ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #11 : มารยานารี ดนตรีพิโรธ (ภาคอดีต) กิ่งทิพย์ - จินเหอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 313
      0
      17 ต.ค. 63


    ใช้การบรรยายร่วม (มุมมองที่3)

    คำบอกเล่าและเหตุผลของกิ่งทิพย์ ดูมีน้ำหนักน่าเชื่ออยู่ หากการเป็นดังนั้นจริง เห็นทีจะแก้ลำบาก เพราะถ้าทั้งคู่เกิดมีใจชอบพอกันขึ้นมา ด้วยนิสัยเจ้าดรีมที่มันรู้ดี คือหัวแข็ง เจ้าทิฐิ  ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ มีกำแพงขวางหน้า คนอย่างมันก็คงไม่กลัว ดังสุภาษิตที่ว่า “ห้ามน้ำไม่ให้ไหล ห้ามไฟมิให้มีควัน ก็คงทำไม่ได้ เช่นคนมีรักนั้น จะห้ามก็ยากแท้ สุดพลังจะห้ามปรามไหว”  






    ตะวันก็สายกล้าแล้ว กิ่งทิพย์ยังคงนั่งเศร้าอยู่ตรงศาลาริมน้ำหลังโรงเรียน น้ำตาที่สะท้อนแสงอาทิตย์ข้างบนดูงาม ดุจนางเทวีแห่งความเศร้า...เป็นช่วงเวลาพอดีที่เจ้าจินเ้หอผ่านมาเห็นเข้า จึงทักขึ้นด้วยใจเป็นห่วงเพื่อน

    "อันว่าสตรีงามกับน้ำตาเป็นของคู่กันแต่ไรมา ฉันท์ใดฉันท์นั้น แลพึงมี หากแต่เสียไปในการอันมิชอบ โดยเปล่าดายแล้วไซร้....ก็มิควรเลยที่จะหลั่งลงให้เปลืองจิต พร่ำรำพัน"  ยิ่งฟังคำมัน น้ำตาสาวก็ยิ่งหลั่งลงรดใส่แขนให้ไหลจนแทบเป็นสายธาราเล็กๆ เกิดใหม่

    “พวกศิลปินคือเครื่องหมายแห่งความโลเลอ่อนไหว ดรีม อลงกต ก็คงไม่ต่าง”

    กิ่งทิพย์ย้อนนึกถึง ภาพที่เจ้าดรีมบรรจงจรดนิ้วลงบนแผ่นเปียโนเพื่อบรรเลงเพลง fall in love แต่สายตาคู่นั้นของมันสิช่างว่างเปล่าในยามที่มองเธอ ช่างกรีดใจ ต่างกันกับคุณมิ้นท์ สายตาของดรีมนั้นแสนลึกซึ้งและมีความหมายซ่อนอยู่เต็มเปี่ยม มันอาบไปด้วยความเสน่หาและอาทรอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคิดไป ใจเธอยิ่งหึงหนัก แล้วหัวใจรักดวงนั้นก็เต้นระริกขึ้นมาอย่างเจ็บปวด

    “จะคร่ำครวญไปใยเล่าสาวน้อย...” จินเหอประคองร่างเพื่อนสาวขึ้นจากหมอบ พอเงยหน้าเห็นสาวกิ่ง มันก็สะอื้นในคอ ตันอกนึกแค้นเจ้าเพื่อนรักไปร้อยแปด อ้ายดรีมเอ๋ย ข้าสิอุตส่าห์หาสตรีน้อยผู้งดงามประหนึ่งมวลผกายังละอายนาง แม้แต่ดวงจันทร์ยังไม่กล้าแข่งความสวยเด่น  อ่อนหวานปานน้ำหวานของเกสรดอกไม้ให้ ซึ่งข้าหวังแล้วว่าจะเป็นยอดมิตรกัลยาณีอันดีเลิศให้กับเอ็ง เอ็งก็หาใส่ใจไม่ กลับไปหลงใหลใฝ่สูงในดอกฟ้าอย่างคุณมิ้นท์ สุขในฝันที่ไม่มีวันเป็นไปได้ของเอ็งต่อเถิด...แต่ตัวข้าเพื่อนยัยกิ่งคนนี้...หากมีลมหายใจและข้าเองก็ยังยืนค้ำหัวกบาลเอ็งได้อยู่ตอนนี้ทุกวี่วันแล้วก็...อย่าหวังเลยว่าข้าจะยอมให้!

