ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สะใภ้สายลับ 2

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 แวว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      8
      6 พ.ค. 57

    สะใภ้สายลับ 2

     

    บทที่ 2

     

    แวว

     

     

                                    มัลลิกาเงยหน้ามองกำแพงเรือนจำ ศพนักโทษถูกเคลื่อนย้ายออกไปนานแล้ว แต่รอยไหม้ดำบนกำแพงยังคงอยู่ที่เดิม มองแล้วสยดสยองไม่น้อยเลยทีเดียว เธอหันไปมองเจ้าหน้าที่เรือนจำ ซึ่งเสียสละเวลาพาเธอกับวีรภัทรมาดูที่เกิดเหตุ ก่อนซักถามรายละเอียดจากเขา

     

     

                                    “ตรงนี้เหรอคะที่นายอาคมกับพวกปีนหนีออกไปจากเรือนจำ”

     

     

                                    “ใช่ครับ พวกเขาฉีกผ้าห่มมาต่อกันเป็นเชือก แล้วโยนขึ้นไปพันกับเสาไฟ ก่อนจะปีนกำแพงหนีออกไป สองคนแรกหนีไปได้ แต่คนสุดท้ายถูกไฟดูดเสียชีวิต ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนี้เลยครับ” เขาชี้มือไปที่กำแพง มัลลิกาพยักหน้าเข้าใจ แล้วถามคำถามต่อไป

     

     

                                    ปกติเรือนนอนจะปิดล็อคแน่นหนา แล้วพวกเขาออกมาได้ยังไงคะ

     

     

                                    พวกเขาใช้ลวดที่แอบหยิบมาจากโรงฝึกไขกุญแจหนีออกไปครับ

     

     

                                    “กุญแจเก่าหรือเปล่าครับ ทำไมไขออกง่ายจัง” วีรภัทรเอ่ยถาม

     

     

                                    “ไม่เก่าหรอกครับ แต่คนที่ตายเนี่ย” เขาชี้มือไปที่รอยดำบนกำแพง “เป็นเซียนสะเดาะกุญแจเลยครับ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาวางแผนหนีกันตอนไหน เพราะผมไม่เคยเห็นพวกเขาคุยกันเลย”

     

     

                                    ตอนอยู่ในเรือนจำนายอาคมเป็นยังไงบ้างคะ มัลลิกาเอ่ยถาม

     

     

                                    เรียบร้อยดีครับ ไม่เคยมีปัญหากับใคร ความจริงเขาเป็นนักโทษชั้นดีด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะหลบหนีแบบนี้

     

     

                                    ฉันขอเข้าไปดูข้อความที่นายอาคมเขียนทิ้งไว้ได้ไหมคะมัลลิกาบอกความประสงค์ของตน แต่เขาปฏิเสธคำขอของเธอ

     

     

                                    เสียใจครับ ผมให้คนทำความสะอาดไปแล้ว แต่ผมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ผู้กองจะดูไหมครับ

     

     

                                    “ค่ะ” มัลลิการับโทรศัพท์ของเขามาดู คำว่าพายุเขียนด้วยเลือดสีแดงคล้ำ ปรากฏหราอยู่บนกำแพงห้องน้ำ ตอกย้ำสิ่งที่เธอกังวลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นายอาคมไม่เคยลืมความแค้นที่มีกับเธอ หนึ่งปีในเรือนจำไม่ทำให้เขาเปลี่ยนไปเลย

     

     

                                    “เป็นยังไงบ้างครับ”

     

     

                                    “พวกเราต้องกลับแล้ว ขอบคุณที่ให้ข้อมูลนะคะ” เธอส่งโทรศัพท์คืนให้เขา

     

     

                                    “ยินดีครับ เดี๋ยวผมไปส่งพวกคุณเอง” เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินนำไปที่ทางออก ทั้งสองเดินตามไป หลังจากบอกลากันที่หน้าประตูเรือนจำแล้ว พวกเขาก็เดินไปขึ้นรถยนต์ของตน

     

     

                                    มาแล้วสบายใจขึ้นไหมวีรภัทรเอ่ยถามพลางดึงประตูรถปิด

     

     

                                    ไม่เลยเธอส่ายหน้า

     

