ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    l'Amour รักของฉันมีแค่เธอ

    ลำดับตอนที่ #3 : On twenty-five December (Part 1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 130
      0
      27 พ.ค. 57


    1
    On twenty-five December  (Part 1)

     

                เช้าแห่งวันคริสมาส วันพุธที่ 25/xx/xx อีกนัยนึงคือวันแห่งความขี้เกียจ ฉันนอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มนวมหนาอย่างหนาวเหน็บ เป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศหนาวแทบบ้าในปารีส ซึ่งอากาศแบบนี้ทำให้ฉันไม่อยากจะลุกออกไปไหนเลย ฉันกระชับผ้าห่มผืนใหญ่ห่อตัวเองราวกับว่าตัวเองเป็นข้าวน้อยๆ ในชูชิ พลางพลิกตัวกลับไปกลับมาเพื่อรอเวลาให้ฟ้าสาง ทว่าบรรยายกาศเงียบงันทำให้ฉันอดไม่ได้ต้องเงยหน้ามองหานาฬิกาเลือนสีขาวครีมที่แขวนอยู่บนหัวเตียง

               

                ให้ตายสิกำลัง 6 โมงเช้าเองงั้นเหรอ..

               

                ปกติแล้วฉันไม่ใได้เป็นคนตื่นเช้าอะไร ประหลาดจริงๆ ต้องเป็นเพราะอากาศหนาวที่ทำให้ฉันอนไม่หลับเป็นแน่ ด้วยความโง่ของฉันเองที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ไอของอากาศเย็นๆ เลยลอยเข้ามาในห้อง..

                ฉันยันตัวเพื่อลุกขึ้นและนั่งพิงที่หัวเตียง ไม่ลืมที่จะดึงผ้านวมขึ้นมากระชับตัวด้วย ให้เดา อากาศคงจะหนาวอุณภูมิติดลบ คงสักลบ 10 องศาเป็นได้ ฉันทอดตามองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ตรงหน้า..

               

                ฟ้ายังไม่สางเลย..

               

                ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความสวยงามในตอนเช้า หมอกควันสีขาวคลุ้งทำให้ฉันอดใจไม่ไหวที่จะพาตัวเองมาที่หน้าต่างโดยไม่รู้ตัว ทว่าสายตาดันไปสะดุดกับถุงเท้าที่แดงที่แขวนอยู่ปลายเตียงเมื่อคืน แน่นอนว่ามันไม่มีของขวัญอยู่ในนั้น...ฉันพนันได้ ทว่าความคิดเด็กน้อยทำให้ฉันเอื้อมมือเข้าไปค้นเพื่อความแน่ใจ จากนั้นปลายนิ้วมือฉันก็ไปสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างเข้า ฉันค่อยๆ หยิบสิ่งนั้นขึ้นดูอย่างใจจดใจจ่อ แต่ว่า...มันก็เป็นเพียงกระดาษสีขาวที่ถูกพับเป็นรูปสามเหลี่ยม ฉันมองสิ่งนั้นด้วยความประหลาดใจ

                ว่าแต่..กระดาษแผ่นนี้มาได้ยังไงนะ มันไม่ใช่ของขวัญจากซานต้าแน่ๆ แต่ใครกันที่เอามันมาใส่ไว้ในนนี้ หรือว่าจะเป็นฉันเองที่ลืมทิ้งไว้

                ฉันเลิกสนใจที่มาของกระดาษแผ่นนี้ แล้วครี่กระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาดูแทน ทันที่กางกระดาษออก ตัวอักษรภาษาอังกฤษเผยขึ้นมากลางหน้ากระดาษสีขาว ตัวเขียนตวัดของใครบางคนที่ฉันไม่รู้จัก

                “It Will Come True....”

                ฉันเปร่งเสียงอ่านสิ่งที่อยู่ในกระดาษตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น

     

                หมายความว่ายังไงกันนะ...

     

                คำถามเกิดชึ้นภายในใจฉันมากมาย มันอาจจะเป็นสิ่งที่ฉันเคยเขียนมาก่อน แต่ว่า.. ทำไมฉันถึงจำไม่ได้เลยหล่ะว่า ฉันนั้นเป็นคนเขียนมันมาก่อนเลย ทั้งตัวหนังสือ และเนื้อหาในนั้น ฉันจะเขียนเองทำไม? ฉันก้มมองกระดาษที่อยู่ในมืออีกครั้ง พลางจ้องมองดูตัวหนังสือสีดำหวัดที่ฉันไม่รู้จัก มันไม่ใช่ตัวหนังสือฉันแน่

                ก่อนที่ฉันจะสงสัยไปมากกว่านี้ กระดาษที่อยู่ในมือฉันปลิวออกไปนอกหน้าต่างไปเสียแล้ว มือที่เงื้อไปเพื่อหวังออกจะเข้าไปคว้าเจ้ากระดาษแผ่นเล็กที่ลอยล่องอยู่บนอากาศก็ต้องแห้วไป.. เพราะ ไม่ทันเสียกระดาษแผ่นเล็กก็ปริวออกไปนอกหน้าต่าง

                เฮ้อ...ไม่นะ           

                ฉันชะเง้อมองตามกระดาษที่ปลิวตกลงไปด้านล่าง

                ให้ตายสิ...