    “ไหนเธอจงเล่าความมาซี”
    สาวน้อยถอนใจใหญ่ก่อนตอบ แล้วปรับทุกข์ให้ฟังว่า เพลง fall in love คือต้นเหตุแห่งความหมองใจที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าดรีม คนรักของเธอ

    “ดรีมบอกว่าร้องเพลงนั้นให้กิ่ง แต่กิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ ดรีมตั้งใจเล่นให้คุณมิ้นท์ต่างหาก มันไม่ได้หมายถึงกิ่งเลย เขาหลงรักหลงปลื้มกันมานาน กิ่งมันก็แค่คนมาทีหลัง” เธอบอกจินเหอว่า ตัวเธอรู้สึกเป็นส่วนเกิน มันเจ็บมันเคือง มันน้อยใจเจ้าดรีมนักหนา หากมันไม่ยอมรับผิด เอาแต่ตัวถือดีเป็นใหญ่ ก็จะโกรธเสีย เป็นปีเป็นชาติยังได้ หากพานพบหน้ากัน ก็อย่ามาใคร่ใยดีถามไถ่สารทุกข์กันเลย มันแสลงหูเสียเปล่า

    ว่าแล้วเจ้าตี๋เพื่อนผู้สนิทได้ฟัง ก็ฝืนหัวเราะปลอบใจว่า

    "ปัดติโถ่! แค่ดนตรียังทำร้ายเธอ กระแสเสียงมันคงบาดใจมากล่ะซี ผิดที่อ้ายดรีมมันตัวเดียว ดันเสร่อไปเล่นตอนคุณมิ้นท์โผล่เข้ามาในห้อง ทำให้เธอต้องคิดมากเพียงนี้เชียวหรือ ใจมันไม่คิดย้อนยอกหรอกหนา ฉันเองเพื่อนมัน ก็พอรู้ตื้นลึกแก่กัน"

    " ที่พูดน่ะเป็นตัวดรีมพูดเอง ก็หาใช่ไม่ ก็แค่คนที่ถูกเขาสวมมาให้แก้แทน" กิ่งทิพย์พูดห้วนๆ ขัดใจและย้อนถามเอา

     "บ๊ะ...แล้วกันเธอ ฉันไม่ได้ถือหางมันหรอกนา...ถึงจะเป็นเกลอกันก็เถอะ” ตี๋หนุ่มออกรับแก้ตัว หยุดคิดนิดหนึ่ง ปั้นความต่อเสริมให้ดูน่าเชื่อ แสร้งทำเป็นน้อยนกน้อยใจ ที่กิ่งทิพย์ไม่เข้าใจหัวอกมัน

    “เฮ้อ...คนเราหนา...เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง ยังเอากระดูกมาแขวนคอ เข้าตำราทำคุณบูชาโทษ มันผิดที่ฉันหวังดีล่ะซี ไม่คิดว่าจะมีคนมองฉันในแง่ร้าย คนรักเพื่อนมันเจ็บแบบนี้นี่เอง!”

    “เชื่อแล้วว่าเป็นเพื่อนรักกันจริง ออกรับแทนกันเสียทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ผิดๆ” กิ่งทิพย์ประชดประชัน

    “แม่คุณเอ๋ย จิกเสียทุกคำเชียว พูดกันดีดีเถิด อย่างไรฉันก็อยู่ข้างกิ่งนะ”  เจ้าจินเหอบ่นอย่างสะท้านสะท้อนใจ ยิ้มแห้งแล้งในหน้า

    “เธอมาเพื่อช่วยฉันแก้ปัญหาหัวใจเหรอ..ตี๋เชง”

    “ใช่จ๊ะ” มันรีบตอบ กิ่งทิพย์เป็นคนเสียงเพราะ แค่ได้ฟังเจ้าหล่อนพรรณนา เจ้าจินเหอหรือไอ้ตี๋เชง นักเลงหัวไม้แห่งคลองนารายณ์เพื่อนรัก มันก็แทบจะเคลิ้มตามไปเสียทุกคำพูด มันนึกแปลกใจว่า เหตุใดวาจาของเธอจึงมีเสน่ห์ล้ำนัก ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกคล้อยตาม เข้าใจ เห็นใจ จนแทบจะยอมยินดีให้ความช่วยเหลือในทุกสิ่งที่เธอร้องขอ...