     

                                    ฉันบอกแล้วว่าอย่ามา เธอก็ไม่เชื่อฉัน

     

     

                                    ฉันอยากเห็นด้วยตาตัวเอง ขอโทษที่ทำให้นายเสียเวลาเธอหันไปมองเขา วีรภัทรยักไหล่ แล้วติดเครื่องยนต์

     

     

                                    “ไม่เป็นไร เธอไปไหน ฉันไปนั่นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับกันก่อนดีกว่า คืนนี้ฉันมีนัดกับสาวด้วย เธอคงไม่อยากให้ฉันไปสายใช่ไหม”

     

     

                                    “ใช่ นายออกรถเถอะ ฉันจะหลับสักงีบหนึ่ง ถึงแล้วปลุกด้วยนะ”

     

     

                                    มัลลิกาเอนศีรษะพิงพนัก ทอดตามองถนนเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด นายอาคมแหกคุกออกไปสองวันแล้ว เขาไม่มีเงินติดตัวสักบาท แถมยังถูกตำรวจตามล่าอีก ถ้าเธอเป็นเขา เธอควรจะทำยังไง เพื่อให้ตัวเองหนีรอดได้

     

     

                                    “ไหนบอกว่าจะนอนไง ทำไมยังไม่หลับตาอีก” วีรภัทรเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเธอไม่ทำตามที่พูด

     

     

                                    “ฉันกำลังคิดเรื่องนายอาคม ถ้านายเป็นเขา นายจะหนีไปอยู่ที่ไหน”

     

     

                                    “ไม่รู้สิ คงหนีออกนอกประเทศมั้ง”

     

     

                                    “ถ้านายไม่มีเงินสักบาท นายจะไปยังไง” เธอหันไปถามเพื่อนหนุ่ม วีรภัทรขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนหันมาตอบเธอ

     

     

                                    “ไปหาที่พึ่งมั้ง เพื่อนเก่า เจ้านายเก่า ลูกน้องเก่า ใครสักคนที่เคยรับบุญคุณจากฉัน และไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือฉันในยามตกทุกข์ได้ยาก”

     

     

                                    “ใช่ นายนี่มันอัจฉริยะจริงๆ เลย” มัลลิกายิ้มกว้างอย่างมีความหวัง นายอาคมอยู่ในแวดวงมิจฉาชีพมาหลายปี เขาต้องรู้จักผู้มีอิทธิพลในวงการนี้หลายคน ถ้าเธอรู้ว่าเขาไปขอความช่วยเหลือจากใคร เธอก็จะรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

     

     

                                    “ไปเยี่ยมเสี่ยวิบูลย์กัน” เธอบอกผู้เป็นเพื่อน

     

     

                                    “ไปทำไม” เขาหันมาถาม

     

     

                                    “ไปถามเรื่องนายอาคมไง เสี่ยใหญ่น่าจะรู้ว่าอดีตลูกน้องสนิทกับใครบ้าง และตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่ไหน”

     

     

                                    “ดูนาฬิกาก่อนมะลิ เรือนจำไม่ใช่โรงแรมนะ จะได้เข้าออกตอนไหนก็ได้”

     

     

                                    “ฉันลืมไป” มัลลิกาเอ่ยด้วยท่าทางหงอยๆ เสี่ยใหญ่กับอาคมถูกขังอยู่คนละเรือนจำกัน กว่าเธอจะไปถึงเรือนจำที่เสี่ยวิบูลอยู่ก็หมดเวลาเยี่ยมแล้ว

     

     

                                    “ฉันว่าเธอใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า นายอาคมตัวคนเดียวจะทำอะไรได้ ถ้าเขาจะกลับมาแก้แค้นเธอจริงๆ เธอก็ยังมีฉันนะ ฉันไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปหรอก”

     

     

                                    ฉันไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง แต่ฉันห่วงคนที่อยู่รอบตัวฉัน ถ้าอาคมทำร้ายคุณวี พ่อ น้ามาลี คุณพ่อประพจน์ คุณหญิงแม่ เหมียว หรือนาย ฉันจะทำยังไง

     

     

