ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #11 : - พลังความสามารถพิเศษ - "ถ้าเป็นลูกข้าจริง ก็ต้องมีโซของตัวเอง"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.37K
      4
      19 ต.ค. 53

    - พลังความสามารถพิเศษ -

     “ถ้าเป็นลูกข้าจริง ก็ต้องมีโซของตัวเอง”

     

                เล่ากันว่า บรรพบุรุษของชาวดาเรเนียเป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงรักเป็นพิเศษ จึงได้ทรงประทานพลังความสามารถที่เหนือมนุษย์มาให้พวกเขาใช้ป้องกันตน

                พลังพิเศษที่ว่านั้นมีมาก่อนที่มนุษย์จะคิดค้นเวทมนตร์ขึ้นมาใช้กัน และก็หาใช่เช่นเดียวกับพรสวรรค์ในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งถ้าหากเป็นผู้ที่มีความเพียรพยายามฝึกฝนแล้ว แม้ไร้พรสวรรค์แต่กำเนิดก็อาจมีฝีมือเทียบเท่าผู้ที่มีพรสวรรค์ในภายหลังได้ พลังพิเศษไม่ใช่สิ่งที่จะมีไว้ในครอบครองได้ด้วยความมุมานะเช่นนั้น

                ดาเรน ปฐมกษัตริย์แห่งดาเรเนีย ก็เป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษที่พระเจ้าประทานมาให้เช่นกัน และด้วยพลังนี้เอง เขาจึงได้ขึ้นเป็นพระราชา

                พลังของเขาคือความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ดุร้าย เหี้ยมโหด หรือไร้ซึ่งสติปัญญาเพียงไร หากดาเรนตวาดคำสั่งแล้ว ล้วนต้องยอมสยบรับฟังกันถ้วนทั่วทุกตัวตน ผู้คนจึงพร้อมใจกันมาอยู่ใต้อำนาจคุ้มครองของเขา อาณาจักรดาเรเนียถือกำเนิดขึ้น ณ บัดนั้น

                ชาวดาเรเนียขานพลังพิเศษนี้ว่า โซ (SO) อันเป็นตัวย่อมาจากคำเต็มคือ สเปเชียล ออบบลิเกตัส (Special Obligatus) ซึ่งหมายถึงพันธะผูกมัดพิเศษ

                เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่า พลังพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ใครต่อใครนั้นคือพันธะผูกมัดอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์ที่พระองค์ทรงรักนั้นก็คือผู้ที่ทรงคาดหวังในตัวสูง คาดหวังว่า...คนผู้นั้นจะใช้ความสามารถที่ได้รับมาในทางอันเกิดประโยชน์ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บุตรหลานของพระองค์ ดังนั้นการเรียกพลังจำพวกนี้ว่า โซ จึงถือเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า และเป็นการสัญญาไปในตัวด้วยว่า จะรับผิดชอบต่อพันธะผูกมัดนี้

                ครั้นประชากรชาวดาเรเนียมีมากขึ้น อัตราส่วนของจำนวนผู้ที่มีโซซึ่งค่อนข้างคนที่เทียบกับคนทั้งหมดแล้วก็ลดน้อยลงไปตามลำดับ ด้วยเหตุนี้คำบอกเล่าถึงการมีอยู่ของโซจึงกลายเป็นเหมือนตำนานความเชื่อมากกว่า ขณะที่ศาสตร์แห่งเวทมนตร์ค่อยๆ เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้นมา เพราะหากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้องตั้งแต่เด็กแล้ว ใครๆ ก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ไม่เหมือนกับโซที่จะมีเฉพาะบางคนเท่านั้น

                อย่างไรก็ตาม ก็มีนักทฤษฎีสังเกตเห็นว่า เวทมนตร์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นนั้นมีต้นกำเนิดจากโซนั่นเอง เนื่องจากพอมีโซชนิดใดชนิดหนึ่งแพร่หลายแล้ว ก็จะมีคนบัญญัติเวทมนตร์ที่ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกับโซนั้นตามมา พวกเขาจึงคิดว่า เวทมนตร์นั้นเกิดจากการจับแนวทางการใช้โซประเภทนั้นได้ ดังเช่นที่การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องทุ่นแรงใหม่ๆ ก็เกิดการจากเฝ้าสังเกตการทำงานซ้ำๆ กันของมนุษย์ และการศึกษาลักษณะของธรรมชาติต่างๆ

                โซหรือพลังความสามารถพิเศษนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสืบต่อทางสายเลือด หรือถ่ายทอดให้กันได้ ดังนั้นลูกของคนธรรมดาทั่วไปก็อาจมีพลังพิเศษขึ้นมาได้ ส่วนลูกของผู้ที่มีพลังพิเศษอยู่แล้วก็อาจจะเป็นเพียงคนไร้พลังธรรมดา นี่จึงถือเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ที่ทรงรักอย่างแท้จริง

                กระนั้นก็ดูเหมือนจะมีมนุษย์คนหนึ่งที่พระองค์ทรงโปรดเป็นพิเศษ จึงได้ประทานโซมาให้เหล่าทายาทและลูกหลานของเขามาตลอด คนผู้นั้นก็คือกษัตริย์ดาเรน และผู้สืบทอดของเขาก็คือตระกูลดาเรนไลน์ หรือ เหล่าเชื้อไขแห่งดาเรน การคงอยู่ของราชวงศ์นี้จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงการมีอยู่ของโซ

                ไม่มีใครทราบว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงคำอวดอ้างเพื่อเสริมบารมีและความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์เท่านั้น เพราะโซที่คนในตระกูลดาเรนไลน์มี หากไม่ใช่ความสามารถพิเศษที่โดดเด่นนักก็จะไม่ถูกเปิดเผยออกมาให้คนภายนอกทราบ

                ทว่าในดาเรเนียยุคนั้นก็มีโซหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่คนทั่วไป นั่นคือโซที่มีชื่อเรียกว่า นัยน์ตาราชสีห์ของเจ้าชายอาเธอร์

                แม้นเจ้าชายอาเธอร์จะไม่สามารถประกาศคำสั่งต่อสัตว์อสูรทั้งหลายให้พวกมันเชื่อฟังอย่างปฐมกษัตริย์ดาเรนผู้เป็นบรรพบุรุษ แต่นัยน์ตาดุดันที่ดูเกรี้ยวกราดของพระองค์ก็สามารถใช้สะกดอสูรน้อยใหญ่ทั้งหลายให้นิ่งงันได้

                นัยน์ตาราชสีห์นับเป็นโซที่ใกล้เคียงกับโซของดาเรนผู้ก่อตั้งอาณาจักรมากที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกไว้

                วิลเลียมเองก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโซหรือความสามารถพิเศษพวกนี้มาบ้าง แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าจนมีมันไว้ในครอบครอง ตอนที่ยังอยู่กับท่านแม่มาเรียเขาเข้าใจว่าตนเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีความพิเศษกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง จึงไม่เคยไปตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาเองมีโซหรือไม่

                แต่ในวันนี้ เด็กชายจำเป็นต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของโซเป็นพิเศษ เพราะว่าเขากำลังถูกเจ้าชายอาเธอร์จับไปทดสอบว่ามีความสามารถพิเศษใดบ้างไหม

                และวิธีการทดสอบของเจ้าชายผู้คิดแค้นเป็นปรปักษ์กับเขาอยู่ตลอดเวลาก็ใช่จะเป็นการพาให้หาหมอหรือนักวิเคราะห์ผู้ชำนาญการทางด้านนี้ อาเธอร์มีวิธีทีสาแก่ใจตนกว่านั้น...

