ลำดับตอนที่ #26
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ทดสอบ
CHAPTER 01 : อลิเซีย บลานเช่
ตามเรื่องเล่าแต่บรรพกาล เวทมนตร์ถูกกล่าวขานว่าเป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมอบให้กับเหล่าบรรพบุรุษของหมู่มวลมนุษย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารในเวลาเพียงไม่นาน แต่กระนั้นเวลาแห่งความสุขก็หมดไป สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดกำเนิดขึ้นบนโลกและออกทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอย่างโหดร้าย
พวกเราเรียกมันว่าปีศาจ และสถานที่ซึ่งพวกมันอาศัยอยู่เรียกว่า ดันเจี้ยน
แต่เมื่อมีปีศาจย่อมมีผู้ที่สามารถจัดการพวกมันได้ เหล่าผู้มีพลังเวทมนตร์ 'นักเวทย์' หลายประเทศเริ่มจัดตั้งกองกำลังนักเวทย์เพื่อปราบปรามการรุกรานของปีศาจ รวมถึงประเทศอัลเดนเช่นกัน
ประเทศอัลเดนมีความสำคัญอย่างไรน่ะหรอ..?
อัลเดนเป็นประเทศแรกที่จัดตั้งสถาบันเพื่ออบรมสั่งสอนเหล่าผู้มีพลังเวทมนตร์ ทั้งยังมีหลักสูตรการสอนที่ดี มาตรฐานสูงติดอันดับโลก ชื่อเสียงจึงแพร่สะพัดไปทั่วไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักเป็นแน่ ไม่ว่าใครในประเทศนี้และประเทศข้างเคียงก็หมายปองที่จะเข้ามาศึกษาในสถาบันนี้กันทั้งนั้น
แต่มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะได้เข้าศึกษาในสถาบันนี้
สายลมหอบใหญ่ยามคล้อยบ่ายพัดโชยมา ใบไม้เคลื่อนไหวไปตามทิศทางของสายลม หนังสือเล่มหนาในมือถูกพับปิดลงเมื่อพบว่าลมพัดแรงขึ้น สายตาสอดส่องมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม
นั่นเป็นสัญญาณว่าพายุรอบแรกของฤดูฝนในปีนี้กำลังจะมา ไม่รอช้ามือทั้งสองรีบเก็บหนังสือให้ทันก่อนฝนจะเทลงมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้าไป
สายฝนเทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า เด็กสาวได้แต่รีบวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหนังสือในกระเป๋าคงเปียกแฉะจนหยิบมาอ่านไม่รู้เรื่อง และเป็นโชคดีของเธอที่จุดหมายอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เธออยู่นัก
" กลับมาแล้วค่ะ "
" ตายจริง! ตัวเปียกไปหมดเลย "
เด็กสาวเอ่ยขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาภายในตัวบ้าน ผู้มีศักดิ์เป็นมารดาเห็นก็รีบตรงปรี่มาพร้อมผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตา ก่อนจะเริ่มเช็ดหัวที่เปียกแฉะ
คนเป็นแม่บ่นลูกสาวตัวดีของตัวเองก่อนจะบอกให้ไปอาบน้ำด้วยความกลัวลูกจะเป็นไข้หวัดล่มป่วยไปเสียก่อน
" นี่อลิเซียแล้วหนังสือฉันล่ะ " ดันเต้ที่เห็นสภาพของผู้เป็นน้องสาวจึงรีบวิ่งมา ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นห่วงเธอแต่อย่างใด คงจะห่วงหนังสือสุดรักสุดหวงที่ให้เธอยืมไปอ่านมากกว่า
" เอ่อ..คิดว่ายังอ่านได้อยู่นะ "
" ทำไมถึงทำเสียงไม่มั่นใจแบบนั้นล่ะ! "
อลิเซียกล่าวตอบอย่างไม่มั่นใจเสียเท่าไร เธอยังไม่ได้เปิดดูสภาพหนังสือเลย พอตรวจสอบดูก็พบว่ามีแค่บางส่วนเท่านั้นที่เปียก ถ้านำไปผึ่งให้แห้งก็คงจะอ่านได้ปกติ ถือเป็นโชคดีของเธอจริงๆ ไม่อย่างนั้นเด็กสาวคงโดนพี่ชายบ่นจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่
ถ้ารู้ว่าพายุจะมาเธอไม่ออกไปอ่านหนังสือข้างนอกหรอก
หลังจากที่อลิเซียอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดิบพอดี ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงจากบันได กลิ่นของเนื้อวัวและสมุนไพรนานาชนิดที่หอมฟุ้งไปทั่วบ้านโชยมาแตะจมูก จานอาหารหลายอย่างถูกนำมาวางเรียงกันบนโต๊ะไม้สีเข้ม
แน่นอนว่าทุกคนในบ้านล้วนหยุดทุกกิจกรรมที่กำลังทำอยู่แล้วมานั่งพร้อมเพรียงกันบนโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้วก็เริ่มรับประทานอาหารกัน
ต่างคนต่างกินอาหารในจานของตนกันอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงเศษไม้ติดไฟในเตาผิงและเสียงลมพายุจากภายนอกเท่านั้น ทว่าชายมีอายุบนโต๊ะอาหารเปิดบทสนทนาขึ้นทำลายความเงียบนี้
