ลำดับตอนที่ #18
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : เมาท์ : เรื่องเล่าชีวิตจริงจาก ward : ชิฟฟ่อนเค้ก
เรื่องเล่าที่พี่ได้นำมาให้น้องๆ อ่านกันนี้ มาจากหนังสือ “เรื่องเล่า...นักเรียนแพทย์ (หัวใจแห่งความเป็นแพทย์...หัวใจแห่งความเป็นมนุษย์)” ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวม 20 เรื่องเล่าที่ได้รับรางวัลและส่งเข้าร่วมโครงการเขียนเรื่องเล่าจาก ประสบการณ์ของนิสิตนักศึกษาแพทย์ มูลนิธิแพทย์ชนบท
" ชิฟฟ่อนเค้ก " เป็นเรื่องเล่าที่ได้รับรางวัลดีเด่น ประพันธ์โดย นศพ. รัฐพัฒน์ กลัดแก้ว (พี่ อั้น BM12 #047) ขณะ เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
ชิฟฟ่อนเค้ก
“คุณรู้จักชิฟฟ่อนเค้ก ไหมครับ”
“ชิฟฟ่อนเค้ก คือ เค้กที่มีลักษณะรวมของเค้กเนยและเค้กไข่ มีโครงสร้างที่ละเอียดของเค้กไข่กับมีเนื้อเค้กที่นุ่มและเป็นมันของเค้กเนย”
“ผมเชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักและ เคยรับประทานมัน ผมเองก็เคยรับประทานมาหลายชิ้น ในวันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชิฟฟ่อนเค้กชิ้นหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมตลอดชีวิต”
คืนนั้น...เป็นคืนหนึ่งในฤดูร้อน อากาศในวอร์ดอายุรกรรมหญิง 1 ค่อนข้างร้อนอบอ้าว นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มตรง ผมซึ่งมีหน้าที่อยู่เวรในวันนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งจัดไว้ให้นักศึกษาแพทย์ โดยเฉพาะ เป็นโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าวอร์ด สามารถมองเห็นคนไข้ได้ทั้งหมด
สำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ที่ขึ้นวอร์ดอายุรกรรมเป็นวอร์ดแรก ไม่ว่าอะไรก็ดูแปลกใหม่สำหรับเขาเสียไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการต้องสัมภาษณ์ประวัติและตรวจร่างกายคนไข้รับใหม่ การตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูคนไข้ของเราเป็นคนแรก ดูว่าสัญญาณชีพเป็นอย่างไร มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอะไรออกใหม่บ้าง มีอาการเจ็บป่วยอะไรเพิ่มขึ้นไหม หรือแม้แต่การนำเลือด เสมหะ ปัสสาวะและอุจจาระของคนไข้ไปตรวจด้วยตนเอง
สำหรับผมแล้วผมเชื่อว่าไม่มี ใครรู้เรื่องของคนไข้ได้ดีเท่านักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 และสำหรับผมแล้ว การรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของคนไข้ที่เราดูแลอยู่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว จนถึงคืนนี้...
ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง ภายในวอร์ดปิดไฟหมดแล้ว คงมีแต่โต๊ะของนักศึกษาแพทย์และภายในที่ทำการพยาบาลที่ยังคงเปิดไฟอยู่ สำหรับผมแล้วคืนนี้เป็นคืนที่เงียบเสียจริงๆ ภายในวอร์ดมีเพียงเสียงของเครื่องช่วยหายใจและเสียงหัวใจของผม ขณะนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางเข้าวอร์ด
ผมมองไปที่ประตูของวอร์ดอายุรกรรมและก็เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นใส่เสื้อโปโลสีเหลืองกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน
“สวัสดีครับคุณหมอ”
ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“สวัสดีครับ”
ผมตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“ผมขอเยี่ยมคนไข้เตียง 8 หน่อยนะครับ ท่านเป็นคุณแม่ผมเอง เผอิญผมเพิ่งปิดร้านเสร็จ”
“เชิญตามสบายเลยครับ”
ผมตอบไปอย่างนั้น เพราะถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะให้เข้า เยี่ยมคนไข้ในวอร์ดสามัญได้ไม่เกินสองทุ่ม แต่ผมก็เข้าใจว่ามันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ตายตัวนัก เพราะญาติของผู้ป่วยบางคนอาจมีความจำเป็นบางอย่าง เช่นทำงานเลิกช้า หรือทำงานกะดึก เราก็อนุโลมกันไป
ชายคนนั้นเดินไปที่เตียง 8 ซึ่งเป็นเตียงที่ตรง ข้ามกับโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ผมมองตามเขาไปและมองไปที่คนไข้ ผมมองเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้ว่าไม่ใช่คนไข้ที่ผมเป็นเจ้าของไข้
คนไข้เตียง 8 เป็นหญิงชราอายุ ประมาณ 80 ปี ใส่ท่อช่วยหายใจต่อกับเครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายขึ้นมาอยู่บอวอร์ดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายเป็นอะไรถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบลูกคุณยายอย่างไรถ้าถูกถามว่าอาการของคุณยายเป็น อย่างไรบ้าง ทั้งๆที่เดินผ่านเตียงคุณยายอยู่ทุกวัน
ลูกชายของคุณยายนั่งลงตรงข้างเตียง มือลูบที่ใบหน้าและแขนขาของผู้เป็นแม่ด้วยความเคารพรัก บางครั้งผมได้ยินเสียงเหมือนเขาจะคุยกับแม่ของเขา แต่ผมก็ห่างเกินกว่าจะได้ยินว่าเขาพูดอะไรกัน คงเป็นประโยคที่ว่า “แม่ครับ ผมรักแม่” หรือ “หายเร็วๆนะครับแม่” ก็อาจเป็น ได้ ยายจะรู้ไหมนะว่าลูกรักยายมากขนาดไหน ผมรู้สึกได้ว่าถ้ามองต่อไปจะเป็นการเสียมารยาท จึงก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกการดำเนินโรคของคนไข้ของผมต่อไป
ชายคนนั้นคุยกับแม่ของเขาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น
“คุณหมอครับตอนนี้คุณแม่ของผมอาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามผมที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“ขอโทษนะครับ หมอไม่ทราบจริงๆเพราะไม่ใช่เจ้าของไข้ แต่เดี๋ยวหมอจะเข้าไปดูบันทึกการรักษามาให้นะครับ”
ผมตอบไปอย่างรู้สึกผิดและรีบเข้าไปดูประวัติการรักษาของคนไข้รายนี้ในที่ทำการพยาบาล