                ฉันยืนนิ่งมองกนะดาษแผ่นนั้นและถอนหายใจด้วยคามเสียดาย ความสงสัยทำให้ฉันคิดไม่ตกเลย มันอาจจะเป็นลายมือของโซอีก็ได้ โซอีเคยมานอนเล่นที่ห้องฉันหลายครั้ง ไม่แน่อาจจะเป็นเธอ.. แต่เธอจะเขียนทำไมกันหหล่ะ.. ยังไงก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วสิ ช่างเถอะ.. ฉันลดความสนใจประดาษแผ่นนั้นแล้วเดินกลับมานั่งที่เตียงยั่งเก่า

     

                เวลาผ่านไป...

     

                ตอนนี้เที่ยงตรงเป๊ะ ความรู้สึกบอกว่าฉันควรจะออกไปที่ไหนสักแห่งในวันคริสต์มาส การนอนกริ้งเกลือกอยู่ในห้องอย่างนอนไม่หลับมันไร้ประโยชน์สิ้นดี หนำซ้ำยังเผลอคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในอีตโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่สามารถหลบหลีกความคิดของตัวเองได้จริงๆ ฉันไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้านอกจากชาหนึ่งถ้วย ความหิวทำให้ฉันไม่รอช้าพร้อมกับคว้าเสื้อโค๊ทสีฟ้าเทาตัวหนามาสวมทับชุดประโปรงยาว และรองเท้าบูตขนปุยสีน้ำตาล คงเหมาะกับสภาพอากาศแบบนี้แล้วหล่ะ

                ฉันเปิดประตูออกจากห้อง ทว่าระหว่างที่ก้าวเท้าลงบันใดอย่างช้าๆ สายตาฉันก็พลันไปมองบันยากาศโดนรอบ เพราะมันแตกต่างกับตอนกลางคืนเหลือเกิน ในตอนนี้สภาพที่นี่ไม่เหมือนอพาร์ทเม้นท์เลยสักนิดเดียว ที่นี่คงเป็นบ้านมาก่อนแน่ๆ จะว่าไปแล้วตั้งแต่ฉันย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่เคยเดินออกมาดูอะไรแบบนี้มาก่อน ฉันหัวเราะกับการกระทำแปลกประหลาดของตัวเอง ทันทีที่ออกมาจากตึกสูง สายลมเย็นก็พัดมากระทะกับใบหน้าฉัน มันให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลย

               

                วันนี้ผู้คนน้อยกว่าปกติจริงๆ ฉันเดินเรียบออกจากซอยอพารทเม้นที่ฉันอยู่เพื่อตรงไปหาอะไรกิน สายไฟระโยงระยางสลับขาวแดงถูกห้อยอยู่บนหลังคาต้นสนทั้งหลายถูกตกแต่งด้วยหลอดไฟหลากหลายสีสัน รวมทั้งกระดิ่งสีทองต่างๆ ถูกร้อยห้อยตามกิ่งไม้อย่างสวยงาม บรรยากาศแบบนี้ทำให้ฉันคิดถึงตอนเด็กๆ เพราะที่บ้านฉันจะตัดปาร์ตี้ตลอด ครอบครัวเรามีความสุขมากๆ จนกระทั่ง..

               

                โคลม!

               

                เสียงอะไรบางอย่างหล่นกระแทกอย่างแรงกับพื้น ทำให้ฉันหลุดจากพวังค์ กล่องพิษษ่าหลายสิบกล่องหล่นจากรถมอเตอร์ไซสีแดง รถยนต์สีขาวคันใหญ่เสยเข้าที่ท้ายล้อรถมอเตอร์ไซ ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ ไม่รอช้าฉันรีบวิ่งเข้าไปช่วยเก็บกล่องที่กระจัดจายอยู่ตรงหน้า ฉันรู้มันไม่ใช่เรื่องของฉันสักนิดเดียวแต่ว่า..ลองคิดกลับกันถ้าเป็นตัวฉันเองจะทำยังไงเล่า.. ไม่นานคนสามสี่คนข้ามามุงรวมถึงเจ้าของรถส่งพิษษ่า อา... เขาคงต้องไม่ต้องการฉันใช่แล้วหล่ะ ฉันก้าวเท้าออกจากวงล้อมอย่างช้าๆ แล้วเดินห่างออกมา

                เหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ไม่นานนักฉันก็เดินมาอยุดที่ร้านขนมปังเจ้าโปรด เมื่อยืนเลือกอยู่สักพัก ฉันก็หยิบเมดิเตอรเรเนียคีซขึ้นมา ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเลือกทำไม ในเมื่อทุกครั้งที่เข้าร้านนี้ฉันก็หยิบมากินทุครั้ง เมดิเตอเรเนียคีซเป็นพายผักอบชีสหลากสี พายชิ้นนี้ลักษณะคล้ายๆ กับพาสต้า ทุกครั้งที่ได้มีโอกาศออกมากินอาหารข้างนอก ฉันก็จะกินเจ้านี้ทุกครั้ง พอรับของจากแคชเชียเสร็จ ฉันก็เดินพาตัวเองมาที่สวนสาธาณะ แสงแดดอ่อนๆ ทำให้ตรงนี้ไม่หนาวมากนัก ยังมีคนมากมายมานั่งปิ๊กนิ๊กกันตรงนี้อยู่ ฉันทอดตามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตรงหน้าเวลาแบบนี้ฉันควรจะไปที่ไหนสักที่ไม่ใช่มานั่งมามองผู้คน ฉันควรจะมีความสุขบ้างสินะ พอคิดแบบนั้นได้ ฉันก็ยืดตัวลุกจากเก้าอี้ ทว่าก่อนที่จะลุกขึ้น แรงกระทบกับเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ก็ทำให้ฉันหันไปมองคนที่มานั่งข้างๆ