                เขาโยนเด็กชายที่อยู่ร่วมเรือนกันเข้าไปในลานประลอง

                “ถ้าเป็นลูกข้าจริง ก็ต้องมีโซเป็นของตัวเอง”

                เจ้าชายบอกปิดท้าย แล้วเหยียดยิ้มให้เด็กชาย

                วิลเลียมที่จู่ๆ ก็ถูกจับลากมาที่นี่โดยไม่ทันตั้งตัวสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อเรียกสติคืนมาหลังจากที่เพิ่งลงไปกลิ้งคลุกกับพื้นสนาม เด็กชายไม่ทราบว่าวันนี้อีกฝ่ายไปอารมณ์เสียอะไรถึงได้มาหาเรื่องเขาอย่างนี้ ทั้งยิ่งไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะดื้อรั้นถือทิฐิไม่ยอมรับเขาไปถึงเมื่อไร แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีเวลาสงสัยเรื่องนี้อยู่นานนัก เพราะไม่ทันไรก็รู้สึกถึงรังสีคุกคามจู่โจมเข้ามาจากอีกฟากของลานประลองเสียแล้ว

                ดวงตาสีเหลืองวาวโรจน์ดุจอำพันคู่หนึ่งพราวขึ้นมาในความมืด ณ มุมนั้น

                นี่มันเรื่องอะไรกัน...

                เขาถามตัวเอง พลางพยายามปะติดปะต่อเงื่อนงำทั้งหมดเข้าด้วยกัน เหมือนอาเธอร์จะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับโซ... เด็กชายเคยเรียนมาว่าโซคือความสามารถพิเศษที่เชื้อสายแห่งดาเรนไลน์มีกันทุกคน และถ้าอาเธอร์คิดจะใช้โซเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ว่า เขาใช่ทายาทของตนจริงหรือไม่แล้วละก็...

                วิลเลียมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยความกลัวจินตนาการของตนเองจนไม่กล้าจะคิดต่ออีก

                ยามนั้นเป็นเวลาค่ำที่ฟ้ามืดมิดสนิทด้วยมวลเมฆ ดูราวกับพระจันทร์และหมู่ดาราทั้งหลายก็พร้อมใจกันเกียจคร้านจะฉายแสง

                นอกจากตัวเขา อาเธอร์ และลูกน้องในอาณัติของเจ้าชายแล้วก็ไม่มีใครอื่นอยู่ที่ลานประลอง

                วิลเลียมชักมีดสั้นที่พกติดตัวเอาไว้ออกมาเตรียมพร้อมป้องกันตัว สัญชาตญาณของเขากำลังร้องเตือนว่า เจ้าของตัวตาสีเหลืองอำพันนั้นคงหาใช่แมวธรรมดา

                ดวงตาแววคู่นั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้เขา พร้อมกับเงาร่างของสัตว์อสูร...

                เมื่อมันย้ายมาอยู่ในระยะที่สายตาของเขาพอมองเห็นได้ถนัด วิลเลียมก็รู้แล้วว่า อาเธอร์จับเขามาเผชิญหน้ากับอะไร

                วิงก์ไลออน คือชื่อเรียกของสัตว์อสูรรูปร่างเหมือนสิงโตมีปีกตรงหน้าเขา มันเป็นสัตว์อสูรที่ชาวลูซแวร์รู้จักกันดี เพราะเป็นสัตว์พาหนะทรงคู่กายของเจ้าชายอาเธอร์ นัยน์ตาราชสีห์ของเจ้าชายอดีตเจ้ารัชทายาทแห่งดาเรเนียมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาก็เนื่องมาจากการพิชิตวิงก์ไลออนตัวนี้

                แต่ข้อมูลเหล่านี้ถึงรู้ไปก็ไม่สามารถช่วยให้เขาเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ จากสิ่งที่เห็นและรับฟังมาทั้งหมดวิลเลียมประมวลผลและสรุปได้แล้วว่า อาเธอร์อยากให้เขาทำอะไร

                เด็กชายหันหลังกลับไปมอง เห็นอาเธอร์กำลังเยาะยิ้มให้เขาอยู่ที่อัฒจันทร์คนดู ชายผู้นั้นนั่งเหยียดขาวางมาดสบายๆ ราวกับว่ากำลังรอชมเรื่องบันเทิงอารมณ์อยู่อย่างใดอย่างนั้น