“ตอนนี้คุณยายมีปัญหา ติดเชื้อในปอดครับ เราเลยต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนี้ยังมีไข้อยู่เลยครับ แต่ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ไว้พรุ่งนี้ผมจะถามพี่ที่เป็นเจ้าของไข้ให้นะครับ”
ผมตอบชายคนนั้น หลังจากออกมาจากที่ทำการพยาบาล
“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ วันนี้ผมมีของมาฝากคุณหมอกับคุณพยาบาลด้วย”
ขณะที่ผมยังงงๆอยู่นั้น ชายคนนั้นก็ยกกล่องสองกล่องขึ้นมาตั้งบนโต๊ะผม เขาเปิดภายในกล่องให้ผมดู
ภายในกล่องนั้นมีชิฟฟ่อนเค้กที่จัดวางไว้อย่างสวยงามอยู่ภายใน กล่อง กลิ่นหอมของเนยและไข่หอมขึ้นมาแตะจมูกผม
“ผมเปิดร้านขายชิฟฟ่อนเค้กอยู่ที่ตลาดใกล้ๆนี่เองครับ ขายดีมากเลย ได้วันละตั้งหลายร้อยชิ้น ผมก็เลยปิดร้านช้า เลยมาเยี่ยมคุณแม่ดึกอย่างที่คุณหมอเห็นนี่แหละครับ
ตอนแรกผมกะจะไม่รับขนมของชายคนนั้นเพราะเกรงใจ และคิดว่าผมไม่สมควรที่จะได้รับ แต่ก็กลัวเขาเสียน้ำใจและเขาก็ตั้งใจจะมาให้พี่พยาบาลรับประทานด้วยจึงรับไว้
“ขอบคุณมากนะครับ”
“คุณหมอต้องรับประทานขนมของผมทันทีเลยนะครับไม่อย่างนั้นมันจะไม่ อร่อย หรือถ้าคุณหมออยากรับประทานให้อร่อยจริงๆต้องทานกับกาแฟนะครับ และห้ามเอาขนมของผมไปแช่ตู้เย็นนะครับ”
ผมได้แต่ยิ้มรับในความหวังดีของชายคนนั้น
“วันนี้ผมต้องลาคุณหมอกลับก่อนนะครับ ถ้าอย่างไรฝากดูแลคุณแม่ผมด้วยนะครับ ถ้าคุณแม่ผมยังไม่เป็นอะไรไปซะก่อน คุณหมอจะได้รับประทานชิฟฟ่อนเค้กทุกวันเลย”
นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศในวอร์ดยังคงเงียบเหมือนเดิม ผมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ยายยังคงนอนที่เตียง 8 เช่นเดิม แต่บางสิ่งในใจผมมันเปลี่ยนไป ผมค่อยๆหยิบชิฟฟ่อนเค้กชิ้นหนึ่งขึ้นมา แกะกระดาษห่อออก กลิ่นหอมของเนยและไข่หอมมาแตะจมูก ความรู้สึกเมื่อกัดเข้าไปคำแรกเหมือนจะละลายไปกับลิ้น เป็นชิฟฟ่อนเค้กที่อร่อยที่สุดที่เคยรับประทานมา ผมสัญญากับตัวเองว่าพรุ่งนี้ผมต้องรู้เรื่องเตียง 8 ให้มากกว่านี้ หวังว่ามันคงไม่สายเกินไป
และคืนนั้น...ก็ผ่านพ้นไป
เช้าวันต่อมา...ผมมาดูคนไข้ตามปกติเช่นทุกวันคือเวลาหกโมงครึ่ง สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อเดินเข้ามาในวอร์ดก็คือเตียง 8 ที่ว่างเปล่า ผมรู้สึกใจหาย ผมคิดในแง่ดีว่ายายคงย้ายไปห้องพิเศษหรือย้ายไปห้อง I.C.U. เผอิญพี่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พี่ครับๆ คุณยายเตียง 8 หายไปไหนแล้วล่ะครับ”
ผมกลั้นใจถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะปกตินัก
“หมออั้น คุณยายแกเสียไปเมื่อคืนแล้วล่ะ หลังจากหมออั้นลงเวรไปแล้ว ลูกแกเพิ่งมารับศพไปเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง”
เมื่อผมได้ฟังคำตอบของพี่พยาบาลจบลงภาพของชิฟฟ่อนเค้กเมื่อคืนมัน ได้ลอยขึ้นมาในใจ
ไม่ใช่ผมเสียดายที่ต่อไปจะไม่ได้รับประทานชิฟฟ่อนเค้กแล้ว แต่ผมเสียดายที่ว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรให้คุ้มค่ากับชิฟฟ่อนเค้กที่ได้รับ ประทานเข้าไปเมื่อคืนเลย ไม่ว่าต่อตัวผมเอง ต่อตัวของยายหรือลูกชายของยาย
