ตอนที่ 52 : ตอนพิเศษ : Chain's Part [ Rewrite ]
ตอนพิเศษ
[ Chain’s Part ]
เหตุผลที่ผมยอมปล่อยมือคู่นั้นอย่างง่ายดาย... เป็นเพราะคืนนั้นเขาร้องไห้
ยิ่งเขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ลอดมาตามสายโทรศัพท์ มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังทรมานแค่ไหน
ตรีของผมกำลังเจ็บปวด แต่ผมกลับทำอะไรเพื่อเขาไม่ได้เลย
ผมพยายามทำใจให้สบาย พยายามคิดเข้าข้างตัวเองซ้ำๆ ว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไปด้วยดี แต่ความคิดเหล่านั้นกลับถูกทำลายยับเยินด้วยคำถามมากมายที่ผุดเข้ามาในหัว... หลายวันที่ผ่านมา เขาร้องไห้ลับหลังผมกี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งกันที่เขาต้องเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้โดยที่ผมไม่เคยรู้?
ผมอาจไม่เข้าใจความรู้สึกเขา แต่ผมก็พอจะรู้ว่าการต้องเลือกระหว่างครอบครัว กับความรัก และความฝัน มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหน แล้วแบบนี้ผมจะปล่อยให้เขาต่อสู้อยู่คนเดียวได้ยังไง?
คืนนั้น... ผมจึงตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ลงไปโดยไม่ทันได้ใช้สมองไหร่ตรอง หวังว่ามันจะช่วยหยุดน้ำตาของเขา ช่วยยุติความเจ็บปวดนั้นให้หายไป
‘ผมจะเลิกกับตรี… เพราะฉะนั้น ได้โปรด... ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยเถอะครับ’
ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่พ่อเขาขู่จะพาเขาไปอยู่อิตาลีด้วยมันจริงเท็จแค่ไหน แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็เท่ากับว่าผมกำลังทำลายความฝันของตรีด้วยมือของผมเอง
และผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น
‘เชน!’
ผมได้ยินเสียงของเขาตะโกนเรียกชื่อผม แต่ถ้าผมหันกลับไป ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็คงทลายลงอย่างง่ายดาย
‘ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน’
ผมคงไม่อาจฝืนใจยอมรับข้อเสนออันโหดร้ายที่พ่อของตรียื่นให้ผมได้ ถ้าเพียงแค่ผมสบตากับเขาเพียงแค่แวบเดียว
‘ครับ ผมสัญญา’
ผมคงไม่อาจให้คำสัญญาโง่ๆ ที่เพิ่งรู้ตัวว่า สุดท้ายมันจะทำร้ายเราทั้งคู่ให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
คืนนั้นผมกลับบ้านในสภาพที่ราวกับคนไร้สติ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองขับรถฝ่าฝนกลับมาถึงบ้านได้ยังไง ในหัวมีแต่คำถามมากมายวนเวียนไปมา และไม่ได้รับคำตอบ
สิ่งที่ผมตัดสินใจทำ มันดีกับเราทั้งคู่จริงๆ น่ะเหรอ? การปล่อยมือจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปพร้อมกับตัวผมได้จริงหรือเปล่า?
ผมไม่รู้เลย
‘เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น!?’ เสียงริบบิ้นดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในบ้านในสภาพเปียกปอน
ผมไม่มีอารมณ์จะตอบคำถาม จึงไม่หันกลับไป มุ่งหน้าไปที่บันไดเพื่อไปยังห้องตัวเองที่อยู่ชั้นสอง
‘เชน เป็นอะไรไป ฉันนึกว่าแกอยู่กับ... โอ้...’ คนที่วิ่งมาดักหน้าผมชะงักไปเหมือนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะแสดงสีหน้ารู้สึกผิด ‘ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าเสนอแผนพิเรนทร์ๆ นั่นให้แกเลย’
ริบบิ้นคงคิดว่าที่ผมกลับมาในสภาพนี้เป็นความผิดพลาดของแผนหนีตามของเธอ
‘มันไม่เกี่ยวกับเธอหรอก’ ผมตอบไปแค่นั้นและกำลังจะเดินหนี แต่ยัยพี่สาวตัวดีก็ยังตามมารั้งไว้
‘เชน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย...’
‘ไม่ต้องช่วยอะไรทั้งนั้น!’ เพราะถูกเซ้าซี้มากเกินไป ผมเลยเผลอขึ้นเสียงใส่เธอ
และเพราะอยู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา มันจึงส่งผลให้ความรู้สึกที่พยายามกลั้นเอาไว้ ทะลักออกมาอย่างไม่อาจห้าม
‘นี่แก... ร้องไห้เหรอ’ ผมเองก็เพิ่งรู้ตัวตอนที่เห็นสีหน้าตกใจของคนที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ
ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับน้ำตาที่ไหลออกมายังไง เลยได้แต่แสร้งยกมือขึ้นมากุมขมับเพื่อปกปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยอย่างหมดแรง
‘มันจบแล้ว’ แต่ยิ่งพูดคำนั้น ความหมายของมันกลับทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาไม่หยุด จนต้องขอตัวเดินออกมาโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก
ผมไม่ได้ต้องการคำปลอบใจ หรือความช่วยเหลือใดๆ วินาทีนั้นผมแค่อยากใช้เวลากับตัวเองเพื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น ทบทวนการตัดสินใจของตัวเองว่ามันให้ผมดีอะไรบ้าง... แต่นอกจากสมองของผมจะพร่าเลือนจนไม่อาจหาคำตอบใดๆ ได้แล้ว ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของตรี ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หยุด ความเจ็บปวดที่ถาโถมขึ้นทุกๆ วินาทีทำให้รู้ว่าตอนนี้ผมอาการหนักแค่ไหน
คืนนั้นทั้งคืนผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา ผมเอาแต่ร้องไห้ แบบที่แม้แต่ตัวเองยังไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ผมอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้
เวลาผ่านไป
ตอนให้สัญญา ผมคิดว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ ผมคิดว่าตัวเองจะใจแข็งพอ ปล่อยให้เรื่องของเราจบลงเพียงเท่านั้น และหายไปจากชีวิตของเขาซะ ไม่ต้องทำให้เขาเจ็บปวดอีก
แต่มันก็ยากเกินไป
ความเห็นแก่ตัวของผม มีมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้เขาลืม... ผมเคยคิดง่ายๆ ว่ามันคงไม่เป็นไร ถ้าหากผมจะแอบมองเขาจากที่ไกลๆ ฝ่ายเดียว ในขณะที่ปล่อยให้ตัวตนของผมค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของตรี
แต่พอเอาเข้าจริง ยิ่งผมมองเขาอยู่ในที่มืด ผมก็ยิ่งกลัว... หวาดกลัวว่าตัวเองจะไร้ตัวตน
ผมไม่อยากให้เขาลืมผม ไม่อยากให้เขาทำใจได้ว่าจะไม่มีเราอีกต่อไป
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องปรากฏตัวขึ้นมาให้เขาเห็นเสมอ ตอกย้ำแผลที่ไม่มีวันหายของเขาซ้ำๆ อย่างคนสารเลว ผมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด และรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเขาเจ็บปวด ผมเข้าใจความหมายของคำว่าใจสลาย ก็ตอนที่เห็นเขาร้องไห้ เข้าใจความเจ็บปวดเจียนตายก็ตอนที่เขาเริ่มชินชากับการมีตัวตนของผม
และสุดท้าย ผมก็พ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเอง
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ผมได้เห็นจากเขา มันตอกย้ำให้ผมตาสว่างว่าการตัดสินใจของผมมันช่างโง่เง่า และทำร้ายเราทั้งคู่ ผมทนเล่นเกมที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจกลับไปหาเขา ในวันที่ผมแน่ใจว่าเขายังมีแต่ผมอยู่เต็มหัวใจ
‘ถ้าฉันขอให้รออีกครั้ง... จะรอหรือเปล่า’
ผมเอ่ยคำถามแสนยากขึ้นมาหลังจากที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง ตักตวงความสุขที่ผมโหยหาแรมเดือนตลอดทั้งคืน และย้ำเตือนตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้ไปอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
มันฟังดูบ้ามากที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผม แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในทุกๆ วินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน มันยิ่งตอกย้ำชัดว่าผมรักเขา ผมมีความรักในแบบที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้สัมผัส... ความรักที่ก่อความสุขจนล้นหัวใจ และสามารถสร้างความทุกข์ที่เกือบจะฆ่าผมได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ
และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้ ไม่ให้อะไรมาทำลายได้อีก
‘ตรี’ ผมเรียกชื่อเขา และสบตากับดวงตาคู่สวย ‘ไว้ใจฉันมั้ย?’
และมันได้ผลเสมอเมื่อผมพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
‘อืม’ คำตอบเพียงคำเดียวสั้นๆ นั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งอย่างมีความหวัง
ผมสวมแหวนวงเดิมกลับสู่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา พร้อมกับให้คำสัญญาที่ผมมั่นใจว่าคราวนี้มันจะไม่ทำร้ายเราทั้งคู่อีกเป็นครั้งที่สอง
‘ฉันจะกลับมา’
แล้วคำสัญญานั้นพาผมมายังสถานที่ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มา
มันฟังดูเสียสติมากที่อยู่ๆ ผมก็ตัดสินใจใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางมาอิตาลีทันทีที่ออกมาจากห้องของตรีในวันนั้น แน่นอนว่าตัวช่วยผมสำหรับแผนการนี้ หนีไม่พ้นยัยพี่สาวตัวแสบที่สามารถจัดการให้ผมบินข้ามน้ำข้ามประเทศมาอย่างง่ายดายราวกับเสกได้ ผมกำชับให้ยัยนั่นปิดปากไม่บอกใครเรื่องนี้ แม้กระทั่งกับพ่อ เพราะผมไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย (และพ่อต้องหัวเราะเยาะแน่ ถ้ารู้ว่าผมทำอะไรบ้าๆ แบบนี้)
ที่สำคัญ ผมไม่อยากให้ตรีรู้ และเป็นกังวลกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำ
มันเป็นการตัดสินใจที่ฉุกละหุก และผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะจัดการด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ผมปล่อยให้ตรีเผชิญหน้ากับปัญหานี้โดยลำพัง และมันคงจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะเดินหน้าทำอะไรสักอย่างบ้างเพื่อเขา... เพื่อเรา
โชคดีที่ก่อนมาผมแอบถ่ายรูปที่อยู่ของน้าเขาและที่อยู่ร้านมาจากกระดาษที่เขาแปะเอาไว้บนผนังเหนือโต๊ะเขียนหนังสือ จึงไม่ต้องใช้เวลางมหานานนัก ผมเจียดเงินเก็บของตัวเองที่เหลืออยู่น้อยนิดเป็นค่าแท็กซี่ไปจนถึงร้านและพบว่า ผมแทบไม่ได้เตรียมการอะไรสำหรับการมาครั้งนี้เลย
ถึงจะทำเป็นอวดดี แต่อันที่จริงผมไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะต้องทำยังไงพอถึงเวลาเผชิญหน้ากับพ่อของตรีอีกครั้ง ผมไม่ได้กลัวท่าน เพราะตอนนี้มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่ความรู้สึกที่ว่าถ้าหากพลาดคราวนี้ ผมจะไม่สามารถเจอตรีได้อีกมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้
“สวัสดีค่ะ กี่ท่านคะ” แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปิดประตูร้านเข้าไปจนได้ พนักงานต้อนรับยกมือไหว้และเอ่ยถามตามธรรมเนียม
“ผมมาหาเจ้าของร้านครับ” ผมตอบไปเป็นภาษาไทย และสำรวจไปทั่วร้านอาหารเล็กๆ อย่างต้องการเตรียมใจ พนักงานคนเดิมมองผมที่อยู่ในสภาพแบกกระเป๋าเดินทางใบโตและมือหนึ่งถือกีตาร์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะถาม
“มาสมัครงานเหรอ?” แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เธอก็พูดต่อ “เดี๋ยวไปตามเฮียให้” ว่าจบก็เดินกลับเข้าไปหลังร้าน ซึ่งเป็นส่วนครัวแบบเปิดที่สามารถมองเห็นได้จากด้านนอก
และคนที่ผมกำลังตามหาก็กำลังเตรียมวัตถุดิบอยู่ในนั้น
พนักงานหญิงคนนั้นเดินเข้าไปพูดอะไรสักอย่างกับพ่อแม่ของตรี พร้อมกับชี้มาทางผมทำให้ทั้งสองคนหันมาทางนี้อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่นัก...
