ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF KAIBAEK] Imagination with KaiBaek

    ลำดับตอนที่ #15 : [FIC] White Wolf (KaiBaek) - 5 (Ending part)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.75K
      8
      31 ส.ค. 56





    White wolf

    Pairing : Kai x Baekhyun
    ft.KrisHo , TaoHun 

    Rate : NC – 17

    Story and Art : Gornhai








    130629
    - Part 5 -



    Ending part



     

    ป่าทึบยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บอะไรอย่างนี้

     

    ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลัดผ่านทางคดเคี้ยวตั้งแต่หน้าหมู่บ้านออกมาไกลโข แม้ว่ามันจะหลายกิโลแล้วแต่คงไม่ใช่อีกใกล้ๆเลยที่จะถึงตัวเมืองหลวง แพคฮยอนอยู่ในชุดผ้าฝ้ายตัวหนาที่เขาเลือกมาเพราะคิดว่าคงเหมาะกับการเดินทาง ย่ามใบเล็กที่เกี่ยวไว้ที่ไหล่ภายในมีเพียงแค่น้ำดื่มและเงินจำนวนเล็กน้อยที่พี่ชายเคยให้เอาไว้เมื่อตอนเจอกัน

     

    ขาเล็กๆก้าวช้าลงไปตามความอ่อนแรงที่มี แม้อากาศจะหนาวแต้เม็ดเหงื่อกลับผุดพรายออกมาตามใบหน้า เขาหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าเต็มที

     

    “อึก .........”

     

    แพคฮยอนรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ในท้องยังไม่มีอะไรตกถึงด้วยซ้ำ

     

    “อึก ... ฮึก อ่อก.......”

     

    ร่างเล็กไม่สามารถทนอาการคลื่นไส้ได้จึงเอนกายพิงเข้ากับต้นไม้ข้างทาง แพคฮยอนก้มหน้าอาเจียนอยู่ข้างต้นไม้นั้น เขาไม่รู้ว่าเพราะความเครียดหรืออย่างไร แต่มันชักจะไม่ปกติแล้ว

     

    หลังจากดื่มน้ำแล้วก็ทิ้งกายลงนั่งใต้โคนต้นไม้และพยายามหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ความกลัวแล่นปราดเข้ามาในหัวอีกครั้ง จิตใต้สำนึกกำลังบอกว่าเรื่องนั้นอาจจะเกิดขึ้น เรื่องที่ต้องมีลูกให้กับมนุษย์หมาป่าสักคน แล้วอาการแบบนี้ .. คงไม่ใช่หรอกนะ

     

    เมื่อคิดเรื่องนี้ ใบหน้าของคนใจร้ายก็ลอยเข้ามาในหัว แพคฮยอนรู้ดีแก่ใจว่าคำสาปไม่ได้กำหนดให้เขาเป็นคู่กันกับใครคนนั้น แต่ทั้งชีวิตเขาไม่เคยมีใครมาก่อน แม้แต่กับผู้หญิงสักคนก็ยังไม่เคย ทำไมกันนะคนๆแรกถึงได้เป็นอีกฝ่ายไปได้

     

    แล้วข้าต้องทำยังไง ถ้ามันจะเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านเองจะรู้อะไรบ้างไหม

     

    “ฮึก.....”

     

    น้ำตาของคนหมดทางรินไหลออกมาอีกครั้ง การร้องไห้เป็นของคู่กับเค้าไปแล้วสินะ ตอนเด็กๆแทบจะไม่เคยมีเลยนะน้ำตา แต่ดูเดี๋ยวนี้สิ

     

    .. อ่อนแอเกินไปแล้วแพคฮยอน

     

    แสงจันทร์ไร้เมฆบังอาบลงมายังร่างที่นั่งพักอยู่ แพคฮยอนเงยมองพระจันทร์ดวงนั้นด้วยแววตาไร้ซึ่งการตระหนกตกใจ ตาคู่เรียวแลดูไร้ความรู้สึก เปลือกตาสั่นระริกหลับลงช้าๆปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเคย

     

    ข้า ไม่กลัวหรอก ดีเสียอีก จะได้มีเรี่ยวแรงก้าวไปข้างหน้า

     

     

     

     

    เสียงควบม้าดังก้องไปตามผืนดินที่ฝุ่นตลบไล่หลัง ใบไม้ไหวปลิวไปตามแรงที่ม้าตัวนี้เคลื่อนผ่าน ท่านหัวหน้าเผ่าที่ไร้ซึ่งลูกน้องคนใดข้างกายกำลังมุ่งหน้าตามหาใครคนนั้นอย่างไม่มีจุดหมาย มีเพียงแค่สัญชาตญาณเท่านั้นที่บอกว่าควรจะตามหาอีกฝ่ายที่ไหน

     

    แสงจันทร์เหลืองนวลสาดกระทบใบหน้าคมที่ควบม้าตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปลายผ้าคลุมสีดำสะบัดแรงไปตามจังหวะอันรีบเร่ง

     

    พระจันทร์เต็มดวงสินะคืนนี้ ..

     

    นึกถึงใบหน้านั้นยามใด ทุกครั้งที่คิดว่าหยดน้ำตานั้นกำลังรินไหล .. หัวใจก็เหมือนจะขาดตามไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ขนสีขาวสวยงามกระเพื่อมขึ้นลงตามร่างกายอย่างอ่อนแรง ร่างของหมาป่าตัวเมียก้าวเหยาะๆไปตามพื้นถนนที่ผ่านเข้าเมืองมาได้สักพัก ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงอย่างอ่อนแรง

     

    “แฮ่ก แฮ่ก ....”

     

    แพคฮยอนที่อยู่ในร่างของหมาป่ากำลังหมดแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่ที่กลายร่างแล้วมันเหมือนกับว่าไม่มีพละกำลังมากมายอย่างเคย  ในสมองคิดไปว่าหรืออาจเป็นเพราะคำสาปกำลังอ่อนแรงลง แต่เมื่อนึกถึงเงื่อนไขที่บอกว่าคำสาปจะคลายก็ต่อเมื่อมีทายาทสืบสายพันธุ์ให้แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันก็คงจะไม่ใช่หรอก มันจะคลายได้อย่างไรในเมื่อเขายังไม่ได้ตั้งท้องอย่างผู้หญิงตามที่คำสาปนั้นกำหนดไว้

     

    ถ้าอย่างนั้น ....

     

    หรือว่า นี่ข้ากำลัง ....

     

    ไม่จริงน่ะ ..

     

    ไม่จริง ..

     

     

    “อิ๋ง อิ๋ง ......”

     

    หมาป่าสีขาวรีบหลบผู้คนในยามค่ำคืน สมองของเขากำลังเบลอ ในหัวกำลังบอกว่าให้หาที่หลบซ่อน ก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ถึงสายตาของพวกคนของเจ้าเมืองแห่งนี้ สัญชาตญาณบอกให้ตรงไปยังที่เดิมซึ่งเคยซุกกายหลบมาแล้ว

     

    กองขยะโสโครกแห่งนั้น ..

     

     

    หมาป่าสีขาวรอคอยเวลาที่มนุษย์พวกนั้นจะเดินหายกันไปจากที่ตรงนี้ ร่างกายนุ่มขดขาทั้งสี่เข้าหาตัว เสียงหอบหายใจดังผะแผ่วเหมือนดวงตาสีฟ้าที่หรี่ลงอย่างอ่อนล้า เรียวหน้าเบือนลงหมอบปลายจมูกซุกอยู่ข้างกายอุ่น

     

    “อิ๋ง อิ๋ง .....”

     

    จิตใต้สำนึกกำลังบอกว่าควรต้องรีบตรงไปยังอีกทิศเพื่อออกจากเมืองนี้แล้วตรงไปยังถิ่นฐานเดิมนั่นคือหมู่บ้านของเขาที่ถูกเผาไป ถึงอย่างไรที่ตรงนั้นก็น่าจะยังเหลือเศษซากให้เขากลับไป

     

    ข้าไม่มีที่อื่นแล้วนี่ ข้าหมดทางแล้ว ..

     

    ระหว่างที่สายตาอันพร่ามัวกำลังมองภาพข้างหน้าอย่างเลือนราง เรี่ยวแรงที่ควรจะมีในร่างนี้กลับหดหายไปจนหมด แพคฮยอนหวั่นวิตกอย่างมาก แล้วเขาจะวิ่งไปอย่างไร ต้องรีบแล้วนะ ก่อนจะต้องกลายเป็นผู้หญิง

     

    แรงปรารถนาสุดท้ายในร่างของสัตว์กำลังสิ้นสุด หากแต่สวรรค์กลับไม่เข้าข้าง

     

    ร่างกายกำลังสั่นระริก ปวดหนึบไปทั้งตัวก่อนที่ความชาจะเข้าครอบงำ ใบหน้าเรียวยาวย่นเข้าหากายก่อนที่ขนทั้งหมดจะหดหายไป แผ่นหลังเหยียดตรงออกเปลี่ยนเป็นเนื้อหนังของมนุษย์

     

    “อึก...”

     

    เรื่องราวกำลังเป็นไปอย่างเคย ไม่เปลี่ยนเลย หรือทุกอย่างจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

     

    หนาว ข้าอยากคลื่นไส้

     

     

     

     

     

    ผลั่ก!!!

     

     

    “เฮ้ ... มาดูนี่สิ ผู้หญิงที่ไหนมานอนหลับอยู่นี่ เปลือยซะด้วยสิ” ชายฉกรรจ์ร่างผอมโกร่งคนหนึ่งยืนก้มมองภาพตรงหน้าที่ปรากฎในแหล่งหากินของเขา เพื่อนที่มาด้วยกันชะโงกเข้ามาดู เห็นดังนั้นมือทั้งสองที่หอบถุงขยะอยู่จึงรีบปล่อยลงอย่างรวดเร็ว

    “ใครวะเนี่ย ตายรึยัง สวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์”

    “ไม่รู้สิ แต่นอนขดอยู่แบบนั้น ยังไม่ตายแน่ๆว่ะ”

    “ขาวจั๊วะแบบนี้ ให้ตายสิ .. นี่ข้าชักอยาก....”

    “เฮ้ย ... ไม่ได้เว้ย” ชายคนแรกเอ่ยห้ามก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งร่างนั้นไม่ให้ตรงเข้าทำตามความอยาก คนที่พร้อมจะกระโจนใส่ร่างเปลือยเปล่าอย่างไม่คิดนั้นจ้องหน้าเพื่อนตัวเองอย่างไม่พอใจ

    “อะไรวะ แค่คนในกองขยะ มันไม่มีญาติหรอกน่า ดีไม่ดีอาจบ้าก็ได้”

    “หึ โง่จริงนะ ข้าแค่คิดบางอย่างดีๆได้น่ะสิ”

    “อะไรวะ”

    “เก็บขยะกับปล้นชาวบ้านจนๆมันจะได้เท่าไร่กัน สู้เอานางคนนี้ไปโรงน้ำชานั่นมันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ แต่ถ้ามันเกิดมีรอยของเจ้าขึ้นมาแล้วไอ้เถ้าแก่นั่นมันหักราคาล่ะ ... คิดบ้างสิวะ”

    “เออ เข้าใจแล้ว.....”

