ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #2 : พี่หมอ + Writer talk - Rewrite

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.47K
      124
      22 ก.ค. 62


    แม่โผเข้ากอดหมอทันทีที่หมอก้าวลงจากรถ ถ้าฉันมองไม่ผิด แม่เหมือนจะมีน้ำตาซึมออกมาด้วย

    “โตขึ้นเยอะเลยหมอ จำแทบไม่ได้เลย”


    เอาล่ะ ขอลองประติดประต่อเรื่องราวหน่อยนะ คุณหมอนี่เคยมาที่บ้านฉัน ตอนนั้นฉันก็น่าจะแค่สองขวบ ส่วนคุณหมอนี่ก็คงจะสักเท่าไหร่ล่ะ สิบห้าไหม 
    ตอนนี้คุณหมอเกิดอยากรักสันโดษ หลบความวุ่นวายขึ้นมาใช้ชีวิตบนเขา

    ทำไมยังรู้สึกว่ามันทะแม่งๆอยู่นะ

    “น้องเอย ช่วยหมอยกกระเป๋าลงทีลูก”
    ฉันเผลอสะดุ้งตกใจ มัวแต่ยืนพิงรถคิดเรื่องหมออยู่เพลินๆ แหงนขึ้นไปอีกที หมอก็ขึ้นไปยืนบนหลังกระบะเรียบร้อยแล้ว ฉันตั้งท่าจะกระโดดขึ้นไปบ้าง


    รอบแรก..ขึ้นไม่รอด 
    ครั้งที่สองเอาใหม่ .. ติดขา 

    บ้าเอ้ย 
    “น้องเอยไม่ต้องขึ้นมาหรอก เดี๋ยวพี่ส่งให้ รอรับอยู่ข้างล่างนั่นล่ะ” 
    คนที่อยู่บนนั้นอมยิ้มเล็กน้อย ฉันแอบหันหลังทำหน้ายู่ เข่าระบมไปหมด แต่คงยังไม่เท่าความน่าอาย ไม่รู้จักประเมินขาสั้นสั้นของตัวเอง

    กระเป๋าน้อยใหญ่ถูกยื่นมาให้ฉันพร้อมกับรอยยิ้มละไม หมอท่าจะมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อที่หน้า ยิ้มได้ยิ้มดี ฉันรับกระเป๋ามาวางรอบตัวทีละใบ แล้วก็เพิ่งสังเกตว่ามันเยอะมาก เกือบสิบใบเห็นจะได้
    “จะย้ายมาอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเลยหรือไง”
    ฉันหลุดปากพูดออกมาก็จริง แต่คนบนนั้นไม่ได้ยินหรอก ก็เห็นส่งกระเป๋ายื่นมาให้ตลอด   ..  ยิ้มอีกละ

    ของสุดท้ายคือบรรดาอาหารสดที่ฉันซื้อมาตามรายการที่แม่สั่งไว้ เมื่อบนรถไม่เหลืออะไรแล้ว หญิงสาวข้างบนก็กระโดดลงมายืนอยู่ข้างฉัน 
    พอมายืนข้างกันแล้ว ฉันดูตัวเล็กไปเลย อยู่แค่ไหล่เองมั้ง 

    “แล้วสรุปว่าเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว” 
    เออใช่ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ตอบคำถาม

    “เทอมหน้าขึ้นมอหกแล้วค่ะ”
    “จริงเหรอ .. แล้วคิดไว้ยังว่าอยากเรียนอะไรต่อ”
    “ยังค่ะ แต่คงไม่เรียนหมอ” 
    คำตอบฉันทำเอาคนเป็นหมอหัวเราะลั่น ถึงอากาศจะเย็นฉ่ำตลอดเวลา แต่คงเพราะยกกระเป๋าร่วมสิบใบ คนตัวสูงข้างฉันถึงได้ทนไม่ไหวจนต้องถอดหมวกแกปออก เสยผมที่เปียกชื้นจากเหงื่อขึ้นอย่างลวกๆ 

