ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #104 : FF15: Moonlit Melodies

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 66


    Moonlit Melodies
    Inspiration: Final Fantasy XV (Video Game, 2016)
    Playlist: Stay Lunar - Dreaming That I'm Not in Love / Before You Exit – Silence / The fin. – Melt into the Blue


    * นามสกุลของเจสซี่และลูซี่จิ๊กมาจากในเกม เนื่องจากเป็นราชวงศ์เลยต้องเล่นใหญ่ ใจต้องนิ่ง เบ้าหน้าได้ ไม่มีอะไรต้องอาย *










    .

    มือของเธอควานเปะปะ พร้อมกับเสียงครางฮือในลำคออย่างคนถูกขัดใจ เมื่อเสียงริงโทนมาตรฐานจากโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเตียงนอนกว้างขวาง จะดังทะลุผ่านเมฆหมอกของความฝันถึงอะไรสักอย่างที่เหมือนกับฉากในภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่องล่าสุดที่เข้าไปดูในโรงมาเมื่อวาน เธอกำลังสวมบทบาทเป็นนักสืบสาวซึ่งต้องไขปริศนาคดีฆาตกรรมให้ลุล่วง แม้ใบหน้าของคู่หูแอนดรอยด์ตัวสูงในเสื้อโค้ตสีดำสนิทจะไม่ปรากฏชัดเจนให้ได้จินตนาการ ด้วยรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะกลับไปสานต่อมันได้จึงกรอกน้ำเสียงแสดงความขุ่นข้องให้กับปลายสายทันทีที่คว้าเครื่องมือสื่อสารไว้ในมือ นัยน์ตาข้างหนึ่งของเธอหรี่ขึ้นเล็กน้อยเพื่อหาตำแหน่งปุ่มโดยไม่สนใจมองชื่อคู่สนทนาที่รู้แน่ชัดว่าเป็นใคร ก่อนเลื่อนสไลด์หน้าจอตอบรับ หากก็จะถูกกลบกลืนด้วยน้ำเสียงง่วงงุนไปเสียสนิท

    “จะเที่ยงแล้วยังไม่ตื่นอีก พอได้อยู่คนเดียวแล้วทำตัวเกเรใหญ่เชียวนะ”

    การถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันที่แสนสนุกหลังจากนอนหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ว่าแย่แล้ว การต้องมาถูกยั่วเย้าจากบุรุษที่กวนประสาทที่สุดที่เธอเคยรู้จักก็เรียกว่าเข้าขั้นเลวร้ายเลยดีกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะเริ่มต้นพูดงึมงำ จับใจความชัดเจนไม่ได้สักเท่าใดนักว่าเป็นการอธิบายหรือบ่นว่ากันแน่ออกจากลำคอแห้งผาก ก็หาใช่อุปสรรคต่อการเปล่งเสียงหัวเราะขบขันของอาร์ดีน ลารอย หรือคุณพ่อน่ารำคาญดีเด่นอันดับหนึ่งของหญิงสาววัยสิบเก้าซึ่งเพิ่งจะได้เคยใช้ชีวิตคนเดียวลำพังเป็นครั้งแรกอย่างที่เขาได้กล่าวไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะการประกาศกร้าวโดยไม่มีอ่อนข้อให้ของลูกสาวผู้ไม่เคยมีปากมีเสียงมาก่อนว่าต้องการมาร่ำเรียนด้านวรรณกรรมซึ่งมีเฉพาะที่อินซอมเนียเท่านั้น เมื่อเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าบ้านเกิดเมืองนอนของเธออย่างกราเลียมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม มากกว่าการให้ความสนใจเรื่องศิลปะความบันเทิงแขนงต่างๆ อย่างที่เธอนิยม ลูกสาวคนเดียวของบ้านลารอยไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่คำขอจะถูกทัดทาน ในเมื่อพ่อของเธอคือนายกรัฐมนตรีของจักรวรรดินิฟเฟลไฮม์ ถึงได้หมายมั่นอยากให้ทายาทเดินตามรอยด้านการเมืองมากกว่าอะไรที่หลักลอยและเพ้อฝัน แต่อินฟินิตี้ที่ยอมทำตามใจพ่อมาตลอดคิดว่าสิบแปดปีคือช่วงเวลาที่เพียงพอแล้ว เธออยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการจริงๆ ได้เห็นโลกใบอื่นนอกเหนือจากกรอบสีเทาอันอึมครึมของกราเลีย นั่นเป็นครั้งแรกที่สองพ่อลูกทะเลาะกันใหญ่โตถึงขนาดไม่ยอมพูดคุยมองหน้ากันอยู่นานหลายสัปดาห์ กว่าที่อาร์ดีนจะเริ่มต้นเคาะประตูห้องนอนของเธอที่กำลังเอนหลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียง หากไม่แม้แต่จะหมุนลูกบิดเข้ามาในตอนค่ำวันหนึ่ง

    “อินฟินิตี้ พ่อคุยกับคนรู้จักที่อินซอมเนียให้แล้ว ถ้าเกิดว่าลูกอยากจะไปเรียนต่อที่นั่นจริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้ลูกไปอยู่ในความดูแลของเธอ พ่อจะได้สบายใจขึ้นมาอีกหน่อย”