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทันทีที่พ่อตรีสาวเท้าออกมาจากครัว
“แกมาทำอะไร” แต่นอกจากจะไม่รับไหว้แล้ว เสียงเข้มยังถามด้วยท่าทางน่ากลัวจนแม่ของตรีต้องเข้ามาปราม
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณ” ท่านพยายามลูบแขนคนเป็นสามีให้ใจเย็นลง
แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ช่วยอะไร
“ฉันถามว่าแกมาทำไม” พ่อของตรียังคงถามคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะเรียกคนทั้งร้านให้หันมามอง
“ผมมาสมัครงานครับ” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น มันเป็นเหตุผลที่ผมเพิ่งคิดออกเมื่อครู่นี้ตามคำชี้แนะของพนักงานหญิงคนนั้น ซึ่งพอคิดดีๆ แล้วมันก็ดูจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ทันทีที่ได้ยิน พ่อของตรีก็ปั้นหน้ายักษ์ยิ่งกว่าเดิมก่อนจะออกปากไล่
“ฉันไม่รับ ออกไป” ว่าจบก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัวอย่างไม่คิดจะแยแสผมอีก จนแม่ตรีต้องถอนหายใจอย่างหน่ายก่อนจะเดินเข้ามารับหน้าแทน
“รอแป๊บนึงนะจ๊ะเชน เดี๋ยวแม่คุยให้” ท่านพูดอย่างใจดี ก่อนจะรีบเดินตามสามีเข้าไป
ผมมองตามทั้งสองคนที่เดินไปในครัวด้วยความรู้สึกลุ้นอย่างอดไม่ได้ ยิ่งรู้สึกกังวลเข้าไปใหญ่เมื่อท่านเลือกที่จะเดินหายออกไปหลังร้านในมุมที่ผมไม่สามารถสังเกตบทสนทนา ผมยืนเซ่ออยู่ที่เดิมเกือบห้านาทีก่อนจะมีพนักงานผู้ชายที่เป็นคนไทยเหมือนกันมาพาผมไปนั่งโต๊ะด้านในสุด
“นายทำสองคนนั้นเถียงกันบ้านแทบแตก” เขาว่าด้วยใบหน้าคล้ายจะขำมากกว่าซีเรียส ผมไม่ตอบอะไรและนั่งรอเงียบๆ พยายามทำใจให้สงบโดยการมองไปรอบร้านเล็กๆ ที่ถูกตกแต่งแบบผสมผสานด้วยไสตล์ไทยผสมอิตาเลียนอย่างลงตัว
มันทำให้ผมอดนึกถึงลูกชายเจ้าของร้านขึ้นมาไม่ได้ และผมว่าเขาคิดผิด ที่บอกว่าพ่อไม่เคยสนับสนุนให้เขาเรียนคณะสถาปัตย์ เพราะทุกอย่างในร้านไม่ต่างจากรูปสเกตของเขาที่ถูกอัดกรอบแขวนไว้บนผนังหลังแคชเชียร์เลยแม้แต่น้อย ผมเผลอยิ้มออกมาคนเดียวเมื่อคิดถึงใบหน้าอดหลับอดนอนจากการตั้งใจทำงานของเขา สภาพซอมบี้ที่แม้แต่น้ำก็ไม่ได้อาบที่เห็นจนชินตายิ่งทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่เคยรังเกียจเขาเลย กลับยิ่งอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเสียอีก
การนึกถึงตรีในอิริยาบถต่างๆ ทำให้หัวใจของผมสงบจนลืมความกังวลที่มีอยู่จนหมดสิ้น มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นเพียงกำลังใจเดียวที่จะผลักดันให้ผมเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าจะถูกผลักไสขนาดไหนก็ตาม
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่แม่ของตรีจะเดินออกมาจากหลังร้าน ท่านมองผม ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ท่าทางหนักใจ ผมเกือบจะทำใจแล้วว่าคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่ แต่แม่กลับนั่งลงฝั่งตรงข้าม และเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน
“เริ่มทำงานตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปนะจ๊ะ” ท่านเอ่ยอย่างใจดี แตกต่างจากคนที่เป็นสามีโดยสิ้นเชิง
ผมยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”
แม่ตรียิ้มรับ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลอีกครั้ง และตั้งคำถาม “แม่ไม่แน่ใจว่าเชนมาทำไม แต่ถ้าเป็นเรื่องตรี...”
“ใช่ครับ” ผมตอบเมื่อเห็นท่านเว้นวรรคเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง
แม่ของตรีถอนหายใจเหมือนคิดไว้แล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ ก่อนจะสบตาผมอย่างจริงจัง
“ตรีเขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
“ไม่ครับ ผมตัดสินใจมาด้วยตัวเอง” ผมตอบตามความจริง ไม่คิดปิดบัง “ผมรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดีนัก แต่ผมแค่อยากมาบอกคุณลุงว่า ผมทำตามสัญญาไม่ได้” ผมสบตาท่านกลับด้วยสายตาที่จริงจังไม่แพ้กัน
สายตาที่บอกว่าต่อให้ท่านผมไล่ผมตอนนี้ ผมก็จะไม่ไปไหน
“พ่อแม่ของเชนรู้หรือเปล่าว่าเชนมาที่นี่” ท่านเปลี่ยนคำถาม เหมือนรู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว
“แม่ผมเสียไปแล้วครับ ส่วนพ่อ... “ ผมพูดแค่นั้นและเปลี่ยนเป็นส่ายหน้า
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่เพิ่งทำผิดขึ้นมาเมื่อต้องสารภาพออกมาแบบนี้
“เขาต้องเป็นห่วงแน่ๆ” ท่านขมวดคิ้วอย่างตำหนิ
ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดติดตลก “ไม่หรอกครับ พ่อชอบให้ผมดิ้นรนด้วยตัวเองน่ะ” ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย ถ้าพ่อผมรู้ว่าผมมาที่นี่ ก็คงทำแค่หัวเราะ และรอสมน้ำหน้าตอนที่ผมซมซานโทรไปขอเงิน
แม่ตรีมองผมอย่างอยากไม่เชื่อ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่เชนพักที่ไหน”
“เอ่อ...” ผมชะงักไปอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง แน่นอนว่าริบบิ้นจัดการเรื่องนี้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็มีเหตุผลที่ผมไม่อยากพักโรงแรมระดับห้าดาวนั่น และเลือกเสี่ยงเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้
แม่ตรีเบิกตากว้างทันทีที่เห็นท่าทางของผม
“ตายแล้ว อย่าบอกนะว่ายังไม่มีที่พักน่ะ” น้ำเสียงตกใจและใบหน้าเป็นกังวลนั่นทำให้ผมนึกถึงเจ้าเหมียวมึนของผมขึ้นมา แม้รู้ว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่สมควรเลย
“เชนควรบอกพ่อนะ” ท่านกำชับ ก่อนจะมองไปรอบร้านเหมือนกำลังคิดวิธี “แม่ไม่แน่ใจว่าพนักงานคนไหนอยากได้รูมเมทเพิ่มหรือเปล่า” พูดด้วยสีหน้าหนักใจ
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร แต่ก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย
“แต่ถ้าหาไม่ได้ ยังไงคืนนี้เชนนอนที่ร้านก็ได้นะจ๊ะ”
“ได้เหรอครับ” ผมอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ที่ได้ยินแบบนั้น
“เดี๋ยวแม่ไปคุยกับพ่อตรีเขาให้เอง ข้างนอกอากาศมันหนาว ถึงจะใจแข็งแค่ไหน แต่เขาไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้เชนนอนข้างนอกหรอก”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม พร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง
“ขอโทษนะจ๊ะที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ เรายังอาศัยบ้านน้องสาวอยู่อยู่เลย” แม่ตรีพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด จนผมต้องรีบส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว” ผมยิ้ม แม่ของตรีจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับมา ท่านมองผมเหมือนคิดอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
“แม่ไม่คิดว่าเชนจะทำถึงขนาดนี้” ท่านว่าท่าทางเหมือนทั้งหนักใจ และแปลกใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ “ไม่เคยมีใครทำเพื่อตรีแบบนี้มาก่อน”
“...”
