าผมมองอยู่ 

            “แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ไง” ผมถามเธอเพราะเห็นว่าเธอยืนอยู่เพียงลำพัง ซึ่งมันน่าแปลกใจไม่น้อยเลยที่เธอจะมาอยู่ต่างถิ่นแบบนี้คนเดียว

            “เรามาเที่ยวกับเพื่อน แต่เขาต้องกลับไทเปไปก่อน เราเลยต้องกลับเอง แล้วเมื่อกี้รถไฟมันเพิ่งจะออก แต่เรารีบมากเลยคิบอม มีงานตอนเย็นด้วย นายอยู่ที่นี่พอจะรู้มั้ยว่าจะไปไทเปเร็วๆได้ยังไง”

            จีฮวาพูดอย่างรัวเร็ว หน้าตาบ่งบอกความรู้สึกในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี จนผมอดหัวเราะไม่ได้ เธอยังคงน่ารักเหมือนตอนเด็กๆ เหมือนจีฮวาคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก


            ฮันจีฮวาเป็นผู้หญิงคนแรกของผม...
            เป็นแฟนคนแรก เป็นคนแรกที่ผมชอบ
            


            “ก็ไปกับเราสิ สองชั่วโมงถึงที่หมาย โอเคมั้ย” 

            “ได้เหรอ! โอ้ย ขอบคุณมากนะคิบอม!! นายยังใจดีเหมือนเดิมเลย” 

            เธอจับมือผมแน่นเลย ผมได้แต่ยิ้มให้เธอ และไม่นานคนที่ผมกำลังจะเดินไปหา เขาก็เดินเข้ามาหาเราสองคน จีฮวาจึงปล่อยมือออกจากผม

            “มาแล้วเหรอ เหมาร้านเขามาหรือเปล่า” พอจีฮวาปล่อยมือผมก็หันมาหาเขาทันที พร้อมกับช่วยเอาถุงขนมนั้นมาถือด้วย เขาก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

            “เวอร์ไปละ” ทงเฮบอกก่อนหันไปยิ้มให้กับผู้หญิงตรงหน้าเขา

            “นี่ทงเฮหรือเปล่า” จีฮวาถามทันทีเลยครับ พร้อมกับทำตาโตๆด้วย ซึ่งทงเฮเองก็งงไม่แพ้กันที่คนตรงหน้ารู้จักเขาด้วย

            “ครับ” เขาตอบรับเบาๆ พร้อมกับหันมามองหน้าผม แต่ผมเองก็งงเหมือนกัน

            “ไม่ต้องงงหรอก ตอนม.ปลายทงเฮดังจะตาย เพื่อนเราแอบชอบตั้งหลายคนแน่ะ”

            ทงเฮหน้าเหวอไปเลยตอนที่ได้ยินแบบนั้น แล้วเจ้าตัวก็ก้มหน้าลงทันทีเพราะคงไม่รู้จะตอบว่าอะไร แต่ผมนี่สิ ชักหงุดหงิดละ เพราะผมอยู่โรงเรียนเดียวกับทงเฮแค่ตอนม.ต้น เพราะม.ปลายย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น แต่ผมก็เชื่อนะ เพราะเขาออกจะน่ารักขนาดนี้ และตอนเด็กๆ ผมคงมองไม่เห็นเอง 

             “นี่จีฮวาเพื่อนฉันนะ อยู่โรงเรียนเดียวกับเราด้วย จำได้หรือเปล่า” ผมแนะนำอย่างเป็นทางการซึ่งทงเฮเองก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แต่ผมรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่แปลกไป

            “รบกวนด้วยนะคะ” จีฮวาบอกทงเฮ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น เขาคงยังไม่รู้ว่าจีฮวาจะไปกับเราด้วย

            “จีฮวาตกรถน่ะ ฉันก็เลยชวนกลับด้วยกัน”

            “อา~ งั้นผมช่วยยกกระเป๋านะ” ทงเฮตอบรับพร้อมกับรีบเข้าไปยกกระเป๋าของจีฮวาขึ้นแล้วออกเดินล่วงหน้าไปที่รถ ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่มองตามเขาไปแล้วช่วยจีฮวาถือกระเป๋าอีกใบตามไปด้วย