    “ทำไมล่ะ เรียนหมอสนุกนะ”
    ฉันส่ายหัวอย่างแรงจนรู้สึกได้ว่า ผมจุกบนหัวที่รวบไว้เด้งไปเด้งมา
    “หนูเรียนไม่เก่ง สอบไม่ติดหรอก” 

    หมอควงหมวกที่อยู่ในมือเล่น มองหน้าฉันแล้วก็อมยิ้ม พอไม่มีหมวกบดบังแล้ว ฉันก็เลยได้เห็นหน้าหมอชัดชัด
    ใบหน้าที่ถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางจางๆ จนแทบดูเหมือนไม่ได้แต่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม คิ้วเรียงตัวสวยเป็นธรรมชาติ ถึงแม้จะดูรกๆเพราะไม่ได้ผ่านการจัดแต่งก็เถอะ 
    จมูกโด่งกำลังดี รับกับริมฝีปากเรียวรี ผมสีน้ำตาลเข้มสีเดียวกับดวงตา ปลายผมดัดเป็นลอนใหญ่ 

    “มีแฟนรึยัง”
    “คะ”
    “แต่ก็ไม่น่าถามเนอะ น่ารักขนาดนี้จะโสดได้ยังไง”

    ฉันไม่ใช่คนบ้ายอ รู้หรอกนะว่าแค่อยากแซวเล่นตามประสาผู้ใหญ่หยอกเด็ก แต่ทำไมสายตาคู่นั้นที่มองมามันถึงต้องวิบวับขนาดนั้นด้วย
    ผู้ใหญ่คนอื่นเวลาถามไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย 

    “น้องเอยทำไมไม่พาหมอเข้าบ้าน ไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ต้องให้บอกทุกอย่างเลย” 
    ฉันเป็นคนคุมสีหน้าไม่เก่ง เพราะแบบนั้น ทุกครั้งที่ยายบ่น กล้ามเนื้อที่หน้าฉันจะหงิกเองอัตโนมัติแบบไม่ต้องสั่ง เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ยืนข้างกันได้อีกครั้ง 
     
    ถึงกระเป๋าพวกนี้จะมีคนช่วยขน แต่พวกถุงปลาเอย เนื้อหมูเอย คงไม่มีใครมาช่วยหรอกสินะ ฉันหันไปจะหยิบบรรดาถุงอาหารทั้งหลาย แต่กลับมีมือหนาของใครอีกคนรวบไปถือไว้ตัดหน้าแล้ว

    “เดี๋ยวพี่ถือให้” 
    ฉันเผลอสบตากับคนใจดี อยู่ดีดีก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนคนที่หอบของพะรุงพะรังบุ้ยใบ้ให้ฉันเดินนำหน้า


    “วางตรงนี้เลยค่ะ” 


    ฉันชี้ไปที่โต๊ะใหญ่กลางห้องครัว คุณยายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ม้านั่งกับป้าแม่บ้านสองสามคน เห็นหมอเข้าก็ร้องดีใจ ตั้งท่าจะทิ้งสากที่อยู่ในมือโผเข้ากอดหมอ จนหมอต้องวิ่งเข้าไปหาเอง 

    “โถลูก โตเป็นสาวแล้วน้า”
    “คุณยายสบายดีไหมคะ” 
    “ก็เท่าที่เห็นล่ะลูกเอ้ย เดินทางเหนื่อยไหม”

    ครั้งสุดท้ายที่ยายใช้น้ำเสียงแบบนี้คุยกับฉันก็น่าจะเป็นตอน .. โห ถึงกับนึกไม่ออกว่าตอนไหน มันคงจะนานน่าดู 
    แต่แปลกจัง .. ถ้าหมอเคยมาที่บ้าน หมอมาในฐานะอะไร คนรู้จักเหรอ เป็นญาติกัน หรือเป็นอะไร ทำไมใครใครก็ดูดีใจที่เจอหมอ 

