ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #1 : ก่อนเงื่อนไขแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 293
      1
      3 เม.ย. 59

    ก่อนเงื่อนไขแรก

     

    สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว ว่ากันว่าโลกใบนี้เคยมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่ และสิ่งนั่นก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้แล้วเวทมนตร์ที่ว่าก็มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่ใช้ได้อีกด้วย แล้วอาจเพราะด้วยความแตกต่างนี้

    ปีศาจที่เคยอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสงบสุขจึงเริ่มจับมนุษย์มากินเป็นอาหาร และเพื่อความอยู่รอด มนุษย์ผู้หนึ่งลุกขึ้นต่อต้านและปราบราชาปีศาจที่เป็นผู้นำของปีศาจได้สำเร็จ เขาคนนั้นจึงถูกเรียกขานกันว่าผู้กล้าและเพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง

    ผู้กล้าจึงขับไล่ปีศาจทั้งหมดออกจากดินแดน นับตั้งแต่นั้นมาจึงไม่มีใครพบเห็นปีศาจอีกเลย บ้างก็บอกว่าตายไปหมดแล้ว บ้างก็เล่ากันว่าได้ใช้เวทมนตร์สร้างโลกของตนเองขึ้นมา แต่เรื่องราวที่แท้จริงไม่มีใครล่วงรู้เลยสักคน จนตอนนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่เช่นเก่า และได้กลายเป็นนิทานก่อนนอนของเด็กไป

    อลิซ เนียร์ เด็กชายแสนธรรมดาที่ได้รับฟังเรื่องเล่าที่กลายเป็นตำนานนี้ครั้งแรก ได้แต่นึกแปลกใจที่อยู่ๆ คุณแม่ก็เล่าให้ฟัง ทั้งที่ตามปกติแล้วนิทานก่อนนอนที่เคยได้รับฟัง ส่วนใหญ่เป็นเทพนิยาย และในเรื่องเล่าเหล่านั้นมักจะเกี่ยวกับเจ้าหญิงบ้างล่ะ เจ้าชายบ้างล่ะ หรือไม่ก็เป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นของเด็กสาวคนหนึ่งบ้างล่ะ

    โดยเฉพาะการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นของเด็กสาวคนหนึ่งหรือเรื่องอลิซอินวันเดอร์แลนด์ เขาค่อนข้างชอบมันมากเป็นพิเศษ เพราะชื่อของเขาเองก็ได้มาจากนิทานเรื่องนี้เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณแม่ชอบ คุณพ่อเลยตามเลยกันไป เขาก็เลยได้ใช้ชื่อที่เหมือนเด็กผู้หญิงมาโดยตลอด แล้วไม่รู้เป็นเพราะผลมาจากชื่อหรือไม่ หน้าตาของเขาถึงได้เหมือนคุณแม่เสียยิ่งกว่าแกะ ความเหมือนจากพ่อ นอกจากเส้นผมสีทองสว่างสดใสนั่นแล้ว แทบไม่มีอะไรอื่นเลยที่ได้มา

    อย่างนัยน์ตาสีฟ้าครามกลมโต ใบหน้าหวานน่ารักจนดูไม่เหมือนเด็กผู้ชาย ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ ทำให้ในหลายๆ ครั้งโดนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงอยู่บ่อยครั้ง แถมวิธีการเลี้ยงดูของคุณแม่ก็ทำราวกับเป็นเด็กผู้หญิง มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กน้อยอยากทำให้ตัวเองดูสมชายขึ้นมาบ้าง

