ตอนที่ 2 : ตำตา ตำใจ 90%
ร่างบางเดินเซน้อยๆ ช่วงขาเรียวยาวที่โผล่พ้นขอบชายกระโปรงสั้นแค่ครึ่งขาก้าวสะเปะสะปะ ผ่านชั้นวางของที่เรียงรายเป็นตับตรงไปหยุดลงหน้าตู้แช่เครื่องดื่ม มือที่จับที่เปิดประตูชะงักงัน เมื่อสบตากับใครบางคนในกระจกตรงหน้า ดวงตาปรือหรี่กะพริบอย่างเชื่องช้า กวาดตามองร่างสูงระหงโปร่งบางที่ยืนประจัน
หญิงสาวผมยาวหยิกสลวย ในชุดค็อกเทลเดรสสีแดงสั้น แสนเซ็กซี่ชวนตะลึง
เธอเป็นคนสวย...ใครก็เอ่ยชมด้วยคำนี้อยู่บ่อยๆ แถมยังสดใส น่ารัก ช่างพูด ช่างเจรจา เจ้าเสน่ห์
หากลงลึกลงไปในโปรไฟล์ส่วนตัว ครอบครัวของพิจิกาย้ายไปตั้งรกรากที่อเมริกาเมื่อสิบห้าปีก่อน เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่มีชื่อเสียงด้านเศรษฐศาสตร์ พอจบมาก็ได้ทำงานในบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนข้ามชาติ ด้วยตำแหน่งที่การันตีด้วยเงินเดือนสูงลิบลิ่ว
ความสวยเพียบพร้อมทั้งคุณสมบัติ และรูปสมบัติ ควรที่จะกวักมือหยอยๆ เรียกให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เรียงแถวดาหน้ากันเข้ามาจีบ...และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย
แต่ผู้ชายที่เธอมีจิตปฏิพัทธ์ให้ กลับเป็นชายหนุ่มหน้าขรึมสวมแว่นแบบนักวิชาการ ไม่ได้ดูมีเสน่ห์แพรวพราวแต่อย่างใด
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขามีเมียแล้ว...เมียเป็นตัวเป็นตนที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง และอยู่ในสถานะคู่ผัวตัวเมียที่คนรับรู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
ในขณะที่เธอผู้เปี่ยมล้นเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติแสนเลิศเลอเพอเฟ็คในทุกด้าน...กลับเป็นได้เพียงแค่แฟนเก็บ...กิ๊กหรือแค่ผู้หญิงลับๆ ของเขาเท่านั้น
หญิงสาวชี้หน้าคนในกระจก
“ให้ตายเถอะพิจิ เธอนี่มันสิ้นคิดจริงๆ ผู้ชายมีมากมายเหมือนฝูงลิง จะควงทิ้ง เดทขว้างก็ยังไหว ทำไมต้องมาชอบเขาด้วยห๊า”
ถามเสียงสูงอย่างโกรธกริ้วเล็กๆ ที่คนตรงหน้าช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
พนักงานในร้านที่กำลังจัดเรียงสินค้า โผล่หน้ามามองอย่างสงสัย เมื่อได้ยินเสียง
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะคุณ?”