            ทงเฮเลือกที่จะนั่งเบาะหลัง และผมก็คงไม่สามารถบังคับให้เขากลับมานั่งที่เดิมของเขาได้ในเมื่อตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันสองคน เขานั่งกินขนมที่ซื้อมาพร้อมกับมองวิวทิวทัศน์ข้างทาง จะมีบ้างที่จะหันมาร่วมวงสนทนากับผมและจีฮวา

            “เราไม่รู้เลยนะว่าคิบอมอยู่โรงแรมนั้นด้วย ว่าแล้วเชียวสาวๆมาแอบซุ่มเพียบเลย”

            จีฮวาบอกหลังจากที่ผมถามเธอว่าพักที่ไหน และคำตอบของเธอก็ดันเป็นที่ที่เดียวกับที่ผมพักด้วย ผมแอบส่องกระจกมองหลังแบบไม่รู้ตัวและตอนนี้ผมก็เห็นว่าทงเฮหลับตาไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาหลับอยู่หรือเปล่า

            “แล้วนี่มีแฟนยังเนี่ย เป็นนางเอกที่ไหนบอกเรามานะ”

            “ไม่ใช่นางเอกที่ไหนหรอก”

            “พูดแบบนี้แสดงว่ามีแล้วสิ”

            “อื้ม” ผมตอบสั้นๆ ด้วยรอยยิ้ม จีฮวามองผมแบบไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมา 

            “เจ๋งอะ... แฟนคิบอมทำให้คิบอมยิ้มได้ขนาดนี้ ต้องเจ๋งมากแน่ๆ”

            “อื้อ เจ๋งมาก” ผมหัวเราะ และเห็นด้วยว่าทงเฮขยับตัว แต่ตาของเขาไม่ได้เปิดขึ้นมา ผมก็เลยไม่รู้ว่าเขารับรู้มันอยู่หรือเปล่า


            หลังจากนั้นไม่นานรถก็เข้าสู่เขตไทเป ทงเฮเองก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ผมพยายามสบตากับเขาผ่านกระจกรถ แต่ทงเฮก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น 

            “เดี๋ยวเราไปส่งที่โรงแรมเลยนะ” ผมบอกจีฮวาซึ่งเธอก็พยักหน้ารับ และไม่นานรถก็เข้าสู่ลานจอดรถของโรงแรมใหญ่ 

            เจ้าหน้าที่มาช่วยรับกระเป๋า จีฮวาบอกลาเราสองคนก่อนที่จะเดินเข้าโรงแรมไป ทงเฮยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมก่อนจะบอกออกมา

            “เดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้ นี่มันโรงแรมที่นายพักนิ นายจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปกลับมา”  พูดแล้วก็เก็บถุงขนมไปด้วย

            “ไม่เอา... จะไปส่ง มานั่งนี่สิทงเฮ” ผมตบเบาะข้างคนขับประกอบคำพูด

            “...” เขาไม่ตอบแถมยังไม่ขยับ

            “มาเร็วๆ ไม่งั้นอุ้มนะ”

            “บังคับอีกแล้วนะ!” เขาบอกก่อนจะค่อยขยับผ่านจากเบาะหลังมาจนถึงที่นั่งตอนหน้าได้สำเร็จ

            “โกรธเหรอ” ผมยังไม่สตาร์ทรถเพราะอยากจะพูดกันให้รู้เรื่องก่อน อาจเป็นเพราะดวงตาคู่นี้มันไม่สดใสเหมือนเคย มันก็เลยทำให้ผมรับรู้ความรู้สึกของเขา ทงเฮส่ายหน้าไปมาแต่ไม่ยอมพูดอะไร

            “งั้นก็หึง งอน น้อยใจ เป็นอะไรบอกหน่อยได้มั้ย”  ผมพูดพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น และวางมือไว้บนหัวเขา ไม่อยากให้เขาหันหน้าหนีผมอีก

            “บอกหน่อยนะ...” ผมกดจมูกลงบนพวงแก้มขาวๆนั้น และแน่นอนว่าหลังจากนั้นผมก็โดนทุบ แต่ก็นับวามันเป็นนิมิตรหมายอันดีแล้ว(?)