    เขาถึงได้ขอร้องผู้เป็นพ่อสอนวิชาการต่อสู้ให้ ต่อให้คุณพ่อของเด็กน้อยอาจลืมๆ ไปบ้างแล้วก็เถอะ เพราะอาชีพหลักเป็นเพียงคนขายผลไม้ธรรมดา แต่อาชีพรองเป็นถึงฟาริส หรือชื่อที่ใช้เรียกผู้เชี่ยวชาญอาวุธที่ใช้ในการจัดการกับสัตว์อสูร แต่ก็มีบางกรณีที่เป็นผู้มีพลังพิเศษ ที่ว่ากันว่าในรอบหนึ่งร้อยปีจะมีเกิดขึ้นมาเพียงเจ็ดคนเท่านั้น กล่าวกันว่าคนพวกนี้คือผู้ที่ได้รับความรักจากพระเจ้ามากกว่าคนปกติ แต่บ้างก็บอกว่าโดนสาปจากปีศาจที่พวกตนเป็นผู้ขับไล่ไป

    ทว่าเรื่องเหล่านั้นถือเป็นเรื่องไกลตัว เพราะพ่อของเด็กน้อยเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษ เด็กน้อยจึงไม่คิดใส่ใจเท่าไรนัก รู้เพียงแค่โลกใบนี้มันอันตราย ต่อให้ไม่มีปีศาจเป็นภัยแต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรเป็นภัย

    ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฟาริส คอยเป็นผู้ปกป้องประชาชน ถือเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมเช่นเดียวกับผู้กล้าตามความคิดเด็กน้อย แม้ในความเป็นจริง มันก็คืออาชีพรับจ้างที่ดูจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง แต่ต่อให้เด็กน้อยคิดว่าการเป็นฟาริสมันก็ดูน่าตื่นเต้นดี

    การขอให้คุณพ่อสอนวิชาเหล่านี้ให้ ก็ไม่ได้เพื่อเป็นฟาริส สิ่งที่ต้องการก็คือตัวเองที่แข็งแกร่งขึ้นเฉยๆ เท่านั้น ผู้เป็นพ่อเองก็เข้าใจจึงอนุญาตแต่โดยดีเช่นกัน ทว่ากับผู้เป็นแม่ไม่ค่อยยอมเท่าไรนัก อีกทั้งยังบอกอีกว่าอยู่แค่ในเมืองก็ปลอดภัยดี ถ้าไม่ออกไปข้างนอกก็ไม่ต้องเจออันตรายอย่างสัตวอสูรอีกด้วย

    สรุปคุณแม่ไม่อนุญาตแต่เด็กน้อยอยากเรียน คุณพ่อเองก็ค่อนข้างตามใจจึงได้คิดแผนการขึ้น คือในวันที่คุณแม่ต้องเอาแต่นั่งปั่นต้นฉบับส่งจนไม่สนใจโลกภายนอก คุณพ่อก็จะพยายามทำตัวให้ว่างแล้วแอบพากันออกไปนอกเมือง เข้าไปในเขตป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้สีแดงสามแฉกตลอดทั้งปี

    สถานที่แห่งนั้นจึงเหมือนเป็นฐานทัพลับระหว่างเด็กน้อยกับพ่อ จนบัดนี้อายุของเด็กชาย 11 ปีพอดีแล้ว วิชาการต่อสู้ที่แอบเรียนมานานหลายปีก็ดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คุณพ่อถึงยอมให้จับดาบสั้นที่เป็นของจริงเป็นครั้งแรก หลังให้ลองฝึกกับดาบไม้อยู่นาน

    ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าครามถึงกับเบิกขึ้นกว้างด้วยความตกใจ สายตาได้แต่จ้องมองหมาป่าสีทองมีเขาปรากฏอยู่บนหัว รอบตัวเองก็มีสายฟ้าปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ร่างเล็กถึงกับมองมันนิ่งตัวแข็งไปพักใหญ่ กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ มันก็หลังจากได้ยินเสียงตะโกนบอกของผู้เป็นพ่อนั่นแหละ

    “อลิซ รีบหนีไปซ่อนเร็วเข้า!

