ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #1 : การมาเยือนของดาวเสาร์ | Re-write

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.15K
      180
      27 ก.ค. 62



        
    "น้องเอย ตื่นได้แล้วลูก" 
          หญิงสาวดึงผ้าห่มผืนหน้าขึ้นคลุมมิดหัว ใบหน้ายับยู่ยี่ใต้ผ้าห่มผ่อนลมหายใจช้าช้า พาตัวเองกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง 

        "น้องเอย ม๊าเรียกหลายทีแล้วนะ ตื่นสักที" 

          เสียงผู้เป็นแม่ปรับความแรงขึ้นเป็นเลเวลสอง แต่แค่นั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น อีกแค่ก้าวเดียว ฉันก็จะหายเข้าไปในมิติแห่งการนอนหลับ ประตูกำลังเปิดรอฉันอยู่ 

          "น้องเอย!!!"

    อยู่ดีดีประตูบานนั้นก็ปิดใส่หน้าฉัน ด้วยฝีมือของหญิงแก่หน้าดุ ในมือถือไม้เรียว
    เสียงนุ่มชวนฝันของแม่ก่อนหน้านี้หายไปแล้ว แทนที่ด้วยเสียงของยาย แค่เรียกชื่อเล่นฉันด้วยเสียงหนักๆเน้นๆ ก็ขนลุกจนหลับไม่ลงแล้ว 

    “ค่า” ฉันตะโกนขานรับเสียงดังลั่นบ้าน ลองไม่ตะโกนออกไปสิ คราวนี้ล่ะ มาเป็นตัวเลย เผลอเผลอถือไม้อะไรสักอย่างติดมือมาด้วย 

    ร่างเล็กในชุดนอนสีชมพูหวาน ลุกขึ้นนั่ง ผ่อนลมหายใจเข้าออก พยายามปรับสมดุลในร่างกายตัวเอง หางตาเหลือบมองขึ้นไปบนนาฬิกาติดผนังเรือนใหญ่แล้วก็พาลให้หงุดหงิด 
    ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกแกรกจนผมด้านหน้าที่ถูกมัดแกะขึ้นไปยุ่งเหยิง

    ยังไม่เจ็ดโมงดีเลย จะรีบปลุกไปทำไมเนี่ย 

    ตื่นเต็มตาแล้ว หญิงสาวลุกไปยืนเช็คสภาพตัวเองที่กระจกแผ่นใหญ่บนโต๊ะเครื่องแป้งข้างเตียง 

    นั่นฉันเหรอ คนในกระจกนั่นฉันเหรอ 
    ถุงใต้ตาบวมเป่ง เปลือกตาบวมตุ่ยจนแทบปิดลูกกะตามิด

    นึกไปถึงเรื่องเมื่อวานแล้วยิ่งชวนให้น้ำตาที่เพิ่งแห้งไป เอ่อล้นขึ้นมาอีกระลอก 

    เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของชีวิตมอห้า ฉันรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมด เค้นตั้งแต่ตาตุ่มเกยขึ้นมาถึงสะดือ ลงทุนพับดาวใส่ขวดโหลเกือบพันดวง ห่อริบบิ้นอย่างดี ตั้งใจเอาไปให้รุ่นพี่ที่ฉันแอบมองมานาน 
    อีกนิดเดียวก็จะได้ให้อยู่แล้ว ดันสะดุดหินบ้าอะไรก็ไม่รู้จนล้มหน้าคะมำ ขวดโหลแตกกระจาย ดาวที่พับไว้ไหลกองออกมาข้างนอก หนำซ้ำยังโดนเหยียบจนยับยู่ยี่ ที่เจ็บจี๊ดจนนอนร้องไห้ทั้งคืนคือ หนึ่งในเท้าพวกนั้นที่เหยียบดาวน้อยของฉัน .. คือคนที่ฉันชอบ 