    “ฉันยังเจ็บกับดนตรีนั่นไม่หาย ทำไมมันถึงปวดร้าวอย่างนี้ ฉันไม่อยากให้ดรีมเป็นของใคร ฉันรักเขามาก ถ้าเสียดรีมไป ฉันทนไม่ได้แน่” กิ่งทิพย์แสร้งทำเสียงสะอื้น ล่อเจ้าจินเหอให้ตายใจและนึกสงสาร

     คุณมิ้นท์ คู่แข่งทางหัวใจที่เหนือกว่าทุกกรณี หน้าตา การเรียน ฐานะทางสังคม แต่กระนั้นกิ่งทิพย์เองก็ฉลาดพอที่จะมองเห็นจุดอ่อนของคุณมิ้นท์ ในความใสซื่อไม่ทันคน แต่สิ่งที่เธอเหนือกว่าคุณมิ้นท์คือ “มารยาหญิง” เธอจะต้องใช้มันเพื่อเอาชนะ "ดรีม อลงกต" คือรักแรกของฉัน ฉันไม่ยอมเสียเขาไปง่ายๆ หรอก ฉันไม่ได้มาเรียนที่นี่ เพื่อพ่ายแพ้ให้กับคนอย่างเธอ ฉันต้องเหนือกว่าเธอให้ได้ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องรัก! กิ่งทิพย์บอกกับตัวเอง

    “ดนตรีมีแต่ให้คุณ มิเคยให้โทษแก่ใครหรอกกิ่ง" จินเหอยิ้มอย่างอ่อนโยน เขยิบกายไปนั่งใกล้ แล้วลูบที่เส้นผมเพื่อนสาวเบาๆ อย่างปลอบประโลม

    "แต่ดนตรีของเพื่อนเธอมันเหมือนยาพิษ และดรีมก็บังคับให้ฉันฟังมัน ใจดำนักเชียวตานี่"

    "อ้ายดรีมมันไม่เคยรักใครมากไปกว่า...ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าฉันคนนี้" เจ้าตี๋รีบตอบทันควัน เพื่อแก้ต่างให้เพื่อน

    "อย่ามามุสาแทนเพื่อน ฉันมิเชื่อหลงคำหรอก หรือลวงฉันแล้วจะสบายใจ" สาวกิ่งสะบัดค้อน พูดดื้อๆ บิดหน้าร้องไห้ดังเด็ก

    คราวนี้เจ้าจินเหอยืนกอดอกนิ่ง ไม่ประสงค์ต่อความ หากแต่คิดว่า อีกฝ่ายยังไม่สิ้นฉุนเฉียวเช่นนี้แล้ว ปากมันพลั้งไป รังแต่จะเป็นถ่านที่คอยเติมเชื้อฟืนให้กรุ่นอยู่นั่นเอง จึงค่อยๆ ตะล่อมให้อีกฝ่ายเย็นลง

    "มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมา เผื่อจะคลายทุกข์ ได้ระบาย"
    "เอายัยคุณมิ้นท์และยัยกวางไปให้พ้นๆ จากดรีม อลงกตของฉัน!"

    เจ้าจินเหอได้ฟังดังนั้นก็หัวร่อ แล้วเล่าอุบายที่คิดไว้ว่าจะจับเจ้าดรีมให้ได้ทั้งวิธีและลู่ทาง ซ้ำพูดด้วยเชื่อปัญญาตัวว่า...

    "ไอ้ฉันน่ะนะ เจอมาแยะแล้ว เสือผู้หญิงประเภทนี้ สุดท้ายมันก็ตายน้ำตื้น" มันพูดเค้นเสียงรอดไรฟัน แล้วก็พาลนึกไปต่างๆ นานาร้อยแปดกล ถ้าข้าปราบความเจ้าชู้โลเลของเอ็งไม่ได้ หนนี้เอ็งอย่ามาเรียกข้าว่าเพื่อนอีกต่อไปเลยอ้ายดรีม...