พิจิกาหันหน้าไปมองคนมีน้ำใจ ส่ายหน้าน้อยๆ ปฏิเสธไป จนอีกฝ่ายหายตัวไปตามหมู่ชั้นวาง ขาที่ไม่มั่นคงเซถอยหลังไปสองก้าว ก่อนกลับมายืนตั้งหลักอีกครั้ง
บ้าจริง...คนอะไรมายืนทะเลาะกับเงาของตัวเองในกระจก...ไม่บ้า ก็คงเมา
อื้ม! นั่นสินะ เธอคงจะเมาแล้ว
ไวน์ตั้งสี่แก้ว มากกว่าทุกครั้งที่เคยดื่ม เพราะคิดว่ามันจะช่วยให้ลืมเรื่องไม่สบายใจไปได้ แต่เปล่าเลย ในหัวหนักๆ มึนๆ หน่วง สติไม่เต็มร้อย โชคดีแค่ไหนแล้วที่ขับรถมาจนถึงมินิมาร์ทหน้าหมู่บ้าน โดยไม่ไปเฉี่ยวชนใครเข้า และไม่โดนพี่ๆ ตำรวจเรียกลงมาตรวจวัดแอลกอฮอล์ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะขำไม่ออกแน่ๆ
มือเรียวยกขึ้นขยี้หัว จนพวงผมหยักยาวหนายุ่งเหยิง
ไม่เป็นไร...ไหนๆ ก็เมาแล้ว เอาให้มันหลับคาขวดไปเลยจะเป็นไร เพราะถ้าไม่เมาเธอก็คงนอนไม่หลับเป็นแน่ ใจมันคอยแต่จะคิดเรื่องที่ไม่สบายใจ พาลพาให้จิตตกเสียเปล่าๆ
“หึๆ”
หญิงสาวหัวเราะให้กับตัวเอง จะขำก็ไม่ใช่ จะเครียดก็ไม่เชิง...คนเมากับคนบ้า อาการน่าจะใกล้เคียงกัน และเธอก็ยืนอยู่บนเส้นแบ่งนั้นแบบหมิ่นเหม่
มือเรียวทาเล็บสีแดงมะกล่ำออกแรงดึงเปิดประตูตู้แช่ กวาดสายตามอง ก่อนเลือกที่จะหยิบเบียร์กระป๋องเขียวรสชาตินุ่มลิ้นสัญชาติเยอรมันออกมา
หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...กี่กระป๋องดีล่ะ? ที่จะช่วยกล่อมสติให้หลับใหลไปโดยไม่ต้องย้ำคิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวด
มือบางกวาดกว้านเอาเบียร์กระป๋องเท่าที่มีปัญญาหอบไหวเดินไปวางที่เคาน์เตอร์ พนักงานหน้าง่วงเงยหน้าขึ้นมามองเธอแว่บหนึ่ง ก่อนจะยิงบาร์โค้ดคิดราคา
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น พร้อมกับใครบางคนที่ก้าวเข้ามาภายใน และทักทายราวกับรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
“อ้าว! คุณ ดื่มเบียร์ด้วยหรือครับนี่?”
อีกฝ่ายว่า พร้อมฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวจั๊วะตัดกับผิวเนื้อแดงดำ
ใบหน้างามหันไปหรี่ตามองผู้ชายในชุดเครื่องแบบสีฟ้าที่เอ่ยทักทาย พยายามระลึกว่าเธอกับเขาเคยรู้จักมักจี่กันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?
“เมาหรือเปล่าครับนี่ ตาเยิ้มเชียว” มองเรือนร่างสูงโปร่งที่ยืนเอนตัวน้อยๆ อย่างนึกห่วง
“ไม่ม้าว” เสียงสูงตอบกลับไป พร้อมกับหัวเราะร่วนอารมณ์ดี
“อื้อหือ...ไม่เมา กลิ่นเหล้าหึ่งมาเชียว แล้วนี่มากับใครครับ?” ถามพร้อมกับกวาดตามองหา จำได้ว่าเจ้าตัวมักขับรถมินิคูเปอร์สีขาวเข้าออกอยู่คนเดียวบ่อยครั้ง นานๆ หรอกถึงจะเห็นมากับหนุ่มแว่นท่าทางภูมิฐานที่ไม่แน่ใจว่าใช่คนรักของเธอหรือเปล่ามาด้วยกัน
“มาคนเดียว”