    หมอกับยายยังนั่งคุยกันไปเรื่อย จังหวะนี้ล่ะเหมาะมากที่จะหนี ไม่รู้ว่าวันนี้จะโดนใช้ให้ทำอะไรอีก 
    “น้องเอยจะไปไหน หาน้ำหาท่าให้พี่เขารึยัง พี่เขานั่งรถมาเหนื่อยๆ”
    แค่เพียงขาข้างขวาที่ก้าวพ้นประตู ยายก็ออกคำสั่งเสียงดังทันที ยายอาจจะไม่ได้มีกล้อง ยายอาจจะติด GPS ไว้ที่ตัวฉัน ขยับปุ๊บสั่นเตือนปั๊บ 
    สุดท้ายฉันเลยต้องจำใจเดินกลับไปแบบเซ็งๆ เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเทรินใส่แก้ว เดินไปประเคนให้หมอที่นั่งอมยิ้มมองฉันอยู่ 
    “น้องเอยไม่เหมือนที่ปั้นคิดไว้เลย”
    ประโยคที่ดูเหมือนไม่ได้คุยกับฉัน แต่ดวงตาคมดุนั่นกลับมองมา
    “ที่ปั้นคิดไว้ น่าจะตัวกลมๆ ผิวคล้ำหน่อยๆ แล้วก็ตัวเล็กกว่านี้” 

    จะให้เล็กกว่านี้อีกเหรอ แคนี้ยังปีนขึ้นรถกระบะไม่รอดเลย 

    “ทโมนนัก ดื้อด้วย พอไปอยู่กับลุงกับป้าแล้วเสียนิสัย ฝั่งนั้นตามใจซะจนเคยตัว” 
    “วัยรุ่นก็แบบนี้แหละค่ะ” 
    “แล้วไอ้ฟันนี่ก็ไม่รู้ไปใส่เหล็กอะไรนั่นทำไม เห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน” 

    ฉันยืนถือขวดน้ำก้มหน้านิ่ง เหมือนยืนเป็นเป้านิ่งให้พวกผู้ใหญ่ว่า เบื่อเต็มทีแล้ว อยากหายไปจากตรงนี้ เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากกลับบ้าน

    “แต่ปั้นว่าดัดฟันก็น่ารักดีออกนะคะ” 
    คำชมจากเสียงทุ้มๆเรียกให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมอง หมอมองหน้าฉันแล้วก็ยิ้ม ไม่รู้ทำไมฉันถึงสู้สายตานั้นไม่ได้นาน แค่เพียงแวบเดียว ฉันก็หลบตา เดินไปเก็บขวดน้ำใส่ตู้เย็น แล้วออกจากตรงนั้นหลบเข้าห้องตัวเองทันที 

    หมอเคยเจอฉันตอนสองขวบ แต่ทำไมหมอพูดเหมือนกับรู้จักฉันมานาน ทุกประโยคที่ถามออกมา มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีให้กับเด็ก
    สมแล้วที่เป็นหมอ เจอสายตาแบบนี้เข้าไป เด็กที่ไหนจะไม่กล้าให้ฉีดยากันล่ะ 


    ฉันนอนเล่นอยู่ในห้องจนผล็อยหลับไป รู้สึกตัวตื่นอีกทีเพราะกระเพราะอาหารกำลังส่งสัญญาณแบตเตอรี่ต่ำ ต้องเติมพลังงานเข้าไปหน่อยแล้ว 
    เสียงคนอยู่กันเต็มใต้ถุนบ้าน คงเป็นนักท่องเที่ยวล่ะมั้ง ข้างบนบ้านเงียบเชียบ แขกของวันนี้หายไปไหนไม่รู้ คงกลับไปบ้านตัวเองแล้ว 
    พาท้องกิ่วๆของตัวเองเดินเข้าไปในครัว เห็นแม่กำลังยืนหันหลังคนแกงอะไรสักอย่างบนเตา ควันร้อนฉุยพวยพุ่งขึ้นเหนือหม้อใหญ่ 

