ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF KAIBAEK] Imagination with KaiBaek

    ลำดับตอนที่ #14 : [FIC] White Wolf (KaiBaek) - 4.5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.43K
      6
      24 มิ.ย. 56








    White wolf

    Pairing : Kai x Baekhyun
    ft.KrisHo , TaoHun 

    Rate : NC – 17

    Story and Art : Gornhai



     

    *ขอโทษที่มันไม่เต็มพาร์ทจบแบบที่บอกไว้นะคะ มันยาวเกินไปนิดเลยตัดฉับปล่อยเป็น 4.5ก่อนละกัน พาร์ทนี้ก็สั้นๆง่ายๆค่ะ 

    คำเตือน : โปรดลืมภาพป๋าแพค ชายพยอน หรือหนุ่มบูชอนสไตล์ไว้ก่อนนะคะ เหลือไว้แค่น้องป๋ายน่าทำให้ร้องไห้

    ส่วนพ่อพระเอก โปรดลืมภาพอินนี่ เซะซี่บียอนไว้ก่อนนะคะ เหลือไว้เพียงพี่ไคคนกากที่เรื่องนี้ได้บทท่านไคละกันนะ

    กร๊าซซซซซซซซซซ #อินี่ก็กลัวแต่เค้าจะไม่อินกันละเกิ๊ลลลลลลล หิ =v=






    130623
    - Part 4.5 -






     

               ท่านไม่ถามสักคำว่าข้าเป็นอย่างไร

     

     

         ถึงต้องฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่ยังล้าแค่ไหนข้าก็คงไม่คิดอะไรหากท่านจะมองหน้าข้าสักหน่อย แต่สิ่งที่ข้าได้รับ มันก็คือการที่ท่านเดินผ่านข้าไปอย่างไม่คิดว่าข้ามีตัวตน ข้าโง่เองรึเปล่านะที่รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วอยากจะเจอหน้าท่าน อยากถามว่าท่านเป็นอย่างไร อยากขอบคุณและขอโทษ

     

     

     

     

     

    หลังจากที่เรื่องทั้งหมดถูกเล่าจากปากของพี่ชายแท้ๆ คนฟังที่แทบไม่เชื่อหูจึงนั่งนิ่งไปอยู่อย่างนั้น

     

    ภายในห้องนอนห้องเดิมในเรือนใหญ่ สามชีวิตนั่งมองหน้ากันบ้าง สลับกับก้มหน้ากันไปบ้าง จุนมยอนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาแพคฮยอนซึ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียง โดยที่ข้างกายจะเป็นเซฮุนที่เขาอยากให้อยู่ฟังด้วยกันเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็นคนอื่น

     

    “เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละแพคฮยอน” จุนมยอนบอก

     

    คนฟังที่ฝืนยิ้มแล้วเดินออกไปในห้องใหญ่ก่อนหน้านี้กลับหมดแรงจะหยัดยืนต่อไป แพคฮยอนถูกจุนมยอนพาเข้ามาเล่าเรื่องของเขาให้ฟังหลังจากที่แยกตัวออกมาจากคนอื่นๆแล้ว

     

    ใบหน้าขาวซีดจากความเหนื่อยล้าไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้าเลย

    “เจ้าไหวไหมแพคฮยอน” เซฮุนถามอย่างเป็นห่วงบ้าง

    “ข้า.....” แพคฮยอนยังคงก้มหน้าลงอย่างเดิม

     

     

     

    “แล้วทำไมแม่ถึงรับเงื่อนไขนั้น แม่ยอมให้ข้าถูกสาป” แพคฮยอนพูดไปก็อยากจะร้องไห้ ความคิดหลายอย่างวิ่งวนในหัวจนเขาสับสน คนทั้งสองมองมาอย่างเวทนา พวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยนอกจากอยู่ข้างๆแบบนี้

     

    “พี่แอบเห็นแม่ร้องไห้บ่อยๆ ท่านยายเคยบอกว่าแม่กับพ่อเฝ้ารอดูเจ้าทุกวันด้วยใจที่รู้สึกผิด แม้จะยังไม่ถึงอายุที่กำหนดแต่ทั้งสองก็ไม่เคยไว้ใจคำสาปนั่นสักครั้ง ท่านยายยังบอกอีกว่าบ่อยครั้งที่พ่อต่อว่าแม่ที่ทำอะไรลงไปไม่คิด แต่ทุกครั้งที่แม่ตอบกลับมาว่าเธอไม่มีทางเลือกอีกแล้วในสถานการณ์แบบนั้น สถานการณ์ที่พ่อนอนนิ่งเกือบจะหมดลมหายใจแล้ว พอบอกอย่างนั้นพ่อก็ใจอ่อนทุกที แม่บอกกับท่านยายว่ายอมรับผิดทุกอย่าง แต่ไม่ใช่แค่ความเห็นแก่ตัวของแม่ที่ไม่ยอมเสียพ่อไป แม่บอกว่าสักวันหนึ่ง เราจะเข้าใจ” จุนมยอนอธิบายอีกครั้งกับเรื่องน่าสลดใจภายในครอบครัว แพคฮยอนระบายยิ้มเศร้าๆออกมา

     

    “ใช่แล้ว .. คิดไปข้าเองก็ไม่โกรธหรอก เพราะถ้าเลือกได้ ข้าก็ขอเลือกชีวิตพ่อ ถ้าแม่ไม่เลือกแบบนี้แล้ว ข้าเกิดมาก็คงไม่ได้เห็นหน้าพ่อ ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีแบบนี้”