    ทำไมนะทำไม 
    ผู้ชายคนที่สามในชีวิตแล้วนะที่ฉันตั้งใจไปสารภาพรัก 

    หน้าตาฉันมันแย่มากนักเหรอไง 

    เสียงคุณยายตะโกนขึ้นมาอีกรอบ ออกคำสั่งเสียงดุให้รีบไปอาบน้ำ ยายตั้งกล้องไว้ในห้องนอนเหรอถึงรู้ว่าฉันยังอยู่ที่เดิม
    ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกหยิบขึ้นพาดบ่า พอกันทีความรักแสนเฮงซวย

              ต่อไปนี้ฉันจะไม่เผลอใจรักใครอีกแล้ว 






    ฉันเดินหน้าหงิกลงมาจากชั้นสอง บ้านของเราคล้ายกับเรือนไม้สมัยก่อนที่มีใต้ถุน แต่ว่าตอนนี้ถูกทำใหม่แล้วด้วยดีไซน์ร่วมสมัย ปรับเปลี่ยนชั้นล่างให้เป็นห้องอาหารสำหรับรับนักท่องเที่ยว
    บ้านของฉันทำธุรกิจรีสอร์ท หมู่บ้านที่ฉันอยู่มักจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอ อาจจะไม่เยอะมากเท่าที่อื่น แต่ก็พอมีรายได้หาเลี้ยงคนในหมู่บ้านเล็กเล็กแห่งนี้ 
    ช่วงเปิดเทอมฉันจะไปนอนอยู่ที่บ้านลุงกับป้าในตัวเมือง เสาร์อาทิตย์ไม่ก็ปิดเทอมถึงจะกลับบ้าน ก็แหม จากบนนี้ลงไปข้างล่างใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ผ่านไม่รู้กี่ร้อยโค้ง 
    แม่กับยายชอบหาว่าลุงกับป้าตามใจฉันจนเสียนิสัย เขาไม่ได้ตามใจหรอก แม่กับยายต่างหากที่ดุตลอด บ่นอะไรนักก็ไม่รู้ ฉันเลยอิดออดทุกทีเวลาต้องกลับบ้าน 
    แล้วนี่ปิดเทอมเกือบสองเดือน ฟังเพลินล่ะงานนี้ 

    “สงสัยตอนอยู่บ้านนั้น ตื่นสายน่าดูเลยสิท่า” 

    เริ่มแล้วเห็นไหม ครั้งที่หนึ่ง แต่ไม่ต้องนับหรอก นับไปก็เหนื่อย เพราะมันเยอะมาก
    “หนูไม่ได้ตื่นสายเลย ยายกับแม่นั่นแหละตื่นเช้าเกิน”
    “ดู ดูมัน ยิ่งโตยิ่งเถียงเก่ง เถียงทุกคำย้อนทุกคำ”

    เผลอแอบกรอกตาบนไปหนึ่งที ไม่รู้ว่ายายเห็นไหม แต่สงสัยคงไม่เห็นเพราะมัวแต่ตั้งใจบ่นฉันอยู่ 

    “จะไปไหนกันเหรอคะ”
    คุณลุงนะ คนขับรถรับส่งนักท่องเที่ยวของรีสอร์ท กำลังเก็บข้าวของบนหลังรถกระบะ เตรียมตัวเหมือนกับจะออกไปรับใครสักคน
    นักท่องเที่ยวเหรอ .. มาทำอะไรกันตั้งแต่ไก่โห่ ถ้าจะมาเช้าขนาดนี้ไม่มาตั้งแต่เมื่อวานล่ะ จะได้ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าออกไปรับ 

    “ออกไปรับหมอครับน้องเอย” 
    “ใครเป็นอะไรเหรอคะ” 
    “ไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้นแหละ อยู่แต่ในเมืองไม่เคยกลับบ้านอย่างแกจะรู้อะไร ในหมู่บ้านเขามีโรงพยาบาลมาตั้งแล้ว” 