    ตึกๆ

    สิ้นเสียง เด็กชายก็รีบวิ่งลึกเข้าไปในป่าอย่างไม่รู้ทิศในทันที หากถามว่าใจนึกเป็นห่วงพ่อของตนที่กำลังต่อสู้อยู่หรือไม่ มันก็นึกเป็นห่วงอยู่หรอก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าการที่ไม่มีเขาอยู่ด้วยน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะถ้าไม่มีคนต้องคอยให้ห่วง ผู้เป็นพ่อก็จะสามารถต่อสู้ได้เต็มที่

    ตุบ...

    เป็นเพราะเอาแต่วิ่งไม่ดูทาง การสะดุดล้มจนลงไปนอนราบอยู่กับพื้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เรื่องแปลกก็คือ... เขารู้สึกเหมือนตรงหน้ามีคนอื่นอยู่ด้วยนอกจากตัวเอง แถมคาดว่าน่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างไปจากเขาเท่าไร ร่างที่ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าแล้วมองภาพตรงหน้า

    ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือกองผ้า ไม่สิ ไม่น่าจะใช่ รู้สึกเห็นกองผ้าสีดำมันขยับได้ด้วย อลิซตัดสินใจอยู่นานว่าจะเข้าไปดูใกล้ๆ หรือถอยออกห่างดี ระหว่างนั้นสายตาก็กวาดมองไปรอบตัวจนเห็นกิ่งไม้ยาวเข้า ตัดสินใจได้ในทันทีว่าควรทำเช่นไร ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเจ้ากองผ้าสีดำนี่คืออะไร

    เด็กชายวิ่งไปคว้าเอากิ่งไม้ยาวขึ้นมาแล้วนั่งยองๆ อยู่ในระยะที่เหมาะสม ก่อนเอาไม้ที่พึ่งเก็บมาได้เขี่ยกองผ้าออกดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามันคืออะไร แต่พอเขี่ยๆ กองผ้าปริศนาไปได้พักใหญ่ กองผ้าสีดำกลับลุกขึ้นพรวดแล้วตะโกนดังก้องว่า...

    “หิวข้าว!

    ตุบ...

    แล้วก็หมอบลงไปกับพื้นเช่นเก่า ไม่สิ น่าจะเป็นล้มหน้ากระแทกพื้นลงไปอีกรอบมากกว่า ตอนนี้เด็กชายมั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าคงเป็นคน ไม่น่าจะใช่สัตว์อสูรหรือสัตว์มีพิษอะไร ถึงได้กล้าเดินเข้าไปนั่งลงอยู่ข้างๆ พร้อมยื่นห่อข้าวปั้นออกไปตรงหน้า

    หมับ!

    ยังไม่ทันจะได้ถามเลยว่าจะกินไหม ร่างที่สลบอยู่ตรงหน้ากลับฟื้นคืนชีพได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อแถมยังคว้าห่อข้าวไปแล้วตั้งหน้าตั้งตากิน... หรือว่ายัดเข้าปากดี เด็กชายก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ถูก นอกจากนั่งมองอีกฝ่ายที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำสนิท นั่งกินข้าวกลางวันของตัวเองไปเงียบๆ พักใหญ่ มือข้างที่ว่างอยู่ก็ยื่นมาทางเขา

    “น้ำ” พร้อมเอ่ยปากขอโดยไม่ต้องถามเลยว่าจะเอาอะไร เด็กชายแสนดีก็หยิบกระบอกใส่น้ำของตัวเองแล้วยื่นส่งไปให้อย่างว่าง่าย อีกฝ่ายก็รับไปดื่มด้วยท่าทางมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ และกลับไปนั่งกินต่อจนหมดแล้วนั่นแหละ ถึงหันมาสนใจเขาได้ในที่สุด

    “ขอบคุณสำหรับอาหาร แล้วเจ้าชื่ออะไร” กล่าวคำขอบคุณพร้อมเอ่ยถามชื่อจบ คนตรงหน้าเลียนิ้วตัวเองที่ยังมีเศษข้าวติดต่ออยู่หน้าตาเฉย ทำเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจในสิ่งที่ถามออกไปแม้แต่น้อย ทว่าพอเด็กชายตอบกลับไปช้า ฝ่ายที่เลียเศษข้าวที่ติดอยู่ตามนิ้วจนหมดแล้วหันมาเอ่ยเร่ง

    “ว่ายังไงล่ะ” พอเห็นคนตรงหน้าหันมาสนใจเขาโดยไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นอีก เด็กชายก็บอกชื่อของตัวเองออกไป

    “อลิซครับ แล้วคุณ...”

