ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 5 เกมล่าสมบัติ - "เอาไว้ข้าจะไปสารภาพบาปที่วิหารพรุ่งนี้ละกัน"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.31K
      4
      19 ต.ค. 53

    บทที่ 5 เกมล่าสมบัติ

    “เอาไว้ข้าจะไปสารภาพบาปที่วิหารพรุ่งนี้ละกัน”

     

                เมื่อถึงเวลาทำรายงาน สถานที่ทั้งหลายที่เหล่านักเรียนจะไปค้นข้อมูลเป็นที่แรกคงไม่พ้นห้องสมุด แต่หากเนื้อหาของรายงานค่อนข้างนั้นเฉพาะทางกว่าปรกติ การจะได้ข้อมูลในเชิงลึกมาก็ต้องไปสอบถามจากผู้รู้

                วิลเลียมโชคดีที่มีทั้งผู้รู้และคลังข้อมูลที่เขาต้องการนั้นอยู่ใกล้ๆ กันพอดี อันที่จริงถึงเรียกว่า ทั้งสองอยู่แนบชิดติดกันเลยก็คงไม่ผิดนัก

                “สวัสดีขอรับท่านลุงจอห์น” ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย

                ชายคนที่กำลังหันหลังให้เขาอยู่หันกลับมามองตามเสียงเรียก เขาสวมแว่นตากรอบกลมหนา ไว้หนวดและเคราเล็กน้อย ผมและขนบนใบหน้าเป็นสีเทาจาง อายุก็ล่วงเข้าวัยห้าสิบกว่าแล้ว

                ทว่าความจำของชายผู้นี้ยังดีเป็นเลิศ เมื่อเขาเห็นชายผมน้ำตาลผู้เป็นคนทักก็เพียงเบิกตาใต้กรอบแว่นกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวตอบอย่างเป็นกันเองว่า

                “อ้าว สวัสดี วิลเลียม ข้าไม่เห็นเจ้าเสียนาน แดเนียลก็ยังบ่นเรื่องที่เจ้าหายตัวไปอยู่เลย”

                “ข้าก็ชอบหายไปๆ มาๆ อยู่ไม่ค่อยสุขของข้าอย่างนี้แหละขอรับ ลุงจอห์น” วิลเลียมบอกยิ้มๆ

                ชายสูงวัยกว่าฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไรต่อ เพียงคลี่ยิ้มรับอย่างปรานี

                วิลเลียมเรียกเขาว่า ลุงจอห์นเพราะว่าชื่อเต็มๆ ของเขาก็คือโจนาธานที่ไปซ้ำกับชื่อสามีของท่านป้ามาร์กาเรตซึ่งวิลเลียมรู้จักก่อน และมักเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเต็มจนติดปากเสียแล้ว โจนาธาน คนเฝ้าห้องเก็บเอกสารที่เขามารู้จักทีหลังจึงกลายเป็นลุงจอห์นของเขาไป

                โจนาธานทำงานอยู่ที่ห้องเก็บเอกสารและหนังสือของพระราชวังมาตั้งแต่สมัยของพระราชาองค์ก่อน ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยชั้นวางม้วนกระดาษ หนังสือ บันทึก แผ่นหนังและแผนที่จากแต่ละยุค นอกจากนี้หากก้าวลึกเข้าไปในประตูที่เขาเฝ้าอยู่ก็จะพบห้องที่ใช้เก็บเอกสารสำคัญและเก่าแก่กว่านี้

                งานของคนเฝ้าห้องเก็บเอกสารนั้นไม่มีอะไรมาก หน้าที่หลักคือการเอาของไปเก็บให้ถูกที่ และหาของให้เจอเวลาที่มีผู้ต้องการจะใช้ หน้าที่รองคือการดูแลรักษา ทำความสะอาด และจัดระเบียบสิ่งต่างๆ หากไม่ต้องทำสิ่งเหล่านี้แล้ว โจนาธานก็จะใช้เวลาว่างที่เขามีอยู่มากมายในเวลาทำงานอ่านเอกสารพวกนั้น กิจกรรมฆ่าเวลานี้ทำให้เขากลายเป็นคนที่รอบรู้ในเรื่องที่ใครๆ ก็ไม่รู้เป็นที่สุด คำถามอย่างเช่น ดาเรเนียมีคนสมัครเข้ามาเป็นทหารมากที่สุดในปีใด หรือจำนวนทารกเกิดใหม่ในลูซแวร์ประจำเดือนนี้ ถ้าไปถามใครอื่นคงไม่มีผู้ใดตอบได้ แต่ถ้าหากถามลุงจอห์นแล้วละก็ เขาจะสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเสริมให้อีกด้วย

                “ว่าแต่ มาหาข้าถึงที่นี่เพราะมีรายงานอะไรต้องทำหรือ วิลเลียม”

                ชายหนุ่มฟังคำถามแล้วก็ยิ้มกว้าง ลุงจอห์นเป็นคนมีเหตุผลและมักพูดอะไรตรงๆ ดังนั้นเมื่อคุยกับเขาจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวสัพเพเหระมากความ ควรเข้าเรื่องบอกประเด็นไปเลยจะดีที่สุด

                “ไม่ใช่รายงานหรอกลุงจอห์น แต่ข้าก็จำเป็นต้องพึ่งข้อมูลจากท่านอยู่เหมือนกัน ท่านพอรู้จักพันธะแห่งดาเรนไลน์ไหมล่ะ”