“แม่เอาใจช่วยนะจ๊ะ” คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่เหมือนได้รับการยอมรับ
ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เมื่อแม่ของตรีลุกขึ้น แต่ท่านกลับหันหลังกลับมาถามผมอีก
“แล้วนี่หิวหรือยัง”
ผมชะงักไป ก่อนจะตอบเสียงเบา “ผมไม่มีเงิน...” ไม่ต้องนับเงินที่อยู่ในกระเป๋าก็พอรู้ว่าควรจะสำเหนียกตัวเองว่าไม่สามารถอยู่ดีกินดีเหมือนตอนที่อยู่ไทยได้
ถ้าไม่นับบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินที่ถูกยัดเยียดมาจากยัยพี่สาวตัวแสบน่ะนะ
แม่ของตรีหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ อย่างใจดี
“ที่นี่เขาไม่เก็บเงินค่าอาหารคนในครอบครัวหรอกนะ รู้มั้ย” รอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกถึงผู้ชายอีกคน
ที่ความใจดีของเขาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจได้เสมอ
เมื่อคืนผมนอนหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของร้านหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว
ผมรบกวนแม่ของตรีอีกครั้งเมื่อท่านโทรให้น้องสาวที่ต้องมารับทุกเย็นหอบผ้าห่มหนาๆ มาให้ผมใช้ซุกตัวนอนหลบความหนาวยาวค่ำคืนที่อุณหภูมิไม่ใช่เล่นๆ เลย และถึงแม้แม่จะให้ผมเลือกนอนตรงไหนก็ได้ แต่การเลือกนอนหลบมุมไม่ให้ใครเห็นคงจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้ไม่กวนสายตาของพ่อตรีที่ต้องมาเปิดร้านแต่เช้าให้โดนโมโห
สารภาพตามตรงเลยว่าที่ผมเลือกทำให้ตัวเองลำบาก แทนที่จะอยู่อย่างสบายๆ กับสิ่งที่พี่สาวเตรียมไว้ให้เป็นเพราะผมต้องการเรียกคะแนนความสงสาร... ผมต้องการให้พ่อตรีเห็นว่าผมทุ่มเทแค่ไหน กับการทำให้ท่านยอมรับเรื่องของเรา ซึ่งมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยสักนิดกับอีแค่ทนนอนหนาวบนพื้นแข็งๆ ซึ่งผมเองก็เคยมีประสบการณ์การนอนแบบนี้ที่ห้องของตรี
ผมว่าวิธีนี้คงจะช่วยได้บ้าง เพราะเวลาที่มีมันน้อยเหลือเกิน หากผมจะทำให้ได้ตามสัญญา
ผมหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นจึงตัดสินใจเดินออกไปสูดอากาศข้างนอก ถึงร้านจะไม่ได้อยู่ในทำเลที่ดีนัก เป็นแค่ตรอกเล็กๆ ในย่านที่ไม่ได้คึกคัก แต่ที่นี่ก็บรรยากาศดีไม่น้อย ผมยืนยืดเส้นยืดสายอยู่หน้าร้านที่แทบจะไม่มีคน ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบด้วยความเคยชิน
ถึงจะเคยเลิกไปแล้วตอนที่คบกับตรี แต่หลังจากที่เราห่างกัน ความเครียดและปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหวนกลับมาสูบอีกครั้ง และคราวนี้ก็ดูจะติดกว่าเดิมเสียอีก ผมยืนอัดควันเข้าปอดอยู่เงียบๆ คนเดียวพลางคิดว่าวันนี้ผมควรจะเริ่มต้นเผชิญหน้ากับพ่อตรียังไงดี แต่ยังไม่ทันจะคิดออก ก็ต้องชะงัก เมื่อรถแวนคันหนึ่งแล่นมาจอดตรงฟุตบาทหน้าร้านพอดิบพอดี
และเหมือนพระเจ้าเล่นตลกเมื่อคนที่เดินลงมาคือพ่อกับแม่ของตรี
ให้ตาย มาได้จังหวะชะมัด
ผมทิ้งก้นบุหรี่ที่คาบไว้ในปากทิ้ง และใช้เท้าบี้อย่างลวกๆ ก่อนจะยกมือไหว้ท่านทั้งสองที่เดินมาตรงที่ผมยืนอยู่
“สวัสดีครับ” แน่นอนว่าคนที่รับไหว้มีเพียงคนเดียวคือแม่ของตรี
“สวัสดีจ้ะ” ท่านยังคงยิ้มอย่างใจดีในขณะที่พ่อของตรียังคงตีหน้านิ่ง มองผมหัวจรดเท้า ก่อนที่สายตาดุๆ นั่นจะชะงักอยู่ที่เท้าของผมซึ่งเหยียบก้นบุหรี่เอาไว้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมปิดความชั่วของตัวเองไม่มิด
ผมจึงเลื่อนเท้าออก และก้มลงหยิบก้นบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาโยนใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านหลังด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ คำพูดของตรีลอยเข้ามาในหัวเหมือนเพิ่งได้ยินเมื่อวาน
‘ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองคบกับคนขี้เหล้าขี้ยาหรอกนะ’
บ้าชิบ...นี่ผมทำพลาดแล้วใช่มั้ย
อย่าว่าแต่คะแนนสงสารเลย ตอนนี้ดูเหมือนผมจะทำให้พ่อตรีเกลียดขี้หน้ายิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นต้นแบบของเจ้าเหมียวมึนของผมมองมานิ่งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในร้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ด่าผมยังจะรู้สึกแย่น้อยกว่านี้อีก
“ไม่เป็นไร แม่เข้าใจ” แต่ยังโชคดีของผมที่มีแม่ตรีเป็นเหมือนน้ำเย็นช่วยปลอบใจได้บ้าง ท่าเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ที่ถูกเมินใส่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดีเหมือนเคย “แต่เชนรู้ใช่มั้ยว่ามีคนที่เขาเป็นห่วงเชนอยู่”
“...” เป็นประโยคเตือนที่นิ่มๆ แต่ก็ทำให้ผมชะงัก
ตั้งแต่โตมา ยังไม่เคยมีใครห้ามผมเรื่องนี้จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง มันทำให้อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าแม่ยังอยู่ แม่ก็คงเตือนผมเรื่องนี้เหมือนกัน... อย่างที่รู้ว่าพ่อเลี้ยงผมมาแบบที่ให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ไม่มาจ้ำจี้จำไชให้ผมทำอะไรหรือเลิกทำอะไร ให้ผมเรียนรู้ด้วยวิธีของตัวเอง มันเลยทำให้บางครั้งผมก็เผลอลืมไปว่าความรู้สึกของการถูกตักเตือนมันเป็นยังไง
คนเดียวที่ทำให้ผมเลิกบุหรี่ได้ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร คือตรี... สีหน้าที่เป็นกังวลทุกครั้งเมื่อเห็นผมทำตัวเป็นสิงห์อมควัน และสีหน้าดีใจที่เห็นผมสูบมันน้อยลงก็ตอกย้ำชัดเจนว่าเขาเป็นห่วงผมแค่ไหน ผมรู้ว่าที่เขาไม่เคยห้ามผมไม่ให้สูบบุหรี่เป็นเพราะเขาไม่ได้ต้องการให้ผมเปลี่ยน อะไรที่ผมทำแล้วสบายใจ เขาก็ปล่อยให้ผมทำ
แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเราต้องอยู่ด้วยกันจริงๆ... แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เวลาของเราสั้นลงเพียงเพราะพิษจากนิโคตินที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งตายก่อนวัยอันควรนี่หรอก
“ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ แม่ของตรีจึงยิ้ม และพูดเตือนสติผมอีกครั้ง
“ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะนะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป” ว่าจบท่านก็เดินตามสามีเข้าไปในร้าน ในขณะที่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม เพื่อจัดการกับตัวเอง ผมควักซองบุหรี่ที่เพิ่งซื้อเมื่อไม่นานนี้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ และโยนมันลงถังขยะใบเดิม พร้อมกับบอกตัวเองว่า
ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งมันเลยสักนิด
เวลาผ่านไป
ผมยืนยันว่าตัวเองบ้าแน่ๆ ที่ตัดสินใจมาทำอะไรแบบนี้
ประเดิมวันแรกผมก็โดนพ่อของตรีเล่นด้วยการส่งมาทำงานล้างจาน...
โอเค มันเป็นความผิดผมเองที่ไม่ยอมบอกเรื่องที่ตัวเองแพ้น้ำยาล้างจาน เพราะมันโคตรจะดูอ่อน และคงทำผมเสียคะแนนต่อหน้าพ่อตรี แต่ผมคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรเพราะที่นี่มีเครื่องล้างจาน อาจมีบ้างที่ต้องใช้พลังในการขัดถูแต่ผมก็สวมถุงมือยางป้องกันไว้แล้ว
ที่แย่กว่าคือผมต้องยืนขาแข็งหน้าเครื่องล้างจานทั้งวัน แทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ อย่าว่าแต่พิสูจน์ตัวอะไรเลย แค่จะไปเข้าห้องน้ำยังจะไม่มีเวลาด้วยซ้ำ
“นี่ยังไม่สะอาด” เสียงเข้มที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังเงียบๆ ทำเอาผมสะดุ้ง ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อพ่อของตรียกจานกองโตที่ผมเพิ่งล้างเสร็จเมื่อกี้กลับมาวางข้างซิงค์ที่ผมยืนอยู่อีกครั้ง
“ครับ?” ผมเลิกคิ้วงงๆ เพราะถึงจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนยกจานไปผึ่งบนชั้น ผมเช็กมันจนดีแล้วทุกใบ
“ล้างใหม่” แต่พ่อตรีก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร ออกคำสั่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจัดการหน้าร้านต่อ
เฮ้ ใครช่วยบอกทีว่าผมไม่ได้โดนแกล้งอยู่น่ะ
และพ่อตรีก็แวะเวียนมาอยู่อย่างนั้นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถูกแม่จับได้ว่าจงใจแกล้งผมนั่นแหละถึงยอมหยุด ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเอาเรื่องไปแล้ว แต่นี่ดันเป็นพ่อตรีที่กำลังจะมาเป็นพ่อตา ผมที่อยู่ในโหมดว่าที่ลูกเขยแสนดีเลยได้แต่ก้มก้มตารับกรรม ผมมองในแง่ดีว่านี่อาจเป็นการกระชับความสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง ถ้าผมทำโดยไม่ปริปากบ่นพ่ออาจจะให้คะแนนความอดทนผมบ้างก็ได้
สุดท้ายการทำงานวันแรกก็ผ่านไปด้วยดี... อันที่จริง มันก็ไม่ได้ดีนักหรอกถ้านับเรื่องที่ผมต้องยืนจนขาแทบจะเป็นตะคริว กับเรื่องที่ผมต้องต่อสู้กับอาการเจ็ทแล็กจนแทบจะน็อกไประหว่างทำงาน แต่นอกนั้นก็ราบรื่นกว่าที่คิด
ผมล้างจานใบสุดท้ายเสร็จหลังจากที่พนักงานคนอื่นๆ กลับกันไปได้สักพัก ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไงก็ต้องนอนที่ร้าน ก็เลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ผมล้างมือเสร็จก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อยืดเส้นยืดสายสักหน่อย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าพ่อกับแม่ของตรียังนั่งทำบัญชีอยู่ที่หน้าร้าน
“อ้าวเชน เสร็จแล้วเหรอลูก” แม่ถามอย่างใจดี และสรรพนามแทนผมว่าลูกก็ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ครับ”
“หิวหรือยัง แม่เผื่ออาหารไว้ให้ในครัว ถ้าหิวก็กินได้เลยนะ”
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ ก่อนจะยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าครัวอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี สายตามองไปยังพ่อตรีที่คร่ำเคร่งกดเครื่องคิดเลขด้วยความรู้สึกประหม่าที่ยังไม่หาย
ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ผมจะชวนท่านคุย แต่ว่าเพิ่งนึกได้ว่าผมไม่ใช่คนอัธยาศัยดีขนาดนั้น ไอ้การนึกประโยคสนทนาเลยยากยิ่งกว่าล้างจานทั้งวันเสียอีก
แต่ดูเหมือนแม่ตรีจะรับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดระหว่างผมกับพ่อ จึงหันมามองหน้าเราสลับกัน ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ส่งซิกซ์ว่าเดี๋ยวท่านช่วยเอง
“แม่ว่าเชนกินข้าวเลยดีกว่า แม่ก็หิวแล้วเหมือนกัน กินพร้อมกันหมดนี่เลยดีมั้ยคุณ” ถึงตอนท้ายจะเป็นประโยคคำถาม แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมจะเอ่ยปากแย้งอะไร แม่ตรีก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวเสียก่อน เมื่อเข้าใจแล้วว่าแม่ต้องการอะไร ผมเดินตามไปยกอาหารออกมาวางยังโต๊ะที่พ่อตรีทำเป็นก้มหน้าก้มตาคิดเลขอยู่
“คุณคะ กินข้าวก่อน” แม่ว่าพลางแย่งสมุดบัญชีมาแล้ววางจานข้าวสวยลงตรงหน้าคนเป็นสามีแทน
ผมลอบยิ้มกับท่าทางอึกอักเหมือนจะแย้งแต่กลับพูดไม่ออก และยอมทำตามใจภรรยาของคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกครั้งและเริ่มทานมื้อเย็นฝีมือแม่ตรี คราวก่อนตอนไปที่บ้านผมพลาดก็เลยไม่ได้กิน แต่หลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่ร้านถึงคนเต็มทั้งวัน
ตรีก็คงได้เสน่ห์ปลายจวักนี้มาจากแม่เหมือนกัน
มันทำให้ผมอดนึกถึงชีวิตช่วงที่อยู่หอตรีไม่ได้ มันน่าแปลกใจไม่น้อยที่ผู้ชายอย่างเขาทำกับข้าวกินเองแทบทุกวัน แถมทุกเมนูยังอร่อยยิ่งกว่าร้านอาหารหลายๆ ร้านที่ผมเคยกินซะอีก สารภาพตามตรงเลยว่าช่วงที่ห่างออกมา ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือเขาอยู่ทุกวันจนมันพาลกินอาหารตามร้านไม่ลงซะอย่างนั้น
เรียกได้ว่าอาการหนักจนคนรอบข้างยังตกใจ
“เชนชอบกินแกงเขียวหวานเหรอลูก” แม่ยังเป็นคนเดียวที่สร้างบทสนทนาไม่ให้โต๊ะอาหารเงียบเกินไปนักเพราะผมกับพ่อเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา (ผมมันอ่อนหัดเรื่องแบบนี้จริงๆ แหละ)
“ครับ” ผมตอบ แม่จึงยิ้มกว้างแล้วเลื่อนชามแกงเขียวหวานมาใกล้ผมกว่าเดิม
“เหมือนตรีเลยนะ”
“ผมชอบเพราะเขาชอบนั่นแหละครับ” ผมตอบออกไปตามตรงพร้อมกับยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใบหน้ากระตือรือร้นของตรีตอนที่พยายามอวดว่าแกงเขียวหวานสูตรคุณยายเขาอร่อยยิ่งกว่าใคร
แต่ดูเหมือนว่าจะเผลอแสดงอาการออกนอกหน้าเกินไปโดยลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พ่อตรีมองผมนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาเลื่อนชามแกงเขียวหวานตรงหน้าผมไปตรงหน้าตัวเองแทน
ผมไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง เลยหุบยิ้มพร้อมกับแสร้งทำเป็นกระแอมเบาๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อแทน ให้ตาย อึดอัดชะมัด แต่บรรยากาศเงียบได้ไม่นานเสียงหวานๆ ของแม่ตรีก็ดังขึ้นมาอีก
“เชน มือเป็นอะไรน่ะลูก” คราวนี้น้ำเสียงแม่ฟังดูตกใจ ในขณะที่ผมชะงักมือที่กำลังหยิบช้อนกลางตักกับข้าวและเพิ่งสังเกตว่ามันแดงมาก แถมผิวก็ลอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันมีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าน้ำผสมน้ำยาล้างจานมันไหลเข้าไปในถุงมือ แต่คิดว่านิดเดียวคงไม่เป็นไรเลยปล่อยเอาไว้ แต่ดูท่าว่าผมจะชะล่าใจไปแฮะ
อา แค่เห็นก็รู้สึกคันยิบๆ แล้ว
ผมดึงมือกลับมาและไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ถูกแม่จับได้อยู่ดี “ตายแล้ว อย่าบอกนะว่าเชนแพ้น้ำยาล้างจาน” แม่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะดึงมือผมไปพลิกๆ ดูด้วยสีหน้าเป็นห่วง และก็เป็นอีกครั้งที่สีหน้าแบบเดียวกันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นขึ้นมา
‘เฮ้ย! แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเล่า!’
สีหน้าแตกตื่นของตรีเมื่อได้ยินผมบอกว่าผมแพ้น้ำยาล้างจานทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ จำได้ว่าตอนนั้นเขาดูตกใจและซีเรียสกส่าคนที่แพ้อย่างผมเสียอีก
‘เวรๆๆ จะเป็นไรมั้ยเนี่ย รู้ว่าตัวเองแพ้แล้วจะสะเหล่อมาล้างจานทำไมวะ’
‘คันหรือเปล่า แสบมือมั้ย มียามั้ยเนี่ย’
“คุณคะ ที่ร้านมียาแก้แพ้หรือเปล่า” เสียงแม่ของตรีทำให้ผมหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งชะงักไปและกำลังมองมาที่มือของผมอยู่เหมือนกัน
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” ผมกำลังจะปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวน และไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนสำออย แต่พ่อของตรีกลับลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหลังแคชเชียร์ ก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินกลับออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
ท่านกลับมานั่งตรงหน้าผมอีกครั้งพลางเปิดกล่องหาหลอดยาทาภายนอก แล้วยื่นมาให้ผมด้วยใบหน้าคิ้วขมวดเหมือนเดิม
“แสบหรือเปล่า” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามพร้อมกับสบตาผม
มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแววตาอื่นนอกจากความไม่พอใจจากพ่อของตรี
“นิดหน่อยครับ” ผมตอบและรับหลอดยามาทาอย่างว่าง่าย พ่อตรีเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าไม่หายก็ไปหาหมอ” เป็นคำพูดห้วนๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“ครับ” ผมตอบพลางอมยิ้ม พ่อตรีจึงตีหน้าเข้มกว่าเดิม ก่อนจะมองผมด้วยสายตาตำหนิ
“คราวหลังแพ้อะไรก็บอก” ว่าพลางดึงหลอดยาที่ผมทาเสร็จแล้วกลับเข้ากล่องและปิดกล่องอย่างลวกๆ “แม่เจ้าตรีเขาเป็นห่วง”
ผมมองตามพ่อตรีที่เดินปั้นปึ่งเอากล่องยาไปเก็บที่เดิม ก่อนจะหันกลับมามองแม่ตรีที่หัวเราะพลางยักไหล่ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้างกว่าเดิมกับความซึนโบ้ยคำว่าความเป็นห่วงให้คนอื่นของว่าที่พอตา
“ขอโทษครับ”
วินาทีนั้นผมรู้ว่าที่จริงแล้ว พ่อตรีไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พยายามแสดงออกเลยสักนิด
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
ถึงจะแสดงความเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ความโหดของว่าที่พ่อตาก็ไม่ได้ลดน้อยลงจากเดิมเลยแม้แต่นิด แถมดูเหมือนจะเพิ่มเลเวลหนักขึ้นอีกต่างหาก
หลังจากรู้ว่าผมแพ้น้ำยาล้างจาน ผมก็ถูกเปลี่ยนงานมาอย่างอื่นแทน ปกติแล้วที่ร้านแต่ละคนจะมีหน้าที่ตายตัวเช่นเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน หรือคิดเงิน แต่เพราะผมไม่ใช่พนักงานปกติ ก็เลยได้รับหน้าที่พิเศษเรียกว่าเบ๊ระดับฐานรากพีระมิด ที่ทำทุกอย่างในร้านตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบแล้วแต่พ่อตรีจะออกคำสั่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นคำสั่งที่แฝงด้วยการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาว่าที่พ่อตาใจแข็ง ผมยังคิดในแง่ดีว่ามันคือการลองใจ เพราะเอาเข้าจริง พักหลังๆ มาพ่อตรีก็ไม่ได้มีทีท่ามึนตังใส่ผมเหมือนกับช่วงแรกๆ แถมระหว่างการทำงาน เราก็มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นด้วย
ผมเรียนรู้ว่าการจะเข้าหาคนอย่างพ่อตรีไม่ใช่การแสร้งพูดดีหรือประจบประแจง ผมแค่ต้องแสดงความจริงใจออกไปตรงๆ ตามนิสัยที่ผมเป็น ผมถามเมื่อผมสงสัย และไม่อายที่จะขอโทษเมื่อทำอะไรผิดพลาด ถึงจะทำงานหนัก แต่ผมก็ไม่บ่นเพราะผมรู้ว่าร่างกายตัวเองรับไหว และมันไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลยถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดจะสามารถแลกได้กับความเชื่อใจที่ท่านจะฝากฝังลูกชายไว้กับผม
“กินข้าว” เสียงเข้มที่ดังมาจากประตูเรียกให้ผมที่กำลังเก็บของอยู่เงยหน้าขึ้นมามองพ่อตรีที่มองมานิ่งๆ พลางพูดย้ำ “กินข้าว”
“ครับ” ผมตอบรับแม้ร่างท้วมจะหมุนตัวเดินออกจากครัวไปก่อนแล้ว ผมลอบยิ้มออกมานิดๆ ขณะที่หันกลับมาล้างมือเพื่อเดินตามคนขี้เก๊กไปที่หน้าร้านซึ่งมีอาหารมื้อเย็นรออยู่
มันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ที่แม่ตรีจะเตรียมข้าวเย็นไว้รอผมทำงานเสร็จและมากินพร้อมกัน ต่างกันก็ตรงที่คนที่มาตามผมไม่ใช่แม่ กลับเป็นพ่อตรีที่ถึงแม้จะพยายามปั้นหน้าตึง แต่แค่คำว่า ‘กินข้าว’ สั้นๆ ก็ทำให้ผมดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ถึงบทสนทานาในโต๊ะจะน้อยมากเหมือนเคย แต่ผมก็ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนวันแรกแล้ว เพราะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมเข้าใจนิสัยปากร้ายแต่ใจดีของพ่อตรีมากขึ้นจนทิ้งความประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าออกไปได้ อันที่จริงผมแอบรู้สึกว่าท่านนิสัยเหมือนตรีอยู่เหมือนกัน ตรงที่แอบเป็นคนรั้นๆ แต่ความจริงก็ขี้ใจอ่อน ผมเคยเห็นท่านดุลูกน้องสักคนที่มีปัญหากับลูกค้า แต่สุดท้ายก็เป็นคนแก้ปัญหาให้โดยที่ทำให้สบายใจทั้งสองฝ่ายแทนที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
“เชนรู้เรื่องการแสดงพรุ่งนี้หรือยังจ๊ะ” แม่ถามพลางตักกับข้าวที่อยู่ไกลใส่จานผม
ผมผงกหัวขอบคุณก่อนจะตอบ “ครับ”
ปกติวันอาทิตย์จะเป็นเหมือนวันครอบครัวของร้านที่พนักงานสามารถแต่งตัวตามสบายๆ ได้ และจะผลัดเปลี่ยนกันมาทำการแสดงอะไรก็ได้กลางร้านเพื่อสร้างสีสรรค์ มันเป็นการพักผ่อนและเรียกลูกค้าไปในตัว พนักงานคนอื่นดูจะกระตือรือร้นในการคิดการแสดงมาก ในขณะที่ผมซึ่งเป็นน้องใหม่ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่
“เอากับเขาด้วยหรือเปล่า” แม่ถามยิ้มๆ ผมเลยส่ายหน้า “ทำไมล่ะ แม่เห็นเชนแบกกีตาร์มา น่าจะลองเล่นสักหน่อยนะ”
“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง อันที่จริงผมน่ะ ยังไงก็ได้อยู่แล้วเพราะขึ้นเวทีจนชิน แต่ที่ผมไม่แน่ใจก็คือ...