                “Ca va?” ทันทีที่ฉันหันไปมองนั้น ร่างกายทุกส่วนของฉันก็เย็นเฉียบขึ้นมาทันที ริมฝีปากบางของคนตรงหน้าเอ่ยทักทายฉันทักทายฉันอย่างคุ้นเคย ดวงตาฉันเบิกกว้างเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงมันทำให้ฉันจ้องมองใบหน้าเขาอย่างละสายตาไม่ได้

                ให้ตายสิ ทันทีที่ฉันรู้สึกตัวและจะลุกออกไป คนข้างๆ ก็เอ่ยแทรกมาขึ้นเสียก่อน

                “แสบมากนะ เธอรู้หรือเปล่า ฉันใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะหาเธอเจอ” เขาพูดขึ้นมา

                “ถ้าวันนี้ฉันไม่รับงานพิเศษ ฉันก็คงจะไม่ได้เจอเธอใช่มั้ย?”

                “นาย..” มันมองเขาอย่างอึ้งๆ

                “พูดได้สักทีสินะ” น้ำเสียงเรียบทำให้ฉันค่อยๆ เสมอมองไปทางอื่น ความรู้สึกระปลาดนั่นเกิดขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมฉันต้องมาเจอเขาด้วยนะ ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่ฝันไม่ได้หรือไง

                “.... ”

                “ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ขอพรจากซานต้า ฉันก็คงจะไมไ่ด้เจอเธอ”

                “ทำไม..” ฉันแค่นเสียงที่มีอยู่น้อยนิดออกมา

                “เพราะ.... เธอเจ็บปวดไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงเรียบนั่น ทำฉันหันหน้าหาเขาทันที แววตานิ่งจ้องลึกเข้ามาในตาฉันเกดืกว่าจะคาดเดาว่ามันหมายความว่าอะไร ฉันหันกลับไปจ้องดวงตาคู่นั้นอย่างไม่เชื่อ เราทั้งคู่จ้องกันเนิดนาน ราวกับไม่มีใครยอมแพ้ แต่ทว่าฉันกลับต้องเป็นผ่านลหลบตาจากความรู้สึกปันป่วนแปลกๆ ดวงตาสีน้ำตาลคู่ตรงให้ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ ณ ตอนนั้นทั้งหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ หน้าอายจริงๆ 

                “ทำไมนายไม่ปล่อยให้มัน..”

                “ฉันปล่อยเธอไม่ได้นะสิ ”

                “ฉันก็แค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันไม่มีค่าอะไร นายอย่ามายุ่งกับฉัน..” ฉันพูดเสียงเรียบ

                “ยัยบ้า” เขาสบท “เลิกคิดเองเออเองสักที”

                “นายจะไปรู้อะไร”

                “เพราะฉันไม่รู้ เพราะฉะนั้นเธอควรจะบอกฉันสิ”           

                “ทำไมฉันจะต้องบอกนายด้วยหล่ะ” ฉันเบือนหน้าหนี

                “ก็เพราะฉันเป็นสามีเธอไง ชัดหรือเปล่า” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั่นทำให้ฉันต้องหันไปถลึงตามองเขาอย่างอดไม่ได้

                “คนทุเรศ เลิกพูดเองเออเองสักที ทำไมนายไม่ปล่อยให้เรื่อยแบบนี้ผ่านไป ทำไมต้องมาทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันเป็นผู้หญิงง่ายๆ นายเข้าใจมั้ย” 

                “เพราะเธอไม่ใช่” เขาพูดช้าๆ “ไม่งั้นเธอจะหลบหน้าฉันทำไม”

                “นายรู้ได้ไงว่าฉันหลบหน้านาย หน้านายฉันยังจำไม่ได้” สิ้นเสียงนั้น อยู่ๆ เจ้าของร่างสูงก็เอี้ยวตัวเข้ามากระชากฉันเข้าไปใกล้

                “นายไม่มีสิทธ์ทำกับฉันแบบนี้” ฉันจ้องใบหน้านั่นอย่างอดไม่ได้ เขาเริ่มจะทำให้ฉันโมโหแล้วสิ

                “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ แต่ฉันก็เชื่อว่าเธอเป็นคนแบบนั้นหรอก ทำไมเธอต้องดูถูดตัวเองขนาดนั้น”

                “หยุดพูดนะ!” ฉันตวาดกลับ

                “ทำไมก็ฉันพูดความจริง!”