                                    อย่าเพิ่งคิดมากเลย เรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นสักหน่อย ร้อนใจไปก็เท่านั้น นอนหลับสักงีบนะ ตื่นขึ้นมาทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้

     

     

                                    “ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”

     

     

                                    มัลลิกาหลับตาลง พยายามทำใจให้สงบ แต่มันยากเหลือเกิน เพราะทันทีที่หลับตา ใบหน้าแค้นเคืองของนายอาคมก็มาลอยอยู่ตรงหน้าเธอ ตราบใดที่ยังส่งเขากลับเข้าคุกไม่ได้ เธอคงไม่มีวันนอนหลับสนิท

     

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

     

                                    “ถึงแล้วมะลิ ตื่นได้แล้ว”

     

     

                                    เสียงเรียกของเพื่อนหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะ มัลลิกาลืมตาขึ้นมองอย่างงัวเงีย ทั้งที่คิดว่าไม่มีทางนอนหลับ แต่เธอก็หลับไปจนได้ แถมยังหลับยาวจนถึงกรุงเทพอีกต่างหาก

     

     

                                    “ขอบใจนะ นายไม่เข้าไปข้างในก่อนเหรอ” เธอเอ่ยชวน แต่เพื่อนหนุ่มปฏิเสธ

     

     

                                    “ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับคอนโดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ไม่อยากไปสายตั้งแต่เดทแรก”

     

     

                                    “ตามใจนาย พรุ่งนี้เจอกัน” มัลลิกาลงจากรถ แล้วผลักประตูปิดให้เขา วีรภัทรโบกมือลาเธอ ก่อนขับรถออกไป ผู้กองสาวเดินไปที่ประตูรั้ว กำลังจะยื่นมือไปเปิดประตูเล็ก แต่ลุงสมหมายวิ่งมาเปิดให้เธอเสียก่อน

     

     

                                    “ผมเปิดให้ครับคุณมะลิ”

     

     

                                    “ขอบคุณค่ะลุง คุณวีกลับมาหรือยังคะ” เธอเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปในบ้าน

     

     

                                    “ยังครับ แต่อีกเดี๋ยวคงมา เพราะเลยเวลาแล้ว ส่วนคุณหญิงเพียงแขอยู่ที่ห้องรับแขก คุณท่านอยู่ในเรือนกล้วยไม้ครับ”

     

     

                                    “ขอบคุณค่ะลุง” มัลลิกายิ้มให้คนขับรถสูงวัย แล้วเดินเข้าไปในสวนหย่อม แทนที่จะเดินเข้าไปในบ้าน เพราะไม่อยากไปเจอแม่สามี ในเวลาที่จิตใจไม่ปกติแบบนี้ เธอเลือกนั่งใต้ต้นมะม่วงที่พบกับปารวีครั้งแรก ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เธอยิ้มออก ไม่คิดเลยว่าท่านผู้พิพากษาขี้โมโหในวันนั้น จะกลายมาเป็นสามีที่น่ารักของเธอในวันนี้ได้

     

     

                                    “พี่มะลิ” เหมียวเดินแกมวิ่งเข้ามาหา เธอหันไปมองหล่อน ก่อนร้องเตือนอย่างหวังดี

     

     

                                    “ไม่ต้องวิ่งหรอก เดี๋ยวหกล้ม”

     

     

                                    “พี่มะลิมาถึงนานหรือยังคะ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน แล้วมานั่งอยู่ที่นี่ทำไม”

     

     

                                    “พี่เพิ่งมาถึง ยังไม่อยากเข้าบ้าน ที่มานั่งตรงนี้ เพราะมันเย็นดี พี่ตอบครบหรือยังจ๊ะ” เธอย้อนถามหล่อน เด็กสาวหัวเราะคิก ก่อนพยักหน้า

     

     

                                    “ครบค่ะ แล้วทำไมพี่มะลิถึงไม่อยากเข้าบ้านคะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า บอกเหมียวได้นะคะ”

     

     

                                    “ไม่มีจ้ะ พี่สบายดี” เธอพูดปลด เพราะไม่อยากให้เด็กสาวเป็นห่วง แต่หล่อนกลับดูออกอีก

     

     