    อยากส่งยายเข้าประกวดจัง บ่นชิงแชมป์แห่งประเทศไทย สาขาโยงเก่ง 

    แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ ในหมู่บ้านเราไม่มีหมอหรือพยาบาลเลย ใครเป็นอะไรทีต้องพากันเข้าเมือง ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ใกล้ มีโรงพยาบาลอยู่บนนี้ก็ดีเหมือนกัน ใครเป็นอะไรอย่างน้อยยังช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้  
    “แล้วทำไมเราต้องไปรับเหรอ”
    เสียงยายถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ตั้งท่าจะบ่นอีกรอบ ถ้าไม่ติดว่าแม่ฉันเดินออกมาจากในบ้านพอดี เอาจริงๆตอนนี้ ฉันแค่หัวเราะก็คงโดนด่าแล้ว 
    ในมือแม่ถือกล่องข้าว พร้อมกับกระดาษน้อยและกระเป๋าเงิน ถึงบางอ้อแล้วว่าปลุกฉันขึ้นมาทำไม

    “น้องเอยไปกับลุงนะนะ ไปรับหมอ แล้วก็แวะซื้อของเข้ารีสอร์ทด้วย ของสดหลายอย่างหมดแล้ว” 
    “แล้วทำไมเราต้องเป็นคนไปรับหมอด้วยล่ะม๊า” 
    “เอ๊ .. ถามเยอะถามแยะซะจริง” 
    เสียงยายบ่นขึ้นมาอีกแล้ว แม่ถึงกับต้องกลั้นขำตอนที่เห็นหน้าฉันกำลังหงิกได้ที่ 

    “คุณหมอเขาจะมาอยู่กับเรา”
    “หะ อยู่บ้านเราเนี่ยนะ” 
    “เปล่าจ๊ะ เขาจะมาเช่ารีสอร์ทเราหลังหนึ่งเป็นรายเดือน”
    “แล้วบ้านพักหมอเขาไม่มีให้เหรอม๊า”
    “มี แต่หมอเขาไม่ชอบ เขาอยากมาอยู่ที่นี่” 

    น้ำเสียงและท่าทางของแม่ดูยิ้มน้อยน้อยยามที่เล่าถึงหมอ เหมือนกับว่าแม่รู้จักหมอคนนี้มาก่อน ฉันกำลังจะออกปากถามเพิ่ม แต่ยายก็ตะโกนขัดขึ้นมาอีกรอบ เร่งให้ฉันออกไปรับหมอได้แล้ว 
    ทำไมทั้งแม่กับยายถึงได้ดูตื่นเต้นกับหมอคนนี้นักนะ 

    ฉันขึ้นรถมากับลุงนะ พร้อมกล่องข้าวที่แม่ทำไว้ให้กิน คนอื่นทั่วไปอย่าได้ทำตามเชียวนะ สี่ร้อยโค้งหฤโหดนี้แค่นั่งเฉยเฉยก็ชวนวิงเวียนแล้ว อย่าได้อัพเลเวลด้วยการกินข้าวไปด้วย 
    อ้วกแน่ รับประกัน 



    รีสอร์ทของเราตั้งอยู่บนเนินสูงเลยหมู่บ้านใหญ่ขึ้นมาอีก แปดโมงกว่าแล้วแต่หมอกยังคงปกคลุมทั่วบริเวณ บ่อน้ำขนาดใหญ่กลางหมู่บ้าน มีสะพานไม้พาดผ่านเชื่อมต่อพวกเรากับโลกภายนอก รอบบ่อน้ำรายล้อมไปด้วยต้นทิวลิปกำลังออกดอกสะพรั่ง
    หมู่บ้านของเราอากาศเย็น หมอกลงตลอดทั้งปี ฉันชอบแอบมานั่งเล่นอยู่แถวบ่อน้ำเวลาขี้เกียจฟังยายบ่น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ตรงนี้สัญญาณโทรศัพท์แรงที่สุดในหมู่บ้านแล้ว