    หลังความเงียบงันที่สะท้อนกลับมาอยู่เกือบหนึ่งนาทีเต็ม พร้อมความหวังต่อความเข้าใจที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อเขาหันหลังย่ำฝีเท้าเตรียมจากไป ทันใด ประตูบานตรงหน้าก็จะเปิดผางออก น้ำเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาเนิ่นนานเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม มีความเก้อเขินจัดเจืออยู่อย่างบางเบาว่า “พ่อจะสบายใจขึ้นด้วยที่ไม่มีเด็กน่ารำคาญมาอยู่กวนใจแล้ว” เขาซวนเซไปเล็กน้อยจากน้ำหนักตัวของเด็กสาวที่โถมถั่งเข้าใส่ไม่ให้ทันตั้งตัว คำขอบคุณที่ตามมาฟังอู้อี้เพราะใบหน้าที่ซุกแน่นอยู่กับอกไม่ยอมปล่อย เสียงหัวเราะเบิกบานกลับคืนมาสู่บ้านลารอยอีกครั้ง เมื่อผู้สูงวัยกว่ายอมวางความคาดหวังต่อชีวิตที่ไม่เคยเป็นของตนลง

    บทจะง่ายก็ง่ายดายเกินคาด ข้อเสนอของอาร์ดีนไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อแต่ไหนแต่ไร อินฟินิตี้ก็ไม่ได้อยากใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในแคมปัสแบบที่วัยรุ่นหนุ่มสาวล้วนวาดฝันไว้ ขอแค่ให้ได้ศึกษาวิชาวรรณกรรมอย่างที่ตั้งใจ ต่อให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมบ้านเดียวกับหญิงชราที่จู้จี้ขี้บ่นที่สุดในอินซอมเนีย เธอก็ยอมรับได้

    ทั้งที่น่าจะรู้ดีอยู่แล้วจากตำแหน่งใหญ่โตในบ้านเกิดเมืองนอน เป็นรองก็แค่จักรพรรดิของจักรวรรดิเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว คนรู้จักที่อินซอมเนียของนายกรัฐมนตรีก็ย่อมต้องไม่ใช่คนเดินดินธรรมดาอย่างแน่นอน เพียงแต่อินฟินิตี้ไม่ได้นึกเอะใจเลยว่า เธอ คนที่ว่า จะหมายความถึงราชินีฟีโอน่า ลูซิส เคลัมผู้เลอโฉม อินฟินิตี้เคยเห็นใบหน้าของนางแค่จากในสื่อต่างๆ ถึงจะเคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนกราเลียก็ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงใดๆ กับบุตรสาวช่างเก็บตัวซึ่งไม่ได้มีฐานะสลักสำคัญเช่นบิดา ถ้าไม่บอกนามสกุลออกมาดังๆ คนทั่วไปก็แทบจะไม่มีใครรู้จักใบหน้าของเธอเลยด้วยซ้ำ การที่ได้รับรู้ว่าตนเองต้องไปอยู่ภายใต้ความดูแลของหล่อน ก็ทำเอาอินฟินิตี้เครียดหนักยิ่งกว่าการต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ผ่านเสียอีก

    เอาล่ะ ยังไม่ตื่นดีก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยตั้งใจฟังเรื่องนี้ให้ดี แล้วอย่ามาโวยวายว่าพ่อไม่ได้โทร.มาบอกทีหลังเด็ดขาดหลังเธอขานรับเบาๆ ในลำคอแล้ว เขาจึงเริ่มต้น พรุ่งนี้พ่อจะไปที่อินซอมเนีย ไม่ต้องห่วงว่าพ่อจะไปรบกวนเพราะมีคนอาสาไปรับที่สถานีแล้ว ส่วนตอนเย็นจะมีคนไปรับลูกมาที่โรงแรม เพราะเรามีนัดดินเนอร์กับครอบครัวลูซิส เคลัม

    สิ่งที่เธอพรั่นพรึงที่สุดได้บังเกิดขึ้นจริงแล้ว นัยน์ตาที่ปิดปรืออาจยังไม่ลืมตื่น หากสตินั้นกลับคืนมาเต็มร้อยหลังจากได้ยินนามสกุลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดตลอดอาณาจักรนี้ ถึงอาร์ดีนจะขอให้เธอไปอยู่ในความดูแลของราชินีฟีโอน่า ทว่าจนถึงบัดนี้เธอก็ยังไม่เคยได้พูดคุยหรือว่าพบหน้านางเลยสักครั้ง นอกจากผู้ดูแลวัยชราที่มารอรับเธอจากสถานีรถไฟในวันแรกสุด ไปยังบ้านหลังเล็กน่ารักที่เคยเป็นของนาน่าก่อนเสียไปได้ไม่กี่ปี แต่ก็ยังได้รับการดูแลเหมือนตอนที่เคยมีผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างดี อินฟินิตี้รู้สึกโล่งใจคล้ายการยกภูเขาออกจากอก เมื่อไม่ต้องเข้าไปพำนักอยู่หลังซิทาเดลอย่างที่ได้เคยนึกหวาดหวั่น เธอได้เพลิดเพลินกับชีวิตอิสระของตัวเอง แถมแผ่นเสียงและหนังสือนิยายเก่าๆ หลากหลายประเภทอันเป็นสมบัติของนาน่าให้ดื่มด่ำได้ไม่รู้เบื่อ จะว่าไปแล้ว ที่นี่ยังไม่มีใครยุ่งวุ่นวายกับเธอได้มากเท่ากับตาแก่ที่อยู่คนละฝั่งประเทศด้วยซ้ำ อาร์ดีนสรรหาเรื่องโน้นนี้มาโทรศัพท์คุยกับเธอได้ทุกวี่วัน อาจมากกว่าตอนสมัยที่ยังอยู่ด้วยกันเสียด้วยซ้ำ ต้องขอบคุณวิชาเรียนที่ทำให้เธอหยิบยกมาเป็นข้ออ้างเรื่องต้องการเวลาอ่านหนังสือได้ กระนั้นก็ใช่ว่าอินฟินิตี้จะไม่เข้าใจต่อความห่วงใยและความเปลี่ยวเหงาภายในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีใครคอยอยู่ต้อนรับเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาแล้วได้