     

    แพคฮยอนพูดจบแล้วน้ำตาหนึ่งหยดจึงไหลลงมา เขารีบเอามือเช็ดมันออกทันที ความน้อยเนื้อต่ำใจกับความคิดที่ว่าแม่ไม่รักเขาเลยกลับถูกกลบไปด้วยความคิดถึงที่มีต่อคนทั้งสอง หากนึกว่าตัวเองต้องเกิดมาแล้วไม่มีพ่อมันคงน่าเศร้ากว่านี้นัก ระยะเวลาหลายปีที่พ่อเลี้ยงเขามา พร่ำสอนและให้ความรักมานั้น เขายังจดจำไม่เคยลืม

     

    “เจ้าเข้มแข็งกว่าที่ข้าคิดมากเลยนะแพคฮยอน”

    “ข้าโตแล้วนี่นาเซฮุน” แก้มเปียกๆหันมายิ้มให้คนข้างกาย เซฮุนมองแพคฮยอนอย่างเกินจะเชื่อ เรื่องแบบนี้หากเกิดกับเขาคงช็อคไปหลายวันเลยทีเดียว แล้วนี่อะไร นอกจากอีกฝ่ายจะตั้งสติได้เร็วกว่าที่คิด ยังอุตส่าห์เข้าใจในการกระทำแบบนั้นของแม่ตัวเองอีก

     

    “เฮ้อ ... เจ้านี่นะ ข้าล่ะเชื่อเลย มิน่าล่ะท่านไคถึงได้ยอมเจ้าถึงเพียงนี้ ทั้งให้อยู่ในเรือน ทั้งตามไปช่วย........” เซฮุนพูดได้เท่านั้นก็ต้องชะงักเมื่อคนฟังมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แพคฮยอนก้มหน้าลงอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อใครคนนั้น เซฮุนกับจุนมยอนมองหน้ากันเหมือนจะพอเข้าใจ แต่ก็ไม่รู้จะถามอย่างไรดี

     

    ทั้งสองมองรอยแดงๆที่ลำคอของแพคฮยอน ก่อนจะสบตากันอีกครั้งราวกับกำลังสื่อบางอย่างผ่านสายตา บางอย่างที่แอบสงสัยมาสักพัก และคิดว่าคงไม่ผิดแน่

     

    “แพคฮยอน...”

    “ไม่ใช่หรอกเซฮุน ท่านไคของเจ้าเค้าคงไม่ได้อยากจะทำหรอก ข้าลองคิดดูแล้วข้าเองมันก็แค่ตัวปัญหาที่ผ่านเข้ามา เค้าเป็นคนดีอย่างที่พวกเจ้าว่ายังไงล่ะ จึงช่วยเหลือข้าเอาไว้”

     

    แพคฮยอนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้หัวใจดิ่งลงไปที่ปลายเท้ามากกว่าเรื่องคำสาปอะไรนั่นที่เขาต้องพบเจอ หากเป็นในครั้งแรกคงตระหนกตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่แล้วในเวลานี้ ได้ฟังแล้วยังไงล่ะ กระจ่างแล้วยังไง .. มันแก้ไขอะไรได้อีก

     

    เขาจะต้องสืบทอดทายาทให้ชนเผ่านี้อย่างนั้นหรือ ที่ต้องกลายเป็นผู้หญิงเพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้นใช่ไหม แล้วคู่ของเขาคือใคร ชายผู้นั้นเป็นใคร  

     

    ไค ..

     

    เรื่องระหว่างกันย้อนเข้ามาในห้วงคำนึงจนยากจะปฏิเสธ เขาไม่ใช่เด็กที่จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทุกครั้งที่ถ่ายทอดไออุ่นให้กันและกัน ทุกครั้งที่เขาเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ... ที่เคยมีอะไรกัน ทั้งหมดมันคืออะไร

     

    ทุกอย่างที่ว่าแก้ไขไม่ได้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับหัวใจตัวเองในตอนนี้

     

     

     

     

     

     

    นับตั้งแต่นั้นมา หนึ่งวันเต็มๆที่ท่านหัวหน้าเผ่าผู้เย็นชากลับมาเป็นอย่างเก่าโดยสมบูรณ์

     

    ไคแทบไม่มีรอยยิ้มให้ใครเลยแม้กระทั่งกับคนสนิทของเขา แล้วนับประสาอะไรกับคนอาศัยที่แม้จะลองยิ้มให้อีกครั้ง แต่ที่ได้กลับมาคือความเฉยชา ท่ามกลางสายตาที่ตั้งคำถามของทุกคน แพคฮยอนเองจึงไม่อยากจะทนเช่นกัน

     

    เย็นวันนั้นเองขณะที่ท่านไคและจื่อเทากำลังจะออกจากเรือนไป ร่างของชายหนุ่มในฐานะคนอาศัยที่ต้องอยู่คนเดียวจึงตรงปรี่เข้ามาหาทันที แพคฮยอนยืนเผชิญหน้ากับไคด้วยหัวใจที่เต้นรัว

     

    “ท่านไค ข้าขอถามอะไรหน่อย”

    “....... จื่อเทา ฟังแทนข้าทีนะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกประตูไป แพคฮยอนเจ็บหัวใจอีกครั้งกับท่าทีเฉยชาของไค ร่างของคนสนิทหนุ่มยืนมองทั้งสองก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าขวางเจ้านายตัวเองไว้