                “พันธะแห่งดาเรนไลน์หรือ... ก็เคยได้ยินอยู่เหมือนกันนะ เห็นว่าเป็นล็อกเก็ตประจำราชวงศ์ใช่ไหม” ขณะพูดไป โจนาธานก็เอื้อมมือไล่ไปตามรายชื่อเอกสารที่ชั้นหนังสือไปด้วย

                “อืม ใช่ ล็อกเก็ตนั่นแหละ ลุงพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้างไหม”

                “ถ้าจำไม่ผิด... ก็รู้สึกจะมีบันทึกไว้ว่า พระราชินีเฟลิเซียนำพันธะแห่งดาเรนไลน์ออกไปใช้ครั้งล่าสุดในงานเลี้ยงฉลองวันประสูติของเจ้าหญิงลูเครเซียที่พระราชาองค์ก่อนทรงจัดให้หลังจากพระนัดดาเกิดได้หนึ่งเดือน”

                วิลเลียมฟังแล้วก็โคลงศีรษะไป

                “ลุงจอห์นช่วยแปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ให้ข้าอีกทีได้ไหม” เขาขอร้อง

                “อย่างนั้นข้าช่วยเรียบเรียงให้เจ้าใหม่ละกัน” โจนาธานว่า “เจ้าหญิงลูเครเซียเป็นหลานองค์แรกของพระราชาองค์ก่อน คนเพิ่งเป็นปู่ก็เลยเห่อหลานสาวเป็นธรรมดา จึงจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้นางหลังจากที่นางเกิดแล้วประมาณหนึ่งเดือน แล้วก็มีบันทึกไว้ว่า พระราชินีเฟลิเซีย...ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงพระชายาอยู่ได้นำพันธะแห่งดาเรนไลน์ออกไปใช้ในงานด้วย”

                แม้จะแต่งงานทีหลัง แต่ลูเธอร์ก็มีทายาทก่อนอาเธอร์ผู้เป็นพี่ หากไม่นับตัววิลเลียมที่ตอนนั้นยังเป็นทารกไร้พ่อธรรมดาอยู่แล้ว ลูเครเซียก็ถือเป็นหลานคนแรกในรุ่น

                “...เล่าแบบนี้แล้วค่อยเข้าใจหน่อย” วิลเลียมพึมพำเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นล็อกเก็ตน่ะสิ”

                “ครั้งสุดท้ายหรือ... ข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าเป็นครั้งสุดท้ายที่มีการนำออกมาแสดงต่อหน้าสาธารณชนละก็ใช่” ลุงจอห์นบอก

                เขาเป็นคนเฝ้าห้องหนังสือไม่ใช่ห้องเก็บสมบัติ ดังนั้นคงยังไม่ทราบว่าพันธะแห่งดาเรนไลน์ได้หายไปแล้ว และวิลเลียมก็ไม่คิดจะขยายความให้ฟัง

                ลุงจอห์นมีลักษณะของคนให้ข้อมูลที่ดี แต่มิใช่นักค้าข้อมูล เขารู้ขอบเขตของเขา เมื่อมีหน้าที่ให้ข้อมูลก็ควรให้ ไม่ควรสงสัยไปมากกว่านั้น และก็ไม่ควรจะตั้งคำถามด้วยว่า คนที่มาขอข้อมูลจะเอาข้อมูลนั้นทำไปอะไร

                “นำออกมาแสดงต่อหน้าสาธารณชนหรือ...” ชายหนุ่มย้อนคำ

                “ใช่ ตอนนั้นเป็นงานใหญ่มากเลยนะ แต่เจ้าคงเพิ่งเกิดไม่ทันเห็นล่ะสิ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าพระราชาทรงเห่อหลานสาวมากน่ะ ทรงเชิญแขกสำคัญๆ มามากมาย ทั้งทูตจากต่างแดนก็มาให้ของขวัญ ทั้งนักเวทและผู้วิเศษทั้งหลายก็รุดมาอวยพรให้พระนัดดากันทั้งนั้น” โจนาธานเล่าอย่างออกรส “ประชาชนทั่วไปหลายคนก็ได้รับเชิญให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน เข้าไปดื่มกินในงานเลี้ยงให้อิ่มหนำโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วยนะ ข้ายังนึกถึงบรรยากาศงานเฉลิมฉลองในตอนนั้นอยู่เลย”

                “ฟังจากที่ท่านเล่าแล้ว งานคงยิ่งใหญ่อลังการน่าดู”

                “ใช่แล้ว” โจนาธานรับ ก่อนเสริมว่า “คงเพราะงานรื่นเริงที่ไม่ต้องเคร่งครัดเหมือนพิธีครองราชย์ของเจ้าชายลูเธอร์ด้วยน่ะ”

                “ลุงจอห์นบอกว่ามีแขกมาหลายคน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีหลายคนเห็นพันธะแห่งดาเรนไลน์ในงานนั้นด้วยน่ะสิ”

                “ก็คงหลายคนอยู่หรอก เพราะพระชายานำออกมาประกอบพิธีรับขวัญธิดาน้อยหลังจากทุกคนอวยพรให้นางแล้ว”

                “ลุงจอห์นพูดเหมือนได้อยู่ร่วมในงานด้วยเลย”

                โจนาธานแย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนกล่าว

                “ถึงหลายๆ เรื่องที่เจ้าเคยฟังมาจากข้าจะเป็นเพียงประสบการณ์ทางอ้อมที่ข้าอ่านมาอีกที แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ข้าได้เข้าไปชมดูกับตาตัวเองจริงๆ นะ ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูนี่ได้...”