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พ่อเขาไม่ว่าหรอก” แม่ช่วยตอบเหมือนรู้ว่าผมลังเลอะไร
ผมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ ก่อนที่ท่านจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร และทำเป็นก้มหน้ากินข้าวในจานต่อ
“ครับ” แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมรู้ว่าท่านอนุญาต
วันต่อมา
งานวันอาทิตย์ดูจะสนุกกว่าที่ผมคิด คงเพราะไม่มีอะไรเป็นทางการและบรรยากาศก็สบายๆ เหมือนมากินอาหารกับครอบครัวหรือคนสนิทมากกว่า ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่ เป็นลูกค้าประจำที่มาเพราะรู้ดีว่ามีกิจกรรม ผมทำงานไปดูโชว์ของพนักงานคนอื่นไปเพลินๆ จนลืมงานหนักไปเลย
วันนี้ผมก็ยังรับหน้าที่เป็นเบ๊ระดับล่างเหมือนเคย แต่เพราะทำจนเคยชินก็เลยไม่จำเป็นต้องรอรับคำสั่ง พ่อตรีก็ดูจะพอใจที่ผมเริ่มรู้งานจนไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไช
เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อการแสดงรำไทยของพวกพนักงานเสิร์ฟผู้หญิงจบลง ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มวุ่นวายอีกครั้ง เพราะเริ่มมีลูกค้าสั่งออร์เดอร์เพิ่มแล้วหลังจากจดจ่อกับการแสดงอยู่นาน ผมหันกลับมาทำงานของตัวเองที่เพิ่งถูกสั่งนั่นคือการเอาขยะที่เต็มแล้วไปทิ้งที่ถังขยะรวมหลังร้าน ผมกลับเข้ามาในครัวเพื่อเปลี่ยนถุงดำใบใหม่ ก่อนจะล้างมือเพื่อรอว่าจะมีอะไรให้ทำอีก
“เชน ต่อไปเป็นตาเชนแล้วนะ” ขณะที่ผมกำลังจะหันไปถามแม่ที่ทำกับข้าวอยู่ว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า พนักงานผู้หญิงที่ยังอยู่ในชุดไทยก็เดินมาบอกพร้อมเสียบออร์เดอร์ไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะกลับไปรับออร์เดอร์อีกรอบ
ผมอึกอักก่อนจะหันกลับไปมองแม่ตรีที่หันมายิ้มให้เหมือนจะบอกว่าให้ผมไปหน้าร้านได้เลย ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกไปเพื่อเตรียมการแสดงสำหรับเบรกต่อไป ผมเดินไปหยิบกีตาร์ที่พิงไว้หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองว่าที่พ่อตาที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าที่ดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน
คงเพราะวันนี้บรรยากาศในร้านคึกคักกว่าปกติ พ่อตรีก็เลยดูจะผ่อนคลายกว่าเดิม ผมแอบเห็นท่านคุยเล่นกับพวกพนักงานผู้ชายสนุกสนานด้วยซ้ำ ทั้งที่ภาพที่เห็นเป็นประจำคือใบหน้าเคร่งขรึมที่ดูดุซะจนพนักงานหลายคนแอบกลัว ผมแอบขำเมื่อเห็นว่าพอสบตากันท่านก็เปลี่ยนกลับมาเก๊กหน้าเข้มเหมือนเดิม
ให้ตาย ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงครับ
ผมแบกกีตาร์และลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งลงกลางร้านซึ่งถูกเคลียร์โต๊ะออกสำหรับทำการแสดง ก่อนจะทักทายลูกค้าและเริ่มร้องเพลงที่เตรียมมา แน่นอนว่าผมเลือกเพลงไทยที่ค่อนข้างฮิตพอสมควรเพื่อให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ร้องตามได้ ไม่นานจากร้านที่มีเสียงพูดคุยและเสียงทำครัว ก็เปลี่ยนเป็นคอนเสิร์ตขนาดย่อมๆ ที่พนักงานทุกคนพร้อมในกันประสานเสียงร้องเพลงกันอย่างออกรส ผมร้องเมดเลย์ที่มีทั้งเพลงช้าและเพลงเร็วเผื่อว่าใครจะมีอารมณ์ลุกขึ้นมาเต้น และมันก็ได้ผลทีเดียวเมื่อมีลูกค้าหลายคนลุกจากโต๊ะมายืนเต้นรอบๆ เก้าอี้ที่ผมแสดงอยู่
ผมรู้สึกปลื้มเล็กๆ ที่เห็นแบบนั้น เพราะเมื่อเทียบกับการรำไทย หรือการแสดงแบบพื้นบ้านของคนอื่นๆ แล้ว ดนตรีโฟล์คซองของผมมันดูธรรมดาและไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แต่พอเห็นทุกคนให้ความร่วมมือและสนุกสนานไปกับมันผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ถึงจะขึ้นเวทีในผับหรือตามงานประกวดมาหลายครั้ง แต่ที่นี่บรรยากาศมันก็ต่างกันลิบลับ มันทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศปาร์ตี้เล็กๆ ภายในครอบครัวที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ผมทำการแสดงอยู่ประมาณยี่สิบนาที ก่อนจะถึงเพลงสุดท้าย น่าเสียดายที่เพลงนี้ไม่น่าจะมีใครร้องได้ แต่ผมก็ยังอยากใช้มันปิดการแสดงอยู่ดี... เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงของผมออกมา
“เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งเอง...” ผมบอกขณะที่ปรับสายกีตาร์ด้วยความเขินเล็กๆ เพราะไม่เคยต้องพูดเอนเตอร์เทน แน่ล่ะก็นั่นมันหน้าที่ไอ้เตอร์นี่หว่า ผมชะงักไปนานเพราะคิดคำพูดไม่ออกจนถูกโห่แซว สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะไม่พูดหลายๆ คำที่อยู่ในใจออกมาและตัดประโยคจบดื้อๆ เพื่อเข้าเพลง “ครับ”
ผมยิ้มเขินๆ เมื่อถูกส่งเสียงแซวอีกรอบขณะที่ไล้มื้อไปตามสายกีตาร์และเปล่งเสียงร้องออกมาตามจังหวะเนิบๆ ของเพลง
แน่นอนว่ามันคือเพลงที่ผมแต่งให้ตรี... เพลงของเรา
มันจึงไม่แปลกที่ทุกคำร้องที่เอ่ยออกมาจะทำให้ผมนึกถึงเขา เจ้าของใบหน้ามึนๆ ที่ผมสามารถมองได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ผมชอบที่เขาพยายามตื่นนอนมาทำกับข้าวทุกเช้า ชอบเวลาที่เขาตั้งใจทำงานจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูเมื่อผมเข้าไปในห้อง ใบหน้าง่วงงุนจากการอดหลับอดนอนตลอดทั้งวันนั่นทำให้คนยิ้มยากอย่างผมหลุดผมหัวเราะออกมาได้อย่างน่าประหลาด
ผมชอบวิธีการพูดและน้ำเสียงที่ฟังดูเอาแต่ใจเล็กๆ ของเขา และแม้นิสัยขี้ใจอ่อนของเขามันจะน่าหงุดหงิดในบางครั้ง แต่ผมก็ชอบที่เขาเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธการขอความช่วยเหลือจากใคร
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขามันทำให้ผมตกหลุมรัก โดยไม่มีข้อแม้สักข้อเดียว
ใบหน้าในอิริยาบถต่างๆ ของตรีไหลเข้ามาในความทรงจำของผมแม้แต่ตอนที่เพลงจบลงภาพของเขาก็ยังไม่หายไป ชั่วขณะหนึ่งผมเผลอลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางคนมากมาย จนกระทั่งได้ยินเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นมา ผมยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อเอากีตาร์ไปเก็บและไปทำงานต่อ
แต่วินาทีที่ผมหมุนตัวกลับไปทางเคาน์เตอร์ผมก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมกำลังมองตรงมา แม้จะไม่ได้ยิ้มหรือแสดงสีหน้าที่แตกต่างไปจากวันอื่น แต่เพียงไม่กี่วินาทีที่ได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นต้นแบบของคนที่ผมรัก ก็ทำให้ผมรู้ว่า ท่านทราบดีว่าเพลงที่ผมร้องต้องการสื่อถึงใคร
และผมหวังว่าท่านจะเริ่มเข้าใจความรักของเราสองคนในไม่ช้า
หลายวันผ่านไป
ผมยังคงอาศัยอยู่ที่ร้านแม้ว่าค่าแรงที่ได้จะพอเช่าห้องถูกๆ ได้แล้วก็ตาม การทำงานหนักทั้งวันทำให้ผมหลับสนิทจนลืมอากาศหนาวไปเลย และเพราะแม่ตรีเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้ผมก็เลยนอนได้สบายๆ จนถึงเช้า
ข้อดีของการที่ให้ผมซุกหัวนอนที่นี่คืออย่างน้อยผมก็ช่วยทุ่นแรงในการปิดร้าน แถมยังได้คนเฝ้าร้านฟรีๆ ตลอดคืนอีกด้วย ผมเดินเช็กรอบร้านก่อนนอนเหมือนทุกคืน จนแน่ใจว่าไม่ลืมปิดประตูหรือปิดไฟตรงไหน แล้วค่อยกลับมาปูที่นอนหลังแคชเชียร์
แต่ก่อนที่จะหลับตา ยังมีกิจวัตรที่ผมต้องทำก็คือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กความเคลื่อนไหวในเฟสบุ๊กของใครบางคนที่ผมคิดถึงจับใจ มันเป็นช่องทางเดียวที่ผมจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้เพราะตอนที่เลิกกันผมตัดสินใจลบแอคเคาท์ไลน์และปิดเฟสบุ๊คของตัวเองเพื่อตัดการติดต่อ โชคดีที่ตรีเปิดเพสบุ๊คเป็นสาธารณะ ผมเลยสามารถเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของเขาได้ แต่ก็โชคร้ายที่ตรีของผม ไม่ใช่คนชอบอัพเดตชีวิตส่วนตัวในโลกโซเชียลนัก ผมเลยต้องวนดูรูปเดิมๆ ของเขาซ้ำๆ
ผมใช้เวลาเลื่อนดูไทม์ไลน์ของตรีอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงแล้วรู้สึกง่วงขึ้นมาเลยตัดสินใจจะออกจากเฟสบุ๊คเพื่อนอน แต่ยังไม่ทันจะได้กดอะไร สายตาก็ดันเลื่อนไปเห็นสถานะล่าสุดของเจ้าของแอคเคาท์ที่เพิ่งจะอัพเดตเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว หัวใจของผมมันเต้นโครมครามขึ้นมา พร้อมกับเผลอยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ได้อ่านสถานะสั้นๆ แค่เพียงคำเดียว