     

    ถึงจะเสียดายอยู่บ้างแต่หากต้องเลือกกับเงินก้อนใหญ่แล้ว คงไม่ต้องลำบากคิดว่าอะไรจะคุ้มค่ากว่ากัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ทางด้านโรงน้ำชาที่ว่านั้น ในคืนนี้ก็เต็มแน่นไปด้วยลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรอย่างเช่นทุกคืน ดึกดื่นค่ำคืนอย่างนี้กลับคึกครื้นราวกับสวรรค์บนดิน

     

    ชั้นล่างยังพอทุเลาหากแต่ชั้นบนนั้น ใครรู้จักที่แห่งนี้ดีคงพอจะเข้าใจ

     

    ตัวแทนจากเผ่ามนุษย์หมาป่าเดินเคียงกันเข้ามาเพียงแค่สองคนเท่านั้น นัดหมายสำคัญที่ช่างบังเอิญเหลือเกินกำลังจะได้เริ่มต้นขึ้นในอีกไม่นาน จื่อเทามองบรรยากาศรอบกายด้วยใบหน้านิ่งขรึม ท่านไคที่ควรจะมาด้วยกันนั้นกลับไปตามหาคนสำคัญอยู่ ซึ่งบางทีเขาก็คิดว่านายตัวเองอาจจะอยู่ในเมืองแห่งนี้หรือผ่านไปแล้วด้วยซ้ำ

     

    คำว่าไว้ใจที่ท่านไคบอกก่อนมานั้นก็เป็นอันรู้กันดี แต่ใครเลยจะรู้ว่าคนที่รบเร้าจะมาด้วยนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเซฮุนที่อยู่กับเขาแล้วในเวลานี้ ชายหนุ่มก้มมองคนข้างกายที่กำลังจ้องบรรยากาศในโรงน้ำชาแห่งนี้ด้วยอาการตื่นตาตื่นใจอย่างปิดไม่มิด เซฮุนมองไปจนทั่วอย่างอยากรู้ก่อนจะหันมาแล้วพบว่าอีกคนกำลังมองเขาอยู่

    “มองข้าทำไม”

    “เปล่านี่ ก็เห็นเจ้าดูตื่นเต้นดี”

    “จะบ้าเหรอ ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ .. ก็แค่ไม่เคยมาตอนกลางคืนเท่านั้นแหละน่า” เซฮุนทำหน้าไม่พอใจ นี่มองว่าเขาไม่ได้เรื่องอย่างนั้นเหรอ ที่ขอตามมาเพราะเป็นห่วงแต่ดันทำท่าแบบนี้ รู้อย่างนี้ปล่อยให้มาคนเดียวก็ดีหรอก

     

    จื่อเทายิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ที่ผู้ใหญ่ในเผ่าไม่ได้มาด้วยนั้นก็เพราะท่านไคไม่อยากให้การเจรจาต้องหวนไปถึงเรื่องในอดีต สงครามการล่าล้างระหว่างบรรพบุรุษของพวกเขานั้นมันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

     

     

     

     

    ไคผูกม้าเอาไว้ที่มุมหนึ่งของทางเข้าเมือง ในหัวกำลังคิดย้อนไปในระหว่างที่พวกเขากำลังกลับไปที่หมู่บ้าน หากแพคฮยอนมาที่นี่แล้วทำไมไม่สวนทางกันบ้างเลยหรือ แต่ก็คงไม่แปลกอะไร ป่าอันกว้างใหญ่ใช่มีแค่เส้นทางเดียว

     

    ร่างสูงในชุดสีดำทะมึนก้าวฉับไปตามถนนแต่ละเส้นที่เขาคาดว่าอีกฝ่ายจะต้องผ่านมา ด้วยความรอบคอบกว่านั้นชายหนุ่มกลับเอาแต่คิดว่าต้องเดินหาให้ครบทุกทาง แต่ภายใต้ใบหน้าเคร่งเครียดนั้นคงไม่มีใครรู้ว่าสติที่พึงมีนั้นกำลังค่อยๆหายไป

     

    ข้าไม่เคยเป็นอย่างนี้กับใครมาก่อน ห่วงแสนห่วงเจ้าแค่ไหน เจ้าเองจะรู้บ้างไหม .. แพคฮยอน

     

     

    ถนนทางเดินในเมืองหลวงเงียบไปถนัดตา ไม่ว่าเขาจะเดินวกไปวนมา ถามหากับใครก็แล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายเลย ไคร้อนใจแทบบ้าก่อนจะตัดสินใจกลับไปที่ม้าของตัวเอง แพคฮยอนคงจากไปแล้วแน่ๆ แล้วนี่เขามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ตั้งนานเพื่ออะไร

     

    ร่างสูงก้าวอย่างรวดเร็วตรงกลับมาทางเดิม แต่แล้วในความมืดกลับชัดเจนด้วยแสงจันทร์ที่สาดลงมา ใบหน้าคมเงยมองมันนิ่ง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าหากจันทร์เต็มดวงแล้วจะเกิดอะไร ใช่แล้ว แพคฮยอนต้องกลายร่างแล้ววิ่งผ่านเมืองนี้ไปนานแล้ว

     

    แต่หากไม่ใช่ล่ะ ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว ...

     

    จู่ๆความคิดหนึ่งก็รั้งเขาเอาไว้ ในใจกำลังบอกว่าถ้าอีกฝ่ายกำลังไม่ปลอดภัยแล้วจะทำเช่นไร ราวกับด้ายเส้นเล็กๆจากโชคชะตาที่มองไม่เห็น ลางสังหรณ์บอกให้ท่านหัวหน้าเผ่าไม่กล้าที่จะจากเมืองนี้ไป

     

    ไคเดินกลับเข้ามาภายในละแวกนั้นอีกครั้ง และผู้คนที่ต่างเข้าบ้านกันหมดจึงเหลือชาวเมืองเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่นั่งสังสรรค์ดื่มกินตามร้านรวงบางแห่งที่ยังไม่ปิด ขณะที่เดินผ่านไปหูก็แว่วเข้ากับบทสนทนาของคนกลุ่มหนึ่ง

     

    “เห็นทหารแถวนี้เดินไปทั่วไง เห็นว่ามีหมาป่าหลุดเข้ามา สีขาวด้วยนะลุง”

    “จริงเหรอ ไม่จริงน่า”

    “ไม่จริงอะไรเล่า น่ากลัวจะตายไป”

    “คิดมากน่ะเด็กคนนี้ เจ้าอายุสิบห้านะไอ้หลานชาย กลัวไม่เข้าเรื่อง มันจะเข้ามาได้ที่ไหนกัน”

    “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าเห็นว่าทหารของท่านเจ้าเมืองพบเข้า แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ”

    “ไม่จริงน่ะๆ เรื่องหมาป่าอะไรนั่น .. วันนี้เรื่องแปลกๆก็เห็นจะมีแต่ไอ้พวกเก็บขยะนั่นแหละที่ข้าเจอ ไม่รู้ไปเก็บเอาใครในกองขยะนั่นมา เอาผ้าห่อจนข้ามองไม่เห็น ให้เดาคงเป็นสาวที่ไหนสักคน เห็นตรงไปโรงน้ำชาเถ้าแก่มุน น่าสงสารเหยื่อมันจริงๆ”

     

    บทสนทนาที่บังเอิญได้ยินทำเอาร่างสูงต้องหยุดชะงัก เรื่องราวไม่ปะติดปะต่อแต่มันกลับสอดคล้องกันอย่างเห็นได้ชัด ไคคิดจะตรงเข้าไปถามแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะมัวมาเสียเวลาทำไม ต้องใช่แน่ๆ

     

     

     

     

     

     

    เถ้าแก่มุนและลูกน้องอีกสองคนเดินนำจื่อเทาและเซฮุนเพื่อไปยังที่นัดหมาย

    ภายหลังโรงน้ำชามีทางเดินแคบๆเชื่อมต่อเข้าไปในสวนหย่อม ปลายทางใกล้เข้ามาทุกที ก่อนที่สวนเล็กๆจะแผ่ออกให้เห็นลานน้ำพุกว้าง พื้นโล่งปูด้วยอิฐน้ำตาลโอบล้อมเอาไว้ด้วยพุ่มไม้ที่จัดแต่งอย่างดงาม ฝั่งตรงข้ามที่ไกลออกไปเป็นอาคารกว้างขนาดสองชั้นเห็นจะได้ คล้ายกับโรงน้ำชาที่เดินผ่านมา หากแต่ดูวิจิตรกว่านั้นมากนัก

     

    หากไม่นับว่าคนไม่พลุกพล่านเท่าใด  ใครๆก็คงมองเห็นว่าเป็นโรงแรมที่พวกคนชั้นสูงใช้พักค้างอ้างแรมกัน แต่ในสายตาของจื่อเทาแล้วเขาไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เหมือนเป็นสถานที่ซึ่งจำกัดเอาไว้เฉพาะกลุ่มคนบางพวกมากกว่า

     

    พวกเขาเดินตามขึ้นไปยังชั้นบนที่แบ่งเป็นห้องกว้างๆเรียงไปตามแถวแนวตรง ตลอดทางที่มานั้นเงียบเชียบบรรยากาศเป็นส่วนตัว คนเฝ้ายามและคุ้มกันยืนนิ่งเว้นห่างกันเป็นระยะ

     

    แล้วก็มาถึงห้องๆหนึ่งที่ดูจะแยกออกมายังส่วนสุดท้ายของอาคาร

     

    ประตูไม้ถูกเลื่อนออกให้เห็นภายในที่โล่งกว้างและไม่มีใคร มีเพียงโต๊ะไม้ตัวหนึ่งเท่านั้นที่ตั้งอยู่กลางห้อง เบาะสำหรับนั่งพื้นวางอยู่ทั้งสองด้านตามจำนวนคนไม่กี่คน จื่อเทามองรอบห้องที่กางกั้นเอาไว้ด้วยม่านผืนใหญ่ลายนกยูง ดูก็รู้ว่ากั้นห้องอีกส่วนเอาไว้ ทั้งสองข้างมีลักษณะเป็นเช่นนี้ ดูแล้วช่างไม่ต่างอะไรกันกับโรงน้ำชานั่นเลย ..หอนางโลมชั้นสูงงั้นสินะ

     

    “พวกท่านทั้งสองรออยู่ที่นี่ก่อนนะ อีกสักพักท่านเสนาคิมจะมา”

     

    เสนาคิมที่ว่าก็คือตัวแทนจากฝ่ายของพวกมนุษย์ที่จะมาเจรจาด้วยกันในคืนนี้ เห็นบอกว่าอยากแสดงความจริงใจด้วยการส่งคนมาแค่คนเดียว

     

    หลังจากที่เถ้าแก่หน้าตาไม่น่าไว้ใจนั้นบอก พวกเขาทั้งสองจึงได้แต่พยักหน้าทำตาม ภายนอกห้องมีคนของทางนั้นเฝ้าเอาไว้ ถึงแม้ว่าตามข้อตกลงแล้วจะต้องไม่มีผู้ติดตามเพื่อแสดงถึงความจริงใจ แต่ยังไงเสียจื่อเทาก็ยอมรับแต่แรกอยู่แล้วในเรื่องการเสียเปรียบของฝั่งพวกเขา ระหว่างที่นั่งรออยู่ท่ามกลางความเงียบคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

     

    “ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้วนะเซฮุนว่าอย่าตามมา”

    “แต่ท่านไคไม่อยู่”

    “คนอื่นก็มี”

    “งั้นข้ากลับ....”

    “ไม่เอาน่า อย่ามาพูดเอาตอนนี้สิ”

    “แล้วเจ้าอยากไล่ข้าทำไมเล่า ถึงข้าจะไม่ได้เรื่องอะไรแต่ที่ขอมาด้วยก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ”

    “แต่ข้าเป็นห่วงเจ้ามากกว่า”

     

    ทั้งสองมองหน้ากันไม่ทันไรประตูก็ถูกเลื่อนออก พวกเขารีบปั้นหน้าให้นิ่งเป็นปกติเข้าไว้ ชายสองหลบทางให้นายของพวกเขาเดินเข้ามา ใบหน้าของชายวัยสามสิบต้นๆที่ถือว่ายังหนุ่มแน่นนักเมื่อเทียบกับตำแหน่งเสนาฝ่ายในของเมืองแห่งนี้ ดูภายนอกแล้วไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป ยกเว้นแววตาที่ซ่อนไว้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมอันปิดไม่มิดที่จื่อเทาพอจะรู้ แต่สำหรับเซฮุนนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบ

     

    ร่างสูงในชุดผ้ากำมะหยี่สีขาวเนื้อดีย่างตรงเข้ามานั่งลงฝั่งตรงข้ามพวกเขา สาวใช้บริวารที่ตามมาต่างพากันวางเครื่องดื่มชั้นเลิศลงบนโต๊ะ คนคุ้มกันที่ดูจะมีฝีมือถึงสองคนถอยห่างออกไปยืนนิ่งที่มุมห้อง แต่เมื่อผู้เป็นนายผายมือเพียงนิดทั้งสองจึงต้องเดินออกไปที่อยู่ที่หน้าห้องแทน

     

    “สวัสดี ตัวแทนจากเผ่ามนุษย์หมาป่าที่แสนยิ่งใหญ่” ใบหน้าขาวๆนั้นยิ้มกว้างมาให้ แต่คำพูดบางคำแฝงไว้ซึ่งการเย้ยหยันอยู่ในที

    “ขอบคุณท่านมากที่เรียกพวกเราว่ายิ่งใหญ่ ทั้งที่ก็เป็นแค่ชนเผ่าเล็กๆที่ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที .. แค่เพียงเพราะผู้หญิงของเผ่าเราที่ถูกเข่นฆ่า จนไม่เหลือ....”