                ว่าแล้วเขาก็ยกสมุดหนังเล่มหนึ่งออกมากลางบนโต๊ะ แล้วชี้ให้เขาดูลายมือผอมบางที่เขียนไว้ว่า โจนาธาน คนเฝ้าห้องเก็บเอกสาร

                “นี่คืออะไรหรือ” วิลเลียมถาม

                “นี่ก็คือสมุดลงชื่อผู้ที่เข้าร่วมงานในครั้งนั้นอย่างไร” โจนาธานตอบ

                “อ้อ...” ชายหนุ่มขานรับแล้วกวาดตาดูรายนามในหน้านั้นทั้งหมด

                มีเยอะเหมือนกันแฮะ...

                “ยังไม่หมดเท่านี้นะ ยังมีหน้าอื่นอีก” อีกฝ่ายบอกพลางพลิกหน้าสมุดให้ดูอีกสองสามหน้า

                วิลเลียมมองแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ถ้ามีผู้ต้องสงสัยเยอะขนาดนี้เขาคงไล่สืบทีละคนไม่ไหวหรอก อีกอย่างก็ยังไม่แน่ด้วยว่า พันธะแห่งดาเรนไลน์หายไปในงานเลี้ยงครั้งนี้จริงหรือไม่

                อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาพอสมควรแล้ว อย่างน้อยก็สามารถบอกวันที่ที่มีคนเห็นล็อกเก็ตครั้งสุดท้ายได้แล้ว

                แล้วก็ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำไมพระราชากับพระราชินีถึงไม่บอกข้อมูลนี้กับเขาแต่แรก เฟลิเซียบอกแค่ว่า ได้นำพันธะแห่งดาเรนไลน์ออกมารับขวัญลูเครเซียตอนที่นางเกิดเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงงานเลี้ยงนี้เลย

                เขาคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่างที่จำเป็นต้องสืบต่อ...

                “แล้วลุงจอห์นมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับล็อกเก็ตนี่อีกไหม อย่างเช่นพวกรูปวาด ลักษณะของมัน เวทมนตร์ที่ผนึกไว้ หรืออะไรพวกนั้นน่ะ” วิลเลียมสอบถามให้แน่ใจ

                “อืม...” โจนาธานเปล่งเสียงต่ำๆ ในลำคอขณะใช้ความคิด “...เรื่องพวกนั้นข้ายังไม่เคยอ่านเจอนะ แต่เอาไว้ถ้าข้าว่างจะลองค้นข้อมูลที่เจ้าต้องการให้อีกทีละกัน เรื่องเกี่ยวกับพันธะแห่งดาเรนไลน์ใช่ไหม”

                ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

                “ขอบคุณท่านมานะลุงจอห์น”

                “ไม่ต้องคิดมากหรอก เจ้าก็เพื่อนแดเนียลไม่ใช่เหรอ อีกอย่างถ้าสามารถฝ่าทหารที่เฝ้าอารักขาตึกนี้อยู่เข้ามาหาข้าถึงที่นี่ได้ แสดงว่าเจ้าคงได้รับอนุญาตเป็นพิเศษแล้วสินะ”

                วิลเลียมเพียงยิ้มรับหน้าชื่น มิกล่าวตอบอะไร แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการยอมรับไปในตัว

                ถึงลุงจอห์นจะเก็บความลับได้ และไม่แสดงอาการสงสัยหรือสนใจให้เห็น ทว่าเขาก็ใช่จะเป็นคนโง่หรือไม่สงสัยอะไรเลย ความจริงแล้วชายสวมแว่นนั้นช่างสังเกต และเก็บรายละเอียดได้ดีไม่เบา เพียงแต่หากไม่จำเป็นก็จะไม่พูดออกมาเท่านั้น

                ห้องเก็บเอกสารเก็บรักษาข้อมูลสำคัญต่างๆ ไว้มากมาย ย่อมต้องมีการอารักขาที่เข้มงวดเป็นธรรมดา เมื่อก่อนตอนจะมาหาข้อมูลสำหรับทำรายงานจากห้องนี้ เขาต้องขออนุญาตและผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอนกว่าจะเข้ามาได้ จนบางครั้งขี้เกียจรอก็จะไปถามเอาจากลุงจอห์นถึงที่บ้าน ไม่ต้องแวะมาที่ห้องนี้ก่อนตามขั้นตอน ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งนักที่เขาจะได้เข้ามาเหยียบห้องนี้จริงๆ

                ทว่าครั้งนี้วิลเลียมขอสิทธิ์ในการผ่านเข้าออกสถานที่ต่างๆ จากพระราชาไว้ก่อนแล้ว การมาเยือนห้องทำงานของลุงจอห์นจึงไม่ยากเท่าไร ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่เขาไม่ได้หลงลืมขอสิ่งนี้ไว้ในยามที่อารมณ์ยังกรุ่นอยู่

                แม้โจนาธานจะไม่ได้รับแจ้งถึงสิทธิ์พิเศษในการเข้าออกสถานที่สำคัญในพระราชวังของวิลเลียม เพราะเขาไม่ได้ทำหน้าที่ในส่วนนั้นโดยตรง แต่คงก็พอคาดเดาได้บ้างว่า ชายหนุ่มคงมีคนมีอำนาจหนุนหลังอยู่

                ...เพิ่งกลับมาที่ลูซแวร์ไม่นานก็ดูจะใหญ่ขึ้นไม่เบาเชียวนะ...