                                    “อย่าปิดเหมียวเลยค่ะ เหมียวดูออก พี่มะลิมีเรื่องกลุ้มใจ ไม่งั้นคงไม่มานั่งคนเดียวหรอก”

     

     

                                    “เหรอ ถ้าดูเก่งนัก ไหนบอกสิว่าพี่กลุ้มใจเรื่องอะไร” มัลลิกาเอ่ยถามอย่างขำๆ เหมียวจ้องหน้าเธอเขม็ง ก่อนตอบอย่างมั่นใจ

     

     

                                    “เรื่องคุณลิตาค่ะ”

     

     

                                    “ทำไมเหมียวถึงคิดว่าพี่กลุ้มใจเรื่องนี้ล่ะ” เธอถามต่ออย่างนึกสนุก เด็กสาวยืดอกขึ้น ก่อนตอบด้วยท่าทางมั่นใจยิ่งกว่าเดิม

     

     

                                    “มีผู้หญิงมาหาสามีของเราบ่อยๆ แถมแม่สามียังรู้เห็นเป็นใจอีก เป็นใครก็ต้องกลุ้มค่ะ

     

     

                                    นั่นสินะ ไม่กลุ้มก็แปลกแล้วมัลลิกาพยักหน้าเห็นด้วย เหมียววางมือบนหลังมือเธอ ก่อนตบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

     

     

                                    พี่มะลิไม่ต้องกลัวนะคะ เหมียวอยู่ข้างพี่เสมอ เหมียวจะไม่ยอมให้คุณลิตามาแย่งคุณวีไปจากพี่มะลิเด็ดขาด

     

     

                                    คงไม่มั้ง คุณวีรู้จักคุณลิตาก่อนรู้จักพี่อีก ถ้าพวกเขาจะมีอะไรกัน คงมีไปนานแล้ว ไม่รอจนถึงวันนี้หรอกเธอพยายามมองโลกในแง่ดี แต่เด็กสาวไม่คิดเหมือนเธอ เหมียวเหลือบตามองไปรอบๆ ก่อนเปลี่ยนจากพูดมากระซิบแทน

     

     

                                    พี่มะลิอย่าประมาทนะคะ น้ำมันใกล้ไฟไว้ใจได้ที่ไหน แถมยังมีคุณหญิงคอยเป็นเชื้อเพลิงอีก ดูอย่างวันนี้สิคะ รถตัวเองก็มีแทนที่จะขับไปทำงานเอง กลับขับมาจอดที่บ้านเรา แล้วนั่งรถไปทำงานกับคุณวี แบบนี้มันเจตนาไม่บริสุทธิ์ชัดๆ ค่ะ

     

     

                                    มันก็จริงนะ แต่เหมียวไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่มีไม้เด็ดไว้จัดการคุณวีแล้ว ต่อให้สิบชลิตาก็สู้พี่ไม่ได้มัลลิกาชูกำปั้นอย่างมั่นใจ แต่ไม่อาจทำให้เด็กสาวเชื่อได้ เหมียวส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ก่อนยกสุภาษิตที่วีรภัทรเคยพูดมาเตือนใจเธออีกครั้ง

     

     

                                    พี่มะลิเคยได้ยินคำว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนไหมคะ

     

     

                                    เคยจ้ะ แต่คุณวีไม่ใช่ก้อนหิน พี่เชื่อใจสามีตัวเอง เธอเอ่ยอย่างหนักแน่น เหมียวถอนใจเบาๆ แล้วดึงมือเธอไปกุมไว้

     

     

                                    พี่มะลิเป็นคนดี พี่ตามพวกเขาไม่ทันหรอกค่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เหมียวจะช่วยพี่เอง”

     

     

                                    ช่วยยังไงจ๊ะ มัลลิกาถามอย่างเอ็นดูระคนอ่อนใจ ในเมื่ออธิบายแล้วเด็กสาวไม่เชื่อ ก็คงต้องปล่อยให้หล่อนทำตามใจตัวเองไป

     

     

                                    เวลาที่คุณลิตามาที่นี่ เหมียวจะคอยขัดแข้งขัดขา ไม่ให้หล่อนได้ใกล้ชิดคุณวีหล่อนบอกด้วยแววตามุ่งมั่น