    “หิวอ่ะม๊า มีอะไรกินบ้าง” 
    “เปิดดูบนโต๊ะเลยลูก” 
    ฝาชีอันใหญ่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นอาหารคาวหวานห้าหกอย่างวางอัดกันอยู่ในถาด บ้านนี้อยู่กันแค่สามคน ฉัน แม่ แล้วก็ยาย แถมบางวันบนบ้านไม่มีอะไรกินด้วยซ้ำ ต้องพาตัวเองไปฝากท้องที่ครัวข้างล่าง ร้านอาหารของนักท่องเที่ยว เพราะแม่ขี้เกียจเก็บครัวสองที่ 
    “ม๊า ทำไมทำกับข้าวเยอะจัง”
    “ก็ม๊าไม่รู้ว่าหมอเขาชอบกินอะไร ม๊านึกอะไรออกม๊าก็ทำหมดเลย” 

    คำเฉลยทำเอามือที่กำลังตักข้าวสวยเข้าปากต้องชะงักค้าง ความสงสัยที่ลืมไปแล้ว วนกลับมาอีกครั้ง
    “ม๊า หนูถามหน่อยสิ หมอเขาเคยมาบ้านเราสมัยเด็กๆเหรอ” 
    “ใช่จ๊ะ”
    “แล้วเขาเป็นอะไรอ่ะ เป็นญาติเราเหรอ” 

    มือที่คนแกงในหม้อของแม่นิ่งไป เพราะแม่หันหลัง ฉันเลยไม่ได้เห็นว่าแม่ทำสีหน้ายังไง

    “หมอเขาเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไปนี่แหละ ตอนนั้นเขามากับครอบครัว .. มาเที่ยวอยู่เกือบอาทิตย์ ก็เลยสนิทกัน ตอนนั้นหมอคงจะโตพอๆกับเราตอนนี้ล่ะมั้ง” 
    ความสงสัยในใจถูกปลดล็อคเรียบร้อย ฉันก้มหน้ากินข้าวต่อ นึกขอบคุณหมอในใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กินอาหารอร่อยๆแบบนี้
    และเพราะหิวมาก ฉันเลยตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว ไม่ทันได้ยินเสียงถอนหายใจของหญิงวัยกลางคน รวมไปถึงสายตาบางอย่างที่แม่มองมา 




    กิจกรรมยามว่างของฉันช่วงปิดเทอมเป็นอะไรที่สนุกและตื่นเต้นมาก เพื่อนที่โรงเรียนมักจะอิจฉาที่ฉันมีบ้านอยู่บนเขาที่เย็นตลอดปี ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ หลายคนยังอิจฉาฉันด้วยที่บ้านทำรีสอร์ท 
    ฉันก็ยืดอกภาคภูมิใจ ทั้งที่ข้างในแทบร้องไห้ 

    เตียงที่สี่แล้วของวันนี้ อีกแค่สามเตียงก็ทำลายสถิติตัวเองแล้ว 
    เตียงสวยๆ ผ้าปูที่นอนเรียบตึง หมอนหนุนสีขาวสะอาด ผ้าห่มสีครีมที่ถูกปูเอาไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยฝีมือของฉันเอง 
    ลองนึกดูเวลาเราปูเตียงนอนของตัวเอง แค่เตียงเดียวก็เหนื่อยแล้ว ฉันโดนไปสี่เตียงในวันนี้ แถมยังต้องทำเวลาให้ทันก่อนลูกค้ามาเช็คอินอีก 

    แม่สอนฉันว่า ถึงฉันจะเป็นลูกแม่ แต่ก็ใช่ว่าจะทำตัวเป็นคุณหนูของบ้าน คอยชี้นิ้วนอนสบาย ต้องช่วยกันทำงานด้วย เรื่องนี้ฉันไม่เคยเถียงแม่เลยสักนิด 
    แต่ขอทำอะไรที่มันไม่ต้องออกแรงขนาดนี้ไม่ได้หรือไง 

