ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #2 : เงื่อนไขข้อที่ 1 : นามของผู้กล้านั่นคืออลิซ!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 183
      2
      4 เม.ย. 59

    เงื่อนไขข้อที่ 1 : นามของผู้กล้านั่นคืออลิซ!

     

    หลังจากนั้นอีกหกปีให้หลัง...

    เมืองแห่งสายน้ำ อความารีน อลิซอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ถึงรู้ว่าเมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการค้าขายอยู่ไม่น้อย ส่วนเหตุผลนั่น ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีท่าเรือขนาดใหญ่และอยู่ติดกับทะเล หรือจะเป็นเพราะมีการตลาดชั้นยอดอยู่ เด็กหนุ่มผู้สวมผ้าพันคอติดตัวเป็นประจำกลับไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนั้น

    เพราะสิ่งที่อลิซให้ความสนใจเกี่ยวกับเมืองนี้ก็คือเวลาน้ำขึ้น เมื่อถึงช่วงเวลานั้น มันสุดแสนจะเป็นเรื่องวุ่นวายเพราะทางเดินด้วยเท้าส่วนใหญ่จะจมอยู่ใต้น้ำ ส่วนทางน้ำเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก ประสบพบกับปัญหาไม่ต่างกันเท่าไรจนทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปเช่นกัน

    ทว่าด้วยปัญหาเหล่านั้นกลับไม่ทำให้อารมณ์ของอลิซขุ่นมัวลงไปได้เลย เด็กหนุ่มยังคงเดินถือช่อดอกไม้สีขาวสะอาดตาไปตามทางที่ต้องปรับเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายก็ต้องใช้เส้นทางใหม่ อย่างเดินทะลุป่าเมเปิ้ลที่ตั้งอยู่หลังสุสานไป จนสามารถมาโผล่อยู่บนเนินสูงที่มีป้ายหินสีขาวเรียงรายอยู่ได้ในที่สุด ก่อนเริ่มกวาดสายตามองหาบางสิ่ง สองขาก็ออกเดินไปจนมาหยุดลงอยู่หน้าป้ายหินที่สลักชื่อ อลิเซีย เนียร์

     “ผมมาเยี่ยมคุณแม่แล้วนะครับ” ว่าออกไปพร้อมวางช่อดอกไม้สีขาวลง ระหว่างนั้นสร้อยคอมือกลับหลุดออก ทำให้คิดไปได้ว่าตัวเชือกที่ถักเป็นสร้อยอาจเก่ามากแล้วก็เป็นได้ อลิซถึงได้ก้มลงไปเก็บจี้หินสีน้ำเงินเข้มจนเกือบจะกลายเป็นสีดำ ตัวหินถูกพันรอบด้วยทองคำขาว ตรงใจกลางจะมีดอกฟอร์เก็ตมีน็อตสีขาวขึ้นมาถือเอาไว้มือ

    โชคดีนะครับ ที่มันไม่ได้ขาดหายไประหว่างทาง ถ้าหายไปคุณแม่คงบ่นผมแย่เลย” หรือไม่บางทีอาจเป็นตัวเขาเองที่รู้สึกโศกเศร้า เพราะแต่เดิมมันเป็นของที่คุณแม่ใส่ติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา สำหรับอลิซแล้วจึงถือได้ว่าเป็นของดูต่างหน้า

    “จริงสิครับ วันนี้คุณพ่อก็ออกไปทำงานของฟาริสอีกแล้วล่ะครับ อีกสามวันก็คงจะกลับ แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากที่คุณแม่จากไป คุณพ่อก็รับงานด้านฟาริสบ่อยขึ้น ส่วนงานขายผลไม้ไม่ค่อยได้ทำบ่อยเท่าเมื่อก่อนแล้วครับ”

    หลังจากคุณแม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน คุณพ่อของเขาก็เริ่มทำอาชีพรองมากขึ้น ส่วนเหตุผลเห็นบอกว่ามันได้เงินดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไม อลิซถึงได้รู้สึกว่าผู้เป็นพ่อกำลังหาตัวคนร้ายที่ฆ่าคุณแม่มากกว่าทำเพราะได้เงิน คิดแล้วก็ได้แต่นึกถอนหายใจ ก่อนนึกย้อนไปถึงคำพูดสุดท้ายของคุณแม่ ก่อนท่านจะจากไป...