    เห็นเพื่อนสาวฟูมฟายทั้งน้ำตา เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่อก เจ้าตี๋หนุ่มผู้มีความเลือดร้อนอยู่ในวิสัย ก็เกิดอาการพล่านใจจนรั้งแทบไม่อยู่

    “ใจเย็นๆ นะกิ่ง ดรีมมันอาจจะร้องเพลงนั้นให้กิ่งก็ได้นะ อย่าไปถือสาเลย มันอ่อนไหวจะตาย ก็แค่โลกส่วนตัวสูงน่ะ นึกอยากจะทำอะไร ก็ทำอย่างใจมัน พวกศิลปินก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ ไปตามอารมณ์ ”

    “ไม่จริงหรอกค่ะอาเชง ตอนเล่นเปียโนเพลงนี้...ดรีมใจลอยมาก เผอิญคุณมิ้นท์เดินเข้ามาในห้องดนตรีนะ ดรีมก็แทบจะผวาไปหาเขาทันที ทิ้งกิ่งไปหน้าตาเฉยเลย” สะอื้นฮัก เสียงเครือ

    “จริงเหรอ เจ้าดรีมมันทำแบบนั้นจริงๆเหรอ?”  จินเหอขมวดคิ้วถามสงสัย

    “เขาคงรักกันมาก่อนนี่คะ กิ่งก็แค่คนที่มาที่หลัง เป็นมือที่สาม มาแย่งดรีมไปจากคุณมิ้นท์”

    “ไม่หรอกกิ่ง อย่าคิดมากสิ” ปลอบแล้วก็จับไหล่เพื่อนสาวให้หันหน้ามาทางมัน

    “กิ่งไม่อยากมีบาปแย่งของๆใครนะคะ หากเขาผิดใจกัน กิ่งเองก็จะเป็นฝ่าย....” สาวน้อยสะอื้นแล้วนิ่ง ก่อนจะพรรณาต่อ

    “เป็นฝ่ายไปจากดรีมเอง...และกิ่งจะยอม ยอมเป็นผู้แพ้ เป็นคนที่เจ็บเอง”  

    “คุณมิ้นท์ไม่เคยบอกชอบเจ้าดรีมนะ เจ้าดรีมมันเพ้อของมันไปฝ่ายเดียว มันบ้า”

    “ผู้หญิงด้วยกัน ทำไมจะมองไม่ออกเล่า เวลากิ่งอยู่กับดรีม กิ่งแอบเห็นคุณมิ้นท์หน้างอ ไม่พอใจ แล้วอย่างนี้จะให้กิ่งคิดยังไงคะ”

    “คุณมิ้นท์ชอบเจ้าดรีมจริงหรือนี่ แต่จะว่าไป เจ้าดรีมมันก็มีเสน่ห์อยู่นะ อืม....”

    คำบอกเล่าและเหตุผลของกิ่งทิพย์ดูมีน้ำหนักน่าเชื่ออยู่ หากการเป็นดังนั้นจริง เห็นทีจะแก้ลำบาก เพราะถ้าทั้งคู่เกิดมีใจชอบพอกันขึ้นมา ด้วยนิสัยเจ้าดรีมที่มันรู้ดีคือหัวแข็ง เจ้าทิฐิ  ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ มีกำแพงขวางหน้า คนอย่างมันก็คงไม่กลัว ดังสุภาษิตที่ว่า “ห้ามน้ำไม่ให้ไหล ห้ามไฟมิให้มีควัน ก็คงทำไม่ได้ เช่นคนมีรักนั้น จะห้ามก็ยากแท้ สุดพลังจะห้ามปรามไหว”   

    “หากเขารักชอบกันจริง เรายิ่งไปห้าม มันก็เหมือนยิ่งยั่ว ยิ่งขัดเท่าไหร่ ก็เหมือนน้ำมันราดกองไฟ” เจ้าจินเหอพยายามอธิบาย

    “ดรีมเขารูปหล่อ ปากหวาน ผู้หญิงที่ไหนบ้างจะไม่ชอบ แล้วไหนจะเพื่อนของดรีม ที่ชื่อกวางอะไรนั่นก็อีก ดูท่าทางหวงดรีมชอบกล เขามองกิ่งแปลกๆ ”