            “แฟนเก่านายน่ารักดีเนอะ”

            เขายอมพูดออกมาในที่สุด ผมไม่อยากจะยิ้มเลย แต่มันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ นี่ขนาดเป็นแฟนคนแรกตั้งแต่ตอนเด็กๆทงเฮยังรู้เลยนะ สมกับที่ซีวอนมันนินทาให้ผมฟังหลังจากที่ผมโทรไปเล่าให้มันฟังว่าเจอทงเฮอีกครั้งที่ไต้หวัน

            'มึงมันโง่ มึงไม่รู้หรอกทงเฮเขาชอบมึงมาตั้งนานแล้ว ไม่สังเกตหรือไงเวลาที่เราเดินไปด้วยกันแล้วกูทักเขาอ่ะ หน้าเขาแดงตลอดเลย เขาคงไม่ได้เขินกูหรอกมั้งไอ้ควาย'


            ผมจำได้ดีเลยล่ะ... ก็มันเล่นด่าผมทั้งขึ้นต้นและลงท้าย
            ตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรแบบนี้กับทงเฮจริงๆนะ!
            แต่ตอนนี้. . . ผมคงถอนตัวไม่ขึ้นแล้วล่ะ~

                    

            “หึงจริงๆสินะ”

            “ไม่ได้หึง!” เขาสวนกลับอย่างไม่หยุดคิดเลยแม้แต่นิดเดียว

            “โอเค ไม่หึงก็ไม่หึงครับ แต่ฉันอยากให้หึงนะ เพราะถ้ากลับกันเป็นนายที่เจอกับแฟนเก่าฉันก็คงหึงเหมือนกัน แต่เรื่องของฉันกับจีฮวาไม่มีอะไรต่อกันแล้วจริงๆนะ นายก็เห็น เราเหมือนเพื่อนเก่ากันมากกว่า” 

            “อื้อ~” เขาพยักหน้ารับแล้วก็ยิ้มให้ผมด้วย แค่นี้ก็ทำให้บรรยากาศในรถดีขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า 


            ผมบีบมือเขาเบาๆ ก่อนจะผละออกไปขับรถพาเขาไปส่งที่ร้านซึ่งเขาอุตส่าห์ปิดมันเพื่อที่จะไปเที่ยวด้วยกันในวันว่างที่หาได้ยากของผม
            
            “ดื่มอะไรก่อนมั้ย” เขาถามหลังจากที่ผมช่วยเขาถืกระเป๋าเข้ามาส่งในร้าน

            “ไม่ดีกว่าฉันต้องรีบไปรายงานตัวไม่งั้นโดนฉีกอกแน่” ผมพูดติดตลกซึ่งทงเฮเองก็ร่วมหัวเราะไปด้วยเพราะเขารู้ว่าผมหมายถึงผู้จัดการ

            “ขับรถดีๆนะ”

            “ครับ~ พรุ่งนี้เจอกันนะ”

            “อื้อ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนฉีกอกจริงๆหรอก” เขาดันหลังผมออกไปทางประตูเมื่อเห็นว่าผมบอกลาแล้วยังยืนอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้น เห็นเขาเอาแต่ไล่ให้กลับแล้วก็อดไม่ไหวยกแขนขึ้นกอดเขาไว้หลวมๆ 

            ทงเฮยืนนิ่งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวแต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมก็เลยผละออกแล้วลูบหัวเขาเบาๆ 


            “ฉีกอกไปก็ไม่ตายหรอก หัวใจฉันอยู่กับนาย”



            ไม่บอกหรอกนะครับว่าทงเฮทำหน้าแบบไหน. . .
            ผมหวงครับ หึหึหึ ~






            หลังจากได้เติมแบตด้วยการไปเที่ยวกับทงเฮแล้วผมก็ต้องกลับเข้าสู่วงจรเดิมคือถ่ายละครทั้งวัน อาจจะรวมไปถึงทั้งคืนด้วยในบางวัน และอาทิตย์หลังคริสต์มาสก็ดูเหมือนว่าจะเป็นงานหนักเพราะโลเคชั่นที่ถ่ายละครนั้นอยู่แถบชานเมือง ซึ่งมันทำให้ผมไม่ได้กลับโรงแรม และแน่นอนว่าไม่ได้แวะไปที่ The Grand Place ด้วย