" อลิซ..ทำไมลูกไม่กินแครอท " เธอเบ้ปากแล้วเบือนหน้าหนี ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่ายไปแต่แค่การแสดงออกก็คงรู้ว่ามันหมายถึงเธอจะไม่กินเด็ดขาด ไม่มีทาง
" อร่อยจะตายนะ " ชายคนเดิมตอบกลับและตักแครอทเข้าปาก
" ถ้าอร่อยนักพ่อก็กินเองสิ หนูยกของหนูให้เลย "
เขาหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินคำตอบแกมประชดประชันของเธอ อลิเซียยิ่งทำหน้าบูดบึ้งเข้าไปใหญ่ ส่วนคุณแม่ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอาพ่อลูกคู่นี้
แต่กระนั้นมันก็เป็นสีสันเล็กๆของครอบครัวนี้ล่ะนะ
" แล้วเตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ "
" อือ " อลิเซียตอบกลับและยักไหล่
พรุ่งนี้เธอก็จะอายุครบ 15 ปีแล้ว เป็นวัยที่ต้องเข้ารับการศึกษาตามกฎหมายบังคับ แล้ววันเกิดเธอมันก็ดันไปตรงกับวันรับสมัครนักเรียนของสถาบันโฟทิออส สถาบันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านการปลุกปั้นนักเวทย์ที่เก่งกาจมามากมาย อลิเซียก็เป็นหนึ่งในผู้มีเวทมนตร์เหมือนกันย่อมอยากที่จะเข้าศึกษาที่นี่อยู่แล้ว
ผู้ที่มีพลังเวทมนตร์มีไม่มากนัก...และผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าเรียนที่สถาบันโฟทิออสยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
แต่อลิเซียไม่ยอมแพ้หรอกนะ เธอจะต้องเข้าไปเรียนที่นั่นให้ได้
" เอาล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เด็กๆเตรียมตัวไปนอนกันได้แล้วนะ "
คุณแม่คนสวยกล่าว สองพี่น้องก็ตอบรับประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ใครหน้าไหนมันจะไปนอนหลับลงกันล่ะ เธอตื่นเต้นสุดๆรอคอยวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีทางจะหลับลงหรอก
ดันเต้ผู้เป็นพี่ชายก็ดูจะตื่นเต้นไปกับเธอด้วยเหมือนกัน เขาไม่มีพลังเวทมนตร์ก็เลยได้เข้าเรียนในสถาบันทหารแห่งหนึ่งในเมืองหลวงและเขาก็กำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม ความจริงแล้วทั้งครอบครัวเธอไม่มีใครมีพลังเวทมนตร์เลยสักคน พอรู้ว่าอลิเซียสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกคนก็แตกตื่นและดีใจกันยกใหญ่
พอนึกถึงตอนนั้นแล้วก็ยังรู้สึกตลกอยู่เลย
" อ่าาา นอนไม่หลับเลย " อลิเซียถอนหายใจพลางล้มตัวลงนอนบนฟูก ตอนนี้ก็ชักจะดึกมากเสียแล้ว คงจะต้องพยายามข่มตาให้หลับจริงๆสักที แถมพี่ดันเต้ก็ดันชิงหลับไปก่อนอีก
เอื้อมมือไปดับตะเกียงไฟบนโต๊ะจนทั้งห้องมืดสนิทก่อนที่ตาทั้งสองข้างจะปิดลง ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่ในท้ายที่สุดอลิเซียก็จมลงในห้วงนิทรา…
ดวงตะวันขึ้นเหนือขอบฟ้า รุ่งอรุณวันใหม่มาเยือนจนได้ เป็นสัญญาณว่าใกล้จะได้เวลาเดินทางของเด็กสาวเต็มที เพราะว่าบ้านของเธออยู่ในแถบชนบท การจะเดินทางเข้าเมืองหลวงให้เร็วที่สุดก็มีแต่จะต้องขอรบกวนติดสอยห้อยตามคาราวานพ่อค้าของคนบ้านใกล้เรือนเคียงไปด้วย
" ยัยหนู! จะออกรถแล้วรีบมาเร็วเข้า " ชายสูงอายุตะโกนเรียก รถขนของคันใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวกันไปทีละคัน
ตามเรื่องเล่าแต่บรรพกาล เวทมนตร์ถูกกล่าวขานว่าเป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมอบให้กับเหล่าบรรพบุรุษของหมู่มวลมนุษย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารในเวลาเพียงไม่นาน แต่กระนั้นเวลาแห่งความสุขก็หมดไป สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดกำเนิดขึ้นบนโลกและออกทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอย่างโหดร้าย
พวกเราเรียกมันว่าปีศาจ และสถานที่ซึ่งพวกมันอาศัยอยู่เรียกว่า ดันเจี้ยน
แต่เมื่อมีปีศาจย่อมมีผู้ที่สามารถจัดการพวกมันได้ เหล่าผู้มีพลังเวทมนตร์ 'นักเวทย์' หลายประเทศเริ่มจัดตั้งกองกำลังนักเวทย์เพื่อปราบปรามการรุกรานของปีศาจ รวมถึงประเทศอัลเดนเช่นกัน
ประเทศอัลเดนมีความสำคัญอย่างไรน่ะหรอ..?