    “ชื่อเหมือนเด็กผู้หญิงเลย ตกลงเจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันล่ะ” ยังไม่ทันเอ่ยถามจนจบประโยค คนตรงหน้าที่ฟังจากน้ำเสียงแล้วคาดว่าคงเป็นผู้ชายเอ่ยถามขัดขึ้น ถ้าเป็นตามปกติคงจะรู้สึกหงุดหงิดที่คนตรงหน้าเสียมารยาทใส่ ทว่ากับเด็กชายแล้วกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น นอกจากยิ้มแล้วเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ถือสา

    “ผมเป็นผู้ชาย แล้วพี่ชายมานอนเล่นอะไรอยู่ตรงนี้เหรอครับ” ถือเป็นคำถามแรกเลย แต่ดูเหมือนมันจะผิดประเด็นแรกที่ตั้งใจจะถามไปเสียหน่อย ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าที่รู้สึกได้ก็ไม่คิดเอ่ยขัด นอกจากตอบออกไปตามตรง

    “หลงกับพี่ชายนิดหน่อยน่ะ แถมไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้วด้วย มันก็เลยหิวจนเป็นลมอย่างที่เห็นนั่นแหละ” ตอบคำถามพร้อมอธิบายถึงสาเหตุให้เสร็จสรรพ อลิซพยักหน้ารับเป็นการรับรู้ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเขาเองก็คงมีสถานะไม่ได้ต่างอะไรไปต่างจากคนตรงหน้า

    “ผมเองก็หลงกับคุณพ่ออยู่เหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะชนะสัตว์อสูรได้หรือยัง” จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้เห็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายหมาป่าตัวนั้นเข้า อลิซถึงกับทำอะไรไปไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนบอกของผู้เป็นพ่อนั่นแหละ เขาถึงได้หลับหูหลับตาวิ่งหนีมาแบบไม่รู้ทิศแบบนี้ แล้วพอคิดถึงวิธีกลับไปหาผู้เป็นพ่อแล้ว เด็กชายเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

    “สัตว์อสูรงั้นเหรอ แล้วหน้าตามันเป็นยังไง อยู่ทางไหนด้วย แล้วพ่อของเจ้ายังต่อสู้กับมันอยู่หรือเปล่า” แต่เหมือนผู้รับฟังจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเด็กชายเลย ยังคงเอ่ยถามถึงรายละเอียดต่ออีก อลิซเริ่มรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ยังตอบออกไป

    “เป็นหมาป่าสีทอง มีเขาบนหัวแล้วก็สายฟ้ารอบตัว...”

    “เฮ้ย!

    ถึงกับตีหน้าฉงนออกมาในทันทีที่เห็นอีกฝ่ายร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจ ก่อนหันไปบ่นอะไรบางอย่างกับตัวเองจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไร แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่สบอารมณ์อยู่แน่นอน เพราะน้ำเสียงติดไปทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

    “พี่ชาย...”