สำหรับผมแล้วชิฟฟ่อนเค้กชิ้น นั้นมีค่าต่อผมมาก อย่างน้อยมันก็สอนให้ผมรู้ว่า คำว่า คนไข้ ไม่ใช่ผู้ป่วยที่เราเป็นเจ้าของไข้เพียงอย่างเดียว แต่คำว่าคนไข้ หมายถึงผู้ป่วยทุกคน เพราะฉะนั้นจงใส่ใจพวกเขาให้มากๆ
ทุกวันนี้เมื่อใดก็ตามที่ผม มีโอกาสรับประทานชิฟฟ่อนเค้ก ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ เรื่องราวของ ชิฟฟ่อนเค้ก
" ชิฟฟ่อนเค้ก " เป็นเรื่องเล่าที่ได้รับรางวัลดีเด่น ประพันธ์โดย นศพ. รัฐพัฒน์ กลัดแก้ว (พี่ อั้น BM12 #047) ขณะ เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
ชิฟฟ่อนเค้ก
“คุณรู้จักชิฟฟ่อนเค้ก ไหมครับ”
“ชิฟฟ่อนเค้ก คือ เค้กที่มีลักษณะรวมของเค้กเนยและเค้กไข่ มีโครงสร้างที่ละเอียดของเค้กไข่กับมีเนื้อเค้กที่นุ่มและเป็นมันของเค้กเนย”
“ผมเชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักและ เคยรับประทานมัน ผมเองก็เคยรับประทานมาหลายชิ้น ในวันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชิฟฟ่อนเค้กชิ้นหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมตลอดชีวิต”
คืนนั้น...เป็นคืนหนึ่งในฤดูร้อน อากาศในวอร์ดอายุรกรรมหญิง 1 ค่อนข้างร้อนอบอ้าว นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มตรง ผมซึ่งมีหน้าที่อยู่เวรในวันนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งจัดไว้ให้นักศึกษาแพทย์ โดยเฉพาะ เป็นโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าวอร์ด สามารถมองเห็นคนไข้ได้ทั้งหมด
สำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ที่ขึ้นวอร์ดอายุรกรรมเป็นวอร์ดแรก ไม่ว่าอะไรก็ดูแปลกใหม่สำหรับเขาเสียไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการต้องสัมภาษณ์ประวัติและตรวจร่างกายคนไข้รับใหม่ การตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูคนไข้ของเราเป็นคนแรก ดูว่าสัญญาณชีพเป็นอย่างไร มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอะไรออกใหม่บ้าง มีอาการเจ็บป่วยอะไรเพิ่มขึ้นไหม หรือแม้แต่การนำเลือด เสมหะ ปัสสาวะและอุจจาระของคนไข้ไปตรวจด้วยตนเอง
สำหรับผมแล้วผมเชื่อว่าไม่มี ใครรู้เรื่องของคนไข้ได้ดีเท่านักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 และสำหรับผมแล้ว การรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของคนไข้ที่เราดูแลอยู่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว จนถึงคืนนี้...
ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง ภายในวอร์ดปิดไฟหมดแล้ว คงมีแต่โต๊ะของนักศึกษาแพทย์และภายในที่ทำการพยาบาลที่ยังคงเปิดไฟอยู่ สำหรับผมแล้วคืนนี้เป็นคืนที่เงียบเสียจริงๆ ภายในวอร์ดมีเพียงเสียงของเครื่องช่วยหายใจและเสียงหัวใจของผม ขณะนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางเข้าวอร์ด
ผมมองไปที่ประตูของวอร์ดอายุรกรรมและก็เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นใส่เสื้อโปโลสีเหลืองกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน
“สวัสดีครับคุณหมอ”
ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“สวัสดีครับ”
ผมตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“ผมขอเยี่ยมคนไข้เตียง 8 หน่อยนะครับ ท่านเป็นคุณแม่ผมเอง เผอิญผมเพิ่งปิดร้านเสร็จ”
“เชิญตามสบายเลยครับ”
ผมตอบไปอย่างนั้น เพราะถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะให้เข้า เยี่ยมคนไข้ในวอร์ดสามัญได้ไม่เกินสองทุ่ม แต่ผมก็เข้าใจว่ามันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ตายตัวนัก เพราะญาติของผู้ป่วยบางคนอาจมีความจำเป็นบางอย่าง เช่นทำงานเลิกช้า หรือทำงานกะดึก เราก็อนุโลมกันไป
ชายคนนั้นเดินไปที่เตียง 8 ซึ่งเป็นเตียงที่ตรง ข้ามกับโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ผมมองตามเขาไปและมองไปที่คนไข้ ผมมองเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้ว่าไม่ใช่คนไข้ที่ผมเป็นเจ้าของไข้
คนไข้เตียง 8 เป็นหญิงชราอายุ ประมาณ 80 ปี ใส่ท่อช่วยหายใจต่อกับเครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายขึ้นมาอยู่บอวอร์ดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายเป็นอะไรถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบลูกคุณยายอย่างไรถ้าถูกถามว่าอาการของคุณยายเป็น อย่างไรบ้าง ทั้งๆที่เดินผ่านเตียงคุณยายอยู่ทุกวัน
ลูกชายของคุณยายนั่งลงตรงข้างเตียง มือลูบที่ใบหน้าและแขนขาของผู้เป็นแม่ด้วยความเคารพรัก บางครั้งผมได้ยินเสียงเหมือนเขาจะคุยกับแม่ของเขา แต่ผมก็ห่างเกินกว่าจะได้ยินว่าเขาพูดอะไรกัน คงเป็นประโยคที่ว่า “แม่ครับ ผมรักแม่” หรือ “หายเร็วๆนะครับแม่” ก็อาจเป็น ได้ ยายจะรู้ไหมนะว่าลูกรักยายมากขนาดไหน ผมรู้สึกได้ว่าถ้ามองต่อไปจะเป็นการเสียมารยาท จึงก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกการดำเนินโรคของคนไข้ของผมต่อไป
ชายคนนั้นคุยกับแม่ของเขาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น
“คุณหมอครับตอนนี้คุณแม่ของผมอาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามผมที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“ขอโทษนะครับ หมอไม่ทราบจริงๆเพราะไม่ใช่เจ้าของไข้ แต่เดี๋ยวหมอจะเข้าไปดูบันทึกการรักษามาให้นะครับ”
ผมตอบไปอย่างรู้สึกผิดและรีบเข้าไปดูประวัติการรักษาของคนไข้รายนี้ในที่ทำการพยาบาล
“ตอนนี้คุณยายมีปัญหา ติดเชื้อในปอดครับ เราเลยต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนี้ยังมีไข้อยู่เลยครับ แต่ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ไว้พรุ่งนี้ผมจะถามพี่ที่เป็นเจ้าของไข้ให้นะครับ”
ผมตอบชายคนนั้น หลังจากออกมาจากที่ทำการพยาบาล
“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ วันนี้ผมมีของมาฝากคุณหมอกับคุณพยาบาลด้วย”
ขณะที่ผมยังงงๆอยู่นั้น ชายคนนั้นก็ยกกล่องสองกล่องขึ้นมาตั้งบนโต๊ะผม เขาเปิดภายในกล่องให้ผมดู