    หลังที่สี่เสร็จเรียบร้อย ฉันกำลังลากรถเข็นพาตัวเองไปบ้านหลังที่ห้า ด้วยความที่เป็นรีสอร์ท แน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่ติดกัน ไม่ใช่แค่นั้น ยังเป็นทางชันอีก 
    ว่าแต่ .. บ้านหมออยู่หลังไหนกันนะ 

    บ้านพักของเราดีไซน์เป็นเหมือนกระท่อมน้อย มีเพียงหลังคาเท่านั้นที่มุงโดยใช้ฟางปูทับหลังคาปูนร่วมสมัย ตัวบ้านออกแบบโดยใช้สีโทนน้ำตาลอ่อน ข้างในแบ่งย่อยเป็นห้องนอน ห้องน้ำ และห้องรับแขกขนาดเล็กกะทัดรัด 
    แขกส่วนใหญ่ที่มาพักมักจะอยู่กันนานเป็นอาทิตย์ แม่เลยดีไซน์ให้มีทุกอย่างเหมือนบ้านหลังน้อย 
    หน้าบ้านแต่ละหลังจะมีบ่อน้ำขนาดกลาง มีเฉลียงเหมือนแพอันเล็กไม่มีหลังคายื่นออกไป นักท่องเที่ยวมักชอบนั่งเล่นเอาเท้าจุ่มน้ำซึมซับบรรยากาศ ไม่ก็เอาหมอนใบเล็กมาหนุนนอนดูดาว 
    พี่พนักงานอีกคนมาถึงหลังที่ห้าก่อนแล้ว ฉันยืนบิดขี้เกียจไปมา ทั้งแขนทั้งขาตึงไปหมด พาร่างกายโรยแรง พุ่งเข้าห้องครัวใต้ถุนบ้าน ซัดน้ำไปอึกใหญ่ ไม่วายโดนยายดุอีก 
    ขาที่อ่อนแรงกำลังจะได้นั่งพักแล้วเชียว อีกนิดเดียวก้นก็จะสัมผัสพนักเก้าอี้แล้ว 

    “น้องเอยเดินไปถามหมอซิ เย็นนี้อยากกินอะไร บอกหมอว่าเดี๋ยวยายทำให้กิน” 
    “ของตอนกลางวันยังกินไม่หมดเลยยาย”
    “ตอนกลางวันก็ตอนกลางวันสิ นี่มันตอนเย็น มันคนละมื้อ”
    “ให้คนอื่นไปถามไม่ได้เหรอ โทรไปก็ได้” 

    ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะลุกออกไปไหนได้แล้วจริงจริง แต่ยายก็คือยาย ..
    “ใช้นิดใช้หน่อยก็บ่น คนอื่นเขาก็ทำงานกันหมด ไม่เห็นหรือไง”
    “หนูก็ทำงานนะยาย” 
    “เอ๊” 

    ยายเริ่มขึ้นเสียงสูง ฉันเลยต้องจำยอมลุกขึ้นมาแบบไม่สบอารมณ์ แต่มาได้ครึ่งทางก็ต้องร้องโวยวายอย่างหงุดหงิด ดันลืมถามว่าหมอของยายเขาอยู่หลังไหน 
    แต่จะให้เดินกลับไปถามอีกรอบก็เสียฟอร์มเกิน เผลอเผลอโดนด่าอีก เดินหาเอาก็ได้ 


    ตัดห้าหลังที่ไปปูเตียงออกได้เลย ถ้าแบบนั้น ก็เหลืออีกแค่สามหลัง .. 
    ดูหมอจะเป็นคนสำคัญของแม่กับยายน่าดู คงไม่น่าจะให้อยู่หลังธรรมดา ฉันชั่งใจอยู่ตรงทางแยก ก่อนจะตัดสินใจเดินลงไปข้างล่างสุด 
    บ้านหลังสุดท้ายอยู่ข้างล่างสุด เป็นหลังเดียวที่มองจากหน้าต่างห้องนอนฉันแล้วก็จะเห็นเฉลียงน้อยที่ยื่นออกมา ตัวบ้านหันหลังให้กับห้องของฉัน ไม่ค่อยมีใครมานอนเท่าไหร่ ถึงแม้บ่อน้ำจะใหญ่ที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับทุกหลัง คงเพราะอยู่ข้างล่างสุดล่ะมั้ง 
    แขกส่วนใหญ่คงอยากซึมซับบรรยากาศบนเขาให้มากที่สุด 


    ฉันเดินลงไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน ได้ยินเสียงขลุกขลักจากข้างใน เคาะประตูอยู่หลายทีกว่าจะได้ยินเสียงขานรับ 


    น้ำเสียงดูแปลก .. 
    เปิดประตูเข้าไปก็เห็นบรรดากระเป๋านับสิบวางระเกะระกะเต็มทางเดิน มีเพียงสองสามใบเท่านั้นที่ถูกเปิดออกแล้ว เดาว่าคงกำลังจัดของอยู่ 
    เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย 

    “หมอคะ” 
    ฉันยืนอยู่กลางบ้าน ตะโกนร้องเรียกอีกรอบ ก่อนจะเดินไปตามเสียงขานรับทางหลังบ้าน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ยิ่งได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหล 

    ภาพที่เห็นทำเอาฉันกลั้นขำแทบไม่ไหว คุณหมอคนเก่งของแม่กับยายกำลังสู้อยู่กับฝักบัวที่สายเชื่อมต่อมีน้ำพวยพุ่งอย่างแรงแบบไร้ทิศทาง เจ้าของบ้านสภาพสะบักสะบอม ผนังห้องน้ำเปียกแฉะไปหมด 
    “เหมือนสายมันรั่ว น้ำพุ่งออกมาหมดเลย” 
    คนตรงหน้าก็พูดอธิบายไป มือก็อุดรอยรั่วนั่นที่ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งขยายรอยกว้างขึ้นเรื่อยๆ
    ขำก็ขำนะ .. แต่คงต้องช่วยก่อน ฉันวิ่งกลับขึ้นไปที่บ้าน คว้าสายรัดท่อสีดำ กลับมาอีกทีคราวนี้ สภาพหมอเปียกไปทั้งตัวแล้ว 

    “หมอจับสายตรงนี้ไว้ค่ะ เดี๋ยวหนูเอาเทปพันปิดรอยรั่ว” 
    หมอทำตามอย่างว่าง่าย แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังพลอยเปียกไปด้วยอยู่ดีตอนที่พัน

    “ซ่อมเป็นด้วยเหรอ” 
    “หมอทำไม่เป็นเหรอคะ” 
    “เป็นหมอนะไม่ได้เป็นช่าง” 

    ริมฝีปากฉันเผลอเบะออกอัตโนมัติ บทสนทนาเราดูผ่อนคลายลงกว่าตอนแรก คำที่หมอใช้ดูแปลกไป แต่เพราะเราอยู่ใกล้กัน หมอคงเห็นอาการของฉัน ถึงได้แกล้งเอามือที่อุดรอยรั่วไว้ออก จนน้ำพุ่งใส่หน้าฉันเต็มเต็ม

    “หมอ” ฉันร้องโวยวายออกมา เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากคนที่ทำร้าย 
    การที่หมอได้เจอฉันตอนอายุสองขวบ ไม่ได้หมายความว่าหมอจะมาแกล้งอะไรแบบนี้ได้นะ

    “น้องเอยไม่ต้องเรียกพี่ว่าหมอหรอก เรียกพี่เฉยๆก็ได้” 
    “ขืนหนูเรียกแบบนั้น ยายก็บ่นหนูอีก”
    “ถ้าอย่างนั้น เรียกว่า พี่หมอไหม ..”