“แล้วมายังไงครับนี่ ขับรถเองรึเปล่า? ถ้าเมาห้ามขับนะครับ ตำรวจจับปรับด้วย แถมยังติดคุกอีก วันก่อนคุณนิติกรซอยสาม ก็เพิ่งขับรถเสยรูปปั้นตรงปากทางเข้าสวนเพราะเมานี่แหละ”
หัวคิ้วสองข้างขมวดมุ่น เมื่อชื่อไม่คุ้นหูทั้งหลายผ่านเข้ามาในโสตประสาท ตกลงว่า เธอกับชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนพรีเซนเตอร์บนหลอดยาสีฟันดาร์ลี่นี่รู้จักกันหรือเปล่า ก็พอดีที่วิทยุเหน็บสะเอวของอีกฝ่ายดังขึ้นเสียก่อน
“อะไรนะ ทะเลาะกันใหญ่โตเลยหรือ? โอเคๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้” ฝ่ายนั้นก็ผลุนผลันออกไป ทิ้งให้เธอยืนงงอยู่หน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์เพียงลำพัง
“สามร้อยยี่สิบบาทค่ะ”
นิ้วเรียวคลี่แบงค์สีแดงยับๆ ในมือวางแปะลงที่เคาน์เตอร์
“ไม่ต้องทอน” บอกอย่างใจกว้าง แล้วก็หยิบเบียร์ขึ้นมากระป๋องหนึ่งดึงสลักเปิด
“แต่คุณยังจ่ายไม่ครบนะคะ”
มือที่กำลังจะยกเบียร์ขึ้นซดชะงักค้าง หน้ามุ่ย ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ฉันมีเท่านี้แหละ งั้นเอากระป๋องเดียวก็ได้”
บอกแล้วก็เดินตุปัดตุเป๋ผ่านประตูกลับมาหา ‘หนูจี๊ด’ มินิคูเปอร์สีขาวคู่ใจที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
“กุญแจ...กุญแจ” มือบางตบแปะๆ หาตามเนื้อตามตัว...แต่ก็ไม่พบ
ตายล่ะหว่า! หรือว่าเธอทำกระเป๋าหาย ในนั้นมีทั้งกุญแจรถ กุญแจบ้าน และยังจะกระเป๋าสตางค์ด้วย
พิจิกาพยายามดึงที่เปิดประตูแต่ก็เปิดไม่ออก...จึงชะโงกใบหน้าแนบกระจกมองเข้าไปข้างใน และก็พบว่าสมบัติประดามีทั้งหลายที่กำลังตามหาอยู่ข้างในนั้นทั้งหมด รวมถึงกุญแจก็วางแหมะไว้ที่เบาะข้างคนขับนั่นเอง
“แล้วฉันจะกลับบ้านยังไงนี่?” ถามตัวเอง พร้อมเกาหัวแกร็กๆ จนผมยุ่งเหยิง มองไปรอบๆ เพื่อหาผู้ช่วย แต่ก็ไม่เห็นใคร จึงกระดกกระป๋องเบียร์ซดไปอึกใหญ่หวังว่าจะคิดออก...แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี
“อื้ม...เมาไม่ขับนี่นา...ว่าแต่เราเมาแล้วเหรอ?”
ถามคนเมา ไม่มีใครยอมรับหรอกว่าตัวเองเมา แต่จนด้วยหนทางที่เธอจะแงะงัดเอาสมบัติข้างในออกมาได้ ซิคิวริตี้หนุ่มในชุดสีฟ้าหน้าหมู่บ้านก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
เดินเอาก็ได้ว่ะ...ไหนๆ พระเจ้าก็ประทานสองขามาให้เดินแล้วนี่นา
คิดได้ดังนั้นแล้วเท้าเรียวที่ซุกในคริสเตียนลูบูแตงคู่เก่งก็ออกก้าวเดินอีกครั้ง แม้จะเซน้อยๆ แต่ก็ยังสามารถทรงตัวอยู่บนส้นสูงหกนิ้วได้อย่างเหลือเชื่อ
+++++++++
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

4 ความคิดเห็น
-
#4 fsn (จากตอนที่ 2)วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 / 04:10ประมาท ซะงั้น เหล้ามา สติหาย#40