ภายในกล่องนั้นมีชิฟฟ่อนเค้กที่จัดวางไว้อย่างสวยงามอยู่ภายใน กล่อง กลิ่นหอมของเนยและไข่หอมขึ้นมาแตะจมูกผม
“ผมเปิดร้านขายชิฟฟ่อนเค้กอยู่ที่ตลาดใกล้ๆนี่เองครับ ขายดีมากเลย ได้วันละตั้งหลายร้อยชิ้น ผมก็เลยปิดร้านช้า เลยมาเยี่ยมคุณแม่ดึกอย่างที่คุณหมอเห็นนี่แหละครับ
ตอนแรกผมกะจะไม่รับขนมของชายคนนั้นเพราะเกรงใจ และคิดว่าผมไม่สมควรที่จะได้รับ แต่ก็กลัวเขาเสียน้ำใจและเขาก็ตั้งใจจะมาให้พี่พยาบาลรับประทานด้วยจึงรับไว้
“ขอบคุณมากนะครับ”
“คุณหมอต้องรับประทานขนมของผมทันทีเลยนะครับไม่อย่างนั้นมันจะไม่ อร่อย หรือถ้าคุณหมออยากรับประทานให้อร่อยจริงๆต้องทานกับกาแฟนะครับ และห้ามเอาขนมของผมไปแช่ตู้เย็นนะครับ”
ผมได้แต่ยิ้มรับในความหวังดีของชายคนนั้น
“วันนี้ผมต้องลาคุณหมอกลับก่อนนะครับ ถ้าอย่างไรฝากดูแลคุณแม่ผมด้วยนะครับ ถ้าคุณแม่ผมยังไม่เป็นอะไรไปซะก่อน คุณหมอจะได้รับประทานชิฟฟ่อนเค้กทุกวันเลย”
นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศในวอร์ดยังคงเงียบเหมือนเดิม ผมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ยายยังคงนอนที่เตียง 8 เช่นเดิม แต่บางสิ่งในใจผมมันเปลี่ยนไป ผมค่อยๆหยิบชิฟฟ่อนเค้กชิ้นหนึ่งขึ้นมา แกะกระดาษห่อออก กลิ่นหอมของเนยและไข่หอมมาแตะจมูก ความรู้สึกเมื่อกัดเข้าไปคำแรกเหมือนจะละลายไปกับลิ้น เป็นชิฟฟ่อนเค้กที่อร่อยที่สุดที่เคยรับประทานมา ผมสัญญากับตัวเองว่าพรุ่งนี้ผมต้องรู้เรื่องเตียง 8 ให้มากกว่านี้ หวังว่ามันคงไม่สายเกินไป
และคืนนั้น...ก็ผ่านพ้นไป
เช้าวันต่อมา...ผมมาดูคนไข้ตามปกติเช่นทุกวันคือเวลาหกโมงครึ่ง สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อเดินเข้ามาในวอร์ดก็คือเตียง 8 ที่ว่างเปล่า ผมรู้สึกใจหาย ผมคิดในแง่ดีว่ายายคงย้ายไปห้องพิเศษหรือย้ายไปห้อง I.C.U. เผอิญพี่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พี่ครับๆ คุณยายเตียง 8 หายไปไหนแล้วล่ะครับ”
ผมกลั้นใจถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะปกตินัก
“หมออั้น คุณยายแกเสียไปเมื่อคืนแล้วล่ะ หลังจากหมออั้นลงเวรไปแล้ว ลูกแกเพิ่งมารับศพไปเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง”
เมื่อผมได้ฟังคำตอบของพี่พยาบาลจบลงภาพของชิฟฟ่อนเค้กเมื่อคืนมัน ได้ลอยขึ้นมาในใจ
ไม่ใช่ผมเสียดายที่ต่อไปจะไม่ได้รับประทานชิฟฟ่อนเค้กแล้ว แต่ผมเสียดายที่ว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรให้คุ้มค่ากับชิฟฟ่อนเค้กที่ได้รับ ประทานเข้าไปเมื่อคืนเลย ไม่ว่าต่อตัวผมเอง ต่อตัวของยายหรือลูกชายของยาย
สำหรับผมแล้วชิฟฟ่อนเค้กชิ้น นั้นมีค่าต่อผมมาก อย่างน้อยมันก็สอนให้ผมรู้ว่า คำว่า คนไข้ ไม่ใช่ผู้ป่วยที่เราเป็นเจ้าของไข้เพียงอย่างเดียว แต่คำว่าคนไข้ หมายถึงผู้ป่วยทุกคน เพราะฉะนั้นจงใส่ใจพวกเขาให้มากๆ
ทุกวันนี้เมื่อใดก็ตามที่ผม มีโอกาสรับประทานชิฟฟ่อนเค้ก ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ เรื่องราวของ ชิฟฟ่อนเค้ก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น