    “ท่านไคครับ เรายังพอมีเวลา ท่านน่าจะฟังเค้าหน่อยนะ” ลูกน้องตัวดีที่กล้าขัดคำพูด ทำเอาผู้เป็นเจ้านายจดจ้องผ่านสายตานิ่งๆนั้นมา

     

    “มีอะไรก็ว่ามา ข้ามีธุระต้องรีบไป” ไคหันมาบอกโดยที่สบตากับแพคฮยอนแค่วินาทีเดียว ชายหนุ่มอยากจะเดินหนีแต่ไม่อยากให้ที่ตั้งใจมานั้นพังลง แพคฮยอนสูดหายใจเข้าแล้วพูดออกไป เขาพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น

    “ข้าอยากรู้ว่าท่านโกรธหรือไม่พอใจอะไรข้า”

    “ก็ไม่นี่นะ”

    “เรื่องคำสาปของท่านแม่ของท่านใช่ไหม ท่านเกลียดข้า จึงไม่อยากจะยอมรับ แล้วข้ามันก็ตัวปัญหาของท่าน ภาระของท่าน ... ”

    “รู้ก็ดีแล้วนี่”

    “...............”

     

    แพคฮยอนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ตกลงมาตามแก้ม มือบางกำเข้าหากันอย่างสุดจะทน เหมือนมีใครสักคนเอาก้อนหินมาทับลงกลางใจ ทำไมท่านไคคนดีของคนที่นี่ถึงได้พูดแบบนี้ แล้วทั้งหมดที่เขาได้รับล่ะ

     

    “งั้น ... ข้าขอถาม เรื่องเดียวเท่านั้น” เสียงสั่นเครือพยายามเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่

    “.....อืม”

    “ที่ .. อึก ที่ผ่านมา ท่านช่วยข้าเพราะอะไร”

    “ก็ข้าไม่ใช่คนใจดำ”

    “งั้นหรือ ... ถ้างั้น เรื่องนั้น” แพคฮยอนไม่ไหวแล้ว เขาพูดไม่ออกแล้ว อยากร้องไห้เหลือเกิน ทำไมเวลาที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนถึงได้ผ่านไปอย่างยากลำบากเช่นนี้

     

    ไคไม่ตอบอะไรนอกจากความนิ่งเฉยที่ดูจะแฝงเอาไว้ซึ่งความอดทนบางอย่าง และแน่นอนที่แพคฮยอนสังเกตได้ เขาจึงไม่อยากจะยื้อเวลาเอาไว้ให้อีกฝ่ายต้องรำคาญใจไปมากกว่านี้ แววตาที่คลอไปด้วยน้ำใสๆเงยขึ้นมองคนใจร้ายที่ยังคงไม่สนใจเขาอีกครั้ง ไคถอนหายใจเบาๆก่อนจะจ้องกลับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

    “นอกจากเรื่องที่ท่านช่วยข้าแล้ว เรื่องระหว่างเรา ทุกอย่าง มันเป็นเพราะท่านตั้งใจ หรือเพราะท่านเลี่ยงไม่ได้”

    “.................”

                    "ชะตาใช่ไหม ที่ทำให้ท่านทำแบบนั้นกับข้าลงไป หรือเพราะอะไร.......”

    “ข้าเคยบอกแล้วนี่ ว่ามันเป็นฤดูผสมพันธุ์ของพวกเรา”

    “.................”

    “อ้อ เจ้าอยู่ที่นี่ได้ตามสบายเลยนะ ไหนๆก็ต้องคอยให้กำเนิดทายาทให้เผ่าข้าอยู่แล้ว”

     

     

     

    งั้นเหรอ นั่นสินะ ...

     


     

    แพคฮยอนยืนมองแผ่นหลังนั้นเดินจากไปด้วยหัวใจที่รู้สึกร้าวลึก ไคจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดสั้นๆที่ทิ่มแทงความรู้สึกของเขาได้ขนาดนี้

     

    น้ำตาที่กลั้นเอาไว้หยดแล้วหยดเล่ารินไหลงอาบแก้มเงียบๆคนเดียว

     

     
     

    เป็นอะไรไปนะหัวใจ .. รักเขาแล้วสินะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผ่านไปหลายวันที่พยอนแพคฮยอนจำต้องอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้ลำพังอย่างไม่มีทางเลือก เซฮุนที่คอยมาหาช่วงนี้ก็ดูเหนื่อยล้า เขาจึงบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนเยอะๆไม่อยากรบกวนให้ต้องยุ่งยากมากนัก ส่วนพี่จุนมยอนนั้นเขาก็ขอร้องให้ดูแลท่านอี้ฟานดีๆ เพราะบาดแผลที่ใกล้จะหายต้องมาเจ็บไปอีกเมื่อตอนที่ใช้พลังจิตสื่อสาร ไม่อยากจะให้ใครต้องมาลำบากเพราะเขาอีกแล้ว

     

    ไม่อยากเป็นภาระของใคร โดยเฉพาะกับคนๆนั้น

     

    เรื่องคำสาปนั้นตามตอกย้ำเข้ามาในฝันของเขาทุกคืน ราวกับจะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก มันคือเรื่องจริง แพคฮยอนไม่ดิ้นรนหรือต้องการวิ่งหนีอย่างทุกที มีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นเพื่อนเท่านั้น เขายอมจำนนต่อชะตากรรมแล้ว ไม่ว่ายังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี

     

     

     

     

    เกินหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เจ้าของเรือนนั้นไม่ได้กลับมาที่นี่