                “นายจะไปรู้อะไร”

                “เอาหล่ะ” เขาถอนหายใจ และหยุดนิ่งไปสักพัก “ฉันอยากเริ่มต้นใหม่กับเธอ” สิ้นเสียงนั่นทำให้ฉันมองเขาอย่างไม่เชื่อหู

                “นายว่ายังไงนะ” ฉันถามซ้ำ

                “ฉันบอกว่าฉันอยากเริ่มต้นใหม่ เรามาคบกันเถอะ ฉันอยากรับผิดชอบเธอ” ฉันมองใบหน้านิ่งนั่นอย่างไม่เชื่อสายตา

                 ว่าไงนะ นี่เขาขอคบกับฉันงั้นเหรอ

                “ถ้าเกิดว่ามันไม่เวิรค์แล้วเธอร่านอย่างที่เธอว่า ฉันจะปล่อยเธอ..” เฮอะ ทำไมหมอนี่ต้องพูดอะไรที่ไม่เข้าหูด้วยนะ

                “แต่ฉันไม่ชอบนาย ฉันไม่อยากคบกันนาย” ฉันพูดตัดบท

                “แล้วไง แต่ฉันชอบเธอนี่” ฉันมองใบหน้าคนตรงหน้า คราวนี้ฉันรู้สึกว่าลูกจีบเขาใช้ได้ผล ฉันรู้สึกแก้มตัวเองร้อนแปลกๆ ยังไงไม่รู้สิ

                “อย่ามายุ่งกับฉัน”

                “ดื้อด้านชะมัด” ว่าไม่พอ ยังดึงฉันเข้าไปใกล้ แรงของคนข้างๆ ทำให้ฉันเซเข้าไปหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

                “นายจะทำอะไร ปล่อย!”

                “เฮอะ หวงตัวแบบนี้เนี๊ยนะ จะให้ฉันเชื่อเธอได้ยังไง” เสียงเรียบว่าแล้วผลักฉันไปอยู่ที่เดิม “ว่าแต่เธอชื่ออะไร” ฉันขะเยิบตัวออกห่างทันทีที่เขาปล่อย

                “เอ็มมี่” คนตรงหน้าแสะยิ้มอย่างพอใจเมื่อฉันยอมปริปากพูดกับเขาดีๆ จากนั้นเขาก็มองฉันอย่างครุ่นคิด ดวงตาเรียวยาวหรี่มองฉันเหมือนคิดอะไรอยู่ อีกแล้วไง... สายตานั่นทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่ชอบเลย

                “ฉันชอน” เขาแนะนำตัวเองบ้าง “ฉันเป็นบริทิช”

                “นายจะบอกฉันทำไม”

                “ไหนๆ เราจะคบกัน เธอก็ควรจะรู้เรื่องของฉันไม่ใช่เหรอ” เขายิ้มร่า รอยยิ้มนั่นดูไม่เข้ากับหนวดเครายุ่งเหยิงนั่นสักนิด

                “ใครบอกว่าฉันจะคบกับนายกัน และฉันก็ไม่อยากรู้สักนิด” ฉันแยกเขี้ยวใส่เขา

                “ไม่ตอบก็รู้” เขายิ้ม           

                สิ้นเสียงนั้นทำให้เราเงียบไปสักพัก ลมหนาวพัดเข้ามาใกล้ทำให้ฉันต้องกระชับเสื้อโค๊ด บรรยายกาศเงียบทำให้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก หนึ่งปีเต็มแล้วสินะที่ฉันไมไ่ด้พบเจอกับความรู้สึกแบบนี้ มันค่อนค่างแปลก ที่ฉันยอมอ่อนโอนไปกับเขาง่ายๆ ได้ยังไงกัน...

                “ทำไมนายไม่ไปสักที” ฉันเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ

                “คงไมล่ะ่ฉัน เจอเธอทั้งทีนี่”

                ฉันเงียบอีกครั้งและหยิบมือถือขึ้นมามองเวลา

                “แลกกัน” ไม่่ทันตั้นตัวอยู่ๆ ชอนก็ชกไอโฟนของฉันไปดื้อๆ

                “นี่ เอาคืนมานะ” ฉันยื่นมือไปหยิบ แต่ว่าก็ซ่อนไว้ด้านหลัง

                “ไม่ กลัวเธอจะหนีไปอีก เอานี่เป็นตัวประกันแล้วกัน” เขาว่าแล้วยื่นไอโฟนสีดำของเขามาให้ฉัน“เอ้า รับสิ” ฉันกรอกตาก่อนจะรับของจากเขาอย่างว่าง่าย นี่ฉันยอมง่ายไปหรือเปล่าเนี่ย

                “ทำไมนายต้องทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากด้วย แล้วฉันจะติดต่อคนอื่นยังไง” ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา นี่เขาจะยุ่งกับฉันมากเกินไปแล้วนะ

                “ใช่ ก็เธอชอบชิ่งอะ อยากโทรก็โทรไปสิ โทรศัพท์ฉันไม่ค่อยมีคนโทรมาอยู่แล้ว”  ชอนตอนอย่างรู้ทัน

                “แต่ของฉันมีนี่” ฉันมุ่ยหน้า โอ้ย.. ไอ่บ้านี่ทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันด้วย

                “ไม่ต้องมาด่าฉันในใจหรอก”

                เฮอะ! 