    “ไม่ไปไม่ได้เหรอคะ?”

    “ไม่ได้อยู่แล้ว” อาร์ดีนหัวเราะเริงร่ากับคำถามที่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสำหรับเขา อินฟินิตี้ไม่ชอบการเข้าสังคมกับพวกผู้ใหญ่ เธอจะรู้สึกเกร็งไปหมด แทบจะไม่เปิดปากพูดถ้าไม่ได้ถูกโยนบทสนทนาแบบถามคำก็ตอบคำใส่ ถึงเจ้าตัวจะคอยร้องขอมาแต่ไหนแต่ไร เขาก็ยังอยากให้เธอเดินตามรอยบนเส้นทางที่จะไม่ทำให้น้อยหน้าใครอยู่ดี

    “ฟีโอน่าอุตส่าห์มีเมตตากับลูกขนาดนี้ ไม่อยากไปขอบคุณเธอหรือไง?”

    “ไว้ค่อยขอบคุณ...”

    “ต่อหน้า ไม่ใช่ทางโทรศัพท์”

    เจอดักคอล่วงหน้ากันแบบนี้ คนถูกรู้ทันจึงจำยอมตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วปลายลงไป อาร์ดีนถามไถ่เรื่องการเรียนอีกนิดหน่อย หากก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผ่านเข้าไปในหัวสมองอันเคร่งเครียดของเธอในตอนนี้อีกแล้ว ร่างคุดคู้ที่พยายามพลิกตัวนอนให้หลับเพื่อกลับไปสวมบทบาทเป็นนักสืบสาว กลับคิดถึงอะไรไม่ออกนอกจากเรื่องการเผชิญหน้ากับสมาชิกครอบครัวราชวงศ์ของลูซิส เคลัมในวันพรุ่งนี้เพียงเท่านั้น

     

     

    การเข้าเรียนภาคบ่ายของอินฟินิตี้ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย เธอจับจดกับหนึ่งในวิชาร่วมสองสาขาที่เคยโปรดปรานอย่างวรรณกรรมกับภาพยนตร์ไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว สุดท้ายก็จบสิ้นลงพร้อมกับความว่างเปล่าทั้งในหัวและบนแผ่นกระดาษที่มักมีตัวหนังสือจากหมึกหลากสีสันขีดเขียนอยู่จนเต็มไปหมด ถ้าลองคิดว่าไม่ใช่การพบเจอครอบครัวราชวงศ์ แต่เป็นครอบครัวของเพื่อนพ่อธรรมดาๆ ก็ไม่มีปัญหา ก่อนอื่นตอนนี้เธออยากขอยืมเลคเชอร์วิชาที่เพิ่งเรียนไปจากเพื่อนร่วมคลาสสักคน และนั่นต่างหากที่เป็นปัญหา

    บุตรีของนายกรัฐมนตรีจากนิฟเฟลไฮม์ไม่ได้รับความเป็นมิตรจากนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยอินซอมเนียสักเท่าใดนัก ดูเหมือนว่าการแซวมุกตลกเกี่ยวกับราชวงศ์ลูซิส เคลัมของบิดาเธอเมื่อราวหนึ่งปีก่อนจะยังคงส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่อินฟินิตี้จะไม่โทษพวกเขา ถึงเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้แค่เดือนกว่า เธอก็สัมผัสได้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่รักและชื่นชมราชวงศ์ของตนจากใจจริง ฉะนั้นเรื่องที่อาร์ดีนรู้จักกับราชินีฟีโอน่าขนาดฝากฝังลูกสาวคนเดียวได้ขนาดนี้จึงเป็นเรื่องที่ชวนหัวมากสำหรับเธอ

    การไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในเมื่อสมัยที่เธออยู่นิฟเฟลไฮม์ก็ไม่ได้มีใครที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเพื่อนเหมือนกัน มันชัดเจนออกขนาดนี้ว่าทุกคนเข้าหาโดยหวังผลประโยชน์จากสถานะที่แปะหราอยู่ทั่วใบหน้า เธอพูดคุยและทำตัวกลมกลืนกับคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมเปิดใจให้กับใครทั้งนั้น กลับกันกับที่นี่ซึ่งสถานะของเธอเหมือนกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนผลักไส ครั้นจะให้บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าคนที่แสดงออกว่าไม่ปลื้มเธอเสียเลยเห็นทีจะคว้าน้ำเหลวเปล่าๆ ไม่ต้องลองก็รู้คำตอบด้วยซ้ำ สุดท้ายก็จำยอมยกธงขาว จัดการเก็บข้าวของใส่กระเป๋าพร้อมกับลมหายใจที่พรูออกมาเบาๆ