    ชายหนุ่มที่ต้องแบกรับชะตากรรมอันเลวร้ายต่างไปจากคนปกตินั้นไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าต้องอยู่รออะไร ในคำสาปนั้นไม่ได้บอกเอาไว้เสียหน่อยว่าคู่ของเขาเป็นใคร แล้วเวลาที่จะต้องทำตามนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใดระหว่างนั้นเองที่ครุ่นคิดทุกเรื่องราว ร่างกายที่รับความเครียดไม่ไหวก็อ่อนแรงลงตามสภาพ

     

    แพคฮยอนรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรง บ่อยครั้งที่คิดมากจนเผลออาเจียน อาหารฝีมือของพี่ชายที่แวะมาทำให้ พอกินเข้าไปแล้วก็มักจะตีกลับออกมาหมด ถึงอย่างนั้นเขาก็เก็บอาการไม่สบายเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครเป็นห่วง

     

    แม้อยากจะเข้มแข็งเพียงใด แต่จิตใจที่ล้าเต็มที ถึงคราวต้องทำอะไรบ้างแล้ว

     

    และแล้วเมื่อความคิดสุดท้ายได้ขาดลง ร่างเล็กของชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อโชคชะตาไม่เข้าข้างหรือบอกอะไรแก่เขาเลย แล้วทำไมเขาต้องรอ ทำไมมีปัญญาได้แค่นอนรอเฉยๆ

     

     

                พี่จุนมยอน พี่บอกข้าว่าให้ใจเย็นๆ แต่ข้าไม่ไหวแล้ว ข้ากลัว ข้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว .. และไม่ว่ายังไงพี่ก็คงไม่มีทางไปกับข้าอย่างที่ข้าเคยขอร้อง ถ้าอย่างนั้นแล้ว ขอเวลาให้ข้าสักพัก แล้วข้าจะกลับมารับพี่เอง

     

     

    ชายหนุ่มนึกคิดกับตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องของพี่ชาย ก่อนที่จะนึกถึงหน้าของใครบางคนตามขึ้นมา คนที่เขาอยากจะขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย

     

    ขอบคุณที่ช่วยเหลือ และขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมานั้น มันเป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนในโชคชะตาที่ถูกนำพามาโดยคำสาปที่ใช้แลกกับชีวิตอันมีค่าของพ่อ .. และชีวิตใหม่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

     

     
     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     
     

    ทั้งหมดนั่น ไม่ว่าจะกลิ่นของคนที่เป็นคู่กัน ไม่ว่าจะเรื่องระหว่างกัน มันก็แค่เพราะคำสาปของท่านแม่

     

    ค่ำคืนอย่างนี้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง

     

    สายตานิ่งงันจองมองเพดานห้องเรียบๆที่มีเพียงแสงเทียนสลัวส่องกระทบเท่านั้น ร่างสูงของหัวหน้าเผ่าที่ใครๆต่างก็กลัวเกรงกำลังข่มตาให้หลับโดยไม่ต้องคิดเรื่องไร้สาระให้รกสมอง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ห้วงนิทรากำลังดึงดูดกลับต้องเจอกับใบหน้าเดิมๆที่ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด

     

    เสียงถอนหายใจหนักๆดังขึ้นในความเงียบ

     

     

    หึ นี่ก็เพราะคำสาปเหมือนกันงั้นสินะ ..

     

     

     

     

    ภายในเมืองหลวงที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ยามเย็นของวันที่เท่าไหร่แล้วนั้นคนเป็นนายไม่คิดจะสนใจอะไร ไคและจื่อเทามาค้างอ้างแรมในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้หลายวันแล้ว

     

    ฮวางจื่อเทาพักอยู่ในห้องที่ติดกับบันได ถัดไปเป็นห้องของเจ้านายที่พักนี้เอาแต่พูดเรื่องงานและตามหาแต่เบาะแสของมนุษย์ที่อยากจะขอนัดวันเจรจาทำข้อตกลงไม่ระรานกันและกัน ไม่อย่างนั้นเรื่องอาจใหญ่โตถึงชั่วลูกชั่วหลานอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในหน้าประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน

     

     

    เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นในยามเย็น ไม่ต้องบอกก็รู้กัน

    ไคเปิดประตูห้องออกก็พบกับคนที่อยู่กับเขาเสียหลายวัน จื่อเทาไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มให้ผู้เป็นนาย ร่างสูงแทรกกายผ่านประตูนั้นเข้ามาก่อนมันจะปิดลงตามหลัง

     

    กลิ่นดอกไม้ป่าจากเทียนหอมลอยอบอวลให้ผ่อนคลาย ผนังไม้รอบห้องฉลุลายสวยงามสำหรับแขกที่มาพัก ชุดเก้าอี้ไม้และโต๊ะตัวเล็กมุมห้องเป็นที่ซึ่งคนทั้งสองนั่งปรึกษากันอยู่เงียบๆ

    “คนของเราบอกว่า น่าจะเป็นเจ้าของโรงน้ำชาแห่งนั้น”

    “ไอ้เถ้าแก่หน้าเงินนั่นน่ะเหรอ”

    “ไม่ใช่ครับ ... นั่นแค่คนบังหน้า เจ้าของตัวจริงเป็นผู้มีอิทธิพล ข้าได้วันนัดหมายแล้วด้วย”

    “ที่ไหนล่ะ”

    “โรงน้ำชานั่นแหละครับ”