     

     

                                    แค่นี้เองเหรอเธอแกล้งทำเป็นผิดหวัง

     

     

                                    ยังไม่หมดค่ะเด็กสาวรีบปฏิเสธ เหมียวจะจับตาดูคุณหญิงเอาไว้ ถ้าท่านวางแผนอะไรที่ไม่ดี เหมียวจะรีบมาบอกพี่มะลิ พี่จะได้หาทางตั้งรับไงคะ

     

     

                                    แล้วเหมียวไม่กลัวโดนคุณหญิงไล่ออกเหรอเธอถามเสียงเบาเหมือนกลัวคนที่พูดถึงจะได้ยิน เหมียวส่ายหน้า ก่อนตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

     

     

                                    ไม่กลัวค่ะ เพื่อพี่มะลิเหมียวยอมทุกอย่าง

     

     

                                    ขอบใจจ้ะ ถ้าไม่มีเหมียวเป็นพวกพี่คงลำบาก แต่ตอนนี้เหมียวรีบไปเปิดประตูก่อนดีกว่า ให้คุณวีรอนานระวังจะถูกดุนะ มัลลิกาชี้มือไปที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นรถเบนส์ของปารวีแล่นมาจอดรอตรงประตูรั้ว เหมียวหันไปมอง ก่อนหันมากำชับเธอ

     

     

                                    “พี่มะลิอย่าบอกเรื่องนี้กับคุณวีนะคะ เพราะเรื่องนี้ยิ่งรู้น้อยเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น”

     

     

                                    จ้ะ พี่ไม่บอกหรอก เหมียวรีบไปเถอะ เธอรับปากเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ เด็กสาวพยักหน้า แล้วรีบวิ่งไปกดปุ่มเปิดประตูรั้ว ก่อนเดินกลับเข้าห้องครัว โดยไม่ลืมทำมือบุ้ยใบ้ไปที่รถของปารวี

     

     

                                    มัลลิกาหันไปมองรถของสามี ปารวีจอดรถที่หน้าคฤหาสน์ แล้วลงจากรถเดินไปเปิดประตูให้ชลิตา หญิงสาวก้าวลงมายืนพลางยิ้มหวานให้เขา ก่อนทั้งสองจะเดินเข้ามาทักทายเธอ

     

     

                                    “สวัสดีค่ะผู้กอง”

     

     

                                    “สวัสดีค่ะคุณลิตา” เธอทักทายตอบ ก่อนเงยหน้ามองสามี เมื่อเขาเอ่ยถาม

     

     

                                    “ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วจัง”

     

     

                                    “งานของมะลิก็แบบนี้แหล่ะค่ะ ช้าบ้างเร็วบ้างเอาแน่ไม่ค่อยได้”

     

     

                                    “เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้ ลาออกดีกว่าเนอะ อย่าไปทำมันเลย” ปารวีถามยิ้มๆ แต่ทำเอามัลลิกายิ้มไม่ออก

     

     

                                    “คุณหญิงแม่อยู่ในบ้าน คุณลิตาจะเข้าไปพบไหมคะ เดี๋ยวฉันพาเข้าไปเอง” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องพูด เพื่อหันเหหัวข้อการสนทนาให้พ้นจากตัวเอง

     

     

                                    “ไม่ดีกว่าค่ะ ลิตาต้องรีบกลับ” ชลิตาตอบแล้วหันไปบอกลาปารวี “ลิตากลับก่อนนะคะพี่วี”

     

     

                                    “เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ปารวีเดินตามไปส่งหญิงสาวที่รถ เขาเปิดประตูรถให้หล่อนอย่างสุภาพ ก่อนเดินกลับมาหาเธอ เมื่อชลิตาขับรถออกไปแล้ว

     

     

                                    มัลลิกาถอนใจเบาๆ ยิ่งมองยิ่งสะท้อนใจ ขนาดเธอยังคิดว่าพวกเขาเหมาะสมกัน แล้วคุณหญิงเพียงแขจะไม่คิดได้ยังไง

     

     

                                    “ทำไมมองพี่แบบนั้น” ปารวีหยุดยืนตรงหน้าเธอ มัลลิกาเงยหน้ามองสามี ก่อนย้อนถามเสียงใส