    “เอาตามนี้ก็แล้วกัน!” เอ่ยเรียกออกไปคำเดียวแล้วปิดปากเงียบไปอีกครั้ง เนื่องด้วยเด็กชายได้รับการสั่งสอนมาว่าอย่าพูดแทรกผู้ใหญ่ แม้ในใจจะนึกสงสัยเสียจนอยากจะถามออกไปใจจะขาดแล้วก็เถอะ ว่าชายหนุ่มตกลงอะไรกับตัวเองได้แล้ว

    “เดี๋ยวข้าไปตามหาพ่อของเจ้าให้เอง เจ้ารออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมวิ่งจากไปในทันที แต่ก่อนจะได้วิ่งจากไป เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชายสวมผ้าคลุมหันกลับมาทางเด็กชายที่ยังคงนั่งทำหน้างงอยู่กับที่

    “เอานี่ไป!” กว่าจะรู้ตัวอีกที ผ้าพันคอสีน้ำเงินได้ตกลงมาบนหัวเด็กชายเสียแล้ว อลิซเพียงหยิบมันออกมาจากหัวแล้วก้มลงมองด้วยความสงสัยว่าให้สิ่งนี้แก่เขามาทำไหม อีกอย่างทำไมเขาถึงได้ไม่ทันสังเกตเห็นตั้งแต่แรกว่าชายตรงหน้าสวมผ้าพันคออยู่ด้วย หรือที่จริงแล้วจะซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมอีกที...

    ...ไม่อึดอัดแย่เลยเหรอ...

    รู้สึกตัวว่าเผลอคิดออกนอกเรื่อง เด็กชายส่ายหัวไปมาน้อยๆ เพื่อไล่ความคิดไร้สาระเหล่านั้นออกไป แต่ดูเหมือนการกระทำของเขาจะสร้างความเข้าใจผิดให้ ชายหนุ่มที่เตรียมจากไปเดินย้อนกลับมานั่งยองๆ ลงตรงหน้าพร้อมคว้าเอาผ้าในมือมาพันรอบคอเสร็จสรรพ โดยไม่คิดเอ่ยถามความเห็นกันก่อนสักคำ

    “เสื้อผ้าของเจ้ามันดูจืดเกินไป หากไม่สังเกตให้ดีก็จะเห็นได้ยาก เช่นนั้นเจ้าเอาผ้าพันคอข้าไปใส่ อย่างน้อยตัวเจ้าจะได้ดูเด่นขึ้นมาบ้าง” นึกอยากจะเอ่ยถามออกไป ว่าต่อให้มีผ้าพันคอสีน้ำเงินแล้วก็ตาม แต่กับป่าที่เต็มไปด้วยสีแดงเช่นนี้

    ชุดเสื้อผ้าสีขาวของเขามันจะไม่เด่นกว่าหรืออย่างไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป นอกพยักหน้ารับเป็นการรับรู้ แล้วเหมือนอีกฝ่ายจะพอใจที่เขาไม่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านอะไร ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมเดินจากไป ทว่าเพียงออกตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันมาเอ่ยย้ำกับเขาอีกครั้ง

    “ห้ามถอดออกเด็กขาดล่ะ! เข้าใจไหม สัญญาแล้วนะ” พยักหน้ารับออกไปด้วยความตกใจ ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็หันมาเอ่ยย้ำและขอคำสัญญากับเขาเสียงดุเสียขนาดนั้น แต่เหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้สนใจในท่าทีของเด็กชาย เพราะเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าลงมองอะไรบางอย่างในมือแล้วร้องตะโกนโวยวายมา จากนั้นก็วิ่งพรวดหายลับไปจากสายตาเขาเลย

    “สายแล้ว!” 

    ไม่รู้ว่าสายเรื่องอะไร แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเขา เด็กชายที่ไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อดี ก็ได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ล มือข้างหนึ่งกระชับผ้าพันคอที่พึ่งได้รับมาอย่างคาดไม่ถึงเอาไว้แน่น ไม่ใช่เพราะด้วยความหนาวแต่เป็นเพราะเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาหน่อยๆ ที่โดนทิ้งเอาไว้อยู่เพียงลำพัง

    สายตากวาดมองรอบตัว ป่ายังคงดูงดงามเช่นเคยแต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้มันดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก จากมือข้างเดียวที่กำผ้าพันคอเอาไว้แน่นอย่างหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ กลายเป็นมือเล็กสองยกขึ้นมากำมันเอาไว้แน่น ก่อนใบหน้าหวานจนเหมือนเด็กผู้หญิงจะก้มหน้าลงซุกกับเข่า

    ...คุณพ่อ รีบมาเร็วๆ นะครับ...