    “...................”

     

    ริมฝีปากหยักได้แต่คงยิ้มลึกเอาไว้โดยไม่โต้ตอบอะไร จื่อเทาจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาเพื่อย้ำชัดในเรื่องที่รู้กันดี เซฮุนเห็นคนข้างกายดูท่าจะลืมรอยยิ้มไปจึงได้ต้องแอบกุมมือบนหน้าตักนั้นเอาไว้เบาๆ เขารู้ดีว่าจื่อเทาโกรธแค้นแค่ไหนกับการตายของแม่ตัวเองที่เป็นหนึ่งในนั้น

     

    “ว่าแต่ท่านไคของพวกเจ้าไม่ได้มาด้วยหรือ แล้วนี่ใครล่ะ หน้าตาน่ารักดีนะ” จู่ๆอีกฝ่ายก็หันมามองเซฮุนแล้วเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสบายๆ จื่อเทาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปั้นหน้านิ่งไว้อย่างเก่า

    “ท่านไคติดธุระ มาไม่ได้ เห็นว่าเคยคุยกันเอาไว้แล้วข้าจึงมากับคนของเรา โอเซฮุน”

    “ยินดีที่รู้จักนะ” เสนาหนุ่มยิ้มให้ แต่สายตาของจื่อเทาที่มองกลับจึงทำให้ไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาอีกมากนัก ดูเหมือนว่าทางฝั่งของชนเผ่ามนุษย์หมาป่าจะเป็นฝ่ายต้อยต่ำกว่า ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้วพวกมนุษย์กลับไม่กล้าจะต่อกรอะไรเกินเลยนอกจากท่าทางดูหมิ่นที่คงเอาไว้เช่นนั้น

     

     

     

    จื่อเทาเริ่มเกริ่นเรื่องสัญญาระหว่างกันที่จะไม่กีดกันและรุกรานกันอีก เรื่องในอดีตนั้นขอให้ผ่านพ้นไปและเลิกแล้วต่อกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    กระจกบานใหญ่ที่เคยมานั่งลงตรงหน้าอย่างนี้ ใครเลยจะนึกว่าโชคดีที่รอดมาได้ในครั้งนั้นจะวนกลับมาเป็นเคราะห์กรรมซ้ำรอยอย่างเคย ใบหน้าขาวผ่องที่แต่งแต้มสีสันบางๆให้ดูงดงามกำลังจดจ้องมองตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกในห้องแต่งตัวชั้นบนของโรงน้ำชา

     

    ชุดไหมสีแดงเนื้อดี แบบเดียวกับที่เคยใส่ในวันนั้น ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด ไม่ว่าจะดิ้นรนหนีไปยังไงก็ไม่มีทางรอด

     

    “เห็นไหมล่ะ แล้วเจ้าก็อับจนหนทางต้องมาอยู่ที่นี่อยู่ดี คราวก่อนไม่น่าหนีไปเลย” หญิงสาวที่เคยจัดการกับตัวของเขาในครั้งนั้นยังจำกันได้


    หลังจากที่แต่งกายให้สาวงามหลายคนก็ถึงคราวของเขาบ้าง เธอเอ่ยขึ้นหลังจากที่จับปลายผมยาวเป็นลอนปรกไว้ที่ไหล่บาง แพคฮยอนสบตาอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยในกระจกบานใหญ่ ไม่คิดจะโกรธเคืองหรือแก้ตัวอะไร ถึงจะเถียงไปว่าเขาถูกขายก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายก็เข้าใจไปแล้วว่าเขาเต็มใจจะถูกขายมาที่นี่

     

    ใบหน้าสวยหวานไร้รอยยิ้มใดๆนอกจากแววตาแสนเศร้า แพคฮยอนหมดแรงกับทุกสิ่งไปแล้ว เขากำลังยอมจำนนอย่างไม่มีทางเลือก

     

    “เจ้านี่สวยดีนะ ตั้งแต่ข้ามาทำงานที่นี่ยังไม่เห็นใครสวยไปทุกส่วนแบบเจ้าเลย ...”

    “.......................”

    “นี่ถ้าข้าเห็นอยู่ข้างนอกก็คงคิดว่าลูกสาวบ้านไหนกันช่างงามอะไรอย่างนี้ อีกไม่นานหรอก เกิดเจ้าต้องตาคนใหญ่คนโตเข้าสักคน ก็อาจได้ออกไปอยู่เรือนใหญ่ๆ สบายเลยล่ะทีนี้” หญิงคนนั้นเอ่ยไปพลางจับจีบชุดสวยไปอย่างเบามือ

     

    แพคฮยอนไม่คิดจะฟังอะไรที่เธอคนนี้กำลังพร่ำเพ้อแม้แต่น้อย จะพูดอะไรก็พูดไป เขาไม่ได้คิดเห็นดีเห็นงามด้วยเลยแม้แต่น้อย

     

    นี่กำลังคิดอะไร ใจหนอใจ เจ้าจะคิดหวนถึงเรื่องเดิมๆทำไมกัน .. เจ้าไม่โชคดีเจอเค้าคนนั้นอย่างครั้งที่แล้วหรอก

     

     

    ถึงอย่างนั้นเรื่องราวในวันวานก็ย้อนกลับมาอย่างห้ามไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันในสถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา นับแต่นั้นมาก็ไม่มีเรื่องให้น่าประทับใจสักนิด แต่แล้วในยามที่เดียวดาย อ้อมกอดเพียงหนึ่งเดียวกับคำพูดไม่กี่คำที่ทำให้เข้าเผลอเข้าข้างตัวเองไป ใครเลยจะรู้ว่าทุกอย่างจะฝังลงในหัวใจจนยากจะถอนแบบนี้

     

     

     

     

     

    ใช้เวลาไม่นาน หลังจากการเจรจาตามที่เตรียมการมาแล้วนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ยิ้มให้แก่กัน จื่อเทาระคายใจในบางครั้งกับรอยยิ้มนั่น แต่เขาก็มองในแง่ดีกว่ามันอาจเป็นเรื่องความคิดที่เปลี่ยนไม่ได้ ขอแค่ตกลงเป็นเรื่องเป็นราวก็พอแล้ว ที่สำคัญ มนุษย์พวกนี้จะได้ไม่ออกตามล่าหาพวกเขาโดยการเข่นข้าล่าล้างหมู่บ้านอื่นไม่เลือกหน้าอย่างที่เคยทำ

     

    “เอาเป็นว่าคืนนี้ก็จบลงแค่นี้แล้วกันนะ”

    “ขอบคุณท่านมาก เสนาคิม”

    “ไม่เป็นไรหรอก ... ยินดีเสมอ” ว่าแล้วก็เบือนหน้าจากจื่อเทามาสบตากับเซฮุนแทน ชายหนุ่มที่ถูกมองแม้จะพยายามตีหน้านิ่งไว้แต่ก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ เขาไม่ชอบสายตาแบบนั้น จึงแอบกำมือคนข้างๆเอาไว้เป็นเชิงบอกว่ารีบกลับกันจะดีกว่า

     

    “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าขอตัว......”

    “อ้าวๆ รอประเดี๋ยวสิ จะรีบกลับไปไย คืนนี้น่าจะสังสรรค์กันให้สำราญใจหน่อยนะ”

    “สังสรรค์ ....”

    “ใช่แล้ว ... เอ้า ข้างนอกนั่น พาสาวงามของเราเข้ามาหน่อยเร็ว” เสียงดังตะโกนสั่งไม่ทันขาดคำ ประตูห้องก็เลื่อนออกอย่างรวดเร็ว เถ้าแก่มุนคนเดิมยิ้มกว้างมาให้พวกเขา

     

    “สำหรับท่านทั้งสอง เชิญรื่นเริงตามอัธยาศัย”

     

    หญิงสาวรูปร่างบอบบางทั้งสองคนเดินช้าๆเข้ามานั่งลงคนละข้างของจื่อเทาและเซฮุน คนที่ไม่เคยอย่างเซฮุนจึงทำหน้าไม่ถูก เขามองคนข้างกายที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาถึงขนาดนี้แล้วจื่อเทาจึงได้แต่รับข้อเสนอเอาไว้ก่อน ใบหน้ายิ้มกริ่มของเถ้าแก่ที่ภูมิใจในสาวงามของตนนักยังคงส่งยิ้มมาให้พวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้าไปหาเจ้านายใหญ่ของตัวเอง สองมือยกขึ้นประกบกันอย่างภาคภูมิใจ

    “ท่านเสนาคิม สำหรับท่านแล้ว โรงน้ำชาของเราที่ได้ท่านให้การดูแลมาตลอดก็อยากจะขอมอบของขวัญชิ้นใหม่แก่ท่านในคืนนี้ รับรองว่าใหม่หมดจดและพิเศษกว่าทุกครั้ง .....”

    “หืม .. พูดจาน่าสนใจดีนี่เถ้าแก่มุน”

    “ฮ่าฮ่าฮ่า .. เอ้า พานางเข้ามาได้แล้ว”

     

    ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จดจ้องมาทางประตูเลื่อน หญิงสาวในชุดแดงเปิดไหล่ย่างกรายเข้ามาข้างในช้าๆ ใบหน้างดงามเงยขึ้นจากลอนผมสลวยที่ถูกจัดแต่งให้ทิ้งลงรับกับร่างระหงไม่มีที่ติ แพคฮยอนกำมือแน่นพลางรอเวลาอยู่ในใจ อีกนานแค่ไหนนะที่จะกลับร่างเป็นผู้ชาย

     

    เมื่อเห็นว่าเด็กใหม่ที่ถูกนำกลับมาขายที่นี่กำลังมีท่าทีเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่วางไว้ เถ้าแก่มุนจึงเดินเข้าประชิดแล้วยิ้มกลบเกลื่อนตามแบบฉบับ

    “เอ้า .. นั่งลงตรงนี้สิ” มือหยาบๆแอบบีบเข้าที่เรียวแขนขาวหนึ่งที แพคฮยอนกัดฟันไม่ให้ร้องออกไป แต่แทนที่จะได้นั่งลงเองกลับถูกมือของคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วดึงให้เขาต้องล้มลงแรงๆมานั่งแนบกับชายคนนั้น

    “โฮ่ ... นี่ใครกัน สวยมาก” ท่านเสนาพูดพลางจ้องคนที่ตัวเองโอบเอาไว้ด้วยดวงตาเป็นประกาย ความใคร่อยากปรารถนาฉายผ่านแววตานั้นแบบปิดไม่มิด

     

    สำหรับคนทั้งสองที่นั่งตรงข้ามกลับมองว่ามันช่างน่าสมเพชสิ้นดี แต่พวกเขากลับไม่ได้เก็บเอามาคิดแต่อย่างใด เพราะตั้งแต่ที่หญิงสาวตรงหน้าก้าวผ่านประตูบานนั้นเข้ามาแล้ว จื่อเทาและเซฮุนอึ้งกันไปอย่างแทบไม่เชื่อสายตา พวกเขานั่งนิ่งปล่อยให้สาวงามข้างๆรินเหล้าเตรียมปรนนิบัติไปโดยไม่คิดจะสนใจ

     

    และทันทีที่แพคฮยอนเบือนหน้าหนีคนที่กอดเขาเอาไว้ด้วยสายตารังเกียจ ความหมดหวังโดดเดี่ยวที่กำลังประดังเข้ามากลับชะงักไปจนหมดเมื่อสายตาสบเข้ากับคนตรงหน้าทั้งสองคน

     

    “เซ .......”