    เราลงมาถึงตัวเมืองด้านล่าง เท่าที่ลุงนะบอกให้ฟัง คุณหมอเป็นคนตัวสูง ผิวไม่ขาวมาก ไว้ผมยาวประมาณไหล่ ผู้ชายผมยาวประบ่า ไม่น่าจะหายากแบบนี้นะ เรายืนชะเง้อหากันอยู่นาน แต่ก็ยังไม่เจอเป้าหมายที่ตรงกับคำอธิบายของลุงนะ

    “ลุงนะมีเบอร์หมอไหม”
    “ไม่มีเลยครับน้องเอย ก่อนมาลุงก็ลืมขอไว้” 
    “แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้ไงว่าคนไหน” 
    ลุงนะนิ่งไปเหมือนใช้ความคิด ไม่นานก็เผยรอยยิ้มกว้างวิ่งกลับไปที่รถ ค้นอะไรขลุกขลักอยู่หลังกระบะ 
    ป้ายขนาดใหญ่ถูกหยิบขึ้นมา มีข้อความสีสันสดใสเขียนตัวโตไว้ว่า .. ยินดีต้อนรับคุณหมอปั้น เล่นใหญ่ไฟกระพริบไปอีก 
    ลุงนะเดินกลับมาส่งป้ายที่ว่านี่ยื่นให้ จนฉันต้องถอยหนีมาข้างหลัง ใครจะถือก็ถือไปเถอะ ไม่เอาด้วยหรอก 

    “ลุงนะถือเอาไว้แล้วกัน เดี๋ยวหมอเขาเห็นเขาก็เดินมาเองแหละ หนูไปซื้อของให้ม๊าในตลาดก่อน จะได้ไม่เสียเวลา” 

    จะว่าไปแล้วไม่ใช่แค่แม่กับยายเธอหรอกนะที่ดูตื่นเต้น ลุงนะก็เป็นไปกับเขาด้วย ที่บอกแบบนั้นเพราะในมือลุงนะมีดอกดาวเรืองพวงโต เดาว่าคงเป็นฝีมือยายร้อยเตรียมไว้

    หมอคนนี้เป็นใครกันนะ ทำไมคนรอบตัวเธอถึงได้ดีใจกันออกนอกหน้าขนาดนี้ 



    ฉันกลับออกมาจากตลาดพร้อมของสดเต็มมือ นิ้วมือทั้งสองข้างตอนนี้ ชาไปหมดแล้วเรียบร้อย ให้แบกทั้งตลาดยังได้เลยตอนนี้ 
    ลุงนะไม่อยู่ที่รถ แต่ดันมีผู้หญิงแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ยืนอยู่หลังกระบะ กำลังจัดสัมภาระอยู่บนนั้น 

    “ขอโทษนะคะ ขึ้นรถผิดคันหรือเปล่าคะ” 


    ฉันตะโกนออกไป ยิ่งมองเข้าไปหลังรถยิ่งโมโห ขึ้นรถผิดแล้วยังขนของมาวางจนเต็ม ถุงสิบกว่าใบในมือของฉันจะไปแหย่ไว้รูไหน 

    คนที่ก้มอยู่ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ค่อยค่อยหันมาหาฉัน ผู้หญิงคนนี้ดูตัวสูงเกินมาตรฐานผู้หญิงทั่วไป ผิวที่ไม่ถึงกับขาวมาก ผมยาวประบ่า สวมเสื้อยืดสีขาวคอวี กางเกงขายาวสีดำ
    คนโดนเรียกจับปีกหมวกแกปสีขาวเชิดขึ้น หันมาสบตาฉัน เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
     

    “ไม่นะคะ” 
    คนที่ยืนอยู่บนรถตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ ส่งยิ้มน้อยน้อยมาให้ฉัน ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังรถ ใช้ข้อศอกข้างที่อยู่ใกล้รถเป็นพนักพิง 


    “คุณขึ้นรถผิดค่ะ”

          ฉันพูดเน้นเป็นครั้งที่สอง มันจะไม่ผิดได้อย่างไรกัน เบื่อพวกนักท่องเที่ยวชอบตีเนียน 

    หญิงสาวตรงหน้าช้อนสายตาขึ้นมอง ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรสักนิด

    “รถคันนี้ขึ้นไปรีสอร์ทม่านหมอกหรือเปล่าคะ”
    “ใช่”
    “งั้นก็ถูกแล้วนะ” 
    มันจะไปถูกได้ยังไงล่ะ ฉันมองหาลุงนะเพื่อให้มาช่วยไล่อีกแรง มัวแต่ชะโงกซ้ายขวา ไม่ทันระวังว่า ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ รวบของที่ฉันหอบมาทั้งหมดไปไว้ในมือแทน 

    “น้องเอยใช่ไหม” 

    หะ 
    รู้จักฉันด้วยเหรอ 

    “โตขึ้นเยอะเลยนะ” 
    เสียงหวานทุ้มกำลังคุยกับฉัน ส่งรอยยิ้มกว้างใต้หมวกนั้นกลับมาให้ ข้าวของทั้งหมดถูกย้ายที่ขึ้นไปไว้หลังกระบะเรียบร้อย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่ตรงนั้น 

    ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร 
    ดูเหมือนเจ้าตัวจะเห็นท่าทางสับสนของฉันถึงได้หัวเราะออกมา 

    “น้องเอยจำพี่ไม่ได้หรอก ตอนนั้นน้องเอยสองขวบได้เองมั้ง ตัวเล็กแค่นี้เอง” ไม่พูดเปล่า แต่เจ้าตัวยังทำท่าประกอบพร้อมรอยยิ้มอีก 
    แล้วประโยคแรกหลังจากยืนงงเป็นไก่ตาแตกของฉันก็ออกมาสักที

    “เราเคยเจอกันด้วยเหรอคะ” 
    “เคยสิ .. ดัดฟันด้วยเหรอ ดัดมานานหรือยัง”
    เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน
    อะไรคือทำเหมือนว่าเรารู้จักกันมานาน ฉันยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ แล้วสองขวบ พระเจ้าสองขวบ ใครจะไปจำได้ หน้าพ่อฉันยังจำไม่ได้เลย

    “….”

    ตอนนี้ฉันเหมือนคนน้ำท่วมปากพูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไร มึนๆงงๆไปหมด 

    “เรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว มอสี่ปะ ข้างบนมีโรงเรียนด้วยเหรอ หรือว่าเข้ามาเรียนในตัวเมือง” 

    ไอ้คนตรงหน้าก็ยิงคำถามไม่หยุด ถามอย่างเดียวไม่พอ ยังยิ้มไปยิ้มมา ยิ้มเหมือนเวลาลุงกับป้ามองฉันเลย 

    “….”


    ฉันเป็นคนพูดเก่ง พูดไม่หยุด พูดจนเพื่อนต้องจ้างให้หยุด แต่ตอนนี้ฉันกำลังงงแบบสุดขีด 

    “อ้าว น้องเอยเจอหมอแล้วเหรอ” 

    อะไรนะ
    ฉันหันหลังไปหาลุงนะทันที ชายหนุ่มวัยกลางคนผิวคล้ำเดินออกมาจากตลาดพร้อมถุงข้าวเหนียวหมูย่างในมือ 
    “หมอไหนคะลุง"
    “ก็หมอปั้นนี่ไงครับ โธ่ผมบอกแล้วว่าเดี๋ยวผมกลับมาขนให้ ดูสิขนจนเกลี้ยงเลย” 
    “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ของนิดหน่อยเอง” 
    แล้วลุงนะก็เดินเข้าไปในรถ หยิบพวงมาลัยอันที่ฉันเห็นตอนแรก เดินกลับมาหาผู้หญิงคนนี้ ก่อนจะคล้องลงที่คอ

    “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านเราครับหมอ” 
    มะ  มะ หมอเหรอ 
           ฉันเข้าใจมาตลอดว่าหมอเป็นผู้ชาย 