    “อลิซ... ลูกต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ”

    รอยยิ้มแสนเศร้าประดับขึ้นบนใบหน้า มือทั้งสองข้างกำจี้หินเอาไว้แน่นก่อนตัดสินใจว่าควรกลับได้แล้ว เพราะหากอยู่นานกว่านี้เวลากลับจะลำบากเอาได้ เด็กหนุ่มจึงได้กล่าวคำบอกลากับผู้เป็นแม่ที่พักผ่อนอย่างสงบอยู่ใต้ป้ายหินตรงหน้า แล้วเดินย้อนกลับไปทางเก่า เข้าไปในป่าเมเปิ้ลที่เขากับคุณพ่อมักจะมาฝึกวิชาดาบด้วยกันบ่อยครั้ง

    ทว่ายามเมื่อเดินกลับเข้ามาในป่าครั้งนี้ อลิซรับรู้ได้ว่าป่ามันมีอะไรแปลกๆ สายตากวาดมองไปโดยรอบแต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใด พาให้อดคิดไปไม่ได้ว่าบางทีเขาคงจะคิดมากจนเกินไป สองขาจึงเริ่มออกตัวก้าวเดินไปอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังตรงเข้ามา

    ตึกๆ

    สายตาตวัดหันไปมองยังตำแหน่งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าในทันที แม้ตอนนี้จะยังมองไม่เห็นแต่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าสิ่งที่กำลังวิ่งตรงมา จะต้องปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน

    ...หนึ่ง...

    นับถอยหลังอยู่ภายในใจ ขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเตรียมวิ่งกลับไปที่สุสานในทันที หากสิ่งที่เห็นเป็นสัตว์อสูร เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนคิดว่าอีกสองนาทีข้างหน้า คงได้เห็นเจ้าของเสียงฝีเท้าแล้วอย่างแน่นอน ทว่าพอเขานับถึงสอง

    ...สอง...

    “สายแล้วๆ”

    ประโยคคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ดังขึ้นจากทางด้านหลังที่ถ้าจำไม่ผิด มันมีก็แต่ทางน้ำ ไม่น่าจะมีเส้นทางที่ให้คนเดินอยู่ได้ ถึงอย่างนั้นอลิซก็หันกลับไปมองทางด้านหลัง ผ่านแนวต้นเมเปิ้ลออกไป เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนราวกับไข่มุก เส้นผมสีขาวเป็นประกายยามเมื่อต้องแสงแดดอ่อนๆ ยาวจนถึงหัวเข่า

    แล้วเมื่อชายคนนั้นปัดเส้นผมที่ปิดใบหน้าอยู่ออก ก็จะเห็นได้ว่าใบหน้าของเขาดูสวยเสียมากกว่าเท่ นัยน์ตาเรียวคมเป็นสีแดงเข้ม หากไม่สังเกตให้ดีก็อาจจะนึกไปได้ว่าเป็นสีดำ ตรงหน้าผากเหมือนเห็นกลีบดอกไม้สีขาวประกายสีเงินติดอยู่กลางหน้าผากสามกลีบ

    มองจากรูปร่างลักษณะหน้าตาโดยรวมแล้วน่าจะเป็นพวกลูกคุณหนู แต่พอเห็นชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว มันก็เกิดความคิดที่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคุณหนูตกอับขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ใช่ของดีอะไร ออกแนวเป็นของพื้นบ้านที่หาได้ทั่วไปเสียด้วยซ้ำ

    “เอ่อคือ... เป็นอะไรไหมครับ” พึ่งคิดได้ว่าเผลอมองสำรวจอีกฝ่ายนานไปหน่อย กว่าจะคิดได้ว่าตัวอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า มันเปียกไปหมดก็ใช้เวลาอยู่นานพอตัว แล้วพอเขาทักออกไปแบบนั้น นัยน์ตาสีแดงเข้มตวัดหันมามองเขาเหมือนจะหาเรื่องกัน แต่พอได้เห็นหน้าเขา แววตากลับดูมิตรขึ้นมาในทันที

    “เจ้านั่นเอง!” คำทักเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน แต่อลิซมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับคนแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเป็นแน่ เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นขนาดนี้ หากได้เห็นครั้งหนึ่งแล้วคงไม่มีทางลืมกันได้ง่ายๆ หรอก

    “รู้จักกันด้วยเหรอครับ” เอ่ยปากถามออกไปด้วยความฉงน ระหว่างนั้นก็เดินพ้นออกมาจากเขตป่าจนมายืนอยู่ข้างริมน้ำเช่นเดียวกับคู่สนทนา ก่อนส่งเสื้อนอกไปให้อีกฝ่าย ด้วยความคิดที่ว่า อย่างน้อยก็คาดว่าคงจะช่วยทำให้อุ่นได้บ้าง

    “จำไม่ได้งั้นเหรอ แต่ผ้าพันคอนั่น... ช่างเถอะ โชคดีแล้วที่ข้าไม่ได้มาสายเสียจนคลาดกับเจ้าอีก” คำว่าสายแล้วของเจ้าตัว มันก็คงจะหมายถึงเรื่องนี้นั่นเอง ทว่าต่อให้เข้าใจความหมายของมันแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่เข้าใจอีกอยู่ดีว่าทำไมอีกฝ่ายทำท่าเหมือนรู้จักกับเขามาก่อน

    “คือว่า... คุณเป็นใครครับ” ระหว่างมองอีกฝ่ายที่เอาแต่จ้องเสื้อนอกของเขาด้วยความลำบากใจ เหมือนไม่รู้ว่าควรใส่ดีไหมอยู่ อลิซก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร

    “จริงสิ ข้ายังไม่เคยแนะนำตัวเลยสินะ ข้าชื่อลูเซ่ คาเมล็อต ส่วนเจ้า ข้ารู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าเป็นใคร ไม่ต้องแนะนำตัวหรอก ที่จริงเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพบเจ้าด้วย” ฟังจากคำพูดแล้วคงเดินทางมาจากแดนไกล จะว่าไปแล้วคำพูดคำจาเองก็ค่อนข้างแปลกหูอยู่เช่นกัน

    “ทำไมถึงมาหาผมล่ะครับ” เอ่ยถามถึงจุดประสงค์ ระหว่างนั้นลูเซ่เหมือนตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำยังไงกับเสื้อนอกที่มีขนาดเล็ก ถึงได้เอามาคลุมไหล่ไว้ ก่อนเริ่มมองไปซ้ายที ทางขวาที ดุเหมือนกำลังหาใครบางคนอยู่ ส่วนปากก็เอ่ยตอบคำถาม

    “เพราะเจ้าเป็นผู้กล้ายังไงล่ะ”

    “เอ๋...”

    รับฟังเหตุผลแล้วถึงกับอุทานออกมาด้วยความมึนงง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจในท่าทางของเขาเลย เพราะสายตายังคงมองไปโดยรอบเช่นเก่า อลิซถึงได้ตัดสินใจเลิกสนเรื่องผู้กล้าอะไรนั่น แล้วหันมาให้ความช่วยเหลือคนตรงหน้าแทน

    “หาคนอยู่เหรอครับ” สิ้นคำถาม คำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้ารับตอบกลับมา อลิซตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะช่วยอีกฝ่ายหา แต่ก่อนจะเริ่มต้นการค้นหา เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างกับสภาพที่เหมือนลูกหมาตกน้ำของอีกฝ่ายก่อน

    “คุณลูเซ่...”

    “ฟังแล้วขัดใจ เรียกลูเซ่เฉยๆ ก็พอ” พูดจาเอาแต่ใจแบบนี้ อลิซเริ่มมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าคงเป็นลูกคุณหนูอย่างแน่นอน แล้วคาดว่าคงจะหลงกับพ่อบ้านหรือไม่ก็ครอบครัวนั่นแหละ และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เขาถึงได้ทำตามคำสั่งนั่นอย่างว่าง่าย

    “ลูเซ่ครับ ถ้าไม่รังเกียจไปบ้านผมก่อนไหมครับ อย่างน้อยก็ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ก่อน อยู่สภาพแบบนี้นานๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ” ว่าออกไปด้วยความหวังดี แต่ดูเหมือนความหวังดีของเขาจะกลายเป็นพาเปลี่ยนเรื่องไปแทน

    “ไปบ้านเจ้าเหรอ เอาสิ!” ท่าทางดูตื่นเต้นแบบสุดๆ ไปเลย อลิซได้แต่ยิ้มแห้งแล้วนำทางอีกฝ่ายกลับไปที่บ้านของตัวเองโดยไวที่สุด เพราะนึกเป็นห่วงกลัวว่าถ้าให้อยู่สภาพแบบนี้ไปนานๆ อาจจะไม่สบายเอาได้ แต่ดูเหมือนความตั้งใจของเขาจะไม่เป็นผลเสียเท่าไรนัก เพราะหลังจากเดินออกจากมาป่าหยุดอยู่ที่ลานกว้างในเมือง กลับมีกลุ่มคนมายืนล้อมพวกเขาเอาไว้

    “สวัสดีครับคุณคาเมล” ต่อให้อยู่ดีๆ จะมีคนมายืนขวางเอาไว้แถมหน้าตายังบ่งบอกได้ว่ามาหาเรื่องกันเต็มที่เสียขนาดนี้ อลิซก็ยังคงทักทายออกไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเช่นเดิม ทำราวกับว่าไม่รู้ตัวเลยว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นเช่นไร ผิดกับคนที่เดินตามมาทางด้านหลัง พอเดาสถานการณ์ได้ในทันทีว่าคนพวกนี้มาหาเรื่อง

    “ไงคุณหนูอลิซ วันนี้คุณพ่อไม่อยู่สินะ แถมแถวนี้ก็ไม่มีพวกผู้ใหญ่หรือพวกผู้หญิงที่น่ารำคาญ คอยอยู่ช่วยแกเสียด้วย” ฟังมาแบบนี้ ก็น่าจะพอเดาได้แล้วว่าอีกเดี๋ยวคงได้เกิดเรื่องขึ้น ทว่าอลิซเหมือนยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์หรือแกล้งซื่อก็ไม่ทราบ ถึงได้เอ่ยตอบคำถามออกไปตามตรง เสียจนฟังดูเหมือนเป็นการกวนประสาท