     

    ริมฝีปากบางกำลังจะออกเสียงเรียกชื่อไปตามสัญชาตญาณ แต่สายตาทั้งสองคนที่สื่อบางอย่างมาให้ทำเอาต้องเงียบไป เซฮุนกำลังเป็นห่วงแพคฮยอนแต่จื่อเทากลับดึงบรรยากาศให้เป็นไปด้วยดี

     

    “หญิงผู้นี้เป็นคนของโรงน้ำชาหรือเถ้าแก่ งดงามจริงเชียว” จื่อเทาหันไปถามคนที่ยังคงไม่ไปไหน

    “แน่นอนสิท่าน คนนี้เป็นดาวเด่นของเราเลยนะ” คำพูดโอ้อวดนั้นแสนจะโป้ปด แพคฮยอนสูดหายใจระหว่างที่คนข้างกายพยายามจะให้เขาหันมองหน้ากัน มือใหญ่รั้งบั้นท้ายพลางบีบคลึงไปมาราวกับได้ของเล่นใหม่ ท่านเสนาคนไม่เอาไหนยกเหล้าขึ้นดื่มเสียหลายอึก

     

    จื่อเทามองอาการอย่างนั้นพลางคิดในใจว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายนั้นโง่หรือไม่มีใครว่างกันแน่ ถึงได้ส่งมนุษย์ที่ดูไม่ได้เรื่องคนนี้มาเป็นตัวแทนเจรจา ไม่คิดเลยว่าเวลาอย่างนี้ยังมีอารมณ์มาสำราญต่อหน้าพวกเขาได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ในหัวกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับแพคฮยอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ดี

     

    “เชิญทุกท่านตามสบายเลยนะขอรับ” เถ้าแก่มุนก้มหัวปะหลกๆให้ทุกคนในห้อง รวมถึงเสนาหนุ่มที่เอาแต่ปัดมือไล่ลูกน้องของตนออกไป เซฮุนรังเกียจท่าทางนั้นอย่างบอกไม่ถูก เขามองไปยังม่านใหญ่ลายนกยูงที่สองฝั่งห้องและพอจะเข้าใจแล้วว่ามีไว้เพื่อการใด

     

     

    ระหว่างที่เสนาหนุ่มคนนี้กำลังสำราญใจกับสุราและสาวงามข้างกาย ทั้งสองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก็ถูกปรนนิบัติอย่างดีเช่นกัน แต่ความสำราญไม่ได้บังเกิดแม้แต่นิด จื่อเทาและเซฮุนเพียงแต่เฝ้ามองแพคยอนและคิดหาทางออกอยู่ในใจ

     

     

    “เจ้าชื่ออะไร ยังไม่บอกข้าเลยนะ” ใบหน้านั้นแดงก่ำเล็กน้อยจากเหล้าที่ดื่มเข้าไป คางสากๆลากไล้เข้าที่พวกแก้มขาวของคนที่พยายามถดกายหนี แต่เพราะถูกรั้งเอาไว้แพคฮยอนจึงขยับไปไหนไม่ได้ ร่างกายทุกส่วนถูกมือนั้นลูบคลำอย่างไม่มีหยุด

    “ข้าถามแล้วไม่ตอบ เจ้าอยากถูกลงโทษหรือ .. หืม”

    “ข้า ข้า .....”

    “อะไร ก้มหน้าหนีแบบนี้แล้วข้าจะเห็นหน้าสวยๆของเจ้าได้ยังไง ไหนมองตาข้าซิ” เสียงแห่บพร่าก้มกระซิบแล้วกดใบหน้าเข้ามาราวกับจะกลืนกินใบหูนั้น หญิงสาวปัดมือที่จะล้วงเข้าไปใต้กระโปรงเขาหลายรอบแล้ว หลายครั้งมากจนอีกฝ่ายดูท่าจะรู้สึกขัดใจขึ้นมา

    “อย่านะ ...” แพคฮยอนร้องขึ้นเบาๆเมื่อมือนั้นกลับล้วงผ่านกลางชายผ้าด้านล่างเข้ามาอย่างรวดเร็ว แพคฮยอนหน้าตื่นขึ้นมาทันที

     

     

     

    “ท่านเสนา! ... เอ่อ  คือ ข้าขอหญิงคนนั้นแทนจะได้ไหม”

     

    เสียงทุ้มของจื่อเทาโพล่งออกไปอย่างไม่มีทางเลือก คนฟังที่โอบร่างบอบบางแนบชิดกายหันมามองเขาพลางขมวดคิ้ว แพคฮยอนใจเต้นรัวก่อนจะรู้สึกโล่งอกขึ้นมา

    “ว่าไงนะ เจ้าสนใจเธอคนนี้หรอกหรือ .. มิน่าล่ะ ถึงได้มองเอาๆ” ชายหนุ่มอายุมากกว่าเอ่ยพลางยกยิ้ม จื่อเทาถอนหายใจอย่างโล่งใจบ้าง

    “ขอโทษท่านด้วย แต่ข้าเห็นนางแล้ว อยากได้มาเชยชมจนทนไม่ไหว ถ้าอย่างไรเราแลกกันได้ไหม”

    “งั้นเหรอ ... ไม่มีปัญหาๆๆๆ”

     

    ใบหน้านั้นดูไม่ยี่หระอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งสามคนที่รู้กันดีต่างโล่งอกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พวกเขาก็ยิ้มได้แค่ไม่นานเมื่อประโยคต่อมานั้นดังขึ้นให้รอยยิ้มต้องค้างเอาไว้ที่เดิม

     

     


     

    “แต่ว่าต้องหลังจากที่ข้าได้เชยชมนางก่อนนะ”

     

     

     

     

     

    “อ๊ะ เดี๋ยวก่อน.....” แพคฮยอนร้องขึ้นเมื่ออีกฝ่ายฉุดให้ลุกตาม ม่านผืนใหญ่ลายนกยูงถูกมือหนาปัดออกให้พ้นทางแล้วลากสาวงามของเขาให้หายตามเข้าไปด้วย

     

    เซฮุนเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นยืนทันที แต่จื่อเทาอีกแล้วที่รั้งเขาเอาไว้

    “ไม่ได้นะเซฮุน”

    “ทำไมล่ะ เจ้าไม่เห็นหรือว่า”

    “เซฮุน!” จื่อเทาส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าหากในห้องนี้เกิดอะไรขึ้น คนของฝ่ายนั้นจะกรูกันเข้ามาทันที สาวงามสองคนมองเขาทั้งสองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ถามอะไรออกไปนอกจากทำหน้าที่ของตน

     

     

    แพคฮยอนถูกโยนลงไปยังที่นอนนุ่มลายหรูที่ปูไว้กับพื้น ผมยาวเป็นลอนกระจายออกจากกันเพราะแรงเหวี่ยง ร่างของชายคนนั้นขึ้นคร่อมเขาเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนีได้ มือหนาเกี่ยวลอนผมเป็นเกลียวพลางก้มหน้าแนบลงกระซิบใกล้ๆ

    “อา ... เจ้าช่างงามเหลือเกิน รู้ไหมว่ามันทำให้ข้าลืมเรื่องงานเสียหมด”

    “ปล่อยข้าเถอะ ....”

    “อย่าเขินอายไปหน่อยเลยน่า นี่เป็นครั้งแรกของเจ้าสินะ เถ้าแก่มุนไปเก็บเจ้ามาจากไหนเนี่ย ถ้าคืนนี้เจ้าทำให้ข้าติดใจได้ พรุ่งนี้ก็กลับไปเรือนข้าด้วยเลยดีไหม”

    “มะ ไม่นะ ... คือ ข้า ข้า.....” แพคฮยอนพูดไม่ออก เขากำลังรอเวลาให้ร่างกายกลับมาเป็นชายแต่แล้วทำไมยังไม่ถึงเวลานั้น

     

    แม้จะยอมแพ้ไปเสียทุกอย่างแต่พอถึงเวลาอย่างนี้แล้วหัวใจก็ยังเต้นไม่เป็นส่ำอย่างทุกครั้ง กลัวเหลือเกิน ...

     

    เท้าเล็กของคนหมดหนทางออกแรงถีบให้คนด้านบนต้องร้องลั่น

     

    “โอ๊ย ... นี่เจ้า บังอาจทำแบบนี้กับข้า” ร่างกายที่ได้เปรียบกระโจนเข้าใส่คนที่ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น แพคฮยอนถูกดึงให้ล้มลงไปอย่างเก่าก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะฟาดเข้าที่แก้มของเขาเต็มแรง

     

    “หึ ชอบให้ใช้กำลังก็ไม่บอก ถ้าเจ้ายังกล้าทำกับข้าแบบนี้อีกข้าจะตบสลับกับจูบเลยจำเอาไว้”

     

    ความปวดร้าวที่ใบหน้ากำลังเล่นงานเขาหลังความชา แต่เมื่อหมดทางรอดจึงได้แต่นอนนิ่งให้อีกฝ่ายทำตามใจ ปลายจมูกของคนน่ารังเกียจซุกไซร้อยู่กับซอกคอขาว ชุดแดงเปิดไหล่เผยผิวขาวเนียนให้อีกฝ่ายขบกัดอย่างหนำใจ แพคฮยอนพยายามขดกายหนีแต่ก็ไม่เป็นผล

     

    น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะลงมาตามแก้ม

     

    อยากตะโกนใส่หน้าคนๆนี้ให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก เขาไม่ได้สะอาดอะไรอย่างที่อีกฝ่ายเพ้อเจ้อออกมา ครั้งแรกน่ะ ใครคนนั้นได้ช่วงชิงมันไปหมดแล้ว ...

     

    รู้บ้างไหม ว่านอกจากครั้งแรกของข้าที่ท่านเอามันไปแล้ว หัวใจของข้าท่านก็เอามันไปแล้วด้วยเหมือนกัน

    ..... ท่านไค

     

     





     

    ผลั่ก!!!

     

    “อั่ก!!!

     

    ม่านสีแดงถูกสิ่งมีชีวิตสีดำโฉบเข้ารั้งให้ขาดวิ่นลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างที่คร่อมทับแพคฮยอนกระเด็นออกไปกองอยู่กับพื้นอย่างแรง ก่อนที่ภาพจะปรากฏชัดขึ้นทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    ร่างสูงใหญ่ของหมาป่าสีดำเข้มยืนผงาดขวางกั้นหญิงสาวที่ยังคงนอนอยู่ที่เดิม แพคฮยอนหอบหายใจก่อนจะดันกายขึ้นนั่ง ภาพข้างหลังของสัตว์สี่เท้าทำไมเขาจะจำไม่ได้ นี่เป็นความฝันหรือไม่นะ คิดอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอีกอย่างไม่รู้ตัว

     

     

    “หมาป่า!!! ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาช่วยข้า.... อ่อก!!” ชายหนุ่มหน้าตื่นตะโกนได้ไม่นานร่างของหมาป่าดวงตาสีแดงฉานก็เข้าตะปบหน้าอกให้ล้มลงนอนราบไปกับพื้น

     

    “กรรรรรรรรรรรรรร......”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “กรี๊ดดดด!!

            หญิงสาวทั้งสองคนผละออกจากจื่อเทาและเซฮุนทันที พวกเธอวิ่งหน้าตาตื่นออกไปจากห้องเพราะตกใจกับหมาป่าตัวใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาได้ยังไง

    “ท่านไค!