อัลเดนเป็นประเทศแรกที่จัดตั้งสถาบันเพื่ออบรมสั่งสอนเหล่าผู้มีพลังเวทมนตร์ ทั้งยังมีหลักสูตรการสอนที่ดี มาตรฐานสูงติดอันดับโลก ชื่อเสียงจึงแพร่สะพัดไปทั่วไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักเป็นแน่ ไม่ว่าใครในประเทศนี้และประเทศข้างเคียงก็หมายปองที่จะเข้ามาศึกษาในสถาบันนี้กันทั้งนั้น
แต่มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะได้เข้าศึกษาในสถาบันนี้
สายลมหอบใหญ่ยามคล้อยบ่ายพัดโชยมา ใบไม้เคลื่อนไหวไปตามทิศทางของสายลม หนังสือเล่มหนาในมือถูกพับปิดลงเมื่อพบว่าลมพัดแรงขึ้น สายตาสอดส่องมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม
นั่นเป็นสัญญาณว่าพายุรอบแรกของฤดูฝนในปีนี้กำลังจะมา ไม่รอช้ามือทั้งสองรีบเก็บหนังสือให้ทันก่อนฝนจะเทลงมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้าไป
สายฝนเทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า เด็กสาวได้แต่รีบวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหนังสือในกระเป๋าคงเปียกแฉะจนหยิบมาอ่านไม่รู้เรื่อง และเป็นโชคดีของเธอที่จุดหมายอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เธออยู่นัก
" กลับมาแล้วค่ะ "
" ตายจริง! ตัวเปียกไปหมดเลย "
เด็กสาวเอ่ยขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาภายในตัวบ้าน ผู้มีศักดิ์เป็นมารดาเห็นก็รีบตรงปรี่มาพร้อมผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตา ก่อนจะเริ่มเช็ดหัวที่เปียกแฉะ
คนเป็นแม่บ่นลูกสาวตัวดีของตัวเองก่อนจะบอกให้ไปอาบน้ำด้วยความกลัวลูกจะเป็นไข้หวัดล่มป่วยไปเสียก่อน
" นี่อลิเซียแล้วหนังสือฉันล่ะ " ดันเต้ที่เห็นสภาพของผู้เป็นน้องสาวจึงรีบวิ่งมา ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นห่วงเธอแต่อย่างใด คงจะห่วงหนังสือสุดรักสุดหวงที่ให้เธอยืมไปอ่านมากกว่า
" เอ่อ..คิดว่ายังอ่านได้อยู่นะ "
" ทำไมถึงทำเสียงไม่มั่นใจแบบนั้นล่ะ! "
อลิเซียกล่าวตอบอย่างไม่มั่นใจเสียเท่าไร เธอยังไม่ได้เปิดดูสภาพหนังสือเลย พอตรวจสอบดูก็พบว่ามีแค่บางส่วนเท่านั้นที่เปียก ถ้านำไปผึ่งให้แห้งก็คงจะอ่านได้ปกติ ถือเป็นโชคดีของเธอจริงๆ ไม่อย่างนั้นเด็กสาวคงโดนพี่ชายบ่นจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่
ถ้ารู้ว่าพายุจะมาเธอไม่ออกไปอ่านหนังสือข้างนอกหรอก
หลังจากที่อลิเซียอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดิบพอดี ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงจากบันได กลิ่นของเนื้อวัวและสมุนไพรนานาชนิดที่หอมฟุ้งไปทั่วบ้านโชยมาแตะจมูก จานอาหารหลายอย่างถูกนำมาวางเรียงกันบนโต๊ะไม้สีเข้ม
แน่นอนว่าทุกคนในบ้านล้วนหยุดทุกกิจกรรมที่กำลังทำอยู่แล้วมานั่งพร้อมเพรียงกันบนโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้วก็เริ่มรับประทานอาหารกัน
ต่างคนต่างกินอาหารในจานของตนกันอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงเศษไม้ติดไฟในเตาผิงและเสียงลมพายุจากภายนอกเท่านั้น ทว่าชายมีอายุบนโต๊ะอาหารเปิดบทสนทนาขึ้นทำลายความเงียบนี้