    ได้แต่หวังว่าพ่อตัวเองจะไม่บาดเจ็บและชายหนุ่มที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อคนนั้น จะช่วยบอกกับผู้เป็นพ่อให้ว่าเขาอยู่ที่ไหนตามสัญญา แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ความหวาดกลัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งมันมาถึงขีดสุด จากที่เอาแต่คิดอะไรไม่เข้าเรื่องก็กลายเป็นเผลอหลับไปโดยไม่ทันรู้สึกตัว...

     

    แล้วกว่าจะมารู้สึกตัวอีกที ก็พบว่ารอบกายถูกย้อมไปด้วยสีแดงอมส้มของอาทิตย์ยามอัสดง ทิวทัศน์โดยรอบเองก็ไม่ใช่ผืนป่าแต่เป็นเมืองที่คุ้นเคย ที่สำคัญไปกว่านั่นเขากำลังขี่หลังของใครบางคนอยู่ เด็กชายเอ่ยปากเรียกคนตรงหน้าออกไปโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

    “คุณพ่อ...”

    “ตื่นแล้วเหรออลิซ หลับสบายไหมลูก”

    คำถามที่ฟังดูเหมือนวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรพิเศษเกิดขึ้น แต่อลิซรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เรียกว่าความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก สองมือเล็กกำเสื้อของผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สึกอายใคร

    แล้วกว่าเขาจะหยุดร้องไห้ เวลาก็ได้ผ่านไปอีกนานเท่าไรไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้มันมืดแล้วและคุณแม่อาจจะเป็นห่วงอยู่ก็เป็นได้ ในขณะที่เอาแต่คิดถึงเรื่องเหล่านั้น คุณพ่อที่ช่วยปลอบให้เขาหยุดร้องไห้ก็ได้เอ่ยถามขึ้น

    “นี่อลิซ ลูกได้ผ้าพันคอนี้มาจากไหนเหรอ” นิ่งคิดไปเล็กน้อยว่าจะตอบออกไปอย่างไรดี แต่ในเมื่อคุณพ่อเคยสอนเอาไว้ว่าอย่าโกหก เด็กชายถึงได้ตอบออกไปตามความเป็นจริง

    “ไม่รู้ครับ แต่เขาบอกว่าอย่าถอดออก” ตอบออกไปแบบนั้น อลิซกลัวว่าผู้เป็นพ่ออาจจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการสื่อ เพราะขนาดตัวเองฟังแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเลย ปากอ้าขยับเตรียมกล่าวอธิบายเพิ่ม ทว่ายังไม่ทันกล่าวอะไรออกมา ผู้เป็นพ่อกลับว่าตัดหน้าขึ้นมาก่อน

    “งั้นเหรอ ไม่รู้งั้นเหรอ พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะ ว่าคนที่มาช่วยพ่อพร้อมบอกกับพ่อว่าลูกอยู่ที่ไหนคือใคร” พูดอย่างไม่รู้สึกนึกสงสัยอะไรทั้งสิ้นแถมยังยิ้มอย่างอารมณ์ดี เท่านี้อลิซก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนั้นรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา

    “คุณพ่อครับ พี่ชายเขารักษากับผม ผมเองก็ควรรักษาสัญญาด้วยใช่ไหม” ถามออกไปอย่างหนักแน่น มือข้างหนึ่งเลื่อนมากำผ้าพันคอที่ชายหนุ่มบอกกับเขาว่าอย่าถอดออกเอาไว้แน่นเช่นกัน ฝ่ายผู้เป็นพ่อรู้สึกไม่เข้าใจไปชั่วขณะหนึ่งแต่ก็ตอบออกไปตามน้ำ