    ม่านที่ฉีกขาดเผยให้เห็นเหตุการณ์ภายในเล็กน้อย จื่อเทาและเซฮุนตกใจกับเรื่องไม่คาดคิดที่อาจมีผลต่อการเจรจา แต่เมื่อเห็นว่าแพคฮยอนปลอดภัยพวกเขาก็โล่งใจกว่าเป็นไหนๆ

     

    แต่ก่อนจะห่วงคนอื่นอาจต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนสินะ กำลังคนภายนอกจากทางระเบียงทอดยาวกำลังกรูกันเข้ามาในห้องนี้จริงๆ  จื่อเทาเข้าขวางคนพวกนั้นไม่ให้เข้าไปถึงนายตัวเองได้ สองมือเปล่าไม่มีอาวุธอะไรเลยนอกจากมีดปอกผลไม้เล่มเล็กที่เขาคว้าขึ้นมาจากโต๊ะ ที่ไม่พกดาบมาด้วยเพราะจำเป็น ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

     

    จื่อเทาตะโกนบอกให้เซฮุนถอยไปขณะที่เขาจะใช้ทักษะการต้อสู้ที่เหนือกว่ามากจัดการเจ้าพวกลิ่วล้อให้กระเด็นออกไปทีละคนๆ

     

    ทางด้านหมาป่าตัวใหญ่ที่อุ้งเท้ากดทับหน้าอกคนที่กลัวจนเหงื่อตกนั้น จู่ๆก็ถอยออกมาแล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ในอาภรณ์สีดำทะมึน ใบหน้าคมยังคงแววตาสีแดงเอาไว้พลางจดจ้องคนด้านล่างอย่างดุดัน

     

    “เจ้า .....” เสนาหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

    “หึ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

    “เจ้า .. บังอาจทำแบบนี้กับข้างั้นหรือ”

    “ไม่ว่าใครหน้าไหน ถ้ามายุ่งกับลูกเมียของข้า ข้าก็ไม่คิดจะไว้หน้าเหมือนกัน”

     

    ไคกดเสียงต่ำอย่างชัดเจนให้ได้รู้กันไป เขาพูดออกมาตามที่คิดและไม่ได้คำนึงว่าคนฟังจะนึกอย่างไร เสนาหนุ่มที่ถดกายหนีไปตามพื้นห้องกลับชะงัก สายตาหวาดหวั่นจ้องไปยังร่างของหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะข่มเหงอยู่เมื่อครู่

     

    “มะ หมายความว่าไง ลูกเมียเจ้า......”

    “ใช่ เธอคนนี้เป็นเมียข้า” ดวงตาวาวโรจน์กำลังข่มความโกรธเอาไว้ การที่ไคต้องเห็นภาพของแพคฮยอนกำลังถูกชายอื่นที่น่ารังเกียจรังแกนั้นมันช่างอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายเสียเหลือเกิน

    “งะ งั้น ... พวกแก พวกแก นี่ยังเหลืออยู่ใช่ไหม” ตัวแทนฝั่งมนุษย์ตื่นตกใจกับเรื่องที่ไม่คาดฝันจนต้องหลุดความประสงค์ที่แท้จริงออกมา ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้วที่ได้ล่าล้างมนุษย์หมาป่าหญิงเพื่อตัดขาดการสืบพันธุ์ พวกเขาเข้าใจว่ามันได้หมดไปจากแผ่นดินนี้แล้ว

     

    “ล้อเล่นน่า ......”

     

    ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่แววตาน่ากลัวและดูเอาจริงอย่างนั้นก็ทำให้เข้าใจได้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เสนาหนุ่มนิ่งไปกับเรื่องไม่น่าเชื่อ เรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

     

     

    ไคไม่อยากจะสนใจกับคนตรงหน้าที่ไม่มีทางสู้เขาได้อีก ร่างสูงหันกลับไปหาคนที่นอนหอบหายใจอยู่บนที่นอน สภาพของแพคฮยอนที่ดูไม่ได้กับแก้มที่มีรอยแดงนั้นนั้นปารากฎชัดในสายตาของเขา

     

    “แพคฮยอน.....” ไคตรงเข้าหาในทันที ใบหน้าที่น้ำตานองเม้มปากแน่นอย่างไม่อยากเชื่อเช่นกัน แพคฮยอนดันกายขึ้นนั่งก่อนที่ไคจะโถมตัวเข้ามารั้งร่างของเขาไปกอดเอาไว้

     

    แพคฮยอนที่เก็บกลั้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้นั้นปล่อยโฮออกมาแบบไม่อายสักนิด เรียวแขนเล็กๆรัดแผ่นหลังนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เช่นเดียวกับแขนแกร่งที่กอดคนที่รักเอาไว้แนบอก

    “แพคฮยอน .. ข้าอยู่นี่แล้ว” ไคหลับตาแน่นอย่างโล่งอกกับคนที่เขาตามหา

    “ฮึก ...ข้า กลัวมาก ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”

    “รู้แล้ว ข้าอยู่นี่แล้วไง เงียบซะนะ”

     

    แพคฮยอนปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างหมดท่า ความรู้สึกที่คิดว่าตายไปแล้วกลับมาใหม่อีกครั้ง ความหวังที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับมานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความนึกคิดมันกำลังเบลอไปหมด

     

     

     

     

    ขณะนั้นเอง ทางด้านจื่อเทาและเซฮุนก็กำลังร่วมกันต่อสู้อย่างทุกลักทุเลเพราะฝ่ายตรงข้ามที่มากกว่า อีกคนที่มีวิชาการต่อสู้ติดตัวมาไม่มากนักจึงได้แต่ใช้ความไวหลบหลีกเอาเสียส่วนใหญ่ จื่อเทามองคนรักของตัวเองที่กำลังใช้ความพยายามอย่างหนัก เขาเป็นห่วงอีกฝ่ายจนเผลอพลาดท่าให้วงดาบที่แกว่งเฉียดมาที่แขน

     

    “จื่อเทา!!” เซฮุนร้องขึ้นอย่างตกที่ใจอีกคนเบียดกายมาดันเขาออก ร่างสูงหันกลับพลางตวัดมีดสั้นออกไปสุดแรง คนของฝ่ายนั้นหนึ่งคนล้มลงไปกับพื้น ชายหนุ่มรีบดึงมีดออกมาจากลำคอที่เลือดทะลักออกมา จื่อเทาใช้อาวุธเพียงหนึ่งเดียวตวัดสู้กับพวกที่เหลืออีกมากที่ดาหน้ากันเข้ามา

     

    “ถอยออกไปก่อนเซฮุน!

     

    เขาตะโกนให้คนด้านหลังรีบก้าวถอยไปเมื่อฝ่ายนั้นกรูกันเข้ามามากกว่าเก่า เซฮุนถูกจื่อเทาผลักออกไปให้พ้นทาง เขารู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่น่ามาเป็นภาระให้อีกฝ่ายเลยจริงๆ

     

    ผนังห้องกว้างด้านนอกพังลงจากการต้อสู้ เซฮุนมองออกไปด้านนอกที่เป็นระเบียงยาวของชั้นสองนี้ ร่างบางตื่นตระหนกอย่างมากกับสภาพของจื่อเทาที่ดูท่าจะเป็นฝ่ายโดนรุมลูกเดียว ท่านไคของเขาที่อยู่ในอีกส่วนของม่านกั้นนั้นก็ไม่มีวี่แววจะกลับออกมา น่าเป็นห่วงยิ่งนักกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยแบบนี้

     

    ไม่สิ มันดูท่ากำลังจะแย่มากกว่า

     

    เซฮุนคิดในใจว่าคนพวกนี้ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ที่แท้แล้วก็เก็บกำลังคนเอาไว้พร้อมจะบุกพวกเขาได้ทั้งที่พวกเขาก็มากันแค่เพียงสองคน เสียเปรียบอยู่เห็นๆ

     

    “อึก ....” จื่อเทาตวัดกายหลบดาบยาวๆที่วาดมาเฉือนเอาปลายเสื้อของเขาไปอีก ร่างสูงถูกร่างกายกำยำของชายอีกหลายคนรุมเข้าผลักจนเสียท่าล้มลงกับพื้น

     

    “จื่อเทา!!

     

    เซฮุนร้องลั่นเมื่อเห็นว่าใครอีกคนกำลังเงื้อปลายดาบยาวขึ้นกลางอากาศ จื่อเทาไม่ทันจะได้หันกลับไปรับมือ เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของเขาอาจดับสูญ

     

    จู่ๆดาบยาวไร้ฝักก็ลอยผ่านหน้าของเขาเข้ามา ไม่ใช่จากเซฮุนเพราะเขากำลังสบตาคู่นั้นที่กำลังตื่นตระหนก จื่อเทาคว้ารับดาบนั้นก่อนจะตวัดกายกลับมาหาวงดาบที่ฟันลงมาหาเขา

     

    เคร้ง !!

     

     

    เสียงดาบทั้งสองขัดกันรุนแรง คนตัวสูงกว่ากระโดดถีบร่างนั้นให้ล้มทับอีกหลายคนออกไป ปลายดาบฟาดฟันลงที่ร่างของแต่ละคนอย่างหมดความอดทน ทันใดนั้นเองที่กองกำลังของฝ่ายตนจะกรูกันเข้ามาบ้าง จื่อเทาถอยหลังมาหาเซฮุนด้วยกลัวเป็นอันตราย เซฮุนตัวสั่นงันงกกับเหตุการณ์ที่เขาคิดว่าจะต้องเสียจื่อเทาไป ทั้งสองมองคนจากชนเผ่าที่เข้ามาปะทะกับฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่งงงัน ก่อนที่เจ้าของดาบจะปรากฏตัวขึ้น

     

    “พี่อี้ฟาน!!

     

    ร่างสูงที่ห่างออกไปยืนเด่นอยู่ท่ามกลางลูกน้องมากมายที่ต่อสู้ไม่คิดชีวิต อกเสื้อที่ปิดไม่หมดเผยให้เห็นผ้าพันแผลด้านใน ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมาให้น้องรักทั้งสอง

    “พี่มาได้ยังไง แผลยังเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ” เซฮุนถามหน้าตาตื่น

    “ไม่เป็นไร .. พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน”

    “ครับๆท่านแม่ทัพอู๋อี้ฟาน .. แล้วก็ขอบใจที่โยนดาบมาให้ข้าทันเวลาพอดิบพอดี” จื่อเทาเอ่ยทีเล่นทีจริง เขารู้ดีว่าพี่ชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่ใครคิดนัก

    “พี่ยังไม่ตอบข้าเลยว่ามาได้ยังไง” เซฮุนถาม

    “หึ .. จริงๆแล้วข้าควรต้องอยู่ที่หมู่บ้าน แต่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ท่านไคเคยพูดเรื่องแผนซ้อนแผนเอาไว้ เราไม่ควรประมาทมนุษย์พวกนี้ เพราะงั้นข้าที่คุมกองกำลังซุ่มเอาไว้อยู่จึงรีบตามมาโดยเร็ว”

    “อย่างนี้นี่เอง พวกท่านรอบคอบสมกับที่ผ่านอะไรมาเยอะ” จื่อเทาเอ่ยกับคนตรงหน้า

     

     

     

    “ดูสิ คนของเราเหนือกว่ามากนัก แต่ก็ยังไม่น่าวางใจ งั้นเจ้ารีบพาเซฮุนกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะจัดการตรงนี้เอง”

    “แต่ข้าเป็นห่วงแพคฮยอน แล้วท่านไคอาจกำลังแย่” เซฮุนโพล่งขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าทั้งสองยังไม่ปลอดภัย จื่อเทาจ้องตาท่านแม่ทัพที่เขากล่าวไปเมื่อครู่ แต่อี้ฟานกลับส่ายหน้ามาให้

    “อย่าเลย เคลียร์ตรงนี้กันดีกว่าไหม ท่านไคของเราไม่มีทางพลาดท่าให้กับไอ้มนุษย์อ่อนหัดนั่นหรอก เชื่อข้าสิ”

     