    “เหรอ อืม ดีมาก” ใบหน้าคมพยักให้เล็กน้อยเท่านั้น ไคก้มลงดื่มน้ำชาที่เขาเคยบอกกับจื่อเทาเอาไว้ว่ารสชาติไม่ได้เรื่องสักนิด

     
     

    จื่อเทามองอาการแปลกๆของคนตรงหน้าเสียทะลุปรุโปร่ง แต่เขาก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้ ท่าทีแบบนี้หากเป็นแต่ก่อนก็คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ภายใต้ความเย็นชานั้นกลับไม่ใช่ท่านไคคนเก่า เหมือนบ่อยครั้งที่เหม่อลอย บ่อยครั้งที่ดูจะเงียบในแบบที่ดูน่าอึดอัด

     

    และไม่ว่ากี่ครั้งที่ถอนหายใจก็ดูจะไม่ใช่เพราะเรื่องงานเลยแม้แต่นิด

     

    “ท่านไค .. ข้าขอโทษนะ แต่ข้าอยากขอถามท่านสักหน่อย”

    “ว่ามาสิ”

    “คือ เรื่องของพยอนแพคฮยอน ท่านโกรธเคืองอะไรเค้าคนนั้นหรือ ทำไมถึงได้มีท่าทีหมางเมินอย่างนี้” จื่อเทาจ้องตาท่านไคของเขาด้วยความสงสัยอย่างหนัก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เห็นแก่แพคฮยอนด้วยแล้ว จะถูกทำโทษที่ละลาบละล้วงยังไงก็คงไม่เท่าไหร่

     

    ไคจ้องหน้าจื่อเทากลับมาด้วยแววตาไม่ชอบใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนี ถึงอย่างนั้นลูกน้องคนสนิทก็ไม่คิดจะยอมแพ้

    “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ ข้าแค่สงสัย ว่า.........”

    “อยากรู้นักใช่มั้ย เหตุผลน่ะ”

    “เอ่อ .. ครับ”

    “หึ จริงๆแล้วเจ้าจะอยากรู้ไปทำไม ข้าเองมันคนไร้หัวใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่เด็กคนนั้น .. ไม่สิ อายุยี่สิบ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่เค้าต้องมาเป็นภาระให้กับข้ามันไม่ใช่แค่ความบังเอิญหรอก ก็แค่คำสาปของท่านแม่ของข้า ทุกอย่างที่ผ่านมาก็ล้วนเป็นไปตามชะตาที่ถูกพลิกแพลงเพราะท่านแม่  ไม่ว่าจะเรื่องที่ข้ายอมช่วยเหลือ ดูแล หรือว่าที่ข้า..........” จู่ๆเสียงทุ้มก็หยุดพูดไป จื่อเทาจ้องตาไม่กระพริบ ท่านไคไม่มองกลับพลางหลุบลงอีกครั้ง

    “ท่าน ท่านทำอะไร”

    “..................”

    “ท่านไค....”

    “อืม ข้าขืนใจเค้าไปแล้วถึงสองครั้ง”

     

    คำยอมรับตรงๆกับใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆนั้นทำเอาคนฟังอึ้งไปพักใหญ่ จื่อเทารู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนตรงแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะยอมพูดออกมาตรงๆแบบนี้ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ถึงตรงนี้เขาจึงได้แต่ส่ายหน้า

     

    “งั้นอย่าบอกนะว่า ที่ท่านทำเย็นชาใส่แพคฮยอนและมาหงุดหงิดใจอยู่อย่างนี้ เพราะท่านไม่พอใจกับเรื่องราวระหว่างท่านกับเค้า เรื่องราวที่ท่านคิดว่ามันก็แค่เป็นไปตามที่นายหญิงขีดเอาไว้ ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกของท่านจริงๆ”

     

     

     

     

    จื่อเทาเอ่ยสั้นๆ แต่เพียงเท่านั้นมันกลับไม่มีจุดที่ผิดเลยสักนิด ไคสบตากับคนสนิทอีกครั้ง แววตาดุดันเช่นนั้นปิดเอาไว้ไม่มิดอีกแล้ว

    “รู้ก็ดีแล้วนี่ .. เลิกทำมารู้มากแล้วสั่งสอนข้าได้แล้ว เก็บปากของเจ้าเอาไว้ไปเจรจาเรื่องงานให้ข้าจะดีกว่า”

    “ท่านไค.....”

    “ข้าบอกว่าหุบปากไปไง” ท่านหัวหน้าเผ่าที่ถูกคำพูดลูกน้องจี้ใจดำลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที แต่อีกคนก็ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน จื่อเทาลุกขึ้นยืนตามก่อนจะรั้งเจ้านายของตนเอาไว้

    “เดี๋ยวก่อนสิท่านไค .. ไหนๆก็ไหนๆ ระหว่างที่พี่อี้ฟานบาดเจ็บ ก็เหลือแต่ข้าเท่านั้นที่ใกล้ชิดท่านมากกว่าคนอื่นๆในตอนนี้ เพราะงั้นข้าเองก็จำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่าง” จื่อเทาเอ่ยอย่างแน่วแน่ และนั่นก็ทำให้อีกคนหันมาจนได้

    “บอกไว้ก่อนนะว่าข้าจะฟังเจ้าแค่ประโยคเดียวเท่านั้น” ไคจ้องกลับมาด้วยแววตาที่เริ่มเปลี่ยนสี เป็นอันรู้กันว่าหากเขากำลังโกรธมันมักจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง

     

    ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าจ้องหน้าผู้เป็นนายโดยเก็บเอาความหวาดหวั่นนั้นไว้ในใจ

     

     