                “ฉันควรจะพาเธอไปแนะนำเพื่อนฉันให้รู้จัก” ชอนว่าแล้วดึงตัวฉันลุกขึ้น

                “จะบ้าเหรอ...มันเร็วไป และจะให้ฉันรุ้จักเพื่อนนายในฐานะอะไรยะ” ฉันเงยหน้าถามเขาอย่างเอาเรื่อง

                “จะช้าหรือเร็ว ก็พาเธอไปรู้จักกับเพื่อนฉันใน ฐานะ My babe ไง”

                “มะมไม่ จำเป็นสักหน่อย” คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกประหม่า มายเบ็บอะไรของนาย!

                “จำเป็นสิ เราไปถึงไหนกันแล้วนะ” ชอนแสะยิ้มอย่างคนถือไก่ไว้ในกำมือ น้อยๆ หน่อยนะ

                “นี่นาย!”

                “ใจเย็นสิ ว่าแต่วันคริสมาสต์ทั้งทีเธออยากได้อะไรจากซานต้า” เขาว่าแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม อย่างรวดเร็ว กระล่อนจริงๆ 

                “ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”

                “อ๋อเธออยากได้ฉัน” ก่อนที่ฉันจะได้ฟาดมือเข้าที่ใบหน้านั่น ชอนก็รวบมือทั้งสองข้างของฉันไว้เสียก่อน มากไปกว่านั้น หมอนั่นยังฉีกยิ้มขึ้นมาให้เห็นอีก.. ฉันมองใบหน้าของเขาอย่างนิ่งงัน แต่ทว่าภายในหัวเต็มไปด้วยความคิด เพราะคำถามชอนทำให้ฉันชุดคิดไม่ตกว่า จริงๆแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรจากซานต้าเลยงั้นเหรอ... สิ่งที่ฉันต้องการงั้นเหรอ... เป็นสิ่งที่เขาให้ไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะมีสิ่งมหรรศจรรย์มากมายขนาดไหน ฉันก็ไม่มีทางได้สิ่งที่ฉันต้องการ

     

    (Sean part)

     

                อยู่ๆ เอ็มมี่ก็ชะงักไปชั่วครู่ แววตาสีเทาคู่นั่นทำให้ผมเดาใจไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าเธอ เธอเหมือนเจ้าหญิงน้ำแข็งที่ยากจะเข้าหา คำพูดที่คุยกันผมไม่สามารถเดาต่อได้เลยว่าเธอจะพูดอะไร เธอยากเกินจะคาดเดา.. ผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่น้ำตาที่ไหลออกมาจกดวงตากลมโตนั่นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอเจ็บปวดมากแค่ไหน เพราะผม..ผมผ่านผู้หญิงมากมายเข้ามาในชีวิต ผมย้ายมาอยู่ในปารีสได้ 5 ปีแล้ว พ่อของผมเป็นทูตไม่แปลกที่ท่านจะย้ายไปไหนมาไหนบ่อยๆ ผมทนไม่ได้กลับชีวิตที่ต้องเดินตามคำสั่ง ผมเลยหยุดอยู่ที่เมืองนี้และใช้ชีวิตที่เป็นของตัวเอง..

                เอ็มมี่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่ผมเคยเจอสุดขั่ว เธอไม่เรียกร้อง ไม่ขออะไรทั้งนั้น แต่ใบหน้าเศร้านั่นมันแตกต่างกับการกระทำ ดูเหมือนผมเลวมากที่ทำร้ายชีวิตเธอ วันนั้นไอ่ราชกับผมจัดวันเกิดของเพื่อนมันที่บ้าน พวกเราเมากันมาก ปกติเวลาปาร์ตี้ผมก็สนุกจนลืมโลก และไม่ลืมที่จะคว้าหญิงแถวนั้นมา ทว่าพวกเธอพอใจที่จำแบบนั้น ซึ่งมันแตกต่างกับแววตาของเอ็มมี่ที่พบเห็นเธอครั้งแรก..

                มากกว่าไปกว่านั้น เธอหนีผมไปอย่างไรวี้แวว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากตามหาเธอ ผมไม่ใช่ไอ้ชั่วที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ทำ วันนี้ พอผมรู้ว่าเธอหายไป ผมตามหาเธอตลอดมา โชคดีที่สีผมเงินของเธอเป็นจุดเด่น พนันว่าผู้หญิงคิ้วเข้มปากนิดจมูกหน่อยจะมีไม่มาก แน่นอนว่าไช่่... จนกระทั่งผมพบคนๆ หนึ่งเธอชื่อ โซอี เธอกบอกว่าเธอรู้จัก นั่นมันทำให้หัวใจของผมเต้นแรง มันสั่นไหวราวกับดีใจที่ได้พบเจ้าของมัน ทว่าพอผมเจอโซอีอีกครั้งเธอกลับบอกว่าไม่รู้จัก และนั่นทำให้ผมหมดหวังและไม่คิดจะตามหาเธอ

                ‘จะตามหาทำไมวะ ไอ้ชอน เธอสำคัญยังไงกับแก?’