    “คุณพ่อออกไปทำงานของฟาริสครับ ส่วนสาเหตุที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่เพราะน้ำขึ้น ตลาดคงจะเปลี่ยนไปอยู่ทางเหนือแทน ถ้าอยากจะซื้อของอะไร ผมแนะนำให้ไปลานทางเหนือครับ แล้วก็พวกวีน่า วันนี้เห็นบอกว่าต้องอยู่ช่วยงานคุณแม่ ก็เลยไม่ได้ออกมาเล่นกับผมครับ” อย่าว่าแต่กลุ่มเด็กรุ่นเดียวกัน ยังรู้สึกว่าคำตอบนี้กวนเลย ลูเซ่ที่มองสถานการณ์เงียบๆ มาโดยตลอดก็ยังรู้สึกเลยว่ามันกวน ต่อให้ใจจริงจะรู้ดีก็เถอะว่าอลิซคงไม่ได้ตั้งใจ

    “แล้วนั่นใคร ผู้หญิงของแกงั้นเหรอ” ด้วยรูปร่างสูงโปร่งแถมใบหน้ายังงดงามเสียยิ่งกว่าหญิงสาวผู้ใดในเมืองนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเข้าใจผิด แต่เพราะทักถึงคนด้านหลัง อลิซถึงคิดได้ว่าตัวเองมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำรออยู่

    “จริงสิ ผมต้องรีบไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้นาน เดี๋ยวลูเซ่จะไม่สบาย” ว่าแล้วก็เตรียมจากไปจริงตามที่พูดเอาไว้ เล่นทำเอาเหล่าผู้ที่เตรียมหาเรื่องทั้งหลาย ถึงกับอ้าปากค้างกับการพาเปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉยของอลิซ

    “ไม่ให้ไปโว้ย!

    ตุบ...

    คาเมลรีบลงมือโดยทันที เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าโอกาสที่จะได้ลงมือกับอีกฝ่ายได้โดยไม่มีคนมาขัดขวาง มันหาได้ยากยิ่ง ถ้าปล่อยหลุดมือไปในวันนี้ก็คงจะหาโอกาสได้ยากในวันหน้า ถึงได้ลงมือจับร่างผอมบางของอลิซโยนลงพื้นที่มีระดับน้ำขึ้นสูงถึงเข่าโดยทันที ลูเซ่เองพอเห็นว่าเกิดเรื่องขึ้นก็เตรียมเข้าไปช่วย แต่ทว่า...

    “ขอโทษด้วยนะครับ เพราะผมซุ่มซ่าม เลยทำให้พวกคุณต้องเปียกไปด้วยเลย” เป็นอย่างนั้นไป กลายเป็นรีบกล่าวขอโทษกับคนที่เป็นต้นเหตุไปเสียอย่างนั้น คาเมลที่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนรู้สึกเป็นตัวร้ายเข้าไปทุกขณะ ใบหน้าหันมองกลับไปทางด้านหลังเพื่อขอความเห็นกับพวกเพื่อนๆ ในทันทีว่าจะเอาไงต่อ

    “ลูกพี่อย่าได้ไปเห็นใจมันครับ วันนี้เรามาสั่งสอนมันไม่ใช่เหรอครับ” หนึ่งในเด็กหนุ่มกล่าวเตือนสติคาเมลทันทีเมื่อเห็นเขาเริ่มใจอ่อน

    “ใช่ครับ ถ้าวันนี้เราไม่ลงมือ วันหลังเราก็ไม่มีโอกาสอีกแล้วนะครับ” อีกคนก็ช่วยสนับสนุนขึ้นมาอีก เพียงเท่านี้มันก็ทำให้คาเมลตัดสินใจได้แล้วว่าควรทำยังไง ถึงได้หันมามองหน้าอลิซที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่หลังลูเซ่ตั้งแต่เมื่อไรอีกครั้ง

    “หึ! แค่นี้ก็กลัวจนต้องไปหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิง นายนี่มันน่าสมเพชเสียจริง” พูดจาดูถูกออกไป หวังให้อลิซโมโหจนออกมาเผชิญหน้ากันเขาโดยตรง แต่แล้วผลที่ได้รับกลับไม่เป็นที่หวัง

    “แต่ลูเซ่ไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ แล้วก็ผมไม่ได้หลบด้วย แต่ลูเซ่ดึงผมไปหลบเอง” เถียงมาประเด็นแรก สร้างความตกใจให้อยู่ไม่น้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่าอีกเรื่องที่เถียงขึ้นมา มันฟังดูเหมือนกำลังกวนประสาทมากกว่าเอ่ยบอกเล่าความจริง แม้สิ่งที่อลิซพูดมาจะเป็นความจริงก็ตาม

    “เรื่องพวกนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่วันนี้ถ้าไม่ได้สั่งสอนนาย พวกฉันไม่ถอยแน่” เอ่ยประกาศความต้องการของตัวเองออกมาให้ได้ยินพร้อมก้าวเข้ามาใกล้ หมายหาเรื่องอีกฝ่าย ทว่าก่อนที่จะได้มีเรื่องเกิดขึ้น ลูเซ่กลับหันหลังให้กับกลุ่มคนเหล่านั้นพร้อมดึงผ้าพันคอขึ้นปิดไปครึ่งหน้าของอลิซ

    ตุบ...