                ชายสูงวัยพิจารณาดูหนุ่มอายุเยาว์กว่า แล้วคิดเช่นนั้น

                “อย่างนั้นข้าไปก่อนนะลุงจอห์น แล้วไว้จะมาเยี่ยมท่านใหม่” วิลเลียมไม่อยากอธิบายอะไรต่อให้มากความ จึงตัดสินใจขอตัวลา

                “จะมาขอข้อมูลเพิ่มล่ะสิไม่ว่า” โจนาธานแซวเล่น “อ้อ ยังไงก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมแดเนียลด้วยนะ”

                “ขอรับ” ชายหนุ่มบอก ก่อนโบกมือลา แล้วจากไป

                แดนอย่างนั้นหรือ...

                ภาพเพื่อนเก่าแวบเข้ามาในมโนความคิดของวิลเลียมชั่ววูบหนึ่ง แดเนียลเป็นลูกชายของลุงจอห์น เป็นคนดีที่น่าจะยกย่องเป็นบุคคลตัวอย่าง เพราะเขาดีกับทุกคน และนั่นก็หมายถึงดีกับตัววิลเลียมด้วย หากแต่วิลเลียมก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนคนนี้เท่าที่ควร อันที่จริง เขาสนิทกับแดนเพราะต้องการเข้าถึงลุงจอห์นมากกว่า

                ชายหนุ่มคิดว่าหาเวลาไปเยี่ยมเพื่อนเก่าตามที่คนเฝ้าห้องเก็บเอกสารแนะนำบ้างก็ดี แต่เรื่องนี้คงต้องเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้เขามีอย่างอื่นที่ต้องรีบไปทำก่อน

     

                เมื่อวิลเลียมมาเยือนกระท่อมแม่มดดำแห่งป่าอาถรรพณ์อีกครั้งก็ต้องแปลกใจกับสภาพที่เปลี่ยนไปของมัน

                เนินเขาเตี้ยๆ ที่เคยเห็นมิใช่เนินเตี้ยๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นเนินเขาสูงชัน และที่อยู่บนเนินเขาสูงชันนั้นก็มิใช่กระท่อมน้อยน่าอยู่ กลับเป็นคฤหาสน์สีดำหลังหนึ่ง มีต้นไม้โกร๋นยืนตายซากเป็นบริวารล้อมรอบต่างหาก และถึงจะเป็นเวลากลางวันอยู่ ตัวคฤหาสน์ก็เหมือนจะแผ่รังสีทะมึนออกมาได้ ฟ้าบริเวณนั้นไม่ดูสดใส มีเมฆหมอกและสายฝ้าแลบแปลบๆ ประกอบเป็นฉากหลังแทน

                ขณะที่วิลเลียมกำลังสงสัยว่าตนจะหลงป่าและเลี้ยวผิดที่ไหนสักแห่งอีกแล้ว อีกาตัวหนึ่งก็บินออกมาจากหน้าต่างคฤหาสน์แล้วมาก็ที่ไหล่เขา ชายหนุ่มทราบดีว่ามีกาตัวเดียวที่ชอบเกาะไหล่คนเช่นนี้ นั่นคือ วาเรนของแคสซานดรา ชายหนุ่มจึงรอดูว่ามันจะทำอย่างไรต่อไป

                หลังจากยืนหยั่งเท้าบนที่ของมันเรียบร้อย วาเรนก็ตีปีกเรียกกระแสลมวูบหนึ่ง ภาพคฤหาสน์ผีสิงตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนไป ราวกับลมที่วาเรนสร้างขึ้นนั้นเป็นพายุใหญ่ที่พัดมันปลิวกระเด็นไป กระท่อมน้อยหลังเดิมที่เขาเห็นเมื่อเช้าปรากฏขึ้นแทน

                “ขอบใจที่ออกมารับนะ” วิลเลียมกล่าวกับอีกา ถึงมันจะไม่ตอบ แต่เขาก็อยากบอกมันอยู่ดี

                ชายหนุ่มไต่ไปตามทางเดินขึ้นเนินเตี้ย แล้วก้าวเข้ากระท่อมไป

                “เป็นอย่างไร ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง” แคสซานดราถามขึ้นเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับนกเลี้ยงของนาง วาเรนเปลี่ยนมาเกาะที่ตัวนางแทน

                เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าเรื่องงานทันที วิลเลียมก็ยินดีในความจริงจังในการให้ความร่วมมือของนาง เขาจึงถ่ายทอดสิ่งที่ได้รู้เพิ่มเติมจากการไปหาลุงจอห์นให้อีกฝ่ายฟัง

                หญิงสาวนิ่งใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถามอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันอีกครั้ง

                “เจ้าคิดว่า ล็อกเก็ตนั่นจะหายไปในงานเลี้ยงนั้นหรือ”

                “ก็มีโอกาสเป็นไปได้” วิลเลียมคาดการณ์ “อย่างไรนี่ก็เป็นข้อมูลสุดท้ายที่พวกเรามี ถ้าจะสืบก็น่าจะเริ่มจากตรงนี้นะ”

                “แล้วในงานเลี้ยงก็มีคนมาร่วมหลายคนเลยใช่ไหม”

                “ใช่” ทันทีที่ตอบออกไป เขาก็เห็นประกายแห่งปัญญาปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในดวงตาของแม่มดดำ “เจ้าพอมีวิธีดีๆ ที่จะใช้ได้แล้วหรือ”