    เป็นตอนนั้นเองที่ไหล่เล็กจะถูกสะกิดจากข้างหลัง ทำเอาเธอสะดุ้งเฮือกด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนรีบหันใบหน้าขวับไปมอง เพราะหลังจากนามสกุลของเธอไต่อันดับความนิยมในสถาบันการศึกษารองลงมาจากลูซิส เคลัมแล้ว ก็ไม่มีใครนอกจากบุคลากรที่เต็มใจเสวนากับเธออย่างเป็นมิตรอีกเลย ไม่ว่าอย่างไรอาร์ดีนก็จะต้องไม่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด เพราะถ้าเธอไม่ถูกเรียกตัวกลับไปร่ำเรียนรัฐศาสตร์ที่นิฟเฟลไฮม์ ต่อไปก็คงเป็นคำพูดเจ็บแสบถึงมหาวิทยาลัยอินซอมเนียที่กีดกันนักศึกษาจากภายนอกด้วยเรื่องโง่เง่าอย่างแน่นอน อินฟินิตี้ไม่อยากทำให้เรื่องเล็กแค่นี้ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่

    “นี่ ถ้ายังไงยืมเลคเชอร์ของฉันไหม?”

    คนที่กล่าวประโยคนี้คือชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่เธอจดจำว่ามาจากสาขาภาพยนตร์ได้ เขามักจะจับจองที่นั่งแถวหลังเยื้องจากเธอไปสามที่กับเพื่อนร่วมคณะมากหน้าหลายตาที่ต่างพากันรายล้อมไม่ได้ขาด เธอจะได้ยินน้ำเสียงเริงร่าของเขาสรรหาบทสนทนาไปเรื่อยเปื่อย แล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนรอบข้างราวกับเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันไปในภาพยนตร์ตลกชวนหัวซึ่งเธอไม่นิยมแทบทุกครั้ง ว่ากันตามตรงคือติดจะน่ารำคาญ เพราะอย่างนั้นอินฟินิตี้ถึงได้รู้สึกผิดกับความคิดครั้งเก่าก่อนขึ้นมา เมื่อสบจ้องนัยน์ตาใสแจ๋วคู่นั้น กับความมีน้ำใจแรกที่เธอได้รับจากใครสักคนในมหาวิทยาลัยนี้ อย่างยากที่จะเชื่อว่าจะมาจากคนประเภทที่อินฟินิตี้หมายหัวว่าต้องเป็นพวกไหลตามกระแสสังคมไปได้

    “มันจะดีเหรอ?”

    แต่ดูเหมือนเขาจะอ่านเจตนาของเธอผิดไปเมื่อตอบกลับไปว่า “ถ้าเธอไม่ถือสาลายมือห่วยๆ กับเลคเชอร์ที่ไม่ค่อยละเอียดแล้ว ฉันว่ามันก็คงดีแหละ”

    “ไม่เลยๆ” มือของเธอรีบยกขึ้นโบกปัด คิดว่าอยากจะแก้ไขคำพูดไม่ชัดเจน หากเมื่อไม่เห็นเป็นประโยชน์จึงเปลี่ยนใจ “ที่จริงฉันต้องขอบคุณมากๆ เลยต่างหาก”

    “เห็นวันนี้เธอเอาแต่เหม่อเลยสงสัยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”

    อินฟินิตี้รับสมุดมาจากมือของเขา หย่อนเก็บลงไปในกระเป๋าพลางเอ่ยขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจได้ไม่หยุดหย่อน ให้เจ้าตัวได้เปล่งเสียงหัวเราะขัดเขิน ไม่เหมือนกับแบบฉบับน่ารำคาญตลอดมาในความทรงจำด้านลบของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

    “เปล่าหรอก แค่นอนหลับไม่พอเท่านั้นเอง” เธอตอบเลี่ยงไปด้วยไม่เห็นว่าควรจะบอกเล่าเรื่องราวไปตามตรงเพื่ออะไร ไม่เห็นจำเป็นต้องป่าวประกาศว่าพรุ่งนี้พ่อเธอจะมาและถูกบังคับให้ไปดินเนอร์กับครอบครัวราชวงศ์เสียหน่อย ถึงอินฟินตี้จะมั่นใจได้ว่าชายหนุ่มจากลูซิสรายนี้จะไม่ถือสากับการเป็นทายาทของนายกรัฐมนตรีปากพล่อยเหมือนคนอื่นๆ รอยยิ้มกลับมาระบายบนใบหน้า คำขอบคุณถูกเปล่งออกมาอีกครั้งด้วยระดับที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

    “ฉันไคโตะนะ ไคโตะ นากามูระ”