    อี้ฟานพูดก่อนจะหันกลับไปช่วยลูกน้องของตัวเอง เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกำลังคนของที่นี่ถึงได้มากมายนัก มันเป็นการเตรียมการรอไว้อย่างใกล้ชิดอยู่แล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นข้อตกลงที่บอกว่าจะไม่มีการใช้กำลังนั้นคืออะไร

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สองร่างที่กอดกันอยู่ตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มยศสูงพูดไม่ออก หญิงผู้นี้คือมนุษย์หมาป่าหญิงที่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้ ทำไมท่านพ่อและพวกผู้ใหญ่ถึงไม่เคยบอกนะว่ามันยังมีหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินนี้อีก ไม่สิ .. ไม่ใช่ไม่มีใครบอก เขาต่างหากล่ะที่ต้องรีบไปบอกเรื่องพวกนี้ให้ทุกคนรู้ แต่หากเป็นเพราะเขาเองที่กำจัดมันไปได้อีกล่ะ ความดีความชอบทั้งหมดจะตกอยู่ที่ใครกัน

     

    “หึ ... อย่าคิดว่าจะรอดจากมือพวกข้าไปได้เลย” เสนาหนุ่มยันกายขึ้นจากพื้น มือใหญ่คว้าเอากระบี่ที่แอบซ่อนไว้ใต้ชุดขาวชั้นดีออกมากำไว้แน่น

     

    ไคและแพคฮยอนที่เพิ่งจะได้มองหน้ากันชัดๆไม่รู้ตัวเลยว่าด้านหลังนั้นจะมีกระบี่วาววับเตรียมเงื้อฟันลงมา ดวงตาชื้นๆน้ำของแพคฮยอนเบิกกว้างเมื่อเห็นข้างหลังของคนที่กอดเขาเอาไว้

     

    “ไม่นะ ท่านไค!! .....” พูดไม่ทันขาดคำ ไคที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกดร่างในอ้อมกอดให้ล้มลงไปอีกทาง ปลายกระบี่ที่พุ่งเข้ามานั้นเฉือนเข้าที่ปลายแขนเสื้อสีดำ ร่างสูงหันดวงตาสีแดงฉานราวกับเลือดจดจ้องมองฝ่ายตรงข้ามที่ยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะหวาดกลัวในการที่ตัวเองทำพลาด เสนาหนุ่มกำปลายกระบี่ยื่นมาด้วยมืออันสั่นเทา

    ไคผละออกจากแพคฮยอนแล้วเดินเข้าหาศัตรูช้าๆด้วยสองมือที่ไม่มีแม้แต่อาวุธ

     

    แพคฮยอนนั่งหวั่นใจกับภาพตรงหน้าโดยลืมไปแล้วว่าร่างกายตัวจะหอบสั่นขึ้นมาอย่างหนัก ร่างกายเกิดเกร็งไปทุกส่วน เขากำมือตัวเองพลางสังเกตเห็นว่ารอบร่างกายของไคนั้นราวกับมีพลังบางอย่างพวยพุ่งออกมา ความน่ากลัวภายนอกที่พบเห็น ไม่แปลกเลยที่ชายคนนั้นจะต้องเดินถอยหลังไปทั้งที่ตัวเองมีอาวุธอยู่ในมือแท้ๆ

     

    “คะ ใครก็ได้เข้ามาทีสิโว้ย หายหัวไปไหนกันหมด!” นายใหญ่ของที่แห่งนี้กลับไม่เหลือความน่าเคารพใดๆ ท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นมองแล้วช่างน่าสมเพช

    “หึ ดูท่าว่าคนของข้าจะล้อมพวกเจ้าเอาไว้หมดแล้ว เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะท่านเสนาน้อย”

    “กะ แก อย่าเข้ามานะ .. อยากให้การเจรจาของเราพังหรืออย่างไร”

    “เจรจางั้นหรือ ทางข้าที่ยอมรับข้อตกลงทั้งหมดของพวกเจ้าเพียงเพื่อยุติการล่าล้างเผ่าพันธุ์ของข้า ... แต่แล้วที่ได้กลับมาคืออะไร”

    “อะไรล่ะ อะไรที่เจ้าไม่พอใจ”

    “ก็แล้วคนมากมายที่เจ้าซ่องสุมเอาไว้ล่ะ”

    “ข้า ข้า แค่เตรียมพร้อมเผื่อว่า....”

    “ทั้งที่เจ้าก็เห็นว่าคนของข้ามากันแค่สองคนลำพังและโดยไม่มีอาวุธอะไรติดมือมา ... หรือจะบอกว่าไม่เห็น!

    “มะ ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าบอกแล้วไง....”

    “หุบปากที่ยังสามารถพูดของเจ้าไปได้เลย เพราะยังไงเจ้าก็ตอบข้าไม่ได้อยู่ดีว่าเมื่อครู่นี้คืออะไร เจ้าคิดจะทำร้ายนางเพราะเป็นผู้หญิงของเผ่าเราอย่างนั้นใช่ไหม”

    “..........................”

    “พวกเจ้ายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะกำจัดผู้หญิงของเผ่าเราใช่หรือไม่”

    “.....ข้า”

    “ตอบสิ!

     

    ไคตวาดเสียงดังลั่นจนแพคฮยอนต้องสะดุ้งขึ้นเพราะความตกใจ

     
     

    ไอพลังบางๆรอบกายพวยพุ่งออกมาจากร่างของคนที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติอย่างคนทั่วไป การถูกหักหลังทั้งที่อุตส่าห์เชื่อใจมันคงจบลงตั้งแต่เริ่มเจรจาในวันนี้แล้ว นี่ยังไม่นับรวมกับเรื่องที่อีกฝ่ายทำร้ายแพคฮยอนนะ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคนนี้จะตรงเข้าฉีกร่างมันออกมาเป็นชิ้นๆเอง

     

    ผลั่ก!!!

     

    “อึก ..................”

     

     

    เพียงแค่สายตาคมกดลง มือคู่นั้นที่กำดาบไว้แน่นก็ต้องหลุดออกจากกันเพราะพลังบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้  ร่างสูงของคนที่ใครๆก็รู้ดีถึงความเก่งกาจหาใดเทียบพุ่งตรงเข้ารับกระบี่นั้นไว้แทน ไคใช้เท้าผลักคนตรงหน้าให้ล้มลงไปภายใต้เท้าของเขาที่เหยียบลงยอดอก ปลายกระบี่คมกริบวาดผ่านอากาศเสียงดังวืดใหญ่ลงมาที่คอหอยของคนที่นอนตัวสั่นงันงก

     

     

    “อ๊าก!!!!............”

    เลือดสีแดงซึมออกมาจากคอเพียงหยดเล็กๆเท่านั้น ปลายกระบี่ยั้งลงที่เนื้ออ่อนทั้งที่ควรจะกดลงไปให้ขาดสะบั้นสมใจ

     

     

    “พวกแกมันเลวเองที่คิดไม่ซื่อ .. จำเอาไว้แล้วไปบอกพวกของแกด้วยว่าอย่าได้คิดมาเล่นตุกติกกับชนเผ่าของข้า”

    “........................”

    “และไม่ว่าจะตามล่าล้างพวกข้าแค่ไหน ก็ไม่มีวันที่พวกเจ้าจะเอาชนะได้ด้วยหัวใจที่คอยอาฆาตอยู่อย่างนี้”

     

     

     

     

    “ตราบใดที่มนุษย์ยังถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ชนเผ่าของเราก็จะยังสืบสายพันธุ์กันต่อไป ... ให้ตายยังไงก็ไม่มีวันดับสูญไปเพราะคนเลวๆอย่างพวกแกแน่!

     

     

    ไคกระชากเสียงที่ประโยคสุดท้ายแล้วกระทืบลงที่หน้าอกนั้นแรงๆ ใบหน้าหวาดกลัวของคนขี้ขลาดร้องลั่นก่อนจะสลบไปทันที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างกายขาวเนียนในชุดสีแดงงดงามกำลังหายใจไม่ออก แพคฮยอนรู้ตัวแล้วว่าร่างกายที่เขาปรารถนานั้นกำลังกลับมา แต่เรี่ยวแรงกลับหายไปไหนหมดนะ สายตาพร่ามัวปิดลงช้าๆด้วยความเหนื่อยอ่อน กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้ถามอะไรคนๆนั้น อยากถามอีกสักครั้งจังเลย

     

    ข้าขอถามอีกได้ไหมนะ

     

    ถึงแม้ว่าท่านจะตอบข้าอย่างเดิมก็ไม่เป็นไร

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ภายนอกของห้องกว้างที่ใช้เจรจานั้นพังลงไม่เป็นท่า ผนังไม้ฉลุลายสวยพังลงเชื่อมไปกับระเบียงที่ทอดยาวทั้งอาคาร ร่างของหลายชีวิตฝั่งโรงน้ำชาของท่านเสนานอนโอดครวญกองกันอยู่ที่พื้น มีเพียงกำลังคนของอี้ฟานเท่านั้นที่ยืนหยัดหอบหายใจกันด้วยความเหนื่อย

     

     

    จื่อเทากำแขนของเซฮุนที่เป็นรอยช้ำหลายรอยขึ้นมาดูชัดๆ



    “ทำไมเยอะแบบนี้เนี่ย เจ้าไม่ระวังเลยรึยังไง”

    “ระวังให้ตายก็ต้องเจ็บอยู่ดี เจ้ามัวแต่ห่วงข้าจนสู้แบบพะว้าพะวงแบบนั้น ข้าช้ำแค่นี้ก็ดีถมไปแล้วล่ะน่า ยังจะมาต่อว่าข้าอีก” เซฮุนทำหน้าบูดให้อีกคนที่ว่าเขาได้ตลอด

    “เฮ้อ .. ข้าบอกแล้วไงว่าเพราะเป็นห่วง”

    “แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเป็นยังไงถ้าไม่มีเจ้าล่ะ มัวแต่ห่วงข้าแล้วตัวเจ้าเองล่ะ ... รู้ไหมว่าตอนนั้นใจข้าแทบหยุดเต้น ถ้าพี่อี้ฟานมาไม่ทันแล้วเจ้าจะเป็นยังไง ......” เซฮุนพูดไปพลางจ้องตาจื่อเทาอย่างจริงจัง คนฟังรับรู้ถึงทุกอย่างที่อีกฝ่ายบอก จึงได้แต่ดึงร่างนั้นเข้ามาใกล้ๆ

    “ข้าขอโทษนะ” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วๆ

     

    ทั้งสองโอบกอดกันไว้อย่างแนบแน่น เซฮุนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แต่มือคู่นั้นก็คอยเอื้อมมาเช็ดออกให้อย่างทุกที

     

    “อะ แฮ่ม...”