    “โธ่...ยัยกวางน่ะเหรอ ไม่มีอะไรหรอกกิ่ง กวางเป็นเพื่อนเจ้าดรีมมาแต่ประถม ตัวติดกันยังกะตังเม ตอนแรกเราก็สงสัยนะว่าคู่นี้ชอบกันอยู่ ก็พยายามจะแซว เพื่อลองใจ เพื่อนในโรงเรียนหรือแม้กระทั่งคุณครูน่ะ เขาก็คิดว่าดรีมกับกวางเป็นแฟนกันนะ แต่สุดท้าย มันก็เป็นอย่างที่เห็น คือไม่มีอะไร”

    “ก็ตอนนั้นเขายังเด็กทั้งคู่ อาจยังไม่คิดอะไรต่อกัน แต่ตอนนี้ดรีมโตขึ้น หน้าตาหล่อคมเข้มทีเดียวเชียว มีหรือที่กวางเขาจะไม่หวั่นไหว” ความอยากครอบครองในรัก ทำให้กิ่งทิพย์ระแวงไปหมด

    “เหอะน่า รับประกัน คู่นี้เขาไม่ได้คิดอะไรกัน” เจ้าตี๋ตอบมั่นใจ
    “ยังไงกิ่งก็ไม่ไว้ใจค่ะ กวางเองเขาก็สวยน่ารัก ดรีมอาจจะหวั่นไหวก็ได้”
    “แต่เอาเหอะน่า ต่อไป กิ่งจะทำให้ดรีมกลายเป็นของกิ่งทั้งตัวและหัวใจ ตี๋เชงคอยดูนะ กิ่งจะต้องเอาชนะใจเขาให้ได้” กิ่งทิพย์เล่นแง่

    เจ้าจินเหอเอื้อมมือปาดน้ำตาที่อาบแก้มให้สาวกิ่ง เธอดูสวยจริงจัง แม้ยามร้องไห้ก็ตามแต่ เจ้าดรีมมันช่างโง่เขลาเบาปัญญา มีของดี ไม่รู้จักหวงแหน ถ้าเป็นเขาล่ะก็ กิ่งทิพย์คงไม่เป็นอย่างในวันนี้ เจ้าตี๋หนุ่มนึกเคืองในใจ

    “หยุดร้องเถิด....กิ่งไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยกิ่งเอง เจ้าดรีมมันจะต้องลงเอยกับกิ่ง และรู้ใจตัวเองสักที”

    “ขอบคุณมากค่ะ อาเชงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของกิ่ง ไม่มีใครเข้าใจกิ่งเท่าอาเชงอีกแล้ว แม้แต่พี่ชายของกิ่งเอง”

    “เพื่อนกันก็ต้องเจ็บแทนกัน ต้องร่วมทุกข์กันมากกว่าสุข เขาจึงเรียกเพื่อนแท้รู้ไหมเธอ” ประกายตาของมันเหมือนสุนัขที่ภักดิ์ดีต่อเจ้าของ ตี๋เชงเจ้ามันช่างใจซื่อเสียจริง บอกอะไรให้ฟังก็เชื่อเสียเดี๋ยวนั้น

    ดีล่ะทีนี้ เบาแรงฉันไปครึ่ง จะได้สนตะพายนายเสียให้คุ้ม อยากโง่ให้จูงจมูกเองทำไม ลำพองตนที่จะได้ใช้เจ้าตี๋ทึ่มเป็นเครื่องมือต่อไป ตบมือข้างเดียวไม่ดัง สู้สองมือช่วยกันตบหร๊อก..ยัยมิ้นท์เอ๋ย ยัยหมวยหน้าจืด ยัยเสี้ยนหนามหัวใจ เธอตัวคนเดียว เสร็จฉันแน่! กิ่งทิพย์นึกกระหยิ่มใจ ในเกมส์รักที่เธอกำลังได้เปรียบ

    ว่าแล้วก็ทรุดนั่งบนโขดหิน แสร้งร่ำไห้ รำพึงแก่ตัวเอง อกของเจ้าจินเหอ จึงเป็นที่พึ่งให้สาวเจ้าฝากน้ำตา ต่อไปอีกเป็นนาน....