    “ฉันอินฟินิตี้” เลือกแนะนำตัวเองเพียงแค่ชื่อต้น ด้วยแน่ใจอยู่แล้วว่าเขาย่อมต้องรู้จักเธอ ในเมื่อชื่อของเธอตกเป็นหัวข้อสนทนาของคนรอบข้างอยู่บ่อยครั้ง ถึงจะไม่เคยมีน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของคนตรงหน้าเข้าร่วมวงสนทนาในแง่ลบนั้นด้วยเลยก็ตามที

     

     

    เป็นอีกวันที่อินฟินิตี้ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์จากตาแก่ที่เขยิบจากนิฟเฟลไฮม์มาอยู่ห่างจากเธอไม่กี่ไมล์ยังอินซอมเนีย ถึงเมื่อวานจะคิดมากเรื่องนัดของค่ำวันนี้มาตลอดทั้งบ่าย แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็เกิดอาการง่วงเหงาขึ้นมาอย่างแรง สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ทำอะไรสักอย่าง ทั้งกินข้าว อาบน้ำ หรือจดเลคเชอร์ที่เพื่อนใหม่จากสาขาภาพยนตร์ให้ยืมมา แล้วกระโจนกลับขึ้นไปบนเตียงนอนกับหมอนนุ่มๆ ซึ่งรอต้อนรับเธออยู่ ปล่อยปัญหาทั้งหมดให้เลือนลับไปทันทีที่บดปิดเปลือกตา มันก็จริงอย่างที่อาร์ดีนว่าไว้ พอได้ใช้ชีวิตอิสระขึ้นมาเป็นครั้งแรกเธอก็ทำตัวเกเรขึ้นมาก ด้วยการกินข้าวไม่เป็นเวลา ตะลอนออกบ้านดึกๆ ดื่นๆ และนอนหลับกินบ้านกินเมืองเมื่อมีวันหยุดหรือคลาสเรียนภาคบ่าย ถ้าขืนทำตัวเหลวไหลแบบนี้ตอนอยู่กับอาร์ดีน มีหวังได้ถูกส่งไปดัดสันดานกับคุณย่าจอมเคี่ยวที่เธอกลัวเป็นนักหนาแหง แต่ในเมื่อตอนนี้เธอพ้นจากบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือน ศิลปะลายวิจิตร และเจ้าเหมียวเอ็กโซติกขนสั้นที่ชอบจ้องหน้าเธอคราวละนานๆ มาตั้งไกลแล้วจะต้องกลับไปรู้สึกขนพองสยองเกล้าทุกครั้งที่นึกถึงคำขู่ของอาร์ดีนให้ได้อะไรขึ้นมา สาวน้อยอาจทำตัวเกเรเหมือนนกน้อยที่เพิ่งได้ออกจากกรงขังเป็นครั้งแรกก็จริง แต่ตราบที่เธอยังสนุกกับวิชาเรียน และมีจาเร็ด — ผู้ดูแลวัยชราของราชวงศ์คอยแวะเวียนมาที่บ้านสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ได้รู้สึกเกรงอกเกรงใจกันอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีทางเสียล่ะที่อินฟินิตี้จะกล้าทำตัวเละเทะได้ลง

    เวลาบนหน้าจอโทรศัพท์หลังจากเธอวางสายไปอยู่ที่บ่ายโมงนิดๆ หลังเหม่อมองเพดานอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง เธอที่ได้นอนหลับเต็มอิ่มแล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาอาบน้ำสระผม ซับเรือนผมเปียกด้วยผ้าขนหนู เมื่อวานอาหารที่ตกถึงท้องมีแค่ไอศกรีมโคนเดียว คนที่หิวจนท้องกิ่วจึงเพียงต้มน้ำร้อนเพื่อทำบะหมี่ถ้วยง่ายๆ หยิบนมรสหวานจากตู้เย็นขึ้นมาเจาะหลอด เอาเลคเชอร์ที่ไคโตะให้ยืมเมื่อวานมานั่งพลิกดูที่เคาน์เตอร์พลาง

    คัพนูดเดิลหมดเกลี้ยงไปก่อนเลคเชอร์สี่หน้าในอีกสองชั่วโมงถัดมา เธอยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะแวะไปตามหาเด็กหนุ่มที่สาขาภาพยนตร์แล้วกลับมาแต่งตัวเตรียมพร้อมสำหรับนัดของค่ำวันนี้ให้ทัน แต่ครั้นมาลองคิดดู ถ้าเธอไล่ถามหาเขาจากเพื่อนร่วมสาขาก็อาจสร้างปัญหาให้เขาขึ้นมาว่าเขาไปรู้จักกับลูกสาวนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีใครคบเอาตอนไหน หรือถ้าจะให้ฝากไปคืนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ต้องการ เพราะอินฟินิตี้อยากเป็นฝ่ายขอบคุณเขาด้วยตัวเองมากกว่า ด้วยเหตุนี้แผนคืนเลคเชอร์จึงเป็นอันต้องล้มเลิก ตัดสินใจคุ้ยหากองหนังสือเก่าๆ ของนาน่าเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ แล้วต้องเซอร์ไพรส์กับนวนิยายแนวสืบสวนคลาสสิกซึ่งถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างในคลาสเรียนเมื่อวาน ถ้าอ่านจบแล้วคิดว่าน่าสนใจ เธอจะลองขอยืมแผ่นหนังจากเจ้าตัวคนที่เขียนกำกับลงไปเน้นๆ ว่า ‘11/10’ เหนือชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ดูสักหน่อยว่ามันจะเหลือเชื่อสมคำร่ำลือจริงๆ หรือเปล่า