                “ก็พอคิดอะไรได้บ้าง” หญิงสาวหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากขณะกล่าว “แต่วิธีนี้คงต้องลำบากเจ้าช่วยหาวัตถุดิบหน่อยนะ”

                “วิธีอะไรหรือ”

                “เราจะย้อนไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันนั้นกัน” แคสซานดราเฉลย แล้วขยายความต่อว่า “เข้าไปดูความทรงจำของคนที่อยู่ร่วมในงานเลี้ยงน่ะ ถ้ายิ่งมีหลายคนก็จะยิ่งได้ภาพชัดเจน หลายมุมมองมากขึ้น”

                “อ้อ...” วิลเลียมกำลังนึกถึงสูตรน้ำยาเรียกคืนความทรงจำที่อ่านเจอเมื่อเช้า “เหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีตน่ะหรือ”

                “ไม่เหมือนแบบนั้นหรอก” แม่มดปฏิเสธ “เราแค่เข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น กลับไปแก้ไขมันไม่ได้”

                “แล้วที่เจ้าว่า เตรียมวัตถุดิบลำบากนี่...” วิลเลียมเว้นคำท้ายประโยคไว้เชิงถาม

                ...มีเรื่องวัตถุดิบที่เขาอ่านจากหน้าหนังสือนั้นไม่ทัน

                “ก็ถ้ายิ่งมีหลายคนก็ต้องยิ่งใช้วัตถุดิบหลายอย่าง” แคสซานดราตอบ

                “ต้องเพิ่มปริมาณของที่ใช้หรือ”

                “นั่นก็ด้วย แต่ที่วัตถุดิบหลักที่สำคัญก็คือ ของจากตัวเจ้าของความทรงจำต่างหาก”

                “ของจากตัวเจ้าของความทรงจำนี่หมายถึงอะไร” เขาอยากให้นางยกตัวอย่างเพิ่มเติม

                “เส้นผม ลูกตา เนื้อเยื่อ กระดูก ผิวหนัง เลือด หรือของใช้ที่คนคนนั้นพกติดตัวด้วยบ่อยๆ ก็ได้”

                วิลเลียมนึกภาพตามแล้วคิดว่า ถ้าเป็นพวกเส้นผมหรือของใช้ก็คงหามาได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าให้ไปควักลูกตา แถเนื้อ ถลกหนัง เลาะกระดูก หรือสูบเลือดใครละก็คงน่าสยดสยองน่าดู

                “คิดว่าก็คงพอได้แล้วอยู่...” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

                “อย่างนั้นก็ไปรวบรวมรายชื่อของคนที่เข้าร่วมงานมา จะได้มาดูกันว่าต้องหาของใครบ้าง” แคสซานดราว่า

                “เจ้าจะให้ข้าย้อนกลับไปที่ห้องเก็บเอกสารของพระราชวังแล้วกลับมาที่นี่อีกทีอย่างนั้นรึ” วิลเลียมทำสีหน้าอ่อนเพลียเสียเต็มประดา ถามอย่างไม่อยากเชื่อ

                ...ข้าเพิ่งเดินทางมาจากพระราชวังมาถึงที่นี่เองนะ ยังไม่ได้นั่งพักเลยด้วยซ้ำ...

                “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” แม่มดดำบอกเสียงราบเรียบโดยไม่สนใจการประท้วงทางสีหน้าของเขาเลยสักนิด

                “เจ้าไม่มีเวทมนตร์ช่วยในการย้ายที่หรือติดต่อสื่อสารดีๆ เลยหรืออย่างไร ข้าจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายเที่ยว” ชายหนุ่มยังคงพยายามหาหนทางประหยัดแรง

                “เวทมนตร์จำพวกนั้นข้าก็พอมีอยู่ แต่ถ้าข้าใช้ช่วยเจ้าแล้วก็จะถือว่าเจ้าติดค้างข้าเพิ่มอีกนะวิลเลียม” หญิงสาวยิ้มพราว “เพราะเรื่องนี้จะทำให้ข้าเปลืองพลังเพิ่ม และไม่ได้อยู่ในข่ายของข้อตกลง นี่เป็นการอำนวยความสะดวกให้เจ้า ไม่เกี่ยวกับงานโดยตรง”

                ชายหนุ่มฟังแล้วก็อึ้งจนพูดไม่ออก ที่นางว่ามามันก็ถูกอยู่ แต่อย่างน้อยเมื่อตกลงร่วมมือกันแล้ว ก็น่าจะยอมลงแรงช่วยเหลือกันมากกว่านี้หน่อยไม่ใช่หรือ

                “อย่างน้อยขอแค่วิธีติดต่อเจ้านี่ง่ายกว่าการเดินทางมาถึงที่นี่ก็ยังดี” วิลเลียมต่อรอง “เจ้าเป็นถึงแม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคคงต้องมีเวทสื่อสารที่เหนือกว่าใครแน่ๆ”

                แคสซานดราคำเรียก แม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค แล้วก็ใจอ่อนขึ้นมาบ้าง บางทีนางอาจจะโหดร้ายกับเขามากเกินไป

                “ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนอยากติดต่อข้าจริงๆ ก็ไปคุยกับนกแก้วที่ร้านของอาลี หรือไม่ก็ไปคุยกับกระจกเงาที่ตั้งอยู่มุมในสุดของห้องเสื้อเฉิดฉัน ไม่ก็รูปภาพแม่มดดำโดนตรึงกางเขนในร้านขายภาพของเกร็นเดล...”