     

     

                                    “แบบไหนคะ”

     

     

                                    “แบบ...” เขาก้มลงสบตาเธอ “หมาน้อยถูกทิ้ง”

     

     

                                    “ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

     

     

                                    “ใช่” เขาจับมือเธอไปกุมไว้ “พี่รู้นะว่ามะลิคิดอะไรอยู่ พี่ขอยืนยันว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้ พี่รักมะลิคนเดียว ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน พี่ไม่มีวันเห็นดีเห็นงามไปกับคุณแม่ มะลิไม่จำเป็นต้องกังวลหรือน้อยใจอะไร แต่ถ้ามะลิไม่สบายใจที่เห็นพี่สนิทกับลิตา พี่จะไม่ทำอีกก็ได้”

     

     

                                    “ไม่ต้องหรอกค่ะ มะลิเชื่อใจวีขา” มัลลิกาส่ายหน้าพลางยิ้มให้สามี เธอเพิ่งเข้าใจว่าทำไมเหมียวถึงไม่เชื่อคำพูดของเธอ เพราะลึกๆ แล้วเธอไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูด เธอคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับปารวี และคิดเสมอว่าเขาเหมาะสมกับชลิตา ทั้งที่สามีของเธอไม่เคยคิดแบบนั้นเลย

     

     

                                    “เชื่อใจแล้วทำไมคิ้วยังผูกโบอยู่เลย” เขาลูบคิ้วเธอเบาๆ

     

     

                                    “เข้าบ้านกันเถอะค่ะ มะลิเหนียวตัวอยากอาบน้ำ วีขาช่วยถูหลังให้มะลิได้ไหมคะ” มัลลิกาเปลี่ยนเรื่องพูดพลางลุกขึ้นยืน ปารวีเป็นคนช่างสังเกต เขาคงมองเห็นความกังวลของเธอ แต่เธอยังไม่พร้อมจะบอกเรื่องนายอาคม จึงหันเหความสนใจของเขาด้วยการชวนไปทำอย่างอื่นแทน

     

     

                                    “ด้วยความยินดีครับ” เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วจูงมือเธอเดินเข้าบ้าน ลืมเรื่องคิ้วผูกโบของเธอไปทันที

     

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

     

                                    ในตึกร้างย่านชานเมือง อาคมนอนซมอยู่บนพื้นปูนสกปรก เขาหลบหนีการไล่ล่าของตำรวจจนมาถึงที่นี่ ก่อนพบว่าตัวเองหมดแรงจะหนีต่อไป เพราะถูกไข้หวัดเล่นงานอย่างหนัก เขาทั้งหิวทั้งปวดหัวจนแทบจะระเบิด แถมยังไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ ทุกคนที่เห็นเขาต่างเมินหน้าหนีด้วยความรังเกียจ เมื่อเดินจนหมดแรงเขาจึงเข้ามาหลบนอนในตึกร้างแห่งนี้ โชคชะตาไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนแหกคุกออกมาได้ แต่สุดท้ายกลับต้องมาตายเหมือนหมาข้างถนนอยู่ดี

     

     

                                    พี่เป็นอะไรหรือเปล่า

     

     

                                    เสียงแปร่งๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ อาคมลืมตาขึ้นมอง ก่อนเบิกตาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นใบหน้านี้อีก

     

     

                                    อร... เขาพึมพำเสียงสั่น อยากจะยื่นมือไปสัมผัส แต่กลัวว่าภาพที่เห็นจะหายไป

     

     

                                    พี่ไม่สบายเหรอ มีอะไรให้หนูช่วยไหม เด็กสาวถามย้ำอีกครั้ง ดวงตาใสซื่อจ้องมองเขาอย่างห่วงใย

     

     

                                    ไม่ใช่…” อาคมพึมพำอย่างผิดหวัง ตอนแรกที่เห็นหน้าหล่อน เขานึกว่าตัวเองใกล้ตายจึงเห็นภาพหล่อน แต่พอรวบรวมสติกลับมาได้ เขาจึงรู้ว่าปาฏิหาริย์ไม่มีจริง หล่อนไม่ใช่คนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาทั้งชีวิต แค่เป็นคนที่มีใบหน้าคล้ายกันเท่านั้น