    พี่หมอเหรอ 
    “เสร็จแล้วค่ะ” รอบสุดท้ายฉันตั้งใจพันแบบลวกลวก อยากทำให้เสร็จเร็วๆ คำว่า พี่หมอ .. สะกิดหัวใจฉันเป็นครั้งที่สองหลังจากอมยิ้ม 
    “ขอบคุณนะ น้องเอยเลยเปียกไปด้วยเลย”

    เราเดินออกมากลางห้องรับแขก สภาพฉันน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หมอดูเหมือนคนอาบน้ำยังไม่เสร็จดีแล้วรีบออกมาเปิดประตูรับแขก 
    เสื้อกล้ามสีเทาเข้มกับกางเกงที่ดูเหมือนกางเกงนอนบางๆ ที่ตอนนี้แนบเนื้อไปแล้วเรียบร้อย เจ้าของบ้านหายเข้าไปในห้องนอน กลับออกมาด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาสองผืน ก่อนจะยื่นมาให้ฉันหนึ่งผืน 

    “แล้วน้องเอย มาหาพี่ทำไมเหรอ”
    ฉันก็เช็ดตัวเพลินจนลืมไปเลย ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม
    “อ๋อ .. ยายให้มาถามว่า มื้อเย็นหมออยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ยายเขาจะทำให้กินค่ะ”


    “พี่หมอ .. “ 

    คนตรงหน้าที่กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวอยู่แก้คำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะเงยขึ้นสบตาฉัน แววตาที่เหมือนกึ่งขอร้องกึ่งบังคับให้ฉันเรียกแบบนั้น

    “ค่ะ พี่หมอ” 
    “อืม เพิ่งกินไปเมื่อตอนกลางวัน แถมกินไม่หมดด้วย ฝากบอกยายให้ด้วยนะว่าขอบคุณมาก แต่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มหรอก แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” 
    “ค่ะ” 
    หมดภารกิจของฉันเสียที ถือโอกาสกลับไปอาบน้ำเลยแล้วกัน ฉันส่งผ้าขนหนูผืนหนาคืนให้เจ้าของ แต่ดูเหมือนเจ้าของจะไม่อยากได้คืน 

    “เอาห่มตัวไว้แล้วเดินไป ใส่เสื้อสีขาวด้วย มันดูไม่ดี” 
    ฉันยังกำผ้าขนหนูในมือแน่น จนคนที่ยืนดูอยู่คว้ามันไป คลี่ผ้าออก ก่อนจะค่อยๆโอบผ้าขนหนูรอบตัวฉันไว้ เสียงทุ้มละมุนเอ่ยออกมา 
    “อาบน้ำเลยก็ดีนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” 

    และแล้วผ้าขนหนูผืนนี้ก็เข้ามาสะกิดใจฉันได้เป็นอย่างที่สาม  .. 



    วงแหวนดาวเสาร์.

         
         Writer Talk : 
         สวัสดีอย่างเป็นทางการนะคะทุกคน / | \ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองของเราแล้ว ต่อจาก "เรื่องเล่าจากดาวพลูโต" 
         ไหนๆก็เปิดตัวเกี่ยวกับดวงดาวแล้ว เราก็เลยคิดว่า เรื่องต่อไปก็ควรจะพูดถึงดาวสักดวง คิดอยู่นาน สุดท้ายก็มาจบที่ ดาวเสาร์ 

         ดาวเสาร์แตกต่างจากดาวทุกดวงในกาแล็คซี่ทางช้างเผือก .. ตรงวงแหวนอันสวยงาม 
         มีใครรู้บ้างว่าเราสามารถมองเห็นดาวเสาร์ได้ด้วยตาเปล่านะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้เห็นวงแหวนของเจ้าดาวเสาร์ 

         ในทุกๆ 15 ปี ดาวเสาร์จะหันขอบวงแหวนตรงมาทางโลกครั้งหนึ่ง
         ประโยคนี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวแสนน่ารักที่กำลังจะเกิดขึ้น 

         ฝากเรื่องใหม่นี้ รวมไปถึง "เรื่องเล่าจากดาวพลูโต" ด้วยนะคะ  ( : 
         

         วงแหวนดาวเสาร์. 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×