                “อย่าบอกนะว่าร้านที่เจ้าว่ามาพวกนี้เป็นร้านในเครือของเจ้าทั้งหมด” วิลเลียมพูดโผงขึ้น

                “ที่จริงก็ยังไม่หมดหรอก แต่เท่านี้คงพอกระจายเกือบทั่วลูซแวร์แล้วกระมัง” หญิงสาวกล่าวตอบเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังบอกอะไรที่ยิ่งกว่าสิ่งที่เขาห้ามนางบอก ก่อนเสริมว่า “แต่อย่างไรถ้าเจ้าจะเอารายชื่อมา แวะมาที่นี่เลยคงสะดวกกว่าอยู่ดี ของพวกนั้นใช้สนทนาได้อย่างเดียว ใช้ส่งของไม่ได้หรอก”

                “เจ้าเป็นแม่มดหรือแม่ค้าครองตลาดกันแน่นี่” ชายหนุ่มอดถามไม่ได้

                “ข้าก็เป็นแม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคอย่างไร” แคสซานดราประกาศพร้อมจบประโยคด้วยรอยยิ้ม

                เพียงได้ยินคำตอบนั้น วิลเลียมก็คิดว่าตนไม่จำเป็นต้องสรรหาคำอธิบายอะไรมาเพิ่มเติมอีกแล้ว แม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคิดไว้เสียเหลือเกิน

     

                เย็นวันนั้น วิลเลียมแวะไปเยี่ยมเจ้าหญิงลูเครเซียที่พระราชวังตามที่เคยสัญญาไว้

                “ในที่สุดพี่ก็มาหาข้าสักที” เจ้าหญิงกล่าวทักทายเมื่อร่างสูงของชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง นางกำนัลรายงานไว้แล้วว่าผู้มาเป็นใคร

                “นี่ข้ารีบมาหาเจ้าเร็วที่สุดแล้วนะ” วิลเลียมยิ้มกว้างเอาใจญาติผู้น้อง

                ลูเครเซียสังเกตเห็นว่าสีหน้าของญาติผู้พี่ดูอิดโรยอยู่บ้าง แสดงว่าคงมีงานต้องทำจริง เลยไม่ตำหนิอะไรที่เขาเพิ่งมาหานาง เมื่อวาน...พี่วิลเลียมรับปากว่าจะมา แล้ววันนี้ก็มาจริงๆ ดังนั้นจึงนับว่ายังไม่สายนัก

                “พี่วิลเลียมดูเหนื่อยๆ อยู่นะ ไปทำอะไรมาหรือ” เจ้าหญิงตรัสถามหลังจากที่ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามเรียบร้อย

                “ก็ไปเยี่ยมเพื่อนเก่ามานิดหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มบอก “อ้อใช่! ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้... ข้าให้เจ้าช่วยด้วยน่าจะดีกว่า” เขาแสร้งอุทาน

                “เรื่องอะไรหรือพี่วิลเลียม” ลูเครเซียแสดงอาการสนใจ

                “อืม... แต่ไม่ได้สิ” วิลเลียมเอามือจับคางตัวเอง ขณะพูดความคิดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ค่อยจะเบานัก “เรื่องนี้ข้าควรทำคนเดียวมากกว่า... ไม่ควรบอกให้คนอื่นรู้...”

                “ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาไปบอกใครต่อ” เจ้าหญิงรีบเอ่ย พลางทำท่าเม้มปากแน่นประกอบ

                วิลเลียมกวาดสายตาสำรวจมองเหล่านางกำนัลในห้องนั้น

                “ถ้าอย่างนั้น ต้องบอกให้คนอื่นออกไปจากห้องก่อนนะ...” เขาว่า แล้วกล่าวด้วยเสียงเบาลงใกล้ๆ พระกรรณของอีกฝ่าย “...เพราะเรื่องนี้ ต้อง - ปิด - เป็น - ความลับ”

                ลูเครเซียผงกศีรษะรับถี่ๆ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

                “อื้ม เข้าใจแล้ว” เจ้าหญิงตอบเบาๆ แล้วหันไปสั่งกับนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่ว่า “พวกเจ้าออกไป ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่วิลเลียม”

                “เพคะ” ทุกคนขานรับแล้วพากันออกจากห้องนั้นไป มีเพียงเมเดียผู้เป็นนางกำนัลอาวุโสที่สุด และอยู่รับใช้ใกล้เจ้าหญิงที่สุดหยุดมองวิลเลียมอย่างเคลือบแคลงสงสัย ไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่กระนั้นก็ยังมิอาจขัดคำสั่งผู้เป็นนาย ต้องล่าถอยไปอยู่ดี

                “ตอนนี้ก็ปลอดคนแล้ว พี่วิลเลียมมีเรื่องอะไรบอกข้าได้เลย” ลูเครเซียอาสาเต็มที่

                “คือว่า ข้ากำลังเล่มเกมอย่างหนึ่งกับเพื่อนน่ะ ลูซ” วิลเลียมขึ้นต้น

                “เกมหรือ...”

                “ใช่...” เขาลากเสียงยาว “เป็นเกมที่ผู้ชนะจะได้รางวัลใหญ่มาก แล้วข้าก็จะตกปากรับคำเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่ก็เพิ่งรู้ว่าเกมมันยากมากๆ นี่แหละ ถ้าข้าเล่นเองคนเดียวคงไม่มีทางชนะ...”

                เมื่อเล่าจบชายหนุ่มก็ทำท่ากลุ้มเหมือนคนกำลังคิดหนัก แล้วเว้นจังหวะเล็กน้อย...