    ลุงนะเรียกให้ฉันกับเอ่อ .. หมอขึ้นรถ ฉันให้ผู้หญิงคนนั้นนั่งเบาะหน้า เพราะฉันยังไม่หายสงสัย เลยขอแอบมองอยู่เบาะหลัง เผื่อจะนึกอะไรออก อีกเหตุผลหนึ่งก็คือรู้สึกหน้าแตกเรื่องที่ไปหาว่าเขาขึ้นรถผิด
     
    ฟังจากที่คุยกับลุงนะ ผู้หญิงคนนี้ชื่อปั้น อายุเพิ่งเข้าเลขสาม เคยประจำอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพ ก่อนจะขอทำเรื่องย้ายมาประจำอยู่ที่นี่ 
    ตลอดทางที่มา หมอที่ว่าคุยหัวเราะชอบใจกับลุงนะ ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งฟัง
    ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงจ๋า ดูจากการแต่งตัว ท่าทางแล้ว ออกจะห้าวๆหน่อยด้วยซ้ำ  

    ไกลสุดโต่งขนาดนี้ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ยอมทิ้งชีวิตแสนสบายในเมืองหลวงมาเป็นคุณหมอชนบทอยู่ที่นี่ 
    แปลกคนดีพิลึก ..


    หรือว่าถูกไล่ออก ไม่น่าใช่นะ ดูท่าทางใจดีออก
    หรือว่าหนีอะไรมา .. เออแฮะ พอเข้าเค้าหน่อย

    “ช่วงนี้น้องเอยปิดเทอมหรือยัง”
    “คะ”

    บ้าเอ้ย กำลังนินทาอยู่ในใจแท้แท้ คิดจะหันมาคุยด้วยก็หันมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “ปิดแล้วค่ะ”
    “น้องเอยเรียนอยู่ในตัวเมืองครับหมอ อยู่กับลุงทางฝั่งโน้น ปิดเทอมถึงกลับมาบ้านที”

    ลุงนะอธิบายให้เรียบร้อย ส่วนคนถามฟังไปก็ยิ้มไป ก่อนจะเอียงคอส่งยิ้มกว้างมาให้

    “ดีเลยแบบนี้ พี่จะได้มีเพื่อน ไว้น้องเอยพาพี่ไปเที่ยวด้วยนะ”

    ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มนั้นถึงดึงดูดให้ฉันลืมตัวจนตกปากรับคำไป หลายคำถามมากมายยังคงมีอยู่ ตอนนี้อยากกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุดแล้ว 
    แม่ต้องรู้เรื่องนี้แน่แน่ ไปถึงแล้วต้องลากเข้าห้องมาถามให้รู้เรื่อง แต่ต้องไม่ให้ยายเห็น เดี๋ยวโดนบ่นอีก

    “ยังชอบกินอมยิ้มอยู่ไหม” 
    “คะ”

    คำยอดฮิตของฉันวันนี้ขอเสนอคำว่า คะ  ทำไมทุกครั้งที่มีคำถามส่งมา ฉันต้องตกใจ ทำตัวไม่ถูกอยู่เรื่อยเลย ว่าแต่ รู้ด้วยเหรอว่าตอนเด็กๆฉันชอบกินอมยิ้ม เอาซะฟันผุเกือบหมดปาก 
    ตอนไปจัดฟันหมอสบายเลย เพราะไม่เหลืออะไรให้ถอนออกแล้ว 

    “ไม่กินแล้วค่ะ” 
    “พี่ก็คิดอยู่ว่าน้องเอยคงไม่กินแล้ว แต่พี่ก็ยังซื้อติดมาอยู่ดี .. เอาเก็บไว้แล้วกัน” 
    อมยิ้มสีลูกกวาด ของกินเล่นแสนรักของฉันสมัยเด็กถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

    หมอหันไปคุยกับลุงนะต่อ ส่วนฉันก็นั่งถืออมยิ้มอยู่ในมือ 
    อยู่ดีดีก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจนถึงตอนนี้ เจ้าอมยิ้มในมือคือสิ่งแรกที่เข้ามาสะกิดหัวใจฉัน 

    คล้ายกับเคยมีใครยื่นให้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว 



    วงแหวนดาวเสาร์.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×