                ใช่แล้ว...เธอไม่ได้สำคัญอะไรกับผมมากมายขนาดนั้น อย่างน้อยการที่ผมได้เจอเธอแล้วขอโทษก็ยังดี ถือว่านี่เป็นของขวัญจากซานต้า ให้ตายเถอะ นี่ผมท่าจะบ้าแค่ผู้หญิงคนเดียว อันที่จริงการที่ขอให้ได้เจอเธอก็ไม่ได้มากเกินไปเพราะทุกอย่างในชีวิตผม สำหรับผมมันง่ายมาก การที่จะทำอะไรยากๆ กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายและผมก็ชอบมัน วันนี้ผมรับจ๊อบพิเศสส่งพิษษ่า 20 ถาด แต่ทว่า ไอ้รถเฮงซวยชนมอเตอไซมจนล้ม ทำให้ถาดพิษษ่าที่วางอยู่บนท้ายรถหล่นอลงมาหมด โชคดีที่มีคนมากมายมาช่วย แถมเจ้าของไม่เอาเรื่อง มากไปกว่านั้น ผมเห็นผู้หญิงผมขาวเหลือบเทา มันทำให้ผมฉุกคิดถึงยัยผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ ผมเลยแอบเดินตามเธอมาถึงสวนสาธาณะแห่งหนึ่ง ทันทีที่เห็นหน้าเธอ ผมรู้ว่ายังไงเธอก็ใช่ผู้หญิงคนนั้น ไม่มีใครเหมือนเธอจริงๆ ผิวขาวราวกลับกระดาษ ยิ่งอยู่กลางแดด ผิวเธอยิ่งระยิบระยับ ผมคงจะบ้าไปแล้วจริงๆ ผมมองยืนมองเธอเนิดนาน เธอเองก็เช่นเดียวกัน ยัยนั่นถืออะไรในไว้ในมือ อาหารงั้นเหรอ.. เห็นเธอแบบนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกผิดไปอีก

                พอได้เข้าไปคุยเอ็มมี่เธอนิ่งยิ่งเสียกว่าน้ำแข็ง ครั้งแรกที่เธอเห็นผม ดวงตากลมโตมองผมอย่างตกใจ และท่าทางกระดากแข็งของเธอมันเลยอดไม่ได้ที่ผมจะเข้าไปกวนอารมณ์เธอ เราปรับความเข้าใจกันนิดหน่อย โชคช่วยที่เธอไม่ดื้อสักเท่าไรทำให้เธอยอมทำตามสิ่งที่ผมต้องการ ถึงแบบนั้น... ดวงตาสีเทาก็เข้าใจยากอยู่ดี ยิ่งเธอไม่ยอมเปิดใจ ผมจะสามารถเข้าใจเธอได้ยังไงกัน...

     

    (End Sean part)

     

                ชอนพาฉันมาสถานที่แห่งหนึ่งในปารีส อยู่ด้านหลังของโบสถ์นอเตรอดาม (Notre-Dame de paris) เราเดินกันมาซักพักก็ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลา 4 โมงเย็นพอดี แต่ว่าผู้คนนับร้อยเดินกันให้ควัก ที่นี่คงเป็นงานคริสต์มาสที่ใครๆ ก็พูดถึงกันสินะ ต้นคริสมาสต์ต้อนใหญ่ตกแต่งตัวสายไฟสีส้มเหลืองตั้งสง่าอยู่กลางลานกว้าง ผู้คนนับร้อยโถมเข้าไปถ่ายรูปกับความสวยงามของต้นไม้นั่นไม่ขาดสาย ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่เคยเที่ยวงานคริสต์มาสมาก่อนทำไมรู้ว่าปารีสมีสิ่งสวยงามมากขนาดนี้ด้วย ซุ้มม้ามุนสีแดง และซุ้มอาหารมากมาตั้งเรียงรายมากมาย ไม่พอด้านข้างยังมีซุ้มขายของมากมาย ไม่ว่าจะเสื้อผ้า เครื่องปั้นดินเผา ฉันมองภาพตรงหน้าไม่ขยับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่ไมไ่ด้เห็นมานานแล้วต่างหาก

                ว่าแต่... นี่ฉันใจง่ายมากับคนพึ่งรู้จักกันมากไปหน่อยหรือเปล่านะ ฉันเหลือบไปมองหน้าผู้ชายที่ฉันเดินตามมาด้วย ชอนแต่ตัวง่ายๆ ใส่เพียงเสื้อโค๊ตและกางเกงยีนต์ธรรมดา การพูดการจาเขาไม่ได้เลวร้ายเท่าไร นอกจากว่าใบที่เต็มไปหนวดเครา นั่นทำให้ฉันยังไม่กล้าเชื่อใจเขาเขาอาจจะเป็นโจร... แต่ว่านะ... ฉันไม่มีอะไรจะเสียงแล้วจริงๆ ฉันมากถ้าเขาปล้นหรือจี้ฉัน คนรอบข้างก็น่าจะช่วยได้

                “นี่เธอคิดอะไรไม่ดีๆ กับฉันหรือเปล่าเนี่ย” ชอนหรี่ตามองฉันอย่างจับผิด ฉันตอนนี้คงเหมือนคนกล้าๆ กลัวสินะ ทำมาเป็นรู้ทัน ฉันหยักไหล่ทำเป็นไม่สนใจ “ฉันไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก อา...ไม่สิ ฉันทำไปแล้วต่างหาก” ชอนพูดจากทะลึ่งจนฉันต้องเงื้อมือไปตีเขา แต่ว่าดูเหมือนชอนจะไม่สำนึกผิดอะไร หนำซ้ำยังหัวเราะอีกต่างหาก