‘คิดถึง’
ให้ตาย... นี่ผมไม่ได้เพ้อเจ้อไปเองใช่มั้ย ที่คิดว่าสถานะมันหมายถึงผม
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ และมองหน้าจอมือถืออยู่หลายนาที กว่าจะยอมตัดใจนอนเพราะนึกได้ว่าพรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่แต่เช้า
ผมรู้ว่าคืนนี้ต้องฝันดีแน่ ถ้าหากว่าตอนที่กำลังเคลิ้มหลับไม่มีอะไรมาขัดจังหวะความฝันของผมเสียก่อน
แกรก!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเสียงนั่นไม่ใช่เบาๆ เลย มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างมากระแทกกับประตูหลังร้าน และผมคิดว่าคงมีใครหรืออะไรบังเอิญมาเดินชนถ้าหากว่าเสียงนั่นไม่ดังขึ้นมาอีกซ้ำๆ หลายครั้งพร้อมกับประโยคสนทนาที่ผมฟังไม่รู้เรื่องจากคนประมาณสองสามคน
ผมลุกขึ้นมาอย่างได้สติ เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผมควานหาโทรศัพท์ตั้งใจจะโทรแจ้งตำรวจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงกระแทกก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก
บ้าชิบ
ผมพิงตัวหลบหลังเคาน์เตอร์ทันที และปิดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้แสงจากหน้าจอทำให้พวกมันรู้ตัว เสียงฝีเท้าและเสียงบทสนทนาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับแสงไฟฉายที่สาดไปทั่วเพื่อสำรวจ ผมฟังไม่ออกเพราะพวกมันคุยกันเป็นภาษาอิตาลี แต่จับจากเสียงได้ว่ามีกันอยู่สามคน
“&*^@$!!” เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นมา พร้อมกับแสงไฟที่สาดมาทางนี้ เดาได้ว่ามันรู้แล้วว่าแคชเชียร์อยู่ตรงไหน
ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาอย่างใจเย็น เพราะไม่แน่ใจว่าพวกมันมีอาวุธหรือเปล่า เลยยังไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร ผมรอจนพวกมันมาวุ่นวายกับเครื่องคิดเงินที่ต้องใช้รหัสในการเปิด และอาศัยจังหวะนั้นย่องออกไปหลบด้านหลังโต๊ะอีกมุมหนึ่งเพื่อสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ
จากระยะนี้ผมเห็นผู้ชายที่ท่าทางน่าจะเป็นวัยรุ่นในฮู้ดสีดำสามคนกำลังช่วยกันงัดแงะเครื่องคิดเงินด้วยไม้เบสบอล มันทำให้ผมอุ่นใจว่าพวกมันคงเป็นแค่โจรกระจอกเพราะดูแล้วไม่มีการวางแผนอะไรเลย ผมตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่พวกมันจะงัดเงินออกมาได้สำเร็จจึงดึงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ฉุกเฉินอีกครั้งพร้อมกับใช้อีกมือหนึ่งคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัวสาวเท้าเข้าไปหาพวกมันใความมืด และทันทีที่ใครบางคนรู้ตัวเพราะแสงจากมือถือและเสียงฝีเท้าของผม ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมฟาดเก้าอี้ใส่มันเต็มแรง
โครม!
ตุบ!
หนึ่งในคนร้ายสลบแทบเท้าผมทันที ในขณะที่อีกสองคนเริ่มโวยวายและหวดไม้เบสบอลสะเปะสะปะใส่ผม ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจว่าพวกมันกำลังพล่ามอะไร ผมทิ้งเก้าอี้ที่พังคามือและเปลี่ยนไปคว้าไม้เบสบอลของไอ้โม่งคนหนึ่งที่เพิ่งฟาดลงมาและดึงเข้าหาตัวสุดแรงพร้อมกับใช้เท้ายันเข้าร่างซึ่งเซตามมาจนกระเด็นกลับไปกระแทกกับโต๊ะด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาจัดการอีกคนที่เหลือทันที มันเงื้ออาวุธในมือกำลังจะฟาดหัวผมพอดี แต่เพราะผมหลบได้ไม้เบสบอลจึงฟาดลงกับเคาน์เตอร์ด้านหลังเต็มแรง เปิดโอกาสให้ผมซัดหมัดเข้าที่หน้ามันจนหงายหลังไป
โครม!
“)(*@&$&!!!”
เหตุการณ์ในร้านเริ่มชุลมุนวุ่นวายขึ้นเมื่อโจรสองคนเริ่มโวยวายด้วยความโมโหและพยายามจะรุมยำผมในความมืดที่มีเพียงแสงไฟฉายสาดไปมาจนน่าเวียนหัว แต่ทักษะการป้องกันตัวที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้ผมมีสติพอที่จะหลบการโจมตีได้ ผมรับหมัดใครสักคนที่ชกมั่วๆ มาก่อนจะซัดกลับไปที่ใบหน้าเต็มแรงทันที โชคร้ายที่มันยังไม่สลบแค่เสียหลักล้มลง แถมอีกคนก็ไม่ปล่อยให้ผมได้ใจนาน รีบโจมตีเข้ามาจนผมเกือบหลบไม่ทัน แต่ผมก็ยังตั้งตัวได้และเล่นงานมันกลับเข้าที่ท้องจนร่างหนาๆ ล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่า
ผมคิดว่าเรื่องคงจะจบแล้วและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่กดเบอร์ฉุกเฉินทิ้งไว้หวังว่าพอได้ยินเสียงความวุ่นวายแล้วเจ้าหน้าที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สายยังไม่ตัดไป และผมตั้งใจจะกรอกเสียงลงไปเพื่อบอกพิกัด
พลั่ก!
แต่เพราะชล่าใจเกินไป เลยไม่ทันรู้ตัวว่าผู้ชายที่ผมฟาดด้วยเก้าอี้จนสลบไปตอนแรกมันฟื้นขึ้นมาอีกรอบ และเล่นงานผมจากด้านหลัง ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บแต่ก็รีบหันกลับไปหวังจะเอาคืน แต่อีกสองคนที่เหลือก็รีบกุลีกุจอเข้ามาล็อกตัวผมไว้ซะก่อน ทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้ในขณะที่เพื่อนของมันเริ่มพูดภาษาต่างดาวและซัดหมัดลงบนหน้าผมเต็มๆ
เวรเอ๊ย!
ผมเริ่มเสียสติด้วยความโมโหที่ตัวเองเสียเปรียบจนทำให้พวกมันจับตัวผมได้ แต่เพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มีอยู่ในตัว ทำให้หลังจากโดยชกไปไม่กี่หมัดผมก็ตั้งหลักใหม่ได้ด้วยการใช้เท้ายันไอ้คนที่กำลังจะพุ่งตัวเข้ามาชกผม และใช้แรงดีดตัวเองออกจากการล็อกของอีกสองคน
พลั่ก!
ผมคว้าตัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาและรัวหมัดใส่หน้าไม่ยั้ง หวังให้มันสลบก่อนจะไปจัดการคนที่เหลือ แต่ยังไม่ทันที่เสียงร้องโหยหวนของไอ้คนที่อยู่ในกำมือผมจะเงียบดี ทุกอย่างก็หยุดชะงักเพราะเสียงสัญญาณจากรถตำรวจที่ดังขึ้นมาจากนอกร้าน
“(&**$@%&&)*!!” ไอ้พวกโจรเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นรถตำรวจแล่นมาจอดหน้าร้านอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตำรวจสี่ห้าคนที่วิ่งลงมา
ผมปล่อยร่างปวกเปียกในมือซึ่งสภาพไม่น่าจะคลานไหว และหันไปคว้าตัวอีกสองคนที่กำลังจะหนี ตั้งใจจะส่งตัวพวกมันให้ตำรวจที่เริ่มพังประตูหน้าร้านเข้ามาพร้อมกับตะโกนคำที่ผมเดาเอาว่าให้ทุกคนหยุดเพราะแม้แต่โจรที่ผมพยายามจับไว้ก็หยุดดิ้นรนและยกมือขึ้นยอมจำนน ผมหยุดตามแต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร ร่างของผมก็ถูกชาร์ตจนล้มลงกับพื้นพร้อมกับถูกใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว
“เฮ้! ผมไม่ใช่คนร้ายนะ!” ผมตะโกนบอกเป็นภาษาอังกฤษแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ตำรวจยังตะโกนกดดันพร้อมกับเข้าไปใส่กุญแจมือคนที่เหลือ
ผมยังตะโกนคำเดิมขณะถูกดึงให้ลุกขึ้นและถูกลากออกจากร้าน แต่นอกจากตำรวจจะไม่ฟังแล้วยังรัวภาษาอิตาลีใส่หน้าผมไม่หยุด ผมคิดว่าตัวเองคงจะโดนลากเข้าคุกแล้วแน่ๆ ถ้าหากว่าไม่กี่วินาทีต่อมารถมินิแวนคันคุ้นตาไม่แล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านอย่างรวดเร็วตอนที่ผมกำลังจะถูกยัดเข้าไปในรถตำรวจพอดี
“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นครับคุณตำรวจ” พ่อตรีที่วิ่งลงมาจากรถเป็นคนแรกถามด้วยสีหน้าแตกตื่น
“ผู้ชายพวกนี้พยายามจะปล้นร้านคุณ” และคราวนี้ตำรวจที่ไม่ยอมฟังเสียงผมก็หันไปตอบท่านเป็นภาษาอังกฤษหน้าตาเฉย “มีคนโทรแจ้งและเราก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันก็เลยเช็กพิกัดดู พอมาถึงก็เห็นผู้ชายสี่คนนี้กำลังสู้กันอยู่”
พ่อตรีมองมาที่ผมกับโจรตัวจริงที่ถูกใส่กุญแจมือและถูกกดลงกับรถอยู่ ก่อนจะมองกลับไปในร้านที่สภาพเละเทะไปหมดอย่างประเมินสถานการณ์
“เชน!” ขณะที่ทั้งตำรวจและผมกำลังรอให้พ่อตรีพูดอะไรสักอย่าง เสียงของแม่ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับตัวท่านกับอีกสองคนที่ผมจำได้ว่าเป็นน้าของตรีกับสามีที่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน “เกิดอะไรขึ้นลูก” แม่กำลังจะเดินเข้ามาหาผม แต่ก็ถูกตำรวจกันไว้
“คุณรู้จักหมอนี่เหรอ?” ตำรวจเอ่ยถาม ในขณะที่แม่ซึ่งยังสับสนกับสถานการณ์ได้แต่พยักหน้ามึนๆ แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร เสียงเข้มของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็ช่วยยืนยันอีกแรงว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์
“ใช่ครับ” เสียงเข้มเอ่ยพร้อมกับหันมาสบตา
“...”