     

    อี้ฟานกระแอมไอดังๆให้คนทั้งสองรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน พวกเขาผละออกจากกันด้วยยิ้มแห้งๆ แต่เมื่อมองมาที่พี่ชายคนเก่ง พวกเขาก็ต้องร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน

    “พี่อี้ฟาน .. แผลเลือดออกอีกแล้วใช่ไหม”

    “เอาน่ะ แค่นี้เอง”

    “จะอึดเกินคนไปไหน แบบนี้กลับไปพี่จุนมยอนต้องต่อว่าพวกข้าแน่”

    “ไม่หรอกน่ะ .. ข้ามาช่วยในฐานะคนของหมู่บ้านคนหนึ่ง ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามาดูแล”

    “แต่.......” สองสายตามองมาอย่างเป็นห่วง อี้ฟานผายมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ

    “อย่าห่วงข้าเลย ... ดูนั่นก่อน พวกเจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วไงว่าพวกเขาต้องไม่เป็นไร”

     

     

    ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามาทางระเบียงที่ภาพล่างเป็นสวนหญ้าตกแต่งสวยงาม ลานน้ำพุยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แสงจันทร์ลอยเด่นสาดกระทบร่างกายของหลายชีวิตที่ล้มนอนอยู่กลางพื้นห้อง

     

     

    ปลายผ้าสีดำมืดสะบัดนำออกมา เผยร่างของท่านหัวหน้าเผ่าที่ใครๆต่างก็ยำเกรง เขาก้าวออกมาจากหลังม่านสีแดงช้าๆ ในอ้อมแขนช้อนอุ้มคนที่แสนห่วงใยเอาไว้แนบอก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แสนหนักแน่นจ้องตากับลูกน้องของเขาทุกคน .. ก่อนจะหรี่ลงมองคนในอ้อมแขนด้วยความห่วงใย

     

     

     

     

    การเจรจาที่เพียรพยายามมาแสนนานได้พังลงไม่เป็นท่าเพียงชั่วข้ามคืน แต่คงไม่มีใครสักคนนึกเสียดายมัน .. เพราะหากต้องแลกกับสิ่งมีค่าแล้ว ภายใต้ใบหน้าของพวกมนุษย์ที่หลอกลวงนั้น ข้อตกลงระหว่างกันมันก็ไม่มีตั้งแต่แรกแล้วล่ะ

     

     

     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

     

    ลูกน้องคนสนิทและกองกำลังคนทั้งหมดได้เคลื่อนนำไปก่อนแล้ว

     

    จึงเหลือพวกเขาแค่เพียงลำพัง

     

     

     

    หลังจากที่แพคฮยอนได้สติขึ้นมาในอ้อมกอดของไคบนหลังม้าที่กำลังวิ่งอยู่นั้น เขานึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ไคจึงต้องแวะพักที่ริมธารแห่งนี้กลางดึกกลางดื่น

     

     

    แพคฮยอนผลักไสอีกคนให้ออกห่าง เขาอาเจียนเอาน้ำในร่างออกมาจนหมด น้ำเย็นฉ่ำในลำธารถูกวิดขึ้นมาลูบที่แก้มเล็กน้อยเพื่อความสดชื่น ร่างเล็กนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ร่างกายกลับมาเป็นชายอีกครั้งแล้ว ชุดสีแดงสดส่วนบนนั้นถูกคลุมทับด้วยเสื้อโค้ทหนาของอีกฝ่าย

     

    ไคยืนมองคนที่เขาแสนห่วงใยอยู่ห่างๆ ไม่อยากจะขัดใจอะไรในเวลาแบบนี้เลยจริงๆ หากแพคฮยอนจะเกลียดเขาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

     

    “ขอบใจท่านมากที่มีน้ำใจ”

     

    อาการขวัญเสียก่อนหน้านี้ค่อยๆทุเลาลงแล้ว ใจดวงน้อยที่รอคอยอยากจะพบหน้าอีกฝ่ายกลับเก็บกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ภายใต้อาการที่แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นแค่คนอื่นระหว่างกัน มือเล็กๆดึงเสื้อตัวหนาเข้าหาตัวมากขึ้นเพราะความหนาวยามค่ำคืนที่เงียบสนิท แพคฮยอนลอบมองแขนเสื้อที่ขาดเพราะกระบี่คู่นั้น เลือดสีแดงเปรอะเปื้อนเป็นทาง แม้มันจะเล็กน้อยแต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

     

    แต่ครั้นจะเอ่ยถามก็คิดว่าไม่ควร แพคฮยอนจึงได้แต่เงียบ

     

    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

    “ข้าดีขึ้นแล้ว”

    “ให้ข้าดู....”

    “ไม่ต้อง .. ข้าไม่เป็นไร” แพคฮยอนร้องห้ามไคที่ทำท่าจะเดินเข้ามาหา ใบหน้าโรยแรงหลบตาอีกฝ่ายอย่างเห็นชัด

     

    คนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เจอกันหลายวัน ครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยก็ได้กลับมาเพียงความเฉยชา แพคฮยอนบอกตัวเองว่าเขาคิดไม่ผิดหรอก มันถูกต้องแล้ว ท่านไคของทุกคนก็แค่มีน้ำใจ ไม่ได้มีอะไรพิเศษให้กับเขามากไปกว่าใคร

     
     

    “จดหมายนั่น ข้าอ่านแล้วนะ”

    “อย่างนั้นหรือ .. ขอโทษที่ข้าต้องเขียนทิ้งไว้ เพราะข้าไม่รู้ว่าท่านจะกลับมาตอนไหน ข้าจำเป็น” แพคฮยอนข่มเสียงเอ่ยออกไปอย่างปกติ แต่ประโยคห่างเหินเช่นนั้นมีหรือที่คนฟังจะดูไม่ออก

    “ฟังข้านะแพคฮยอน .. เรื่องทั้งหมด ข้าขอโทษ”

     

     

    คนฟังเงยขึ้นสบตากัน แพคฮยอนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไคก้าวเข้ามาใกล้กันกว่าเดิม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจดจ้องลงมาอย่างจริงจัง แพคฮยอนปวดใจอีกครั้งกับท่าทางและคำพูดที่เขาอาจจะต้องแพ้พ่ายและยอมโอนอ่อน

    “ข้าขอโทษ........”

    “อย่าพูดนะ ท่านอย่าบอกว่าขอโทษ อย่าบอกว่าเป็นห่วงข้าอีกเลย เราไม่ได้อยู่ในสถานะแบบนั้น”

    “งั้นที่ข้าพูดออกไปก่อนหน้านี้ว่าเจ้าเป็นอะไร เจ้าไม่ได้ยินเลยใช่ไหม”

     

    ไคย้อนถามกับสิ่งที่เขาได้เอ่ยออกไปตอนเข้าไปช่วยอีกฝ่ายเอาไว้

    “ก็ท่านรู้ว่าข้าต้องให้กำเนิดทายาทของเผ่าท่าน ที่ทำไปเพราะอยากปกป้องข้าเอาไว้อย่างนั้นสินะ ข้าบอกท่านไปในจดหมายหมดแล้วนี่ว่าข้าไม่ถือโทษโกรธอะไรหรอก และก็จะไม่หนีหายไปจากเงื่อนไขตามคำสาปนั้นด้วย”

     

    แพคฮยอนพูดออกมาจากหัวใจที่ตอนนี้มันแหลกละเอียดไปจนหมดแล้ว เกลียดคำสาปนั้นนักที่ทำให้เขาต้องมารับเอาความห่วงใยที่อีกฝ่ายแค่มอบให้เพราะหน้าที่ เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่ อยากจะหนีไปให้ไกลจากที่นี่

     

    แววตาตัดพ้อต่อว่าส่งมาให้คนใจร้ายที่ตอนนี้ก็ปวดไปทั้งใจเช่นกัน อยากจะเข้าไปกอดเอาไว้แล้วขอโทษเป็นร้อยครั้ง แต่ทำไมมันช่างยากเย็นเช่นนี้

     

    “คนที่ควรจะขอโทษคือข้าต่างหาก งานของพวกท่านกลับต้องมาพังลงเพราะข้าคนเดียว ถ้าข้าไม่เปลี่ยนร่างแล้วถูกจับไปขายให้วุ่นวายแบบนั้น พวกท่านก็คงไม่ต้องมีปัญหากันแบบนี้”

    “เข้าใจผิดแล้วล่ะแพคฮยอน .. ถ้าเจ้าไม่ถูกจับไป แล้วข้าจะตามหาเจ้าในที่แสนไกลเจอได้อย่างไร”

    “...................”

    “แล้วการเจรจาที่พังลง มันก็เพราะความไม่ซื่อของพวกนั้นอยู่ดี และหากไม่มีเจ้าและเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ข้าก็คงไม่มีทางรู้หรอกว่าแท้จริงแล้วพวกมันก็ยังไม่ล้มเลิกการฆ่าล้างผู้หญิงในเผ่าของเรา อย่างนี้แล้วเจ้ายังจะโทษตัวเองอีกไหม”

     

     

    แพคฮยอนไม่ตอบอะไรนอกจากก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่นไปบนพื้นดิน ดีใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นตัวการของเรื่องทุกอย่าง แต่ทำไมนะถึงยังเสียใจอย่างนี้

     

    “ขอบใจนะที่ไม่คิดว่าคนอ่อนแออย่างข้าเป็นตัวเกะกะ วุ่นวายได้ทุกเรื่อง”

    “ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าอ่อนแอ แต่ข้าแค่อยากปกป้อง”

    “....ฮึก ขอร้อง อย่าทำให้ข้าคิดอะไรไปเองอยู่ฝ่ายเดียวเลย ท่านหยุดพูดอย่างนี้เถอะ”

     

     

     

     

     

     

     

    ไคเดินเข้าประชิดร่างของแพคฮยอนที่ไม่เอ่ยผลักไสเขาออกไป เวลาอย่างนี้ควรทำอย่างไรดีนะ แต่ก่อนอื่นเขาอยากจะขออธิบายสิ่งที่ค้างคาใจมานาน

     

    “ข้าขอโทษที่หมางเมินใส่เจ้า ข้าแค่เสียใจที่เรื่องระหว่างเรามันเป็นเพียงเพราะคำสาปของท่านแม่ แต่เมื่อมาตระหนักได้ว่าท่านแม่ไม่ได้กำหนดว่าคู่ของคนต้องคำสาปนั้นจะต้องเป็นใคร คำพูดของจื่อเทาก็ทำให้ข้าฉุกคิดได้ว่าที่ผ่านมานั้นมันคือข้าเอง  ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกกับเจ้า มันไม่ใช่เพราะคำสาป อย่างที่เจ้าก็เข้าใจและเขียนไว้ในจดหมายยังไงล่ะ เราเข้าใจไม่ผิดหรอก ท่านแม่ไม่ได้กำหนดว่าคนๆนั้นต้องเป็นข้า”

    “........................”

    “แต่ที่เจ้าเข้าใจไม่ถูกก็เพราะข้าเองที่หมางเมินใส่ราวกับคนไม่รู้จัก ทำให้เจ้าคิดไปว่าข้าไม่ต้องการเจ้า ข้าทำไปเพียงเพราะเป็นไปตามฤดูกาล ข้าไม่ใช่คนๆนั้นของเจ้า”

    “แล้วยังไงล่ะ ท่านก็ไม่ใช่จริงๆ.....”

    “แต่เจ้าเป็นคนๆนั้นของข้า”

     



     

    ผลั่ก!



     

    จู่ๆแพคฮยอนก็ผลักไคให้ออกห่าง เขาไม่อยากคาดหวังอะไรในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน

    “ออกไปนะ ท่านจะมาเข้าใจอะไร เดี๋ยวก็มาพูดดีว่าเป็นห่วง เดี๋ยวก็ทำเมินใส่เพราะเป็นเพียงคำสาป แล้วพอคิดได้ว่ามันไม่ใช่เพราะคำสาป ท่านเองก็จะมาบอกว่าข้าเป็นคนนั้นของท่าน .... ฮึก ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีกแล้ว”

     

    แพคฮยอนหันกลับไปอีกทางพลางร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาจะไหลเท่าไหร่เขาก็แค่ยกมือปาดมันออกไป ราวกับคนบ้าที่แม้แต่ทิศทางชีวิตของตัวเองยังไม่รู้อะไรสักอย่าง กำหนดไม่ได้แม้แต่นิด แล้วหัวใจไม่รักดีจะไปรักเขาทำไม

     

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะแพคฮยอน”

     

    ร่างเล็กไม่ยอมฟังนอกจากเดินไปตามทางเพื่อจะหนีให้พ้นๆ แต่ไคแค่ก้าวตามไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเขาแล้ว มือหนาออกแรงรั้งให้ร่างนั้นต้องหันมามองหน้ากัน ใบหน้าคมเคร่งเครียดกว่าเก่า กับสถานการณ์ละเอียดอ่อนอย่างนี้ทำไมมันช่างยากเย็นเข็นใจนัก ยากกว่าปัญหาอื่นๆที่เขาเคยพบเจอมา

     

    “ห้ามเดินหนีข้านะ”

    “อย่ามาออกคำสั่งกับข้า ข้าไม่ใช่คนของท่าน”

     

     

     

     

     

    “แต่เจ้าเป็นเมียของข้า”

     

     

     

     

     

     

     