    อินฟินิตี้ไม่รู้เลยว่าเธอจมดิ่งอยู่กับเกาะปิดตายเป็นเวลานานเท่าไหร่ กระทั่งโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ จะแผดเสียงลั่นให้เจ้าตัวนึกเข่นเขี้ยวถึงตาแก่ที่โทร.มาไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย การณ์กลับกลายเป็นว่าคือเธอเองต่างหากที่ต้องรีบตาลีตาเหลือก หนังสือเล่มหนาถูกคั่นไว้ก่อนปิดฉับ พุ่งตัวเข้าไปอาบน้ำอีกรอบตามความเคยชินทั้งที่ไม่จำเป็น หยิบเอาชุดเดรสสีชมพูฟูฟ่องที่แขวนใส่ถุงแล้วแยกไว้เป็นพิเศษอย่างดีขึ้นมาสวมใส่ หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วก็หมุนตัวไปมาอยู่หน้าบานกระจกเพื่อเช็กความเรียบร้อยเป็นขั้นตอนสุดท้าย

    เสียงรถที่จอดหน้าบ้านบ่งบอกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าคุณผู้ดูแลมารอรับแล้ว แต่ในตอนที่เปิดประตูออกไปเห็นชายที่ยืนรอเธออยู่ข้างรถคันสีดำที่เคยคุ้นก็เป็นอันต้องผงะ

    “เอ่อ...คุณจาเร็ดล่ะคะ?”

    “จาเร็ดมีธุระนิดหน่อย ผมเลยมาทำหน้าที่แทน”

    เขาเป็นผู้ชายที่ตัวสูงมาก ผมสีน้ำตาลยาวเกือบแตะบ่าถูกมัดไว้ บนใบหน้าซีกซ้ายมีรอยแผลเป็นเหมือนถูกของมีคมกรีดเป็นทางยาว ไหนจะรอยสักบนท่อนแขนทั้งสองข้างที่โผล่พ้นแจ็กเก็ตหนังตัวนอกมาด้วยอีก แต่ไม่ว่าจะใบหน้า รูปร่าง หรือคำพูดจากน้ำเสียงห้าวติดจะห้วนของเขาก็ไม่ได้ทำให้อินฟินิตี้นึกกลัว เมื่อรอยยิ้มที่มอบมาให้นับแต่วินาทีแรกสุดก็แสดงความเป็นมิตรมากพอให้เธอได้รู้สึกไว้วางใจ อินฟินิตี้จึงส่งรอยยิ้มคืนกลับไป ก่อนค่อยๆ ก้าวเข้าไปเป็นผู้โดยสารด้านหลังรถเมื่อเขาจัดการผายผาดมือให้ราวกับเธอเป็นเจ้าหญิงก็ไม่ปาน อินฟินิตี้ไม่ชอบการถูกปฏิบัติตัวเหนือกว่าคนอื่นแบบนี้ เธอชอบนั่งข้างคนขับรถแล้วหาเรื่องมาสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยเหมือนตอนยังอยู่กับอาร์ดีนมากกว่า ดูเหมือนว่าราชินีจะยกระดับสามัญชนอย่างเธอให้เทียบเท่ากับสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์ จนอินฟินิตี้ชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพ่อของเธอนั้นอยู่ในขั้น ดีมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

    “ผมฮิคารุ”

    “อินฟินิตี้ค่ะ” เธอแนะนำตัวเองกลับไปตามความเคยชิน ครั้นเห็นรอยยิ้มที่เหมือนกับแสดงความเอ็นดูต่อปฏิกิริยาจึงรู้สึกเก้อขึ้นมาเล็กน้อย รีบเปลี่ยนเรื่องไปด้วยความรวดเร็วที่ไม่แพ้กัน “เอ่อ คุณฮิคารุไม่ต้องพูดจาสุภาพนักก็ได้ค่ะ คุณอายุมากกว่าฉัน มาพูดแบบนี้แล้วมันไม่ชิน”

    “จาเร็ดก็บอกว่าเธอจะพูดแบบนี้”

    “อย่างนั้นเหรอคะ” คราวนี้รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะสดใส “แต่คุณจาเร็ดก็ไม่เคยยอมทำตามใจฉันเลยค่ะ ทั้งที่ฉันเป็นแค่คนธรรมดาแท้ๆ”

    “แต่ราชากับราชินีไม่คิดว่าอย่างนั้น” เขาเสริม “อีกอย่าง ลูกสาวนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะเรียกว่าคนธรรมดาหรอกมั้ง”

    “ถ้าอย่างนั้นคุณฮิคารุกับคุณจาเร็ดที่ทำงานให้ราชวงศ์ก็ไม่ถือว่าเป็นคนธรรมดาสำหรับฉันเหมือนกันแหละค่ะ”

    เป็นทีของชายหนุ่มหลังพวงมาลัยได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

    “แต่คุณฮิคารุไม่น่าใชเป็นแค่ผู้ดูแลธรรมดาๆ ใช่ไหมคะ?” สุดท้ายคนขี้สงสัยก็อดรนทนไม่ไหวกับรอยแผลเป็นบนใบหน้าจนต้องเอ่ยปากถามด้วยความเกรงใจ หากแต่เจ้าตัวก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่

    “ที่จริงแล้วฉันเป็นคราวนส์การ์ด” พอถึงตรงนี้ นัยน์ตาสีเข้มและริมฝีปากที่ทาสีสันก็อ้ากว้าง “ถ้าอย่างนั้นขอถามได้ไหมคะว่าได้แผลเป็นมาจากไหน?