    เพียงพริบตาเท่านั้นที่ลูเซ่ดึงผ้าพันคอมาปิดไปครึ่งหน้าให้ พวกเด็กหนุ่มทั้งหลายต่างพากันพร้อมใจลงไปนอนลอยน้ำเล่นกันหมด สร้างความฉงนให้อยู่ไม่น้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกคนยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนกันเลย

    “อลิซไม่เป็นอะไรนะ” น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วง ทำราวกับว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องร้ายแรง ทั้งที่เขาก็เห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นเลย อลิซได้แต่ตอบรับออกไปเสียงใสพร้อมพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกไป

    “ผมไม่เป็นอะไรครับ แต่ว่าทุกคนเขาง่วงนอนกันเหรอครับ ถึงได้อยู่ดีๆ ก็พากันล้มตัวลงนอนแบบนี้” ทำเอาลูเซ่เงียบไปชั่วครู่ใหญ่ ก่อนว่าเปลี่ยนเรื่องไปโดยไม่ตอบอลิซ สายตาก็ไม่ได้จ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มตรงหน้าแต่เป็นทางด้านหลัง

    “ทำลายความสนุกของข้าไม่พอ ยังคิดเล่นซ่อนแอบกับข้าอีกหรือไง เรอเน่” คำทักที่บอกให้รู้ว่านอกจากพวกเขาสองคนและกลุ่มเด็กหนุ่มที่หลับไม่รู้สติบนพื้นแล้ว ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วยอีก อลิซหันกลับไปมองทางด้านหลังตามสายตาลูเซ่ ก็พบชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนยาวถึงกลางหลังและมัดรวบที่ต้นคอเพื่อไม่ให้มันดูเกะกะ

    ชุดเสื้อผ้าที่ใส่เป็นชุดเนื้อดีสีดำขาวกับหมวกทรงสูงที่ประดับไปด้วยขนนกหลากสีเสียจน... จะบอกว่าสวยก็คงจะสวยดีอยู่หรอก แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุด นอกจากหมวกของอีกฝ่ายแล้ว ก็คงจะเป็นนัยน์ตาต่างสีที่ข้างหนึ่งเป็นสีม่วงอีกข้างก็เป็นสีน้ำเงินนั่นแหละ จ้องตรงมาทางเขาด้วยแววตาเป็นประกายสดใส

    “ท่านนั่นแหละ เจอผู้กล้าแล้วทำไมยังไม่พาไปอีกล่ะ มาเล่นอะไรอยู่ในเมืองแบบนี้กันล่ะครับ” คำพูดฟังดูเหนื่อยใจ แต่ไม่รู้ทำไมอลิซถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงมันฟังดูกำลังขบขัน ราวกับกำลังสนุกกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น

    “แล้วเจ้าล่ะ เล่นวางยานอนหลับเจ้ามนุษย์พวกนั้น คิดแย่งความสนุกของข้าไปใช่ไหม ไอ้พี่บ้า” ฟังจากคำพูดแล้ว สองคนนี้คงเป็นพี่น้องกัน ถึงแม้ว่าหน้าตามันจะไม่เหมือนกันเลยก็เถอะ แล้วเรื่องแย่งความสนุกอะไรนั่น อลิซนึกอยากถามออกไปว่าการวางยาคนเล่น ถือเป็นการละเล่นได้ด้วยเหรอ

    แต่พอเห็นว่าทั้งสองคนคุยกันอยู่ อีกทั้งน่าจะเป็นคนที่ลูเซ่ตามหาอยู่อีก อลิซถึงได้ไม่คิดถามอะไรออกไปทั้งสิ้น นอกจากทำตัวเป็นผู้ฟังแสนดี

    “ตายจริงๆ ไม่ได้ยินท่านเรียกข้าแบบนี้มาต้องนานแล้วนะเนี่ย น่าคิดถึงจังเลย ว่าแต่ท่านลูเซ่ อธิบายให้ท่านผู้กล้าฟังหรือยังครับ ว่าพวกเรามาขอความช่วยเหลือจากท่านผู้นี้ ในฐานะที่เป็นผู้กล้าน่ะ” ฟังจากบทสนทนาก็พอจะมั่นใจได้แล้วว่าคงเป็นคนที่ตามหากันอยู่จริง อลิซจึงเตรียมจากไป แต่พอได้ยินประโยคที่เหมือนมีเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาถึงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วหันมามองลูเซ่ที เรอเน่ที ด้วยความสงสัย

     “ยังเลย อลิซชวนข้าไปเที่ยวบ้าน เลยคิดว่าจะไปคุยกันที่นั่นก็ได้” รู้สึกเหมือนลูเซ่จะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป แต่ในเมื่อมันไม่มีโอกาสให้โต้เถียงอะไรออกมาได้ สุดท้ายอลิซก็ยังคงเลือกที่จะทำตัวเป็นผู้ฟังแสนดีต่อไป