                เจ้าชายกำลังพยายามเน้นย้ำให้เขาตระหนักซึ้งว่า อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกที่ตนยอมรับอย่างแท้จริง และก็ไม่ใช่คนในราชวงศ์ดาเรนไลน์ เพราะเขาไม่มีโซหรือพลังพิเศษพวกนั้น

                ซึ่งเรื่องนี้ ถึงไม่ได้พูดออกมา การแสดงออกในทุกครั้งที่เห็นหน้ากันของอาเธอร์ก็บอกให้วิลเลียมทราบดีอยู่แล้วว่า อีกฝ่ายจงเกลียดจงชังเขามากขนาดไหน แต่การที่เอาวิงก์ไลออนมาขู่กันอย่างนี้มันมากเกินไปแล้ว

                อาเธอร์ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีโซอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นโซที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสัตว์อสูรอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของดาเรนไลน์ด้วย

                แล้วจะให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่าตนจะมีพลังพิเศษตื่นขึ้นมาในยามคับขันเจียดตายอย่างนั้นหรือ เด็กชายผู้ไม่เคยศรัทธาในปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติอย่างเขาไม่คิดเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นหรอก

                พอวิเคราะห์ถึงเหตุผลเท็จจริงเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว วิลเลียมก็ไม่รู้สึกกลัวสิงโตติดปีกตรงหน้าอีกต่อไป

                ถ้าอาเธอร์คิดแค้นเขาถึงขั้นอยากฆ่าสายเลือดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวนี้ให้ตาย เขาก็จะยอมตายประชดให้ดู บางทีถ้าได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับท่านแม่มาเรียคงสบายกว่านี้

                แต่ต่อให้ถูกสัตว์อสูรทำร้ายจนเจ็บปวดเช่นไร วิลเลียมก็สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า จะไม่มีวันยอมร้องเรียกให้ใครมาช่วยเหลือเขาเป็นอันขาด... ยิ่งกับอาเธอร์ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้

                เด็กชายคลี่ยิ้มเย็นเยียบหยิ่งทระนง ดวงตาสีน้ำเงินจดจ้องสิงโตที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างแช่มช้าไม่วางตา

                เข้ามาเลย... เจ้าแมวยักษ์...

                ถึงกระนั้นก่อนจะตาย เขาก็จะขอวาดลวดลายเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยล่ะ

                ให้รู้กันเสียบ้างว่า ถึงไม่มีโซแสนพิเศษอย่างนั้น เขาก็พอจะทำอะไรด้วยสองมือสองเท้าของเขาได้บ้างเหมือนกัน

     

                อาเธอร์แปลกใจกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งบนใบหน้าของเด็กแสบนั่น เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนั้นมาก่อน มันเป็นรอยยิ้มของคนที่ไม่กลัวตาย และพร้อมจะสละทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน

                แต่เขาก็สนใจมันได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะเมื่อเด็กชายเริ่มออกตัวเคลื่อนที่ เขาก็ได้รู้ว่าเด็กนั่นมันบ้าระห่ำกว่าที่คิดไว้นัก

                เด็กนั่นมันเอาจริง มันคิดจะสู้ยิบตา ทีแรกก็คาบมีดไว้ในปาก แล้ววิ่งวุ่นหลอกล่อวิงก์ไลออนไปทั่วสนาม ทั้งยังทำท่าจะปีนกำแพงหลบหนีออกมาด้วยซ้ำ ดีที่เขาสั่งให้คนกั้นเอาไว้แล้ว

                เพียงแต่นั่นมันก็แค่ขั้นตอนในแผนของมันเท่านั้น เด็กนั่นไม่ได้คิดจะปีนกำแพงหนีจริงๆ ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วด้วยว่าไม่มีทางหนีรอดออกจากลานประลองนี้ไปได้หากเขาไม่อนุญาต และก็คงรู้ด้วยว่าปีกของวิงก์ไลออนมีประโยชน์ในการใช้งานจริงไม่มากนัก ถึงได้ทำอะไรที่คล้ายจะเป็นเรื่องโง่ๆ แต่หากสามารถดำเนินการได้สำเร็จก็จะกลายเป็นกลยุทธที่ฉลาดไปในทันที