                “อายคนอื่นเข้าบ้าง” ฉันปรายตามองหมมนั่น

                บ้าจริง -_-///

                “ล้อเล้นหน่า รอตรงนี้นะ” ชอนพาฉันมานั่งตรงเก้าอี้ที่จัดให้นั่งภายในงาน จากนั้นเจ้าตัวก็วิ่งหายออกไป ฉันนั่งพิงเก้าอี้เหล็กพลางมองบรรยากาศข้างนอก จะว่าไปคนก็มาเยอะเมื่อกันแหะ เสียงเพลง Jingle Bells ทำให้งานนี้ดูคลึกคลื้นมากขึ้น อีกทั้งผู้คนมากมายทำให้ฉันคิดย้อนถึงเมื่อก่อน ไม่ได้สิ ทำไมความความทรงจำบ้าๆ นี่ถึงมาหลอกหลอนฉันไมหยุดนะ 

                “เอ็ม.. ” ฉันหันไปทางเสียงเรียกของใครบางคน หัวใจฉันก็กระตุกยวบทันทีเมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยนั่น

               

               

                โรม...

     

                 ฉันมองคนที่มาเยือนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง คนตรงหน้าก็ไม่แพ้กันดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องที่ใบหน้าฉัน ฉันยืนอยู่อย่างนั่นนิ่งงัน มือไม้ฉันเริ่มสั่นและควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงที่แม้จะเอ่ยชึ้นมาก็แหบพร่าไปเสียหมด ที่พจรทุกส่วนของร่ายกายกระตุกแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปเสียหมด ฉันทรงตัวลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ ก้าวท้าวเดินออกไป

                เมื่อเจ้าของร่างสูงเห็นฉันก้าวท้าวออก เขาก็กระชากมือฉันไว้ หัวใจฉันกระตุกอีกครั้ง

                เป็นไปไม่ได้ เขามาได้ยังไง

                ภายในใจฉันตอนนี้มันสับสนไปเสียหมด ฉันไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงของตัวเองที่กล้องอยู่ในหัว ทว่าสติฉันเริ่มกลับมา ฉันสะบับมือจากร่างสูงทอและวิ่งหนีออกจากตรงนั้นทันที เสียงตะโกนไล่ทำให้ฉันรีบวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ตอนนี้ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้น รู้เพียงแต่ว่าฉันต้องออกไปจากที่นี่ จนกระทั่ง....ฉันไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นอีก ฉันวิ่งออกมาเรื่อยๆ โดยไม่มองสิ่งที่ตามาด้านหลัง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไนก็ตาม ฉันจะไม่มองย้อนกลับไปทั้งนั้น...

                ร่ายกายที่ไม่ได้ใช้นานอ่อนล้าจนทำให้ฉันหยุดวิ่งและทรุดตัวลงบนพื้น ฉันหายใจถี่ๆ และมองย้อนกลับด้านหลัง ไม่มีเสียงวิ่ง ไม่มีคนตามมา

                เขามาได้ยังไงกัน...

                ตอนนี้ฉันรู้สึกกลัวจนจับใจ สองปีที่ผ่านมาฉันหนีสิ่งเหล่านี้เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่จนแทบไม่สามารถจำความเจ็บปวดนั่นได้อีก ถึงแม้ว่าที่ๆ ฉันมาอยู่มันจะไม่ไกลนักแต่ว่า... ฉันก็ไม่เคยติดต่อกลับไปอีกเลย ฉันกลัวว่าถ้าเจอพวกเขาอีก ฉันจะต้องกับไปเจอกับสิ่งเดิมๆ ไปพบเจอกับความเจ็บปวด ความเจ็บช้ำ และความทรมานที่ไม่สามารถจะเยียวยาได้..

                “หนู” น้ำเสียงทุ้มใหญ่กระตุกฉันคืนมาจากห้วงความคิด ฉันเงยหน้าชายแก่ตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเขาคับค้ายคับคากับใครบาง ซานต้างั้นหรอ... หนวดพระรุงพลังสีขาวทำให้หัวใจฉันกระตุกวาบ ทว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่กลับเป็นชุดธรรมดาเหมือนคนทั่วไป

                “เป็นอะไรหรือเปล่าหนู” ชายร่างโตเอ่ยถาม

                “ปะ เปล่าค่ะ” ฉันตอบกลับ ทว่าใบหน้าเขาอันคล้ายคลึงกับชายตัวอ้วนที่แจกของให้เด็กๆ วันคริสต์มาส

                “โฮะ โฮะ ฉันไม่ใช่ซานตาครอสหรอก มีคนทักว่าเหมือนทั้งนั้น โฮะ โฮะ” ชายแก่หัวเราะราวกับคนรู้ทัน

                “ว่าแต่ เป็นอะไรหล่ะ” ชายแก่ถาม “ฉันเห็นหนูนั่งตรงนี้ได้สักพักแล้ว หลงทางเหรอ” ฉันพงกหัวรับตามนั้น

                “มีอะไรให้ฉันช่วยไหมล่ะ” ชายแก่เอ่ยถามอย่าใจดี

                “คุณช่วยฉันไม่ได้หรอกค่ะ..” ฉันตอบน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นเพื่อเดินหนีชายแปลกหน้า ทว่า...