    “ไม่อยากจะเถียงแต่... ข้าว่าท่านผู้กล้าชวนท่านไปบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ามากกว่านะครับ แล้วอีกอย่าง... ท่านน่ะ ต่อให้อยู่สภาพแบบนั้นทั้งวันก็คงไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก แต่กับท่านผู้กล้าคงไม่ใช่หรอกนะครับ” โดนทักมาแบบนี้ อลิซพึ่งคิดกันได้ว่าตัวเขาเองก็ตัวเปียกอยู่ด้วยเช่นกัน ถึงได้เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาหน่อยแล้ว

    “งั้นรีบไปบ้านเจ้าเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถอะ” ว่าแล้วโยนเสื้อนอกที่ใช้คลุมไหล่ตัวเองก่อนหน้านี้คืนให้พร้อมกระชากอลิซให้ออกวิ่งไปพร้อมกัน แต่ก่อนจะได้ทันออกวิ่งไป เรอเน่ที่ดูเหมือนจะรู้สึกตัวเร็วกว่าลูเซ่ ว่าได้ลืมเรื่องสำคัญอะไรไปบางอย่าง รีบกล่าวทักออกไป ทำให้ฝีเท้าที่เตรียมวิ่งชะงักหยุดอยู่กับที่

    “แล้วรู้เหรอครับว่าบ้านท่านผู้กล้าอยู่ที่ไหน”

    กึก!

     

    กว่าจะเดินทางกลับมาถึงบ้านได้ อลิซรู้สึกว่ามันใช้เวลามากกว่าเดิมเป็นสองเท่า ทั้งที่ระยะทางในตอนกลับมันน่าจะเร็วกว่าตอนไปเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้ติดปัญหาตรงที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่อยู่หลายครั้ง แต่สาเหตุที่มันกลับมาช้ากว่าเดิมก็คงเป็นเพราะลูเซ่ไม่ยอมฟังเขาบอกทางดีๆ นั่นแหละ

    ทำให้กว่าจะกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ได้ ก็เล่นกินเวลาไปนานมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก แล้วในขณะนี้แขกทั้งสองของเขาก็ได้ไปนั่งรอภายในห้องนั่งเล่นเป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงแค่เขายกน้ำชาและขนมทานคู่เข้าไปให้เท่านั้น บทสนทนาก็พร้อมที่จะเริ่มต้นได้ทุกเมื่อ

     “ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับ” เตรียมขนมและน้ำชาอย่างง่ายๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามากจนเกินไปนัก พร้อมนำมันมาวางไว้ที่โต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขก

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกข้าต่างหากที่รบกวนท่าน” ในขณะที่เรอเน่ตอบรับกลับมาด้วยรอยยิ้มสุภาพ ลูเซ่ก็เริ่มหยิบขนมตรงหน้าเข้าปากไปแล้ว อลิซถึงได้ตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เหลืออยู่เพื่อเริ่มต้นเปิดบทสนทนากันเสียที

    “ขอเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อมเลยก็แล้วกัน พวกข้าต้องการให้ท่านผู้กล้าช่วย” เอ่ยขอโดยไม่มีการเกริ่นนำเรื่องที่ต้องการขอให้ช่วยมาก่อน แล้วไหนยังจะคำเรียกตัวเขาที่ฟังดูยังไงมันก็ไม่น่าจะใช่ตัวเขานั่นอีก อลิซถึงกับเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย หวังต้องการเข้าใจเรื่องราวมากกว่านี้

    “จะให้ผมช่วยมันก็ได้อยู่หรอกครับ แต่ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แล้วที่สำคัญทำไมเรียกผมว่าผู้กล้าล่ะ” ประเด็นสำคัญคือการที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าผู้กล้ามากกว่าเรื่องที่ขอให้ช่วย แล้วเหมือนเรอเน่เองก็เข้าใจได้ว่าอลิซต้องการรู้เรื่องอะไร ถึงได้ว่าเข้าเรื่อง โดยสายตาก็คอยมองไปทางลูเซ่ที่เอาแต่กิน หวังส่งภาษาตาไปให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าควรมาช่วยกันพูด

    “ในตระกูลคาเมล็อตมีเรื่องเล่าอยู่ครับ กล่าวกันว่าหากมีปัญหาจงไปขอความช่วยเหลือจากผู้กล้าซะ แล้วในตอนนี้ท่านลูเซ่กำลังมีปัญหาอยู่ครับ ถึงได้เดินทางมาจากโลกปีศาจเพื่อมาหาท่านที่เป็นผู้กล้า” พอจะเข้าใจเรื่องไปได้ว่าคนพวกนี้มีปัญหาแล้วเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ก็มาตามหาตัวผู้กล้าตามเรื่องเล่า แต่ที่ยังไม่เข้าใจก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาถูกเรียกว่าผู้กล้านั่นแหละ