            'นอนยังครับ~'

            พอเลิกกองกลับเข้ารีสอร์ทที่พักของกองถ่ายผมก็จัดการอาบน้ำแล้วมานอนกลิ้งบนเตียงก่อนจะทักโปรแกรมแชทไปหาทงเฮเหมือนที่ทำทุกคืน แต่เขาก็ไม่เปิดอ่านเลย ผมก็เลยตัดสินใจโทรไปหาเขา

            “ไม่ได้อยู่ที่ร้านเหรอ” คำทักทายแรกของผมดันเป็นประโยคคำถาม เพราะเสียงจอแจที่ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์

            (เปล่า) เขาตอบกลับมาสั้นๆ และผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทงเฮเงียบไปพักนึงก่อนจะพูดต่อ

            (อยู่สนามบิน... มารับเพื่อน)

            “ดึกแล้วนะไปกับใคร” ผมถามเพราะอดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นผู้ชายแต่ไปไหนมาไหนตามลำพังช่วงเวลาแบบนี้มันก็น่าเป็นห่วง

            (คนเดียวแต่ตอนกลับก็มีเพื่อนไง ฮาๆ) เขาหัวเราะกลับมาด้วย ทำเอาผมอดจินตนาการถึงหน้าเขาไม่ได้ ถ้าอยู่ใกล้ๆนะ พ่อจะจับเขกหัวเลย

            'ทงเฮ~ กลับเหอะ ง่วงนอน คุยกับใครอ่ะ เลิกคุยได้แล้วครับอีทงเฮ'

            “เพื่อนเหรอ” ผมถามเขาทันทีเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายแทรกเข้ามาในโทรศัพท์

            (อื้อ~ เพื่อนนนนน หึงเหรอ~) ดูเขาตอบกลับมาสิครับ นี่กำลังยั่วกันใช่มั้ยอีทงเฮ

            “พูดอะไรอ่ะทงเฮเดี๋ยวกลับไปโดนนะ”

            (โดนอะไร! ไม่กลัวหรอก นอนได้แล้ว ถ่ายละครมาทั้งวันไม่เหนื่อยหรือไง) ถึงประโยคจะเหมือนไล่และตัดรำคาญแต่ผมรู้ว่ามันเป็นประโยคแทนความห่วงใยของเขา เพราะเขาก็ไล่ผมไปนอนแบบนี้ทุกวัน

            “เหนื่อยมาก แต่พอได้คุยกันแล้วมันหายเหนื่อยไงครับ”

            (ครับๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวถึงแล้วโทรหานะ ตอนนี้เด็กมันงอแง ขอวางก่อนนะ) ทำไมอยู่ต่อหน้ากันทงเฮไม่พูดแบบนี้นะ ฟังแล้วรู้สึกอยากจะจุ๊บปากแดงๆนั่นเดี๋ยวนี้เลย แต่ไอ้เด็กที่เขาว่ามันเป็นใครกัน?

            “ครับ~ ขับรถดีๆนะครับ” ผมเลือกที่จะไม่ถามออกไปในตอนนี้ เขาตอบรับกลับมาสั้นๆ ก่อนจะวางสายไป ส่วนผมก็นอนท่องบทส่วนที่จะต้องถ่ายพรุ่งนี้รอโทรศัพท์จากเขา


            สักพักใหญ่ๆ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น~



            (นี่ดึกแล้วนะ! ยังไม่นอนอีก)

            เสียงหวานทักทายมาเป็นประโยคที่ไล่ให้ผมไปนอนอีกแล้ว แต่ใครมันจะไปยอมกันล่ะ วันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย 

            “ใจร้ายจัง... ไม่คิดถึงเหรอ”

            (อื้อ~) เขาตอบมาแค่นี้ ผมควรตีความหมายมันว่าอะไร

            “อื้ออะไรอ่ะ สั้นๆมันไม่เข้าใจนะ” ถามตรงๆเลยดีที่สุด

            (อื้อ! คิดถึง) เสียงอื้อดังมากครับ แต่เสียงบอกคิดถึงนี่เบาหวิวเลย และผมเดาว่าหน้าคนพูดก็ต้องแดงด้วยแน่ๆ

            'ปิดไฟแล้วนะ ง่วงงง มาให้นอนกอดหน่อยดิทงเฮ~'

            เสียงผู้ชายคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง และทำให้ได้รู้ว่าเพื่อนของทงเฮคนนี้กำลังอยู่ในห้องนอนของทงเฮ แล้วก็กำลังนอนกอดทงเฮด้วย!