    “ท่านจะฉุกคิดหรือไม่นั้นข้าไม่รู้หรอก แต่ท่านคงไม่ได้ลืมไปใช่ไหม ว่าในคำสาปของนายหญิงตามที่ท่านอดีตหัวหน้าเผ่าบอกเอาไว้  ..  ในคำสาปนั้น  ไม่มีใครได้เอ่ยเลยสักนิด ว่าชายที่จะต้องเป็นคู่ให้กับผู้ต้องคำสาปนั้นคือท่าน”



     

    “ท่านอย่าหนีความรู้สึกตัวเองอีกต่อไปเลย ระหว่างท่านกับเค้ามันไม่ใช่เพราะคำสาปแล้ว และเรื่องนั้นมันก็ไม่ใช่แค่ฤดูผสมพันธุ์ ทั้งหมดนั้นมันคือตัวท่าน มันคือความรู้สึกของท่าน มันคือท่านเองนะท่านไค”




     

    “ขอร้องล่ะ ข้าไม่อยากเห็นพวกท่านกำลังทรมานเพราะความคิดถึงที่มีต่อกันเช่นนี้เลย”

     

     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

     

    ใช่ ท่านแม่ไม่ได้กำหนดว่าชายผู้นั้นจะเป็นใคร เพราะงั้นโชคชะตาที่ถูกพลิกแพลงก็ไม่ได้นำพาให้เราต้องมาเจอกัน เช่นนั้นแล้วการที่เราได้มาพบกันมันคืออะไร มันไม่ใช่เรื่องที่ใครมากำหนดได้

     
     

    จื่อเทาพูดถูก ในเมื่อนายหญิงไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าคนๆนั้นต้องเป็นลูกชายของเธอ งั้นระหว่างไคและแพคฮยอนมันจึงไม่ใช่เรื่องที่ใครได้กำหนดเอาไว้ มันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคนที่รู้สึกต่อกันโดยที่โชคชะตาอันแท้จริงได้ขีดเอาไว้

     

     
     

     

    เสียงควบม้าดังก้องไปทั่วทั้งป่าในยามพลบค่ำ คนแรกที่ควบนำไปนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า คนที่ควบตามหลังมานั้นจึงถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จื่อเทาคิดว่าเขารีบมากแล้วแต่เทียบไม่ได้เลยกับอีกคน ท่านไคของเขาภายนอกยิ่งเยือกเย็นเท่าไหร่แต่ภายในกลับร้อนรนดั่งไฟมากเท่านั้น

     


     

     

    เมื่อถึงเรือนใหญ่ของตนเองแล้วท่านหัวหน้าเผ่าที่โดดลงจากหลังม้ามานั้นกลับต้องชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มขื่นๆเพราะเพิ่งได้ขบคิดอะไรบางอย่าง ไคมองเข้าไปในเรือนที่ภายในคงมีคนที่เขาคิดถึงนั่งเหงาอยู่คนเดียวเป็นแน่ เขาก้มมองช่อดอกไม้เล็กๆในมือตัวเองที่ไม่เคยจะซื้อมันมาให้ใคร

     

    ร่างสูงก้าวไปได้ก้าวเดียวก็ต้องหยุดลงอีก ประโยคแรกที่ต้องพูดควรจะเป็นอย่างไรนะ ขอโทษงั้นเหรอ แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดกับเขา แล้วถ้าเกิดแพคฮยอนบอกว่าเกลียดขึ้นมาอีกล่ะ .. ต้องทำไงก่อนดี

     

    จื่อเทาโดดลงจากหลังม้าพลางมองอยู่ห่างๆ ท่าทีเก้ๆกังๆและลังเลของท่านไคแบบที่เขาไม่เคยเห็นนั้นแอบเรียกรอยยิ้มให้ของเขาให้หลุดออกมา พักใหญ่เห็นจะได้ที่ไคหยุดเดินไปเดินมาแล้วตักสินใจเดินเข้าเรือนไปโดยที่เขาไม่คิดจะตามเข้าไปให้เป็นตัวเกะกะอะไร

     

     

    เมื่อพ้นร่างของท่านหัวหน้าเผ่าแล้วชายหนุ่มที่หันกลับก็ต้องแปลกใจที่พบว่าใครบางคนกำลังเดินตรงมาที่เขา

    “เซฮุน....” จื่อเทายิ้มกว้างอย่างไม่มีปิดบัง เขาไม่ถามอะไรเลยนอกจากทำความความรู้สึก เขาตรงเข้าไปกอดร่างของคนที่คิดถึงเอาไว้แน่น เซฮุนทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่เข้าใจกับท่าทีแปลกๆอย่างนี้

    “กอดข้าทำไมเล่า นี่มันไม่ใช่ที่บ้านนะ”

    “ก็ไม่เจอกันตั้งหลายวันแน่ะ ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่นะรู้ไหม” ว่าแล้วริมฝีปากอุ่นก็แนบลงที่พวงแก้มนั้นหนักๆหนึ่งที เซฮุนเอนกายจะหลบก็ไม่พ้น เรื่องที่จะพูดจึงถูกเลื่อนออกไปแล้วแทนมันด้วยการซบหน้าลงกับไหล่กว้าง

    “ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน เดินทางบ่อยๆอันตรายมาก ข้าเป็นห่วงนะรู้รึเปล่า”

    “รู้สิ ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็รู้อยู่เต็มอก”

    “อืม”

     

                    ทั้งสองยืนกอดกันอยู่ที่หน้าเรือนใหญ่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เริ่มสาดส่อง เซฮุนผละออกจากอ้อมอกนั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ จื่อเทาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

    “แพคฮยอนอยู่ในนั้นใช่ไหม”

    “ก็น่าจะใช่นะ ท่านไคเพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ทำไมเหรอ”

    “ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านถามกันมาอีกแล้ว ว่ามีชายคนหนึ่งเดินออกจากหมู่บ้านเราไป พวกเขาแค่สงสัยว่าจะใช่มนุษย์คนนั้นรึเปล่า .. ข้าเลยแวะมาหาแพคฮยอน” เซฮุนมีสีหน้าวิตก เช่นเดียวกับจื่อเทาที่กำลังคิดในเรื่องเดียวกัน

    “ถ้างั้น......”