“เขาเป็นลูกชายผม”
เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีหลังจากที่สามีคุณน้าที่เป็นคนอิตาลีและเป็นเจ้าของร้านตามกฎหมายเข้าไปเจรจากับตำรวจและจัดการเรื่องดำเนินคดีต่อ ในขณะที่ผมถูกปล่อยตัวและถูกพาไปโรงพยาบาลแทน โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปากแตกกับหน้าช้ำนิดหน่อยเพราะถูกต่อย ส่วนหลังที่ถูกฟาดก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เป็นแค่แผลฟกช้ำเท่านั้น ไม่ถึงกับกระดูกหักอะไร
ผมเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยความเพลียถึงขีดสุดเพราะมันดึกมากแล้ว แต่คนที่เพลียไม่แพ้กันคงเป็นพ่อกับแม่ของตรีที่นั่งรออยู่หน้าห้องอยู่นาน พ่อตรีหันไปสะกิดแม่ที่เผลอหลับไปตอนที่เห็นผมเดินออกมา ก่อนจะลุกขึ้นมาหาผม
“เป็นไงบ้างลูก” แม่ถามขึ้นมาพร้อมกับลูบแขนผมเบาๆ
“ไม่เป็นอะไรมากครับแค่ฟกช้ำ” ผมตอบ แม่ตรีถอนหายใจออกมาเหมือนโล่งอก ในขณะที่พ่อยังคงขมวดคิ้วหน้าเครียด ก่อนจะเดินนำพวกเราออกไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไร
ผมคิดว่าท่านคงจะกังวลเรื่องร้าน และคงเป็นห่วงเรื่องคดี เลยไม่อยากพูดอะไรต่อ แต่ผมก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่ท่านหันมามองผมหลังจากปล่อยให้ในรถเงียบเชียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน
“คราวหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีก”
“...”
“พ่อเป็นห่วง”
“ครับ” ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาได้โดยลืมความเจ็บจากแผลที่มุมปากไปเสียสนิทเมื่อรู้ว่าประโยคที่ว่าผมเป็นลูกชายที่ท่านเอ่ยกับตำรวจไม่ใช่แค่คำพูดผ่านๆ เพื่อช่วยให้ผมรอดคุกเท่านั้น
หลายวันผ่านไป
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตรีกับผมเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่สำหรับผม มันเหมือนไม่มีอะไรคืบหน้าเลย และที่ทำให้ผมร้อนใจก็คือเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
เหลืออีกสองวันก็จะครบกำหนดหนึ่งเดือนตามสัญญา
ผมทำตัวขี้โกงด้วยการนับเวลาหนึ่งเดือนที่สามสิบเอ็ดวันและหวังว่าเวลาที่เพิ่มมาหนึ่งวันนั้นจะช่วยยืดโอกาสให้ผมได้บ้าง
แต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังยากอยู่ดี
หลังจากคืนนั้นผมก็ไม่ได้ยินสรรพนามว่าพ่อออกจากปากพ่อตรีอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ถึงจะกลับมาใช้สรรพนามฉันกับแกเหมือนเดิม แต่การที่ท่านสั่งให้ผมเก็บข้าวของย้ายไปนอนที่บ้านด้วยเพราะที่ร้านไม่ปลอดภัย ก็บ่งบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นไม่น้อย
ถึงผมจะได้นอนโซฟาในห้องนั่งเล่นเพราะห้อนนอนในบ้านถูกจับจองหมดแล้ว แต่ก็ถือว่าดีกว่าการต้องนอนหนาวบนพื้นแข็งๆ ที่ร้านมาก และอีกอย่าง การได้เข้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันก็ยังทำให้ผมมีโอกาสคุยกับพ่อตรีได้มากขึ้นด้วย
แต่มันคงเป็นความกระจอกของผมเอง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราวสักที
ถึงครอบครัวตรีจะเอ็นดูและเต็มใจดูแลผม แถมพ่อก็ดูจะเปิดใจมากขึ้น แต่ผมก็ยังไม่เคยคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเราจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ผมยื้อเอาไว้จนเกือบจะหมดเวลาจนได้ และถ้าผมยังหาโอกาสคุยไม่ได้ภายในสองวัน ผมก็คงไม่สามารถพูดมันได้อีกตลอดชีวิต
ผมนั่งมองตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกหนักใจ เวลาบินกลับคือวันมะรืนนี้ตอนเช้า นั่นยิ่งตอกย้ำว่าผมควรรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะคว้าน้ำเหลว
และผมก็ไม่อยากกลับไปเริ่มใหม่ทั้งที่เดินมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว
“เชนเสร็จหรือยังจ๊ะ” แม่ที่เดินไปเตรียมของขึ้นรถ เดินกลับมาเรียกผมที่ขอตัวกลับมาหยิบของ ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมามองตั๋วเครื่องบินอีกครั้งและได้แต่ถอนใจ
ผมพับมันลวกๆ และยัดใส่กระเป๋าสตางค์ก่อนจะลุกเดินออกไปหน้าบ้านซึ่งมีรถมินิแวนจอดรออยู่ พ่อตรีเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่คุณน้าจะขับรถไปส่งพวกเราที่ร้านเหมือนทุกเช้าก่อนไปทำงานต่อ
วันนี้ร้านเปิดแค่ครึ่งวันเพราะตอนเย็นจะมีปาร์ตี้ประจำเดือน ผมไม่รู้รายละเอียดนัก แต่แม่ตรีเล่าคร่าวๆ ว่าทุกคนจะนำวัตถุดิบที่เหลือในร้านมาทำอาหารกินกันแล้วแต่ว่าใครอยากจะครีเอตเมนูอะไร ส่วนเครื่องดื่มหรือของมึนเมาทุกคนจะช่วยกันออกเงินแต่ก็มีงบสนับสนุนจากพ่อตรีและสามีคุณน้าที่มาร่วมสังสรรค์ด้วยเหมือนกัน มีการแสดงเหมือนวันอาทิตย์ด้วยแต่ไม่ได้ซีเรียสนักเพราะไม่ได้แสดงให้ลูกค้าดู บางคนแค่มาเล่าเรื่องตลกๆ สร้างเสียงหัวเราะก็ทำให้งานสนุกได้แล้ว
แน่นอนว่าการแสดงของผมก็หนีไม่พ้นเล่นกีตาร์โปร่งที่แบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากบ้าน เพียงแต่คราวนี้ผมไม่ต้องร้องเองแล้ว เพราะมีนักร้องกิตติมศักดิ์หลายคนแวะเวียนมาร้องแทนโดยที่ผมมีหน้าที่แค่เล่นตามเพลงที่ถูกรีเควสต์เท่านั้น
“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็ไปเอาที่ครัวได้เลยนะ” แม่บอกอย่างใจดีหลังจากที่ผมเดินมาที่โต๊ะเพื่อนักพักจากการเป็นนักดนตรีจำเป็นเพราะมีคนเสนอให้เปิดคอมร้องคาราโอเกะแทน
“ครับ” ผมยิ้ม ก่อนจะรับแก้วแอลกอฮอล์ที่สามีคุณน้ารินให้มายกดื่ม
ผมไม่ชินกับการสังสรรค์แบบนี้นัก ก็เลยได้แต่นั่งจิบเหล้ามองคนอื่นๆ สนุกสานไปพลาง บรรยากาศคึกครื้นแต่เจือไปด้วยความอบอุ่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีความรู้สึกร่วม มันเหมือนเราทุกคนกำลังนั่งกินนั่งดื่มกันในบ้านของตัวเองจริงๆ ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดและขัดเขินเลย
ผมนั่งดื่มพลางคุยกับคนอื่นๆ ในโต๊ะไปได้สักพัก ก็ต้องชะงัก เมื่ออยู่พ่อตรีที่เพิ่งออกมาจากหลังร้านก็เดินมาหยุดตรงที่ผมนั่งอยู่ ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองท่านอย่างสงสัย
“ไปคุยกันหน่อย” ส้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังผิดกับบรรยากาศของท่าน ทำให้ผมต้องวางแก้ว และเดินตามไปอย่างงงๆ
พ่อตรีเดินนำผมมาที่ด้านหลังร้านซึ่งตอนนี้เงียบเชียบไร้ผู้คน ก่อนจะนั่งลงที่บันไดเตี้ยๆ หน้าประตู ผมนั่งลงตาม กำลังจะถามท่านว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ก็ต้องกลืนคำถามกลับลงคอไป เมื่อพ่อตรียื่นอะไรบางอย่างมาตรงหน้า
มันคือกระเป๋าสตางค์ของผมและตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับที่ไม่ได้อยู่ในซองอีกต่อไป
วินาทีนั้นผมเดาได้ว่าท่านกำลังจะพูดเรื่องอะไร
“แกมาที่นี่ทำไม” พ่อถามหลังจากที่เราต่างคนต่างเงียบอยู่นาน
บรรยากาศอึดอัดที่ไม่ได้สัมผัสมาพักใหญ่ ทำเอาผมพูดไม่ออกเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่คือเวลาที่ผมรอคอยมาตลอด... เวลาที่ผมจะขอโอกาสกับพ่อตรีอีกครั้ง
“ผมสัญญากับตรีเอาไว้ว่าจะกลับไปหาเขา ภายในหนึ่งเดือน” ผมเอ่ยความลับที่ปกปิดเอาไว้ออกมา
ก่อนหน้านี้ผมกลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ครอบครัวก็จะตั้งแง่กับผม คิดว่าผมมาช่วยเพื่อทำดีเอาหน้า
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
“แกสัญญากับฉันว่าจะไม่ยุ่งกับลูกชายฉันอีก” เป็นอย่างที่ผมเตรียมใจไว้เมื่อพ่อของตรีทวงถามสัญญา
ผมก้มหน้าลงอย่างรูสึกผิดแวบหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาท่านอีกครั้งเพื่อแสดงความจริงใจ “ขอโทษครับ ผมทำไม่ได้”
“...”
“ผมไม่สามารถปล่อยมือจากเขาได้ เพราะงั้นผมเลยมาที่นี่” ผมยังคงสบตากับพ่อของตรีอย่างจริงจังและขอร้อง “ผมอยากขอโอกาสอีกครั้ง”
“...” คนตรงหน้าก็ยังคงขมวดคิ้วมองมาด้วยสีหน้าที่ผมไม่สามารถเดาได้ว่าคำตอบจะเป็นหัวหรือก้อย
แต่ผมมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว
ผมรู้ว่าท่านโกรธที่ผมผิดคำพูดและกลับไปหาตรีลับหลังท่าน ผมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับเรื่องนี้ เพราะมันคือความผิดของผมเองที่ให้คำสัญญาพล่อยๆ ที่ตัวเองไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าผมสามารถทำอะไรเพื่อทดแทนการผิดคำพูดของตัวเองได้ ผมก็พร้อมจะทำ ขอแค่ท่านไม่ผลักไสผมออกจากชีวิตตรีเหมือนที่ผ่านมาก็พอ
“ตอนที่แกให้สัญญาง่ายๆ มันทำให้ฉันคิดว่าแกไม่ได้รักลูกฉันจริงอย่างที่ฉันคิด”
“...”