" อลิซ..ทำไมลูกไม่กินแครอท " เธอเบ้ปากแล้วเบือนหน้าหนี ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่ายไปแต่แค่การแสดงออกก็คงรู้ว่ามันหมายถึงเธอจะไม่กินเด็ดขาด ไม่มีทาง
" อร่อยจะตายนะ " ชายคนเดิมตอบกลับและตักแครอทเข้าปาก
" ถ้าอร่อยนักพ่อก็กินเองสิ หนูยกของหนูให้เลย "
เขาหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินคำตอบแกมประชดประชันของเธอ อลิเซียยิ่งทำหน้าบูดบึ้งเข้าไปใหญ่ ส่วนคุณแม่ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอาพ่อลูกคู่นี้
แต่กระนั้นมันก็เป็นสีสันเล็กๆของครอบครัวนี้ล่ะนะ
" แล้วเตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ "
" อือ " อลิเซียตอบกลับและยักไหล่
พรุ่งนี้เธอก็จะอายุครบ 15 ปีแล้ว เป็นวัยที่ต้องเข้ารับการศึกษาตามกฎหมายบังคับ แล้ววันเกิดเธอมันก็ดันไปตรงกับวันรับสมัครนักเรียนของสถาบันโฟทิออส สถาบันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านการปลุกปั้นนักเวทย์ที่เก่งกาจมามากมาย อลิเซียก็เป็นหนึ่งในผู้มีเวทมนตร์เหมือนกันย่อมอยากที่จะเข้าศึกษาที่นี่อยู่แล้ว
ผู้ที่มีพลังเวทมนตร์มีไม่มากนัก...และผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าเรียนที่สถาบันโฟทิออสยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
แต่อลิเซียไม่ยอมแพ้หรอกนะ เธอจะต้องเข้าไปเรียนที่นั่นให้ได้
" เอาล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เด็กๆเตรียมตัวไปนอนกันได้แล้วนะ "
คุณแม่คนสวยกล่าว สองพี่น้องก็ตอบรับประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ใครหน้าไหนมันจะไปนอนหลับลงกันล่ะ เธอตื่นเต้นสุดๆรอคอยวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีทางจะหลับลงหรอก
ดันเต้ผู้เป็นพี่ชายก็ดูจะตื่นเต้นไปกับเธอด้วยเหมือนกัน เขาไม่มีพลังเวทมนตร์ก็เลยได้เข้าเรียนในสถาบันทหารแห่งหนึ่งในเมืองหลวงและเขาก็กำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม ความจริงแล้วทั้งครอบครัวเธอไม่มีใครมีพลังเวทมนตร์เลยสักคน พอรู้ว่าอลิเซียสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกคนก็แตกตื่นและดีใจกันยกใหญ่
พอนึกถึงตอนนั้นแล้วก็ยังรู้สึกตลกอยู่เลย
" อ่าาา นอนไม่หลับเลย " อลิเซียถอนหายใจพลางล้มตัวลงนอนบนฟูก ตอนนี้ก็ชักจะดึกมากเสียแล้ว คงจะต้องพยายามข่มตาให้หลับจริงๆสักที แถมพี่ดันเต้ก็ดันชิงหลับไปก่อนอีก
เอื้อมมือไปดับตะเกียงไฟบนโต๊ะจนทั้งห้องมืดสนิทก่อนที่ตาทั้งสองข้างจะปิดลง ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่ในท้ายที่สุดอลิเซียก็จมลงในห้วงนิทรา…
ดวงตะวันขึ้นเหนือขอบฟ้า รุ่งอรุณวันใหม่มาเยือนจนได้ เป็นสัญญาณว่าใกล้จะได้เวลาเดินทางของเด็กสาวเต็มที เพราะว่าบ้านของเธออยู่ในแถบชนบท การจะเดินทางเข้าเมืองหลวงให้เร็วที่สุดก็มีแต่จะต้องขอรบกวนติดสอยห้อยตามคาราวานพ่อค้าของคนบ้านใกล้เรือนเคียงไปด้วย
" ยัยหนู! จะออกรถแล้วรีบมาเร็วเข้า " ชายสูงอายุตะโกนเรียก รถขนของคันใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวกันไปทีละคัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น