                “เกมอะไรหรือ พี่วิลเลียม” เจ้าหญิงตรัสถามอีกครั้ง

                “เกมล่าสมบัติน่ะ เจ้ารู้จักไหม”

                ลูเครเซียสะบัดหน้า นางเป็นเจ้าหญิงที่เติบโตขึ้นในรั้ววัง การละเล่นต่างๆ ที่ชาวบ้านเขาเล่นกันยังไม่ค่อยรู้จักนักเลย พอวิลเลียมพูดถึงเกมที่ฟังดูน่าสนุกขึ้นมาเช่นนี้ย่อมสนใจเป็นธรรมดา

                “เกมล่าสมบัติเป็นอย่างไรหรือ”

                “กติกาการเล่นก็ง่ายๆ นะ แค่ไปหาลองตามรายการมาให้ครบ ใครหาเจอก่อนครบก่อน หรือได้ของมาเป็นจำนวนมากกว่าในเวลาที่กำหนดก็จะเป็นผู้ชนะไป”

                “แสดงว่าของที่ว่าคงเป็นสมบัติที่หายากมาก” เจ้าหญิงทรงสันนิษฐานเอาจากชื่อเกม

                “ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าอย่างที่มีเกลื่อนในวังหรอก” วิลเลียมว่า “เป็นของธรรมดาที่หาได้ทั่วไปเท่านั้นแหละ แต่พอดีว่ารายงานของที่ข้าได้มา แม้จะเป็นของธรรมดาแต่เงื่อนไขของมันไม่ธรรมดาน่ะสิ”

                “พี่วิลเลียมหมายถึงอะไร ข้าไม่เข้าใจ” ลูเครเซียบอกตรงๆ

                “เจ้าก็ลองดูรายการเองละกัน” เขาล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา แล้วกางออกให้นางดู

     

    กระดุมเสื้อชุดนอนของพระราชา

    หวีสางผมของพระราชินี

    หมวกของ เฟร็ด พ่อครัวหลวง

    เชือกผูกรองเท้าของเมเดีย

    ปากกาขนนกของ เซนริก สเนบดีการคลัง

    ฯลฯ

     

                “เจ้าคิดว่าอย่างไร” วิลเลียมถามเมื่อเห็นลูเครเซียไล่สายตาดูทีละรายการเสร็จ

                “มีแต่ของแปลกๆ ทั้งนั้นเลย พวกนี้ถือเป็นสมบัติด้วยหรือ”

                “มันเป็นแค่เกมน่ะ ลูซ ตั้งชื่อไว้ให้ดูดีเฉยๆ ของพวกนี้ก็ไม่ใช่สมบัติจริงๆ หรอก” อธิบายอย่างใจเย็น แล้วบอกต่อว่า “แต่ของพวกนี้ก็หายากอยู่นะสำหรับข้า ถ้าหาไม่ได้จริงๆ คงต้องหาของที่ใกล้เคียงกันไปแทน ถึงจะได้คะแนนลดลงหน่อยก็เถอะ”

                “ของที่ใกล้เคียงกันอย่างนั้นหรือ”

                “ใช่ เงื่อนไขที่ข้าได้สำคัญที่ตัวบุคคล จะเป็นของใช้อะไรก็ได้ที่เป็นของคนคนนั้น แต่เจ้าของดูคนที่ข้าได้มาสิ แต่ละคนเข้าถึงง่ายๆ เสียที่ไหน” วิลเลียมระบายด้วยเสียงคับแค้น

                “แต่ถ้าเป็นข้า...ก็เข้าถึงคนเหล่านี้ได้ง่ายๆ นะ” เจ้าหญิงพอมองเห็นช่องทางเข้าถึงอยู่ “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง ส่วนเมเดียก็คนของข้าเอง เฟร็ดกับท่านลุงเซนริกก็เห็นอยู่บ่อยๆ”

                “ตอนแรกข้าก็คิดว่า เจ้าน่าจะช่วยได้ แต่ความจริงเกมนี้ต้องเล่นคนเดียว ห้ามหาผู้ช่วย”

                “ถ้าข้าไม่พูดออกไปก็จะไม่มีใครรู้นี่นา” ลูเครเซียเสนอ สีหน้าจริงจังยิ่งนัก

                วิลเลียมแย้มยิ้ม ดวงตาสีน้ำเงินฉายประกายสดใส

                “ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องทำอย่างระมัดระวัง ห้ามให้ใครรู้ว่าเจ้ากำลังช่วยข้าตามหาสมบัติอยู่นะ ห้ามบอกใครด้วยว่าจริงๆ แล้วเจ้าจะเอาของเหล่านั้นไปทำอะไร ทางที่ดีอย่าให้ใครรู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่เลยจะดีที่สุด”

                “ได้สิ ข้าจะไม่ให้ใครรู้เลย” เจ้าหญิงยืนยันหนักแน่น

                “ขอบใจเจ้ามากนะ ลูซ เจ้าช่วยข้าได้มากเลย ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรดีแล้วนี่” วิลเลียมเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง

                “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพี่วิลเลียม ข้าดีใจที่ได้ช่วยท่าน” ลูเครเซียยิ้มพริ้มพราย

                “อย่างนั้น อีกสองวันข้าจะมาเอาของที่เจ้ารวบรวมได้นะ” เขาบอกนัดหมาย ก่อนย้ำอีกครั้ง “อย่าลืมล่ะว่า ของสามารถเปลี่ยนชิ้นได้ แต่เจ้าของจริงๆ ต้องเป็นคนเดียวกันกับในรายการ ถึงจะได้คะแนนน้อยลงไปบ้าง แต่ถ้ารวบรวมได้มากอย่างกว่า ข้าก็มีสิทธิ์ชนะได้”