“ยิ่งเจ้าตรีร้องไห้ ฉันก็ยิ่งโกรธที่แกยอมแพ้” ท่านเว้นวรรค ก่อนจะกลืนน้ำลายและเอ่ยสิ่งที่ค้างไว้ “แต่ฉันโกรธตัวเองมากกว่าที่บีบให้แกทำแบบนั้น” อยู่ๆ เสียงเข้มก็ขาดห้วงไป พร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตา
มันทำให้ผมรู้ว่าท่านกำลังรู้สึกยังไง ผมเข้าใจแล้วว่าท่านรู้สึกแย่แค่ไหนกับการกระทำของตัวเอง
“แต่อยู่ๆ แกก็โผล่มา” ท่านพูดต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตาผม น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังซ่อนอะไรอยู่ “คิดว่าทำแค่นี้แล้วมันจะช่วยอะไรได้หรือไง”
“...” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริง
เวลาหนึ่งเดือนอาจจะน้อยไปที่จะพิสูจน์อะไร
“แกรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นห่วงเจ้าตรีแค่ไหน” อยู่ๆ ท่านก็หันกลับมาสบตาผมอีกครั้งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ผมยังคงสบตาทุกครั้งที่ตอบ “ครับ”
แม้ว่าคำพูดที่ได้ยินและความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาจะทำให้ผมล้าจนอยากจะยอมแพ้ก็ตาม ถ้าเป็นปกติผมคงอดไม่ได้ที่จะหยิบบุหรี่ออกมาสูบหวังให้มันช่วยจัดการความเครียดนี้ แต่เพราะไม่มีผมเลยแต่กำหมัดแน่น หวั่นกลัวกับอนาคตในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
“ฉันมีลูกชายอยู่คนเดียวที่เป็นความหวังของตระกูล” ท่านยังคงพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนพยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ไหลออกมา
“...” แต่คำพูดนั้นก็กระตุ้นให้น้ำตาของผมเอ่อคลอขึ้นมาเหมือนกัน... ผมเข้าใจความรู้สึกของตรีก็ตอนนี้เอง
ความรู้สึกที่ไม่อยากให้พ่อแม่ของตัวเองเจ็บปวด... เขาต่อสู้กับความรู้สึกนี้มานานขนาดนั้นได้ยังไงนะ
“พูดตรงๆ ว่าฉันไม่อยากให้แกคบกับลูกชายของฉัน”
ถ้าเป็นผม ก็คงยอมแพ้ตั้งแต่เห็นแววตาสั่นระริกพร้อมกับการขัดขวางที่เกิดจากความเป็นห่วงแบบนี้แล้ว ผมก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลืนน้ำลายลงคอเพราะหวังว่ามันจะกลืนก้อนที่จุกอยู่ตรงอกผมให้ลงไปด้วย
ผมรู้สึกปวดใจไปหมด เมื่อคิดได้ว่าถ้าคราวนี้พ่อตรีสั่งห้ามอีก ผมก็คงยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่ขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบอย่างพยายามทำใจ เสียงสั่นๆ ของพ่อตรีก็เอ่ยประโยคที่ตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้ออกมา
“แต่ถ้าแกยืนยันว่ารักลูกชายฉันจริง ฉันก็จะให้โอกาสแกสักครั้ง”
“...” ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าท่านอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
คำพูดเมื่อกี้นี้มัน...
ผมมองพ่อตรีที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ พร้อมหันมาตีหน้านิ่งขณะที่พูดยืนยันว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้แค่หูฝาด
“ฉันฝากให้แกทำให้ตรีมีความสุข...”
“...”
“แล้วก็ฝากบอกด้วยว่าฉันไม่ได้เกลียดมันอย่างที่มันคิด” แล้วสุดท้ายพ่อก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ตอนที่เอ่ยคำนั้นออกมา ผมนิ่งไปนานหลายวินาทีอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่สุดท้ายเมื่อสมองประมวลผลได้ผมก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจที่ไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว
“ครับ” ผมหัวเราะ ขณะที่พ่อตรีเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับมาโดยปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ปิดบัง
“ขอบคุณครับ... ขอบคุณมากครับพ่อ” ผมพูดย้ำๆ พร้อมกับก้มหัวลงปิดหน้าร้องไห้อย่างเสียสติ พ่อตรีขยับเขามาตบบ่าผมเบาๆ และดึงผมไปกอดไว้ด้วยร่างที่สั่นเทาไม่แพ้กัน
เชื่อเถอะว่ามันคงจะเป็นภาพที่โคตรตลกเลย ถ้าหากมีใครเผลอผ่านมาและดันเห็นผู้ชายขี้เก๊กสองคนนั่งกอดคอกันร้องไห้ไม่หยุด โดยมีเสียงร้องคาราโอเกะเพลงลูกทุ่งดังเป็นแบ็กกราวน์อยู่ด้านหลังแบบนี้
เช้าวันเดินทาง
คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืนและภาวนาให้เรื่องที่คุยกับพ่อตรีไม่ใช่ความฝัน หรือสิ่งที่ท่านพูดออกมาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น และผมก็ยิ้มไม่หุบเมื่อพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมกังวล
พ่อตรีเลิกมึนตึงใส่ผม แถมยังกำชับว่าเรื่องที่คุยกันเป็นเพียงความลับระหว่างเราสองคน ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ใครๆ ก็เดาได้ว่าทุกอย่างลงเอยด้วยดี ผมได้รับอนุญาตให้ลาได้หนึ่งวัน เพื่อพักผ่อนก่อนกลับบ้านในวันนี้ ผมเลยไปเดินเล่นจนหมดวันก่อนแวะไปที่ร้านตอนเย็น ทุกคนที่รู้เรื่องว่าผมกำลังจะกลับบ้านก็รีบหาของขวัญมาให้ พร้อมกับอวยพรผมยกใหญ่จนผมอดรู้สึกปลื้มไม่ได้ที่ได้รับความอบอุ่นขนาดนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักทุกคนได้เดือนเดียว
“ไปกันหรือยังลูก” แม่ถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ผมจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย แต่ผมไม่ได้พกอะไรมานอกจากกีตาร์และกระเป๋าเป้แค่ใบเดียวก็เลยไม่ต้องใช้เวลานานนัก
ผมหันไปยิ้มตอบก่อนจะยกเป้ขึ้นพาดบ่าและถือกระเป๋ากีตาร์ไปเก็บที่รถแท็กซี่ เพราะไม่อยากรบกวนในวันทำงานผมเลยไม่ยอมให้พ่อแม่ตรีขับรถไปส่ง และขอนั่งแท็กซี่ไปที่สนามบินด้วยตัวเอง อีกใจหนึ่งก็เผื่อเอาไว้ เพราะถ้าหากถึงเวลาจากกันจริงๆ ภาพที่ทั้งสองคนโบกมือลาผมที่สนามบินมันคงทำให้ผมเศร้าเกินไป
ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่เดือนเดียวจะทำให้ผมผูกพันกับที่นี่ได้ขนาดนี้ คงเพราะมันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ให้อะไรกับผมมากทีเดียว
“ไปก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ที่เดินมาส่งถึงรถ และกำลังจะเปิดประตูเข้าไป
“เดี๋ยวเชน” แต่ก็หันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินแม่เรียกเอาไว้ ผมทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นพ่อกับแม่มองหน้ากันด้วยท่าทางมีเลศนัยก่อนที่พ่อจะถอนหายใจแล้วพยักหน้า
ผมเห็นแม่หัวเราะ ขณะที่จับมือข้างหนึ่งของผมไป พร้อมกับควักริบบิ้นสีแดงออกมาผูกกับข้อมือของผมเอาไว้เป็นรูปโบว์ที่ดูท่าทางจะแน่นพอสมควร
“วันนี้วันเกิดตรีเขาน่ะ” แม่พูดพลางยิ้มขำ เมื่อเห็นผมมองริบบิ้นที่ข้อมือตัวเองมึนๆ
“ฝากเอาของขวัญไปให้ลูกชายฉันด้วย” คราวนี้เป็นพ่อที่พูดออกมาพร้อมกับยื่นกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งมาให้ ผมรับมาอย่างงงๆ แต่ก็สงสัยได้ไม่นานเมื่อได้อ่านข้อความสั้นๆ ที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือหวัดๆ ของพ่อ
ข้อความที่ทำเอาผมหลุดขำ พร้อมกับเข้าใจแล้วว่าริบบิ้นสีแดงหมายความว่ายังไง
“ครับ” ผมรับปากพลางพยายามกลั้นยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าแดงจัดแต่พยายามเก๊กขรึมของพ่อตรี
ผมบอกลาอีกครั้งและนั่งรถออกมาจากบ้านด้วยหัวใจที่เต้นรัวเมื่อจินตนาการถึงใบหน้าของใครอีกคนตอนที่เห็นว่าผมกลับไปตามสัญญา ผมยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้าไปตลอดทางเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ความอบอุ่นใจที่ผมได้รับจากครอบครัวตรี ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด
ว่าตรีของผมน่ารักและแสนดีขนาดนั้นได้ยังไง
-------------------------------------------------------------------------------------------
พอถึงช่วงดราม่าก็ไม่อยากให้เรื่องค้างนาน กลัวคนอ่านทรมานแล้วเลิกอ่าน
เลยตัดสินใจอัพรวดเดียวจบเลยดีกว่าค่ะ 55555
ขอบคุณคนที่เคยอ่านแล้วแต่ก็ยังกลับมาอ่าน
ขอบคุณนักอ่านใหม่ๆ ที่เข้ามาอ่าน เข้ามาเม้นต์ให้กำลังใจนะคะ
ฝาก #เชนตรี ด้วยน้า
ถ้าหนังสือออกเมื่อไหร่จะมาอัพเดตให้รู้กันอีกทีนะคะ ^^
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
-- Martian --
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณไรท์ที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านค่ะ จะติดตามผลงานต่อๆไปค่ะ
ไรท์แต่งได้ดีมาก ประทับใจในตัวละครทุกตัวเลยค่ะ
รอติดตามผลงานต่อๆไปค่ะ
ถึงจะดราม่าหนักหน่อย แต่มันก็เป็นเหตเป็นผลของมัน
ขอบคุณนะคะ รออ่านเรื่องต่อๆไป ^^
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ อ่านได้แบบเรื่อยๆ ชอบการบรรยายเรื่องของไรท์ ดีใจที่ได้เข้ามานิยายดีๆแบบนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ
แต่ชอบทุกครั้ง ที่เชนเรียกตรีว่า "ตรีของผม"