            (อื้ออ จั๊กจี้~) เสียงเขาดังเข้ามา แต่ผมมั่นใจว่าไม่ได้พูดกับผม 

            (คิบอม... ยังอยู่หรือเปล่า~) เขาถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป

            “อืม” ผมไม่ได้โกรธเขานะแต่มันอึดอัดใจบอกไม่ถูก

            (เป็นไรเนี่ย โกรธทงเฮเหรอ) เขาน็อกผมด้วยการเรียกแทนชื่อตัวเอง และมันก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้

            “เพื่อนที่ไหน นอนกอดกันด้วย” 

            (ฮาๆ ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่เชื่อใจทงเฮเหรอ)

            “ครับ~ เชื่อแล้ว” ยอมง่ายจริงๆคิบอมเอ้ย!

            (คิบอม. . .)

            “ครับ~” ผมขานรับเมื่อเห็นเขานิ่งไปหลังจากที่เรียกชื่อผมขึ้นมา

            (พรุ่งนี้ไปปักกิ่งด้วยกันนะ) ดูเหมือนเขาต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากในการเอ่ยชวนผมในครั้งนี้ และนั่นมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

            “ขอโทษนะครับ... พรุ่งนี้ต้องอยู่ร่วมงานเคาท์ดาวน์ของสถานี”

            (อ๋อ...) เสียงเขาเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน ผมรู้สึกผิดมากที่ทำให้เขาต้องผิดหวัง แต่ว่างานคืนพรุ่งนี้เป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นหนึ่งในการโปรโมตละครของทางสถานี

            “ทงเฮ... คิบอมขอโทษนะ”

            (ขอโทษทำไม... นายทำงานนะ ถ้าหนีงานมาสิฉันถึงต้องโกรธ ไม่เป็นไร... เดี๋ยวฉันเที่ยวเผื่อนะ!) เขาตอบกลับมายาวเหยียดเลย ด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำขึ้น แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่อยู่ดี

            “แล้วทงเฮไปกับใครบ้าง”

            (ไปกันแค่สองคน) เข้าใจได้ทันทีว่าเขาหมายถึงเพื่อนที่ไปรับมาในวันนี้

            ผมนอนคุยโทรศัพท์กับเขาอีกนานพอสมควรซึ่งบรรยากาศมันก็ดีขึ้นมากหลังจากที่เราเปลี่ยนเรื่องคุย แต่สำหรับผมแล้วมันก็อดรู้สึกใจเสียไม่ได้เมื่อคิดไปถึงน้ำเสียงผิดหวังของเขา ผมบอกลาทงเฮด้วยการจูบเหมือนทุกคืน ก่อนจะปิดไฟนอนบ้างเพื่อเอาแรงไปต่อสู้กับตารางงานวันพรุ่งนี้




            วันสิ้นปี 2012 คือวันหนึ่งที่ผมคงจะจดจำไปอีกแสนนาน นอกจากตารางงานที่แน่นเอี๊ยดแล้ว คนที่ผมอยากคุยด้วยที่สุดยังติดต่อไม่ได้มาทั้งวัน แชทไม่ตอบ โทรไม่ติดจนผมไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้ด้วยวิธีไหน

            “เดี๋ยวคิวต่อไปเชิญทุกคนที่หน้าเวทีเลยนะคะ”

            เสียงสต๊าฟของงานฉลองวันปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์เจ้าของลิขสิทธิ์ละครของผมดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่างานในวันนี้ของผมจะหมดสิ้นแล้ว 


            เหลือแค่นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่เท่านั้น ~



            พลุหลากสีสันแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้ากว้างหลังจากที่เลข '1' บนจอยักษ์ผ่านพ้นไป เป็นสัญญาณว่าในตอนนี้ได้เข้าสู่ชวงเวลาของปี 2013 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมค่อยๆ ปลีกตัวออกจากกลุ่มผู้บริหารหลังจากที่ทักทายพูดคุยกันพอเป็นพิธี ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาผู้จัดการที่ยืนปะปนอยู่กับทีมงานคนอื่นๆ

            “ฮยอง... ผมอยากกลับไทเป คืนนี้เลย!”