                “ข้าเข้าใจแล้ว” เจ้าหญิงบอกก่อนรับแผ่นกระดาษมา

                “ฝากเจ้าด้วยละกันนะ เดี๋ยวข้าต้องรีบไปก่อนล่ะ ยังมีสมบัติอย่างอื่นที่ข้าพอหาได้อยู่ จะเอาแต่พึ่งเจ้าคนเดียวก็คงไม่ดีใช่ไหม ข้าต้องทำอะไรบ้างเหมือนกัน”

                “อื้ม พี่วิลเลียมไปเถอะ ข้าจะจัดการทางนี้เอง”

                “อีกสองวันเจอกันนะ” เขาบอกปิดท้าย แล้วถอนตัวออกจากห้องไป

                ...ขอโทษที่หลอกเจ้านะลูซ แต่ที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวเจ้า และท่านพ่อท่านแม่ของเจ้านะ...

                วิลเลียมคิดหลังจากที่ภาพเจ้าหญิงคนงามแสนใสซื่อไม่อยู่ในระยะการมองเห็นของตนแล้ว

                ..เอาไว้ข้าจะไปสารภาพบาปที่วิหารพรุ่งนี้ละกัน...

     

                ท่านชายวิลเลียมมาทำไมหรือเพคะ เมเดียถามผู้เป็นนายเมื่อแขกผู้มาเยือนจากไปแล้ว

                นางยังคงเรียกวิลเลียมว่า ท่านชาย ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรทำ แม้ใจจริงจะไม่ได้นับถืออีกฝ่ายนัก ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยมีคนเรียกวิลเลียมด้วยตำแหน่งนี้ตั้งแต่สมัยก่อน และตัววิลเลียมเองก็ดูเหมือนจะไม่ชอบคำนำหน้านี้ด้วย เมเดียจึงจงใจเน้นย้ำเวลาเรียกวิลเลียม...ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงเด็กชายอยู่...ว่า ท่านชาย เพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักถึงความไม่เหมาะสมในพฤติกรรมของตนที่มาชวนท่านหญิงลูเครเซียของนางเล่นอะไรที่ไม่ควร จนติดปากมาถึงปัจจุบัน

                พี่วิลเลียมมาชวนข้าเล่นเกมด้วยน่ะ เจ้าหญิงบอกยิ้มๆ

                เมดียฟังแล้วลมจะจับขึ้นมา... ท่านชายวิลเลียมจะมาชวนเจ้าหญิงของนางเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วหรือ

                เกมอะไรหรือเพคะ เมเดียจำต้องถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

                ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอกเมเดีย เพราะข้าสัญญากับพี่วิลเลียมไว้แล้วว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ลูเครเซียว่าตรงๆ ว่าแต่เมเดีย เจ้ารู้กติกาจริงๆ ของเกมล่าสมบัติไหมว่าเป็นอย่างไร

                เมเดียไม่รู้จะสบายใจที่เจ้าหญิงของนางดูจะใส่ซื่อบริสุทธิ์สมเป็นเจ้าหญิง หรือเสียใจในความซื่อเกินไปของผู้เป็นนายดี ตรงตรัสว่าจะไม่บอก แต่คำถามต่อมาก็เฉลยอยู่แล้วชัดๆ

                กระนั้นเมเดียก็ดีใจที่เกมดูจะไม่มีพิษภัยอะไร นางจึงตอบเจ้าหญิงไปว่า

                ข้ารู้จักเกมนี้นะเพคะ กติกาสำคัญของเกมคือต้องหาของตามรายการมาให้ได้

                แล้วต้องเน้นที่ผู้ครอบครองของนั้นด้วยหรือเปล่า

                ไม่หรอกเพคะ เกมนี้เน้นที่ชนิดของสิ่งของ จะเป็นของของใครก็ได้ ขอให้ชื่อเรียกตรงตามรายการก็พอเพคะ

                ไม่ได้เน้นที่ผู้ครอบครองอย่างนั้นหรือ... ลูเครเซียพึมพำตัวเองตัวเองเบาๆ ครุ่นคิดอะไรบางอย่างสักพัก แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมากล่าวกับเมเดียว่า เมเดีย ข้าขอเชือกผูกรองเท้าของเจ้าหน่อยได้ไหม

                ...ทรงประสงค์จะเอาสิ่งนั้นไปทำอะไรหรือเพคะ เมเดียอดสงสัยไม่ได้

                ก็ใช้ในเกมล่าสมบัติอย่างไร เจ้าหญิงตอบพร้อมแย้มยิ้มกว้าง อีกอย่างหนึ่งนะเมเดีย ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าข้ากำลังเล่นเกมอะไรอยู่ ดังนั้นเจ้าต้องช่วยข้าอีกแรงด้วยนะ

                ได้ยินคำนั้นแล้ว เมเดียก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา เวลาเจ้าหญิงอยากให้นางช่วยเล่นเกมอะไรทำนองนี้ มันมักจะไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาเลยสักนิด

                ในเมื่อเชือกผูกรองเท้าของนางกลายมาเป็นหนึ่งในสมบัติที่ต้องตามหาด้วย เกมล่าสมบัติที่นางหลงคิดไปว่าดูไม่มีพิษมีภัยอาจจะกลายเป็นเกมที่ยากลำบากกว่าที่คิดเสียแล้ว

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×