                แม้จะมีปีกคู่หนึ่งติดอยู่ที่กลางหลังก็ตาม แต่วิงก์ไลออนก็มิได้ใช้บินว่อนไปทั่ว เนื่องด้วยน้ำหนักตัวของสัตว์อสูรที่ค่อนข้างมากอยู่ ปรกติแล้วมันจึงใช้ปีกบินจริงๆ ก็ตอนที่เดินทางระยะไกล ในยามต่อสู้หรือออกล่าเหยื่อ ปีกคู่นี้จึงช่วยในการพยุงตัว และข่มขวัญศัตรูเท่านั้น

                หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง เด็กนั่นก็ขึ้นคร่อมหลังวิงก์ไลออนได้สำเร็จ แม้จะดูทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่มันก็เกาะขนแผงคอของวิงก์ไลออนไว้ไม่ยอดปล่อย ไม่ว่าสัตว์อสูรจะพยายามสลัดมันให้หลุดออกไปแค่ไหนก็ตาม

                แล้วเด็กนั่นก็พาตัวเองมาตรงจุดที่มันต้องการ ในตำแหน่งหน้าผากของวิงก์ไลออน มือดึงมีดที่คาบไว้ออกมาแล้วเงื้องมันขึ้นสูงสุดกำลังแขน จากนั้นก็แทงลงไป เล็งเป้าหมายที่ดวงตาอันจุดที่เปราะบางที่สุดของสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิด

                “พอได้แล้ว!

                เขาตวาดลั่น ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไปเพราะเป็นห่วงสัตว์พาหนะหรือเป็นห่วงคนบนหลังมันกันแน่

                เขาสั่งกับสัตว์อสูรไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ให้แค่หยอกเล่นเบาะๆ เฉยๆ ไม่ได้เอาจริงจัง แต่หากวิลเลียมลงมือรุนแรงกับมันเช่นนี้ก็ไม่รู้แล้วล่ะว่า วิงก์ไลออนจะยังคงยอมฟังคำสั่งของเขามากน้อยแค่ไหน

                คมอาวุธเคลื่อนออกจากเป้าหมายที่แท้จริงของมันไปเล็กน้อยเนื่องจากการสะบัดตัวหลบของเจ้าสิงโต ทว่าถึงไม่กระทบต่อดวงตาโดยตรง แต่ก็ยังคงสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับเนื้อหนังบริเวณข้างตาของสัตว์อสูร เลือดสีแดงสดไหลนองออกมา วิงก์ไลออนยิ่งคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น

                เห็นดังนั้นแล้ว อาเธอร์ก็จำต้องลุกออกจากที่นั่งรับชมของตนไป ใช้โซที่ตนมีสะกดสัตว์ร้ายให้สงบลง ก่อนที่มันจะอาละวาดทำร้ายเด็กนั่นไปมากกว่านี้

                เขาจ้องตากับสัตว์อสูรอยู่นานจนกระทั่งมันนิ่ง เมื่อแน่ใจว่าคุมมันได้แล้ว จึงค่อยเรียกคนเข้ามาดูแลบาดแผลของสัตว์พาหนะต่อ

                ส่วนเด็กชายนั้น หลังจากที่โดนสะบัดจนหลุดออกจากหลังสิงโตก็ล้มหัวฟาดพื้นแล้วสลบไป อาเธอร์นึกดีใจอยู่บ้างที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากการจะกล่อมเจ้าเด็กร้ายนี่ให้สงบลงได้คงยากกว่าการสะกดอสูรที่ว่าร้ายหลายเท่านัก ปล่อยให้สลบไปแบบนี้คงเป็นการดีแล้ว

                เด็กนี่ก็แสบนัก... ตอนแรกเขากะจะแกล้ง อยากเห็นมันยอมแพ้ อยากเห็นมันมาอ้อนวอนเขา อยากเห็นมันหนีอย่างคนขี้ขลาดกลัวตาย อยากเห็นสภาพของมันตอนย่ำแย่สุดๆ ...อยากให้มันยอมสภาพออกมาว่า มันนั้นหลอกลวง แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ลูกของเขาอย่างที่มันแอบอ้าง แต่เด็กนี่กลับไม่ยอมทำสิ่งเหล่านั้นสักอย่าง