    “ขอโทษนะครับ ผู้กล้าเนี่ย หมายถึงคนที่แข็งแกร่งมากๆ ใช้เวทมนตร์ได้ราวกับพระเจ้าแล้วต้องเดินทางไปปราบราชาปีศาจใช่หรือเปล่าครับ” ในเมื่อฟังคนตรงหน้าอธิบายแล้วก็ยังไม่เข้าใจ อลิซถึงได้เริ่มพยายามทำความเข้าใจเสียเองโดยยึดหลักเอาจากเรื่องเล่าผู้กล้าที่เคยได้ยินมาจากตำนานไม่ก็นิทานเป็นหลัก

    “ไม่รู้สิครับ แต่ในโลกปีศาจเคยมีเรื่องเล่าอยู่ว่าผู้กล้าที่เป็นมนุษย์ ได้ครอบครองบางสิ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้อยู่ครับ” นอกจากเรื่องผู้กล้าที่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกมีแต่คำว่างงแล้วก็งงอยู่แต่ในหัว มายามนี้ได้ยินคำว่าปีศาจเข้าไปอีก อลิซชักเริ่มรู้สึกว่าบทสนทนานี้มันแปลกเข้าไปทุกขณะ

    “พวกคุณเป็นปีศาจเหรอครับ” จะว่าไปรูปลักษณ์ภายนอกเองก็โดดเด่นเช่นกัน จะบอกว่าเป็นปีศาจ เขาก็คงจะเชื่ออย่างสนิทใจ

    “ครับ พวกข้าเป็นปีศาจ แต่เพื่อไม่ให้ท่านหรือมนุษย์ผู้อื่นตกใจ ในตอนนี้พวกเราจึงอยู่ในร่างจำแลงของมนุษย์ครับ... ท่านกลัวพวกข้าหรือเปล่า” เหมือนจะพึ่งคิดได้ว่าหลุดพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไป มาคืนคำตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ทัน ทว่าปฏิกิริยาตอบรับของอลิซกลับเหนือคาด

    “ปีศาจมาขอความช่วยเหลือจากผู้กล้านี่ก็แปลกดีนะครับ แล้ว... เรื่องที่ว่าพวกคุณใช้เวทมนตร์ได้ จริงหรือเปล่าครับ แสดงให้ผมดูหน่อยสิ” กลายเป็นว่ายอมรับได้อย่างง่ายดายอย่างเดียวไม่พอ ยังดูเหมือนจะสนใจในตัวพวกเขาอีกด้วย

    “ท่านผู้กล้าครับ ข้าว่าอย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องจะดีกว่านะครับ” ได้รับฟังคำเอ่ยเตือนแล้วก็พึ่งคิดขึ้นมาได้ ว่าพวกเขายังคุยไม่จบ อลิซถึงกับหันไปส่งยิ้มเจื่อนแล้วว่าเข้าเรื่องต่อ

    “ขอโทษด้วยครับ ส่วนเรื่องผู้กล้าผมคงต้องแสดงความเสียใจกับพวกคุณด้วย เพราะว่าผมน่ะ ไม่ใช่หรอกครับ เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรเก่งเป็นพิเศษเลย” เท่าที่ฟังมาดู ผู้กล้าก็คือผู้ที่มีความสามารถเก่งกาจ ทว่ากับตัวเขานั่นเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกันเลย ไม่มีอะไรเก่งเป็นพิเศษสักอย่าง ต่อให้เรียนดาบสั้นมาแต่ก็ใช่ว่าจะเก่ง

    “ไม่หรอกครับ แค่ได้ยินชื่อของท่านและได้เห็นจี้หินที่ท่านถือมาตลอดทางกลับบ้าน ข้าก็มั่นใจแล้วว่าต้องใช่ท่านแน่นอน” แต่เหมือนเรอเน่ยังยืนว่าต้องเป็นตัวเขา อลิซเริ่มรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ก่อนตอบปฏิเสธกลับไปอีกครั้งว่าตนนั่นไม่ใช่ ทั้งที่อีกใจกลับนึกสงสัยถึงเรื่องจี้หินที่พูด

    “ไม่ใช่ผมหรอกครับ ผมน่ะ ไม่ใช่ผู้กล้าของพวกคุณหรอก” ปฏิเสธออกไปอีกครั้งว่าตัวเองไม่ใช่ ภายในใจก็เริ่มนึกไปถึงจี้หินมากกว่าบทสนทนาตรงหน้า

    “แต่ว่าจี้หินที่ท่านพกติดตัวอยู่ ของสิ่งนั้นเหมือนตราประจำตระกูลคาเมล็อตเลยนะครับ” ถึงกับตีหน้างงไปในทันที สายตาก็มองไปทางลูเซ่ที่ยังคงไม่สนใจใครเช่นเก่านอกจากขนมตรงหน้า เขาก็พึ่งจะสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือข้างขวามีสร้อยที่ถักขึ้นมาจากเงินใส่อยู่

    แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น จี้หินที่ห้อยช่างเหมือนกับของเขาไม่มีผิด จะต่างกันก็ตรงที่ตัวสีหินที่เป็นสีแดงเข้มแต่ของเขาเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตรงสายเส้นที่พันรอบหินเองก็ทำมาจากทองคำ ในขณะที่ของเขาเป็นทองคำขาว ดูๆ ไปแล้วก็มีความเหมือนกันอยู่หรอก แต่ก็มีความต่างกันอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    “เห็นไหมล่ะ เหมือนกันเลยใช่ไหมครับ ของสิ่งนี้ว่ากันว่าผู้กล้าจะเก็บสีน้ำเงินเอาไว้ครับ” ดูเหมือนไม่ว่าเรื่องอะไรในตอนนี้ ก็จะโยงเอามาเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นผู้กล้าได้หมด ฟังแล้วก็นึกเหนื่อยใจถึงแม้ว่าอีกใจจะนึกตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือไปแล้วก็ตาม

    “ตัวผมน่ะไม่ใช่ผู้กล้าหรอกครับ แต่ถ้าจะมาขอความช่วยเหลือ ผมยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถผมก็พอ” รับปากว่าจะช่วย แต่ก็ยังปฏิเสธเรื่องที่โดนกล่าวหาว่าเป็นผู้กล้าต่อไป เรอเน่ที่ชักเริ่มจนปัญญาที่จะบอกเล่าว่าอลิซนั่นแหละ คือผู้กล้าที่ตามหาแน่นอน เมองไปทางลูเซ่เพื่อขอแนวร่วม แม้สิ่งที่เห็นอยู่ มันไม่ต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยก็เถอะ

    “แต่ว่า... ตัวท่านตรงกับเงื่อนไขในการเป็นผู้กล้านะครับ” ในเมื่อไม่มีคนช่วย เรอเน่ก็ต้องจัดการเรื่องนี้ต่อเพียงลำพัง ถึงได้คิดเอาทุกเรื่องที่พอจะนึกออกได้ในตอนนี้ ออกมาใช้ทั้งหมด แล้วดูเหมือนเรื่องเงื่อนไขที่พึ่งคิดขึ้นได้ จะเรียกความสนใจจากอลิซได้ไม่น้อย

    “เงื่อนไขคืออะไรเหรอครับ” ต่อให้พอเดาได้แล้วก็ตาม ว่าเงื่อนไขในการเป็นผู้กล้าก็คงไม่พ้นเรื่องที่ต้องเป็นผู้มากไปด้วยความสามารถ ใช้เวทมนตร์ได้ราวกับเทพพระเจ้า แต่ยังไงอลิซก็อยากจะรู้อยู่ดีว่าเงื่อนไขที่อีกฝ่ายบอกว่าตรงกับตัวเขามันคืออะไร

    “เงื่อนไขก็คือ...”

     “เงื่อนไขข้อที่หนึ่ง นามของผู้กล้านั่นคืออลิซ!

     คนที่นั่งเงียบไปอยู่นานกลับว่าสวนขึ้นมาก่อนที่เรอเน่จะได้พูดจบเสียอีก และสิ่งที่ลูเซ่ได้พูดออกมา เล่นทำเอาอลิซนั่งนิ่งไปอยู่หลายนาที คล้ายไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในเมื่อเงื่อนไขข้อแรก ฟังดูยังไงมันก็ไม่น่าจะใช่เงื่อนไขในการเป็นผู้กล้าเอาเสียเลย

    “เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ” ถามออกไปอีกรอบ คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่หูได้ยินเท่าไรนัก ว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินมามันถูกต้อง  ระหว่างนั้นสายตาจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง เตรียมจับผิดว่าอีกฝ่ายคิดล้อเขาเล่นกันอยู่หรือไม่ แต่ผลจากการจ้องตา ปรากฏว่าสิ่งที่ลูเซ่พูดออกมา มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันแต่อย่างใด

    “เงื่อนไขข้อที่หนึ่ง นามของผู้กล้านั่นคืออลิซ” แล้วเหมือนเป็นต้องการย้ำว่าสิ่งที่พูดมันคือเรื่องจริง ลูเซ่เล่นพูดประโยคเดิมซ้ำออกมาแบบไม่มีคำไหนตกหล่นไปเลยแม้แต่คำเดียว ฟังแล้วอลิซได้แต่นึกกรีดร้องอยู่ภายในใจว่านี่มันเงื่อนไขในการเป็นผู้กล้าภาษาอะไร ทำไมฟังแค่ข้อแรกก็น่าเครียดขนาดนี้แล้ว และที่สำคัญไปกว่านั่น...

    ...ใครมันเป็นคนคิดเงื่อนไขพวกนี้ขึ้นมากันครับ!...

    และนี่คือสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้แล้ว...

     






    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×