     

    สองสายตามองเข้าไปในเรือนที่ไม่รู้ภายในเป็นเช่นไร

     

     

     

     

    ช่อดอกไม้สีสดถูกกำแน่นอยู่ในมือก่อนจะถูกโยนลงพื้นจนกระจายออกจากกัน เจ้าของเรือนยืนนิ่งข่มอารมณ์เอาไว้อย่างสุดจะกลั้น คนที่เขาคิดว่ากำลังรออยู่ที่นี่นั้นหายไปไหน ใครมันบังอาจมาพาคนของเขาไปจากที่นี่

     

                    ท่านหัวหน้าเผ่าหันกลับเพื่อจะไปถามมันทุกคนเลยไม่ว่าหน้าไหนๆในหมู่บ้านแห่งนี้ว่าแพคฮยอนหายไปไหน ... แต่แล้วสายตาดุดันกลับสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางเอาไว้บนโต๊ะตัวเล็กกลางเรือน มือหนาหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็ว

     

     

     

     

    ถึง ท่านไค

     

                 ข้าไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน แต่เมื่อท่านกลับมาที่เรือนแห่งนี้แล้ว ท่านคงได้อ่านจดหมายฉบับนี้ที่เขียนโดยข้าเอง

    ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดีกับทุกการช่วยเหลือและทุกอย่างที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มเข้ามาในชีวิตท่านก็คงเป็นการสร้างภาระให้กับท่านไม่น้อย แต่จากนี้ไปท่านจะไม่ต้องทนเห็นหน้าข้าอีกเพราะตอนนี้ข้าได้ไปจากที่นี่แล้ว ส่วนเรื่องคำสาปของท่านแม่ของท่าน ข้าเข้าใจดี ท่านคงเสียใจมากที่ท่านแม่ของท่านได้เลือกคนที่ท่านเกลียดอย่างข้าให้มาเป็นคู่ของท่าน แต่ข้าว่ามันไม่จริงหรอก อย่าคิดมากเลย ในคำสาปนั้นไม่ได้บอกเอาไว้เสียหน่อยว่าข้าต้องเป็นคู่ของท่าน ชายคนนั้นอาจไม่ใช่ท่านก็ได้ มีมนุษย์หมาป่าที่เป็นผู้ชายอีกมากไม่ใช่หรือ ท่านแม่ของท่านแค่หมายถึงต้องการให้มีคนสืบพันธุ์เชื้อสายมนุษย์หมาป่าแทนผู้หญิงที่ถูกเข่นข้าจนไม่เหลือ

     

    อย่ากังวลใจไปเลยว่าท่านจะต้องรับผิดชอบอะไรกับข้า คนซึ่งท่านนั้นเกลียดและเป็นภาระที่น่ารำคาญ ... และเรื่องนั้นระหว่างเรา ข้าเข้าใจดี ว่ามันเป็นแค่ฤดูของพวกท่าน

     

    ส่วนเรื่องทายาทที่ข้าต้องทำตามคำสาปนั้น ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่คิดหนีไปโดยไม่ทำตามหรอก เพราะยังไงข้าเองก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว สักวันหนึ่งสายเลือดของพวกท่านก็ต้องถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้อย่างแน่นอน ถึงวันนั้นแล้ว ข้าจะบอกกับลูกของข้าเองว่าท่านหัวหน้าเผ่าที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านเคยมีบุญคุณกับเราแค่ไหน

     

    ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่าง

     

     

                                                                                                                                                          ... พยอนแพคฮยอน

      

     

     

    กระดาษแผ่นน้อยถูกอ่านเนื้อความจนจบ ตรงปลายหมึกในส่วนท้ายๆนั้นเลือนรางแทบอ่านไม่ออก ดูก็รู้ว่าเพราะน้ำหยดเล็กบางหยดที่หล่นลงมาเปรอะ

     

    ไคจ้องเขม็งอยู่กับหน้ากระดาษที่มีลายมือของคนที่เขาคิดถึงสุดหัวใจเขียนเอาไว้ หยดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะนั้นช่างต่างกันกับเนื้อความที่แสนจะธรรมดาไร้ซึ่งการตัดพ้อ ยิ่งนึกถึงว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้เสียใจแค่ไหน เขาก็ยิ่งใจจะขาดมากขึ้นเท่านั้น

     

    ใบหน้าเศร้าๆของคนไม่ประสาที่ถูกเขาเมินใส่กำลังวนเวียนเข้ามาในหัวอีกครั้งดังเช่นทุกคืน ไหนจะโชคชะตาอันเลวร้ายเกินคนธรรมดาจะรับนั่นอีก คิดแล้วคนไม่เอาไหนคนนี้ก็แทบบ้า อยากจะเข้าไปกอดเอาไว้แล้วบอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผ่านมาอยากจะขอโทษกับวาจาร้ายๆและการใช้กำลัง จนตอนนี้ที่หมางเมินใส่อีก .. ทำไมเขาช่างโง่เขลากับหัวใจตัวเองได้ถึงเพียงนี้