            คนขับรถใช้เวลาขับรถเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็พาผมกลับมาสู่โรงแรมในไทเปได้โดยสวัสดิภาพ ผมเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง ในขณะเดียวกันก็โทรหาทงเฮไปด้วย แต่ก็เหมือนเดิมคือติดต่อไม่ได้ 

            ผมขับรถมายัง The Grand Place แม้จะรู้ว่ามันปิดก็ตามแต่ก็ยังหวังว่าเขาจะยังอยู่ที่ร้าน แต่ผมก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเห็นร้านปิดสนิท แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน ขาของผมมันส่งให้ผมลงจากรถมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้าน


            The Grand Place . . .
            ร้านที่ผมบังเอิญเข้ามาหลบแฟนคลับจนได้พบกับเขา 



            “ร้านปิดแล้วนะครับ”

            เพราะภาษาเกาหลีที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมหันกลับไปทันที ถึงแม้เสียงจะห้าวหวานเหมือนกัน แต่ทว่าคนพูดกลับไม่ใช่คนที่ผมอยากเจอ

            “คุณเป็นใคร” ผมถามออกไปอย่างไม่ค่อยมีมารยาทนักเพราะรู้สึกสงสัย ผู้ชายตรงหน้าตัวผอมเพรียวและแต่งตัวจัดตามสมัยนิยม เขายักไหล่ให้ผม ก่อนจะพูดยิ้มๆ

            “แต่ถ้าอยากเข้าไป ต้องไปขอกุญแจจากผู้ชายคนนั้นนะครับ” เขาชี้มือไปอีกทาง ซึ่งผมก็มองตามไปนิ้วเรียวนั้นไปทันที  คนตัวเล็กที่ห่อตัวด้วยเสื้อคลุมตัวหนากำลังวิ่งเข้ามาหาผม

            “ฮยอกแจเอาโทรศัพท์มานะ! . . . คิบอม!!”

            คนมาใหม่ดูตกใจมากเมื่อเห็นผมยืนอยู่กับคนที่เขาร้องเรียกในทีแรก และเขาคงตกใจมากขึ้นเมื่อผมดึงเขาไปกอดแน่น

            “โทรหาไม่ติดเลย เป็นห่วงรู้มั้ย” ผมบอกเขาแต่ยังไม่ยอมลดมือจากการกอด และครั้งนี้เขาเองก็กอดตอบกลับมาด้วยพร้อมกับตอบรับอยู่ในอก

            “อื้ออ ขอโทษนะ”

            “นี่ๆ อีทงเฮเอากุญแจมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ แล้วจะไปสวีทกันที่ไหนก็ไปเลยไป” 

            คนตัวผอมที่ยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าประตูเดินเข้ามาดึงผมที่ทงเฮผูกเป็นจุกเอาไว้อยู่ข้างหลัง ทงเฮเองก็เหมือนจะรู้ตัว เขารีบผละตัวออกจากอ้อมกอดของผม 

            “คิมคิบอม... นายใช่มั้ยคิมคิบอม...” คนตัวเล็กเขารับกุญแจที่ทงเฮยื่นให้ก่อนจะหันมาหาผม

            “ครับ” ผมตอบรับงงๆ แล้วหันไปมองหน้าทงเฮ แต่เขาก็เพียงแค่ส่ายหน้าแบบเอือมระอากลับมาให้เท่านั้น

            “นายทำให้ฉันไม่ได้ไปปักกิ่ง! จำไว้เลยคิมคิบอม!!” เขาพูดแล้วก็เชิดหน้าใส่ผมก่อนจะหันกลับไปไขประตูแล้วเดินหายเข้าไปใน The Grand Place 