    +++++++++++++++++++++++++++

     

    และเย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน ชะรอยจะเห็นแสงอาทิตย์ตกฉาบทุ่งคลองจนผืนน้ำเป็นสีส้ม ปรากฏร่างของอ้ายสิงห์ริมคลอง เจ้าถิ่นแห่งไทรงามอยู่ ณ กลางห้วย ถัดมาไม่ไกล เป็นโขดหินริมน้ำตกที่มันนั่งคุ้นเคยมาแต่เด็ก รูปทรงอันเกลี้ยงเกลาสง่างามเกินเจ้าหนุ่มรุ่นกะทงหน้าไหนๆ ในละแวกนั้น จนเผลอคิดคล้อยอย่างฝันไปว่า ชายรูปงามในวรรณคดีไทยผู้ใดมาหลงอยู่กลางแมกไม้ ขุนเขา เช่นนี้ จะเป็นใครไปเสียมิได้นอกจาก “เจ้าดรีม อลงกต” อ้ายหนุ่มน้อย เจ้าทุ่งเจ้าท่าใจซื่อ หน้าหวานปนเศร้าคนนี้นี่เอง กิริยาอาการของมันดั่งหงส์สงบ นิ่งเงียบไร้พิษภัย ดูแล้วต่างจากอ้ายดรีมคนเดิม ที่มีนิสัยห้าว ดุดัน นักเลงแห่งทุ่งไทรย้อย มีแม้เพียงแค่เอ่ยชื่อ นักเลงบางไหนก็ต้องหลบ หากไม่หลบก็ได้เจอกันเท่านั้นเอง !


    คนเก่าดูเหมือนจะหายไปสิ้นในยามนี้...สายตามันดังตะวันเย็นที่ครวญไห้  ไม่ทายทักกับสิ่งมีชีวิตใดใดรอบกาย แม้แต่ไอ้เอี้ยง นกแก้วแสนรู้คู่ชีวิตของเจ้าดรีม ก็เห็นว่าเจ้านายมันไม่เริงร่าเช่นวานวัน เพราะไม่เล่น ไม่จูบ ไม่ลูบหัวมันด้วยเอ็นดูเหมือนเคย ครั้นด้วยสัญชาติญาณของนกรู้ มันจึงได้แต่หมอบตัวเกาะอยู่ที่ไหล่นาย พลางทำตาปรอย ตะกุยขาหน้า หายใจฟุดฟิด ส่งเสียงแจ้วๆทักทายเจ้าดรีมก่อน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั้นนิ่งไป ไอ้เอี้ยงมันก็พลอยนิ่งตามไปด้วยอีก....จึงชวนให้เหงาไปหมดทั้งลำน้ำ


    “ขอโทษนะเอี้ยง วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะเล่นกับนาย”

    ดวงตาที่เมตตา ฝ่ามือนุ่มขาวสะอาด เหลียวไปยังเจ้าเอี้ยง พยายามลูบไล้เบาๆ ที่ขนสีเขียวเข้มแซมน้ำเงินเหลืองนั้น วักน้ำในลำธารให้เจ้าเอี้ยงดื่มในมือ ก่อนส่งสัญญาณให้มันบินกลับรังเดิมอันปลอดภัย คือ บ้านของเจ้าดรีมนั่นเอง
    ....
     

            “นายต้องกลับแล้วล่ะ โพล้เพล้แล้ว เดี๋ยวจะเป็นอันตราย” เจ้าดรีมใจหวั่น นึกถึงพวกพรานป่าที่มักชอบออกล่านกตกปลาในตอนสายัญเย็น หากเจ้าเอี้ยงช้าไปกว่านั้น มันคงโดนยิงบาดเจ็บ หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารมื้อค่ำของคนใจร้ายพวกนั้น ว่าแล้วเจ้าดรีมก็ขมุบขมิบท่องมนต์ ซึ่งเป็นคาถาป้องกันภัยให้สัตว์ที่มันรักดังดวงใจ

     