                “ให้ฉันช่วยไปส่งหนูที่บ้านก็ดีนะ โฮะ โฮะ วิ่งมาตั้งไกลแบบนี้เหนื่อยแย่” ฉันหันไปยังปลายเสียงทันที

                “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันวิ่งมา”

                “ก็ฉันขับรถผ่านและเห็นหนู โฮะโฮะ” ฉันหันไปมองที่รถเก๋งคันหนึ่งที่จอดอยู่ เดาว่าคุณลุงคงจะเป็นคนรับรถแท็กซี่สินะ ฉันมองรถสีเหลือสีซีดที่จอดอยู่ข้างๆ... ขึ้นก็ขึ้น

     

    ภายในรถ

     

                ฉันตกลงนั่งไปกับคุณลุงรถแท็กซี่ เพราะไม่อยากพูดมากให้มากความ

                “โฮะ โฮะ หนูวิ่งหนีอะไรมาหล่ะ” คุณลุงเอ่ยถามขณะที่มองฉันผ่านกระจกหลัง คำถามนั้นทำให้ฉันเงียบไป ใจหนึ่งก็อยากจะเงียบไว้ และก็อยากจะเอ่ยปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายแปลกหน้าฟัง..

                “หนูเคยได้ยินหรือเปล่า ยิ่งหนูพยายามหนีมัน โชคชะตาก็จะทำให้หนูเจอกับมันอยู่ดี ” คุณลุงแก่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “เพราะยิ่งหนีสิ่งที่หนูกลัว นานๆ ไป มันจะกลายเป็นพนักที่ติดหลังอยู่ตลอด”

                “แต่ว่า..”

                “การเผชิญหน้าต่างหากคือการแก้ปัญหาที่ดีสุด เพราะในที่สุดแล้วหนูก็จะชินไปกับมันเอง โฮะ โฮะ..”

               

               

    อพาร์ทเม้นท์ของ เอ็มมี่

     

                เสียงของคุณลุงหน้าคล้ายซานต้าวนอยู่ในหัวฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนเทปเสียบที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา มันทำให้ฉันนึกถึง ‘เขา’ อีกครั้ง เฮ้อ เหนื่อแล้วนะ.. ความจริงแล้วฉันควรจะรู้อยู่แล้วว่าการหนีมาแบบนี้ มาที่นี่ ที่ที่ไม่ได้ไกลมากนั้น สุดท้ายแล้วยังไงมันก็ต้องเจออยู่ดี แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยเนี่ย วันระเบิดลงหรือยังไงกัน เฮ้อ เป็นวันคริสต์มาสที่ฮ่วยแตกที่สุด..

               

                ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!

               

                เสียงเรียกเข้าจากไอโฟนทำให้ฉันล้วงมือไปหยิบในเสื้อโค๊ตอย่างเคยชิน ทว่าพอเห็นไอโฟนสีดำของชอนก็ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าลืมเขาไปสะสนิท...ฉันลืมเขาไปได้ยังไงกันเนี่ย

                 ฉันนั่งมองมือถือของคนตรวหน้าอย่างรนราน ใครโทรมานะ ควรจะรับดีหรือเปล่า.. ไหนเขาบอกว่าไม่มีคนโทรเข้ามามากไงหล่ะ ขณะที่ฉันกำลังยื่นมือไปกดรับสายนั่น เสียงเรียกเข้าก็เงียบไปก่อน เฮ่อ โล่งอกสักที จะให้ฉันตอบคนตรงหน้าว่ายังไงกันหล่ะ ฉันรู้จักหมอนั่นเพียงแค่ ชื่อ ‘ ชอน’ นามสะกงนามสกุลก็ไม่รู้จัก ฉันกับเขาเสหมือนเป็นคนแปลกหน้ากันชัดๆ ทำไมหมดนี่ถึงเป็นคนแบบนี้นะ เขากล้าทิ้งโทรศัพท์ไว้กลับคนแปลกหน้าอย่างฉันได้ยังไง เฮอะ! ฉันนิ่งมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือสักพัก ความคิดร้ายกาจก็ทำให้ฉันสไลด์เข้าไปค้นดุโทรศัพท์เขา
     

    _________________________________________________________________________

    ♥ ♥ ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥  ♥  ♥  ♥   ♥  ♥  ♥  ♥ ♥  ♥ 

    ท็อกทูมีนิดโหน่ย


    ไรต์เตอร์ลงแล้วน้า ขอบคุณที่อ่านจ้า 
    ถ้ามีคำผิดอะไรก็บอกกันด้วยน้า <3 
    ถ้าใครชอบก็คอมเม้นให้กำลังใจไรเตอร์นะคะ
    จะลงตอนใหม่เร็วๆ นี้ see you soon!d 

    ปล. ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างน้า ไว้ว่างๆ จะมาแก้คำผิด ขอบคุณมากค่า

    ♥ ♥ ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥  ♥  ♥  ♥   ♥  ♥  ♥  ♥ ♥  ♥ 

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×