    “อืม... การผิดสัญญาเนี่ย มันไม่ดีเนอะ งั้นก็ต้องรักษาสัญญาแหละ” เหมือนตอบออกมาทั้งที่ยังไม่เข้าใจในตัวคำถามดี แต่ฝ่ายเด็กชายที่เชื่อมั่นในคำสอนของพ่อแม่มาตลอดกลับตั้งมั่นกับตัวเองเอาไว้ในใจเสียแล้ว ว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ถอดผ้าพันคอผืนนี้ออกเป็นอันขาด

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ถอดผ้าพันคอออกเด็กขาด!” คำตั้งมั่นแปลกๆ นั่นหมายถึงสัญญาที่อาจประหลาดตามไปด้วย สองขาที่กำลังก้าวเดินตามทางน้ำของเมืองแห่งสายน้ำถึงกับหยุดชะงักอยู่กับที่ ด้วยความมึนงงถึงคำมั่นของลูกชาย ก่อนหันไปด้านข้างเล็กน้อยพอให้มองเห็นใบหน้าของเด็กชาย

    “จะใส่พ่อก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ตอนนอนกับอาบน้ำต้องถอดออกนะ” เจอข้อแม้มาแบบนี้ เด็กชายทำสีหน้าคิดหนักขึ้นมาในทันที

    “ไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าถอดออกแค่นั้น พ่อว่าพี่ชายของลูกไม่ว่าอะไรแน่นอน” รับรู้ได้ถึงความลำบากใจ ถึงได้พยายามทำให้สบายใจขึ้นโดยการอ้างไปถึงพี่ชายที่ลูกชายตนกล่าวถึง

    “ถ้าคุณพ่อพูดอย่างนั้น ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ” ลังเลอยู่นานแต่พอได้ยินผู้เป็นพ่อพูดออกมาแบบนั้น อลิซรับคำด้วยสีหน้าที่กลับมายิ้มได้อีกครั้ง

    “เอาล่ะ พวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ กลับมืดขนาดนี้ คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจโดนอลิเซียบ่นกันแล้วล่ะ” พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะวันนี้พวกเขากลับกันมืดมากเกินไปแล้วจริงๆ ตอนนี้คุณแม่ที่รอทานข้าวเย็นอยู่คงจะเป็นห่วงมากแล้วอย่างแน่นอน

    “จริงสิ ตอนเอาไปซักก็ต้องถอดผ้าพันคอออกด้วยเนอะ”

    “ครับ!

    แต่ก็ยังวนกลับเข้ามาในเรื่องผ้าพันคอกันได้อีก ทั้งที่น่าจะมีใครสักคนรู้สึกตัวกันขึ้นมาบ้างได้แล้ว ว่าสัญญาที่บอกว่าห้ามถอดผ้าพันคอในตอนนั้น  มันก็แค่ให้ใส่เอาไว้จนกว่าจะเจอกับผู้เป็นพ่อเท่านั้น เพื่อใช้เป็นสัญญาลักษณ์ในการตามหาตัวได้ง่ายขึ้น ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อลิซยังคงรักษาสัญญา ทั้งที่ยังเข้าใจผิดอยู่แบบนั้นมาโดยตลอด... 


     

    มุมน้ำชา

    จบไปแล้วกับบทนำของเรื่องนี้ เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สนุกหรือเปล่า หรือว่ายังตอบไม่ได้กันเอ๋ย เพราะมันมีแค่บทนำเอง อิๆ รอตอนต่อไปในอาทิตย์หน้าค่ะ หลังจากนี้ไป นักอ่านทุกท่านก็คงจะเริ่มมองออกมากขึ้น ว่าตัวละครแต่ละตัวที่โผล่มา มีคาแรคเตอร์คล้ายกับตัวละครตัวใดในเรื่องอลิซกันบ้าง ^^


       



     
    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×