    “ข้าร่ายคาถาขจัดภัยให้แล้วไอ้เอี้ยง กลับไปอยู่เป็นเพื่อนป้าก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะตามนายไปทีหลัง ขอนั่งคิดอะไรเพลินๆ สักประเดี๋ยว”  เหมือนรู้ภาษาคน เจ้าเอี้ยงก็ปฎิบัติตามเป็นว่าง่าย  เจ้าดรีมเป็นคนขี้เหงา เมื่อยามมันทุกข์เศร้าก็เอาสัตว์เลี้ยงเป็นที่พึ่งทางใจ แต่ที่น่าแปลก คือ ทว่าสิงสาราสัตว์ทุกตัวในไทรงามที่เขาลือกันว่าดุร้ายนัก ก็มิเคยทำร้ายเจ้าดรีมแม้เพียงระคายผิว พรสวรรค์พิเศษของเจ้าที่ไม่เคยบอกใครคือ สื่อสารกับบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ได้อย่างชาญฉลาด มันเชื่องและว่าแสนง่าย หากเจอเจ้าดรีมตัวต่อตัว

     

    แม้แต่ไอ้ลาย มหาตะเข้แห่งคลองนารายณ์ ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความดุร้ายเป็นที่กึกก้องไปทั่วอำเภอ ชาวบ้านต่างพากันขนพองด้วยความขยาดแหยง แต่เจ้าดรีมก็หาได้กลัวไม่ มันคิดเอาอย่างใจมันว่า “หากมนุษย์ใดเป็นผู้มีใจดี สัตว์เดียรัจฉานมันก็หยั่งรู้ได้โดยจิต จะดีตอบเราทันใด สัตว์ไม่ใช่ที่สิ่งน่ากลัว มนุษย์เราต่างหาก ที่น่าหวาดหวั่นและไม่ใจไม่ได้ เสียยิ่งกว่าสัตว์ใดในโลกนี้อีก”

     

    เจ้าดรีมพยายามทำใจร่าเริงเพื่อกลบเศร้าในใจ เหลือบตามองไปยังคลองน้ำลึกตรงหน้า กำลังไหวกระเพื่อมขึ้นๆลงๆ ด้วยเสียงอันดัง เสียงคลื่นน้ำแตกกระจายเป็นฝอย น่าใจหาย สัตว์เล็กๆในบริเวณนั้น ต่างพากันเผ่นโผน จ้าละหวั่นด้วยความระแวดระวังภัยตน

     

    จระเข้ลายทางสีเขียวเข้มมะเมื่อม ขนาดอ้วนพีประมาณรูปร่างใหญ่ได้ใจ ท่าทางคล่องแคล่ว กำลังว่ายน่ำตรงมายังฝั่งที่เจ้าดรีมนั่งอยู่ ขนาดของมันถ้ากะด้วยสายตาคงยาวไม่ต่ำกว่าสามเมตรเป็นแน่ ลูกกะตามันโผล่พ้นน้ำเพียงครึ่ง ด้วยอากัปกิริยาฉงน ดำขึ้นดำลง นักล่าแห่งลุ่มน้ำจืด คล้ายจะมองดูเจ้าดรีมอย่างกล้าๆ กลัวๆ คนใจเพชรอย่างเจ้าดรีมก็หาได้ลุกหนีไปไหน เจ้าเพียงแต่สะดุ้งนิดหน่อยด้วยตกใจเสียงน้ำตรงหน้า....

     

    “หากกูไม่คิดทำร้ายมึงก่อน ใจกูดี มึงยังกินกูลงอีก มึงก็เสียชาติเกิดแห่งตะเข้เจ้าถิ่นว่ะ มาสวาปามเนื้อกูเลยมา ไอ้ลาย ถ้ามึงอยากนัก กูจะถวายตัวให้แดกฟรี” เจ้าดรีม สบถออกมาดังๆ ท่ามกลางความเงียบของเวิ้งน้ำ ดูน้ำเสียงเจ้่าหนุ่มน้อยช่างมีอำนาจอย่างประหลาด !

     

    ดรีมจำได้แม่น เพราะมันคือ “ไอ้ลาย” ตะเข้ยักษ์ที่ชาวบ้านกลัวนักหนา ด้วยรูปทรงบ้องตันไอ้เข้ บ่งบอกว่าเป็นมันตัวนี้แน่ เขาคุ้นเคยกับไอ้ลายมาแต่อ้อนแต่ออก แรกมันเกิดมาเป็นลูกจระเข้ อ้ายดรีมก็สบตากับมันเสียแล้ว เพราะตัวเจ้าดรีมนั้นชอบมา ดำฝุด ดำว่าย หากุ้งหาปลากิน แถวคุ้งน้ำแห่งนี้จนเป็นวิสัย