            “ฤทธิ์เยอะมั้ยละ ฝาแฝดฉันน่ะ” ทงเฮพูดขึ้นหลังจากประตูร้านปิดลงแล้ว และเราสองคนออกเดินไปตามท้องถนนที่ไร้ผู้คน
            
            “แฝดเหรอ... คนนี้เหรอที่ไปรับที่สนามบินเมื่อคืน” ผมอดแปลกใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าทงเฮมีฝาแฝด ก็ไม่เห็นไอ้ซีวอนมันจะเคยพูดถึงเลย

            “อื้อ~ ไม่ใช่แฝดจริงๆหรอก เราเป็นญาติกันน่ะ แต่เกิดปีเดียวกัน แล้วก็โตมาด้วยกัน เพราะสนิทกันมากพวกผู้ใหญ่ก็เลยเหมารวมว่าเราเป็นแฝดกัน”

            “ไหนเมื่อคืนบอกเพื่อน” ผมยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็ก อาจเป็นเพราะอากาศมันหนาวก็เลยอยากจะเติมความอบอุ่นให้กับเขา

            “ก็เพื่อนนะ... ฮยอกแจก็เป็นทุกอย่างในชีวิตฉันนั่นแหละ แต่วันนี้เป็นแม่ด้วย ยึดโทรศัพท์ฉันไว้ทั้งวันเลย บอกจะแกล้งให้นายติดต่อฉันไม่ได้ เพราะนายทำให้เขาไม่ได้ไปปักกิ่ง”
            
            “ฉันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย” เริ่มกระจ่างแล้วว่าทำไมวันนี้ถึงติดต่อทงเฮไม่ได้ ฝาแฝดของเขานี่แสบใช่ยอยจริงๆ 

            “ไม่รู้จริงๆน่ะเหรอ. . .”  เขาหยุดเดินแล้วหันตัวกลับเข้าหาผม มือเล็กๆทั้งสองข้างสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวหนา คงเพราะอากาศที่หนาวเหน็บของไทเป

            “พอรู้... แต่ไม่อยากเข้าข้างตัวเองมาก” ผมอังมือทั้งสองข้างเข้ากับพวงแก้มของเขา เมื่อผิวกายสัมผัสนั้นก็ชวนให้รู้สึกว่ามันอุ่นขึ้น

            “ก็ได้... ถ้าไม่มั่นใจก็จะบอกให้” เขาพูดพร้อมกับเอามือออกจากกระเป๋าเสื้อมาอังที่แก้มของผมเหมือนกัน ก่อนจะบอกออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ



            “เพราะทงเฮอยากเจอคิบอมในวันเริ่มต้นปีใหม่ แล้วคิบอมก็กลับมาหาทงเฮ ดีใจมากๆเลยรู้เอาไว้ด้วย!” 



            ผมอดหัวเราะในความสดใสน่ารักของเขาไม่ได้จริงๆ และเพื่อตอบแทนในความน่ารักนั้นผมจึงก้มลงจูบที่ปากเขาเบาๆ หน้าผากเราแนบชิดติดกัน เลยทำให้สามารถมองผ่านเข้าไปในดวงตาของกันและกันได้อย่างชัดเจน ผมเห็นตัวผมเองในดวงตาของเขา และแน่นอนว่าเขาก็คงเห็นตัวเขาในดวงตาของผมด้วย







            ผมเป็น 'รักแรก' ของเขา
            กลับกันเขาไม่ใช่ 'รักแรก' ของผม
            แต่มันไม่สำคัญเท่าตอนนี้. . . 




            ตอนที่เราเป็น 'รักสุดท้าย' ของกันและกัน~














            สวัสดีปีใหม่ครับ ^ ^









    THE END **









    Kibummi Talk ::

    ว๊ายยยยยยยยย พี่จีฟ่านมาสวัสดีปีใหม่เองเลย >_____<
    ดูมุมมองพี่คิบอมแล้วก็หลงพระเอกหนักขึ้นไปอีก
    แต่ดูพระเอกมันก็จะหลงนายเอกหนักเหมือนกันนะเนี่ย ก๊ากๆๆ
    ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ ขึ้นปีใหม่อีกปีแล้วนะ อยู่ด้วยกันไปนานๆน้า T3T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×