                มันไม่แม้แต่จะพยายามใช้โซด้วยซ้ำ เขานึกว่าคนอย่างมันจะหลงระเริงในทรัพย์สมบัติและฐานะใหม่ที่ได้มา จนผยองพอจะจ้องตาสัตว์อสูรเลียนแบบโซของเขา ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ผลและหมดรูปในภายหลัง ทว่าเด็กนี่ก็เหมือนจะยอมรับความจริงตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่มีโซ จึงพยายามคิดเอาตัวรอดด้วยวิธีอื่นแทน

                แล้วมันก็ทำได้...ดีเสียด้วย สำหรับเด็กวัยขนาดนี้ ต้องถือว่าใจกล้าไม่กลัวตายเกินธรรมดา แต่เขาได้ยินมาว่าฝีมืออาวุธของมันพื้นเพสามัญ ไม่คิดว่ายามลงสนามจริงกับมีสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดดีขนาดนี้

                อาเธอร์รู้สึกไม่สบอารมณ์กับพฤติกรรมครั้งนี้ของวิลเลียมนัก เด็กชายไม่ใช่คนอย่างที่เขาคิดไว้ หากเลี้ยงไว้ต่อไปคงจัดการอยากขึ้นอีก

                การที่ไม่ยอมแม้แต่จะตั้งความหวังว่าตนนั้นมีโซยิ่งแสดงถึงการท้าทาย ราวกับกำลังจะเย้ยเขาว่า ตนไม่ต้องมีพลังพิเศษที่พระเจ้าประทานก็ทำอะไรได้มากกว่าเขา...

                เมื่อนั้น อาเธอร์จึงทบทวนถึงความหมายของโซอีกคราหนึ่ง...

                โซคือพันธะผูกมัด คือสัญญาที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า เขาเคยสาบานกับตนเองว่าจะใช้พลังพิเศษที่มีอยู่นี้เพื่อประโยชน์สุขของปวงชน แล้วนี่เขากำลังทำอะไร ใช้สิ่งที่พระเจ้าประธานมาเพื่อระบายอารมณ์โดยการกลั่นแกล้งเด็กคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ

                แถมยังเอาโซมาใช้เป็นข้ออ้าง ข่มขวัญเจ้าเด็กนี่อีก

                นี่หรือพฤติกรรมของคนเป็นเจ้าชาย...

                “ข้าขอโทษ” อาเธอร์บอกต่อสัตว์อสูรที่ต้องบาดเจ็บเพราะความไม่ได้ความของตน แต่ที่ใกล้ๆ นั้นก็มีร่างของเด็กชายนอนสลบไม่ได้สติอยู่ด้วย

                เขาสั่งให้ลูกน้องจัดการเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อย แล้วเดินทางกลับ

                มีใครคนหนึ่งเข้ามาถาม ว่าจะเอายังไงกับวิลเลียมดี...

                “เรียกนักบวชมาใช้เวทรักษาบาดแผลให้เสีย แล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ ไม่ต้องพากลับไปด้วย” อาเธอร์สั่งเสียงเย็นชา เฉียบขาดจนไม่มีใครกล้าทักท้วง

                การปล่อยเด็กให้นอนตากลมอยู่ข้างนอกคนเดียวอย่างนี้อาจฟังดูโหดร้าย แต่เมื่อเทียบกับการที่เจ้าเด็กนี่เกือบจะกลายเป็นอาหารวิงก์ไลออนไปแล้ว คำสั่งนี้ก็ถือว่าการุณย์นัก

                แต่กระนั้น หลังจากที่นักบวชจากไป หลังจากที่เหล่าลูกน้องแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ก็ยังมีใครคนหนึ่งอุ้มร่างของเด็กชายขึ้นมา แล้วพากับไปนอนยังเตียงที่ตำหนักของตน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×