    เห็นแต่ไอ้ลายนั้น ท่าทีดุร้ายก็จริงอยู่ แต่มันก็ไม่เคยคิดทำอันตรายเจ้าดรีมแต่อย่างใด แต่เมื่อเติบใหญ่เป็นตะเข้หนุ่ม รูปลักษณ์มันยิ่งทนง แปลกตานัก กลับมีขนาดใหญ่ตัว ดั่งยักษ์ปักหลั่น เกินหน้าตะเข้ไหนๆ ทั่วไป ใครเห็นเข้าก็ขนพอง มันจึงจักถูกแลเล็ง หมายกำจัดลงด้วยน้ำมือและมันสมองของเพื่อนร่วมโลก ที่ชื่อว่า “มนุษย์” เพราะเกรงว่าไอ้ลายตัวนี้ จะว่ายน้ำไปทำร้าย กัดกินชาวบ้าน

     

     แต่เจ้าดรีมกลับนึกขันไอ้ลาย ในเวลานี้นัก ท่าทางมันซื่อเซื่อง ผิดสันดานไอ้เข้...เพชรฆาต!

     

             ไอ้ลายผู้แสนรู้ ว่ายช้าๆ มาเกยตื้นยังฝั่งที่เจ้าดรีมนั่งอยู่ อาการมันสงบ ผิดจากธรรมชาติของสัตว์ร้ายทุกตัว เหมือนจะรอฟังว่าวันนี้เจ้าดรีมจะเจรจาปะคารมกับมันว่ากระไร ในใจมันคงคิด เหตุฉะไหนนายใหญ่ของมันวันนี้จึงเงียบงันผิดไป….
     

              “เอ็งกลับไปเหอะไอ้ลาย วันนี้ข้าไม่มีเนื้อไก่สดให้เอ็งกินหรอก ข้าไม่ได้แวะเข้าเมืองเลิกเรียนก็ใจลอยพามาที่นี่ ข้าไม่มีอารมณ์จะเล่นจะพูดคุยอะไรกับเอ็งทั้งนั้น มันเซ็งชีวิต” ว่าพลางส่ายหน้าระอาตน


    ไอ้ลายเหมือนจะรู้ว่าเจ้าดรีมไม่อยากเสวนาด้วย มันได้แต่ผงกหัวหงึกๆ แลตามองดูนายใหญ่ของมันเพียงเท่านั้น เหมือนสัตว์รู้ความ สักพักเดียวมันจึงค่อยละเลียดตัว สะบัดหางเบาๆ ก่อนจะคลานต้วมเตี้ยม หายลับลงไปในลำน้ำเหมือนเคย


    เจ้าดรีมรู้ข่าวทางการกำลังออกตามล่า "ไอ้เข้ลาย” หากมันยังขืนอยู่ตรงนี้ ชาวบ้านมาเห็นเข้า จะกลายเป็นจระเข้ผีเสียเท่านั้น  ฝ่ายเจ้านายบ่นอย่างสะท้านสะท้อนอ่อนใจ

     

            “โธ่เอ๋ยยย.....ไอ้ลาย กรรมของมึงเทียว ที่ดันเกิดมาเป็นตะเข้ สัตว์ดุร้ายที่เป็นศัตรูกับคน มึงไม่มีความผิดอันใดเลย เขาก็ฆ่าแกงมึงได้ลงคอ เพราะมึงคือไอ้เข้....”

     

    เจ้าดรีมนึกเวทนา ประหวั่นพรั่นไปต่างๆ นาๆ มันจะได้เห็นหน้าเจ้าลายทางเพื่อนเกลอ สักกี่วันเชียว พรุ่งนี้ วันหน้า หากพวกทหารรัฐและชาวบ้านเขาเจอมัน เขาก็ต้องลากเอาชีวิตมันไป อาจจะกักขัง จากนั้นก็ทำเนื้อไปประกอบกิจ นี่หรือคือมนุษย์  มีสิทธิใดที่จะกำหนดชะตากรรมของสัตว์อื่น ที่ไม่มีทางสู้  ใครๆ เขาก็รักชีวิตทั้งนั้น สัตว์มันก็รักตัวกลัวตายเหมือนคนเรา การพิพากษาของโลกมนุษย์ ช่างโหดร้ายสิ้นดี !





    เพลงประกอบนิยายในตอนนี้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×