    สายลมหนาวเคลื่อนกายผ่านหน้าระหว่างที่ยืนจ้องกัน ใจดวงน้อยอยากจะโลดเต้นออกมานอกอกเพราะคำลึกซึ้งที่แปลความหมายได้ยิ่งกว่าอะไร

     

    “ข้าไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป แต่เจ้ากับลูกคือสิ่งเดียวที่ข้าจะปกป้องดูแลไปทั้งชีวิต”

    “.... ข้ากับลูกงั้นหรือ”

    “ใช่ไง อีกไม่นานเจ้าคงมีลูกให้กับข้า”

    “ท่านรู้ได้ไง”

    “ข้ารู้แล้วกัน”

     

    แพคฮยอนไม่พูดอะไรนอกจากยืนเงียบอยู่ในสายตาของไค ท่านหัวหน้าเผ่าผู้แสนเก่งกาจไม่สามารถคาดเดาอะไรจากคนตัวเล็กที่อายุน้อยกว่าเขาได้เลย ใครกันที่บอกว่าอีกฝ่ายถูกเขาทำร้ายข่มเหง ทั้งที่จริงคนที่ถูกปั่นหัวให้แทบบ้าอยู่ตลอดเวลามันคือเขาคนนี้ต่างหาก

     

    “ก็ข้าเป็นคนพิเศษ ข้าต้องคำสาปของท่านแม่ของท่าน เป็นใครก็อยากจะรั้งข้าเอาไว้ทั้งนั้น”

     

    แพคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังแล้วหันหลังให้อีกครั้ง ร่างเล็กทำท่าจะเดินหนีไปอีก ท่านไคที่ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรจึงต้องทำตามหัวใจโดยไม่มีทางเลือก

     

    ไคกอดแพคฮยอนเอาไว้จากด้านหลังอย่างแนบแน่น คนในอ้อมกอดจับมือคู่นั้นเอาไว้แล้วแล้วดันออกให้พ้นไปจากร่าง ไครู้สึกได้ถึงแรงสั่นน้อยๆจากมือคู่นั้น แพคฮยอนไม่หันมามองนอกจากเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

     

    ร่างสูงของท่านหัวหน้าเผ่าที่ไม่เคยต้องเจ็บปวดกับเรื่องใด บัดนี้หัวใจของเขากำลังปวดแปลบอย่างยากจะห้าม ไคกำลังมองแพคฮยอนเดินห่างออกไป อีกฝ่ายเกลียดเขาไปแล้ว รั้งเอาไว้เท่าไหร่ก็ไม่มีผล

     

    แล้วข้าต้องทำอย่างไร ...

     

    “เจ้าจะหนีข้าไปจริงๆอย่างนั้นหรือ!

     

     

     

     

    ร่างเล็กก้าวช้าลงเรื่อยๆแล้วหยุดลง จะให้บอกไหมว่ายิ่งเดินหนีเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด เคยคิดว่าลองตัดใจแล้วจากมามันคงจะดีขึ้นเอง แต่แล้วดูตอนนี้สิ

     

    อะไรคือการที่ยิ่งหนีก็ยิ่งทรมาน แพคฮยอนไม่ได้อยากจากไคไปเลยสักนิด

     

    ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งอย่างสุดจะกลั้น เขาหันกลับมามองหน้าคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก

     

     

    “ข้า .... ข้า .....................”

     

     

     

     

    แววตาของคนทั้งคู่จดจ้องกันอย่างห่วงหาอาวรณ์ คนที่ยืนรออยู่เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังร้องไห้เขาก็อยากจะวิ่งเข้าไปแล้วกอดเอาไว้

     

    “เจ้าไม่คิดถึงข้าแล้วงั้นหรือ”

    “.........คิดสิ คิดถึงมากด้วย”

     

     

    แล้วในที่สุดก็ต้องยอมแพ้

     

    แสงจันทร์ที่ใกล้จางหายยังคงสาดแสงอ่อนลงมาท่ามกลางป่าใหญ่ พื้นดินข้างริมธารที่เอ่อนองไปด้วยน้ำไม่เป็นอุปสรรคระหว่างเขาทั้งสองแม้แต่นิด ไควิ่งตรงไปหาคนที่วิ่งกลับมาหาเขาเช่นกัน

     

    สองร่างโผเข้ากอดกันไว้แน่น แพคฮยอนถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่นที่เขาแสนคิดถึง ไคฝังจมูกลงมากับเรือนผมนุ่มของคนที่เขาแสนห่วงหา

     

     

    “อย่าหนีข้าไปอีกเลยนะ”

    “ข้า ..ฮึก เกลียดท่านมากเลยรู้ไหม”

    “ขอโทษกับทุกอย่างที่ผ่านมา ที่ข้าเอ่ยวาจาดูถูก ที่ข้าใช้กำลังข่มเหงเจ้า ... แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าที่ทำไปเพราะอยากทำ ที่ข้ากอดเจ้าก็เพราะอยากกอด ไม่ใช่เพราะคำสาปของใครทั้งนั้น”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ข้ารักเจ้า ได้ยินไหมพยอนแพคฮยอน ... ข้ารักเจ้า”

     

     

     

     

     

     

    เสียงทุ้มเอ่ยดังๆย้ำชัดให้รู้เอาไว้ว่าเขากำลังเอ่ยคำว่ารัก

     

    “แต่ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แล้วข้าก็ .. แค่คนที่ต้องคำสาปเท่านั้น ท่านแน่ใจหรือว่าจะยัง ......”

    “จะอะไรก็ช่าง .. ไม่เกี่ยวว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นใครมาจากไหน ต่อให้เจ้าเป็นแค่คนที่ผ่านเข้ามาโดยไม่มีเรื่องคำสาปบ้าๆนั่น ข้าก็ไม่คิดจะสนใจ”

    “.....................”

    “ต่อให้เราพบกันในฐานะอื่น แล้วเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่รักกัน”

     

     

     

    ทุกถ้อยค้ำย้ำลึกลงไปกลางใจคนฟังได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างที่ทำให้หัวใจดวงนี้สับสนมาตลอด มันง่ายกับการเข้าใจเพียงเพราะแค่คำสั้นๆ .. แค่คำว่ารักที่ไม่เคยได้ยินและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมพูดมันกับเขา

     

    ยอมแล้ว ต่อให้เป็นได้เท่านี้เขาก็ยอมแล้ว ใจดวงนี้หมดทางหนีแล้ว แพคฮยอนถูกไคดันออกมาจากอ้อมอกช้าๆเพื่อมองหน้ากัน

     
     

    “อย่าร้องเลยนะคนดี เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่อยากเห็นน้ำตาของเจ้า”

    “ท่าน .. บอกว่ารักข้า ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม” ดวงตาเปียกชื้นเงยขึ้นถามจากหัวใจ ไครู้สึกเหมือนกำลังถูกเด็กที่ไหนไม่รู้ที่เข้ามาเอาหัวใจเขาไปแต่แรก แล้วยังมาถามอีกว่าที่เขาบอกไปนั้นไม่ได้หลอกกันใช่ไหม

     

    ท่านหัวหน้าเผ่าที่ไร้หัวใจเรื่อยมากำลังข่มความคิดเอาไว้อย่างสุดความสามารถ


    “ทำขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”

    “ข้า ไม่รู้......”

    “แล้วเจ้าล่ะ รักข้าบ้างรึเปล่า หรือเกลียดข้ามากจนไม่อยากจะมองหน้าแล้ว”

    “ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้....”

    “งั้นบอกทีสิ ว่าเจ้าคิดยังไง”

    “ข้า ก็รักท่านนะ ท่านไค”

     

     

    ใบหน้าคมที่มีเพียงแววตาเว้าวอนขอความรักจากคนตัวเล็กกว่ากำลังก้มลงแนบริมฝีปากกับพวงแก้มชื้นๆนั่น เขาจูบเบาๆซับเอาน้ำตาพวกนั้นให้จางหายไป อ้อมแขนแกร่งโอบรั้งร่างของคนที่รักเอาไว้แนบอกอีกครั้ง

     

     

    “อย่าหนีข้าไปอีกเลยนะ ..แพคฮยอน”

     

     

     

    ริมฝีปากของคนทั้งสองแนบสนิทเข้าหากัน จุมพิตหวานหลังความขมขื่นมันเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ อ้อมกอดที่โหยหากันและกัน ในที่สุดก็ได้มาไว้ในครอบครอง เขาทั้งสองจะไม่มีวันปล่อยจากกันไปอีก

     

     

     

    พระจันทร์เต็มดวงยังคงสาดแสงภายใต้เมฆบาง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จุดเริ่มต้นจากคำสาปนั้นก็สามารถบรรจบลงที่ความรักของคนทั้งสองที่มีให้กัน

     

     

     

    โชคชะตาที่ถูกพลิกแพลงเล่นตลก สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้กับโชคชะตาแท้จริง .. ที่ได้ขีดเส้นให้คนทั่งคู่ไว้แล้วแต่ต้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    End of  White Wolf  –  KaiBaek

     

     

     

     

    .

    .

     

    Tbc. Epilogue (บทส่งท้าย) 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เกร๊ดดดดดดดดดด อ่านจบแล้วห้ามอ้วกกันนะ มันต้องหวานเยิ้มหยดย้อย น้ำเน่าละครไทยแบบนี้แล อิอิ
    กับคนอื่นท่านไคเท่มากนะ แต่กับแพคฮยอน ท่านไคโง่มาก ;-;

     

     

    สวัสดีทุกคนก่อนค่ะ นี่ไม่ดองนะ อาทิตย์ละตอนนะคะ (คนเขียนรีบสุดละ ทำงานเหนื่อยมาก จะกินหัวของหัวหน้าได้แล้ว แอร๊ยยยยย ...  #สาวโรงงานไร้รักสินะ นิยามใหม่ของติ่งนางนี้ 555)
    ไม่น่าหมิ่นประมาทเรื่องนี้ไว้แต่แรกเลย พอเขียนจบอยากบอกว่าเหนื่อยนะ จอบ.ว่าเหนื่อยแล้ว นี่เหนื่อยกว่า TT

     

    คนเขียนไม่มีอะไรจะสครีมนอกจาก ... น้องป๋ายของเพ่!!! ไอ้เสนานั่นมันตบหน้าเหรอ
    หม่ามี้ล่ะอยากวิ่งเข้าไปจิกหัวมันออกมาจริงๆ (ได้ข่าวว่านางเขียนเอง แค้นเอง
    TvT)

     

    จะว่าไงดีล่ะคะ ท่านไคมันเป็นมนุษย์(หมาป่า)ที่อยากจะวิเคราะห์มากมายเหลือเกินว่านางเป็นอะไร นางมีความคิดแบบไหน
    คุณน้องแซนเคยบอกว่าอ่านเรื่องนี้แล้วเห็นหน้าจงอิน มัน
    pornมาก เลยเขียนบทส่งท้ายให้ซอฟท์กว่านั้น
    เดี๋ยวได้เป็นพระเอก
    AVกันจริงๆนะท่านไคนะ <<--- 
    โหยนี่ทอล์คผิดพาร์ทป่ะเนี่ย ^^

     

    จบแล้วแต่ยังไม่จบนะคะ บทส่งท้ายแบบสรุปๆจะลงดึกๆค่ะ ไม่น่าเกินตี2เพราะต้องตื่นไปทำมาหากิน (งานรัฐไม่มีวันหยุด หยุดทีนางไปติ่งค่ะ ถถถถถถถ TvT) แต่ถ้าเกินก็รอวันต่อไปละกันนะคะ *คนอ่านตรบ!!! ... แอร๊ยยยยยยย

     

    เจอกันคร่า

     

     

    ขอบคุณอีกครั้งกับทุกคอมเมนท์ ทุกคำติชม และการจิกทวง ขอบคุณจริงๆค่ะ เลิฟๆๆๆๆ ^^

     

    ปล.คงไม่มีใครบอกนะว่า  “คนเขียนไปไหนเนี่ย ทุกพาร์ทนี่เอาอิบร้าที่ไหนมาทอล์ค ... หมดฟีล”   ==

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×