     

     

                                    ฉันไม่สบาย ตอนนี้ฉันหิวมาก เธอมีอะไรให้กินบ้างไหม เขายันตัวลุกขึ้นนั่งพิงผนังพลางมองสำรวจเด็กสาวไปด้วย หล่อนสวมกางเกงวอร์มเปื้อนเศษปูนกับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเก่าจนซีดจาง เมื่อฟังจากสำเนียงและวิธีการพูดจา หล่อนคงเป็นแรงงานต่างด้าวที่มารับจ้างทำงานก่อสร้างอยู่แถวนี้

     

     

                                    รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวหนูมา เด็กสาวร้องบอกแล้วผลุนผลันออกไป

     

     

                                    อาคมหลับตาลง ภาพในวัยเด็กหวนกลับมาในความทรงจำ เขาเคยมีน้องสาวคนหนึ่ง แต่หล่อนโชคร้ายเสียชีวิตไปก่อนวัยอันสมควร ไม่คิดเลยว่าในวันที่เขาตกต่ำที่สุด จะมีคนหน้าตาคล้ายกับน้องสาวยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

     

     

                                    มาแล้วพี่ เสียงเด็กสาวดังขึ้น ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมอง ก่อนรับถุงข้าวของหล่อนมากินอย่างหิวโหย ทั้งที่เป็นแค่ข้าวกับไข่เจียว แต่เขากลับรู้สึกว่ามันอร่อยเหลือเกิน

     

     

                                    เบาๆ พี่เดี๋ยวติดคอ เด็กสาวเอ่ยเตือนพลางส่งขวดน้ำเปล่าให้เขา ชายหนุ่มรีบรับมาดื่มอย่างกระหาย ก่อนกลับไปกินข้าวต่อจนหมดถุง

     

     

                                    ยา หล่อนส่งยาลดไข้ให้เขาแผงหนึ่ง อาคมรับมากินแล้วดื่มน้ำตามจนหมดขวด พออิ่มท้องเรี่ยวแรงที่หายไปก็เริ่มกลับคืนมา เขาเงยหน้ามองหล่อน ก่อนเอ่ยจากใจจริง

     

     

                                    ขอบใจนะ บุญคุณของเธอ ฉันจะไม่ลืมเลย ถ้าฉันรอดไปได้ ฉันจะกลับมาตอบแทน

     

     

                                    ไม่ต้องหรอกพี่ คนเราช่วยกันได้ก็ช่วยไป รับเงินนี่ไว้นะ เอาไว้ซื้อข้าวกินเด็กสาวส่งเงินให้เขาสองร้อยบาท

     

     

                                    ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็พอแล้วอาคมส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงเงินสองร้อยจะไม่มากมายอะไร แต่สำหรับแรงงานต่างด้าวอย่างหล่อน เงินจำนวนนี้อาจต้องแลกด้วยการทำงานหนักทั้งวัน

     

     

                                    พี่รับไปเถอะ หนูยังพอมีอยู่บ้าง หนูต้องกลับแล้ว เดี๋ยวหัวหน้าจะว่าเอาเด็กสาวยัดเงินใส่มือเขา อาคมมองสบตาหล่อน ก่อนตัดสินใจรับไว้ เพราะคิดได้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้มัน

     

     

                                    ขอบใจนะ ฉันชื่ออาคม เธอชื่ออะไร

     

     

                                    “หนูชื่อแวว ทำงานอยู่ที่แค้มป์คนงานท้ายซอย หนูไปก่อนนะ” หล่อนโบกมือลา แล้วเดินออกไป

     

     

                                    อาคมมองตามหล่อนจนลับตา ก่อนก้มลงมองธนบัตรในมือ ผู้มีพระคุณของเขาชื่อแวว เด็กสาวหน้าตาธรรมดา แต่น้ำใจงามเหมือนนางฟ้า



    .......................................................................

    มัลลิกาค่ะ

    มาตามนัดกับบทที่ 2 อ่านกันเลยนะคะ ฝนตกแล้วนะคะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ บายๆ

    รักนะ...มัลลิกา


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×