     

    มือหนาจับกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นราวกับเป็นตัวแทนเจ้าของลายมือ .. ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

     

     

     

     

     

     

    ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่เรือนแห่งนี้อีกครั้งดังเช่นคืนนั้น รวมถึงท่านอดีตหัวหน้าเผ่าที่มองดูหลานชายของตนที่นั่งนิ่งราวกับก้อนหิน แต่เป็นอันรู้กันดีว่าภายในนั้นกำลังร้อนรนราวกับไฟ นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นว่าท่านไคกำลังเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของใครสักคน

     

    “จงอิน เจ้าสงบใจลงบ้างเถิด”

    “ข้าต้องรออีกนานแค่ไหนล่ะท่านปู่”

    “คนของเรากระจายกันออกไปทั้งในและนอกหมู่บ้านแล้ว คงอีกไม่นานถึงจะได้ข่าว”

    “แต่ข้าไม่ไว้ใจ”

     

    ไคเอ่ยเสียงแข็ง ท่าทางไม่อ่อนข้อให้ใครเลยแม้แต่น้อย

     

    “จุนมยอน เจ้าบอกเองใช่ไหมว่าเส้นทางไปหมู่บ้านของเจ้าที่โดนเผานั้นหากเดินทางไปต้องผ่านเมืองหลวงเสียก่อน” ไคถามเสียงเรียบ

    “ชะ ใช่ครับท่านไค” จุนมยอนบอกด้วยเสียงสั่นๆ เพราะยังกังวลไม่หายที่หาน้องชายไม่พบ

    “อืม ... จื่อเทา เจ้ารู้ใช่ไหมว่าว่าข้าไว้ใจเจ้า ส่วนอี้ฟาน คอยอยู่ที่นี่รอข้าติดต่อมา”

     



     

     

    ในเมื่อข้าทำให้เจ้าหนีไป คนที่จะพาเจ้ากลับมาก็ควรจะต้องเป็นข้า




     

    ไคเอ่ยกับทุกคนแค่สั้นๆเท่านั้นก่อนจะหันออกไปทางประตู ร่างสูงก้าวฉับอย่างรวดเร็วจนปลายเสื้อคลุมสีมืดสะบัดไปตามแรงลมที่ปะทะเข้ามา ท่ามกลางเสียงที่ถามอย่างสงสัยของทุกคน




     

    “นั่นท่านจะไปไหน.....”

     

     

     

     

     

    “ข้าจะรอเฉยๆอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อเมียกับลูกของข้าหายไปทั้งคน”

     

     

     

     


     

     

     

     

    .

    .

    Tbc. Ending part

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ขอโทษที่บอกว่าจะจบแต่ยังไม่จบนะคะ

    เรื่องนี้เขียนไปหัวเราะไป แต่พาร์ทนี้คืออัลไล คนเขียนเองเกือบน้ำตาตกกับอิน้องป๋าย ยิ่งจดหมายนั่นมันคืออัลไลคะ
    มันจะรันทดไปไหน เพิ่งรู้ว่าเศร้า
    .____.

     

    พาร์ทนี้ได้บอกแล้วนะคะว่าเหตุผลของแต่ละคนคืออะไร มันชัดเจนมาก แต่น้องแพคชัดเจนในตัวเองก่อนท่านไคอีกนะ  
    สรุปท่านไคชัดเจนช้ากว่าคนอื่นมากมาย (ขนาดคนเขียนยังชัดเจนแต่แรกเลยว่าเขียนฟิคได้น้ำเน่าๆตามประสา==)

     

    และ ประโยคสุดท้ายคืออัลไล .. คือความชัดเจนของท่านไคสินะ


    ชอบฟีลเทาฮุนเรื่องนี้มาก มันใชอ่ะมันใช่ มันเกิดมาคู่กันของแท้เลยจริงๆ
    ส่วนพี่จุนมยอน กุญแจสำคัญที่ทั้งเรื่องก็เครียดใช่ย่อย ดีไม่ดีเป็นเอามากกว่าน้องชายเสียอีก
    และสุดท้าย อู๋อี้ฟาน น่าสงสารกว่าใครเพื่อน เจ็บตัวแต่เริ่ม พอใกล้หายก็ดันมาเจ็บอีก
    (อี้ฟานฝากบอกว่าดีแล้วล่ะ ให้เจ็บเยอะๆเลย พยาบาลจะได้ไม่ต้องไปไหน ดูแลกันทั้งวันทั้งคืน) หึหึ


    เขียนเรื่องนี้แล้วเหมือนทำร้ายทุกคาแรคเตอร์อยู่เบาๆ ^^!

     

    ปล.รู้นะว่าทุกคนจะบอกว่าต้องขอบคุณจื่อเทา แต่คิดเล่นๆนะคะ ถ้าจื่อเทาไม่พูด คิดว่าท่านไคมันจะทนได้อีกกี่วัน กอนขอทายว่าไม่เกินอีกสองวันอิท่านไคก็คงกลับไปอยู่ดี ไม่งั้นมันขาดใจตายแน่ๆๆๆ 555555 / งือออ น้องป๋ายของพี่ *สิ่งท่านไครัวๆๆๆๆๆ

     

    ขอบคุณทุกเมนท์เลย เจอกันคร่า^^V




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×