    “เรื่องราวไม่หวือหวาอย่างที่เธอคิดหรอก แค่ได้มาจากคนเมาน่ะ”

    “อย่างคุณฮิคารุน่ะเหรอคะจะป้องกันตัวเองจากคนเมาไม่ได้?”

    “เราไม่ทำร้ายพลเมืองของคราวน์ซิตี้” เขาเรียกชื่อแทนเมืองนี้ในแบบที่ทุกคนรู้จักกันดี เนื่องจากการเป็นที่ตั้งของซิทาเดลอันเป็นแหล่งพำนักของราชวงศ์มาเนิ่นนานจนถึงราชาจอน ลูซิส เคลัมที่ 113 องค์ปัจจุบัน คำตอบของเขาทำให้อินฟินิตี้ต้องร้องว้าวออกมา ไม่หลงเหลือความแปลกใจแล้วว่าทำไมราชวงศ์ลูซิส เคลัมจึงเป็นที่รักของพลเมืองคราวน์ซิตี้ถึงเพียงนี้ เจอหน้าตาแก่อาร์ดีนเมื่อไหร่เธอจะซัดเข้าให้โทษฐานที่บังอาจเล่นมุกตลกงี่เง่ากับราชวงศ์นี้แทนชาวอินซอมเนียเอง “แต่นั่นเป็นสมัยที่เจ้าหมอนั่นยังไม่เอาไหนอยู่ ก็ราวๆ สี่ปีมาแล้วล่ะนะ”

    เจ้าหมอนั่น...เหรอคะ?”

    “เจ้าชายเจสซี่ไง”

    น้ำเสียงของเขามีเชิงเสียดสีทว่าอินฟินิตี้ไม่ทันได้สังเกต เธอรู้ว่าผู้ปกครองลูซิส เคลัมองค์ปัจจุบันมีทั้งบุตรและบุตรี เจ้าชายเจสซี่คือลูกชายคนโตที่อายุเท่ากันกับเธอและเป็นที่ร่ำลือในหมู่สาวๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตาหรือมันสมอง ฟังดูจับต้องไม่ได้เลยราวกับอยู่คนละโลกใบเดียวกัน กระนั้นอินฟินิตี้ก็จินตนาการภาพของเจ้าชายผู้สมบูรณ์แบบแทบจะทุกกระเบียดไม่ออก ในเมื่อพักหลังมานี้เขาไม่เคยปรากฏตัวออกสื่อเหมือนอย่างน้องสาวที่มีใบหน้าอ่อนหวานถอดแบบจากมารดา (และอาจเป็นเพราะอินฟินิตี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองมากนักด้วย) เธอจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าชายเจสซี่ในวัยสิบเก้านั้นแตกต่างจากสมัยวัยสิบสี่ที่เคยเห็นในสื่อล่าสุดเมื่อหลายปีก่อนมากน้อยเพียงไร

    “คุณฮิคารุพอจะบอกได้ไหมคะว่าคุณเจสซี่เป็นคนยังไง?”

    “เรียนที่เดียวกันแต่ไม่เคยเจอกันเลยเหรอ?”

    เรือนผมยาวสีน้ำเงินของเธอสะบัดไหว

    “งั้นฉันไม่บอกดีกว่า” เสียงหัวเราะของเขาฟังดูเบิกบานใจ “เอาเป็นว่าอย่าคาดหวังจะได้ไม่ผิดหวัง”

    ถึงไม่ค่อยเข้าใจในเจตนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดของสารถีพิเศษประจำค่ำคืนนี้เท่าใดนัก อินฟินิตี้ก็ตัดสินใจไม่ถามอะไรต่ออีก กลับไปเอนหลังพิงกับเบาะนุ่มด้วยท่าทีเบาสบาย อยู่กับความเงียบงันของพื้นที่แคบภายในรถที่ไม่ได้เปิดวิทยุหรือแผ่นเพลงใด ทอดสายตามองดูแสงสีที่เริ่มส่องประดับอยู่ระรายทางเมื่อรถเคลื่อนผ่านไป คาดหวังเพียงเรื่องเดียวคือเธอจะไม่ทำตัวขายหน้าต่อผู้ที่กำลังจะไปเยือน หากเมื่อคิดอย่างนั้น ความเย็นที่ไม่ได้มาจากเครื่องปรับอากาศก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ



    คราวน์ซิตี้โรสต์ในค่ำคืนนี้อาจเป็นหนึ่งในมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตตลอดสิบเก้าปีของเธอเลยก็ว่าได้ จนทำให้อินฟินิตี้ลืมเลือนความอึดอัดใจ นับตั้งแต่วินาทีที่ย่ำรองเท้าส้นสูงเข้ามาในภัตตาคารชั้นดาดฟ้าบนโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมืองข้างกับซิทาเดลที่ตั้งตระหง่านอย่างเคลัมเวีย เพื่อพบกับประมุขผู้มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรทั้งราชาและราชินี รวมถึงเจ้าหญิงวัยสิบเจ็ดที่โบกมือต้อนรับเธอเป็นคนแรกอย่างเริงร่า ไม่ต่างจากบิดามารดาที่ความทรงสง่าอันน่าเกรงขามค่อยเจื่อนจางลงไปหลังรอยยิ้มอบอุ่น กับการปฏิบัติตัวที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้เป็นหนึ่งใน 'สมาชิกของราชวงศ์' อย่างแท้จริง ยิ่งโดยเฉพาะจากราชินีฟีโอน่าที่เดินเข้ามาสวมกอดเธอแน่นๆ ก่อนผละจากโดยที่แขนทั้งสองยังจับท่อนแขนเล็กเอาไว้ ดวงตาสุกใสพินิจมองดูหญิงสาวในชุดราตรีสีชมพูที่หล่อนเป็นคนเลือกเฟ้นให้ด้วยสายตาปลาบปลื้ม กล่าวชื่นชมว่าชุดนี้เข้ากับเธอและใบหน้าสะสวยนี้มากเพียงไร

    “รู้ไหมว่าชุดนั้นแม่ของหนูเป็นคนออกแบบเอง”

    “แม่ของหนูเหรอคะ?”

    “จ้ะ เราเคยเป็นเพื่อนกันสมัยยังอยู่ที่อินซอมเนีย อาร์ดีนเองก็เหมือนกัน”

    “เอ๊ะ? พ่อของหนูก็เคยอยู่ที่นี่เหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้ห้ามไม่ให้หนูมาเรียนที่นี่?”

    “ก็เพราะหวงลูกสาวน่ะสิจะมีอะไรได้” นางรีบชิงตอบคำถามนั้นก่อนชายคนที่สาวน้อยสะบัดใบหน้าขุ่นๆ ไปหา แล้วเริ่มต้นการแฉด้วยน้ำเสียงติดตลก “พ่อของหนูโทร.มาบ่นกับจอนใหญ่เลยจนฉันต้องแย่งสายมาพูดเองกว่าเขาจะยอมให้หนูมาเรียนที่นี่ได้ เธอนี่ก็เหลือเกินเลยจริงๆ อาร์ดีน กล้าดียังไงถึงคิดจะบังคับให้ลูกเรียนอะไรที่ไม่ได้ชอบ เป็นอะไรที่ไม่ได้อยากเป็น นี่ถ้าพอร์เทียยังอยู่มีหวังได้เอ็ดใส่เธอเหมือนกับฉันนี่แหละ”

    “ไม่เหมือนหรอก เพราะเขาไม่พูดมากเหมือนกับเธอ”

    ครั้นจอนเริ่มต้นเปลางเสียงหัวเราะขบขันไปกับคำพูดของเพื่อนสนิทฝั่งตรงกันข้ามพร้อมยกแก้วไวน์ขึ้นชูเป็นเชิงสนับสนุน สองสาวที่อ่อนวัยกว่าในโต๊ะจึงพลอยหลุดหัวเราะคิกคักตามไปด้วย ตอนนั้นเองที่กล้ามเนื้อแข็งเกร็งทั้งหมดในตัวเธอค่อยคลายลง ความเบาสบายเข้ามาแทนที่ ปล่อยให้บทสนทนาส่วนใหญ่ตกเป็นของผู้สูงวัยกว่าโดยมีเจ้าหญิงอัลเลกราผู้ช่างจาร่วมวงด้วยเป็นระยะ ขณะที่ลูกสาวนายกรัฐมนตรีก็ดื่มด่ำกับอาหารค่ำรสเลิศอย่างเพลิดเพลิน ตอนที่อาร์ดีนถามไถ่ถึงเจ้าชายเจสซี่คือตอนเดียวที่เธอผงกศีรษะขึ้นแสดงความสนใจ ครั้นมองเห็นใบหน้าเหนื่อยหน่ายกับเสียงพ่นลมหายใจของราชาจอนที่แทนทดต่อคำตอบซึ่งไม่ได้เอ่ย อินฟินิตี้จึงก้มกลับลงไปตั้งหน้าตั้งตาดังเดิม เพราะอย่างนั้นเจ้าตัวถึงได้สะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ เก้าอี้ว่างข้างกันจะถูกเลื่อนออก พร้อมเงาร่างที่ปรากฏผ่านหางตาก่อนใบหน้าจะได้ขยับมอง พลันนั้นความตกใจก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความตื่นตะลึง มือไม้ที่ถือมีดกับส้อมค้างเอาไว้คล้ายว่าจะหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าแสดงความรำคาญใจของชายหนุ่มในชุดสูทกับเส้นผมยุ่งเหยิงสีเขียวที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นสีน้ำเงินดูแปลกตา เกินกว่าเด็กชายวัยสิบสี่ในสื่อที่อินฟินิตี้จำจดได้จริงๆ

    “ไม่มาตอนเรากลับกันซะเลยล่ะ”

    “แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ”

    สองพ่อลูกที่โต้ตอบกันด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันแบบไม่มีใครยอมใครทำให้คนนอกอย่างเธอต้องลอบกลืนน้ำลาย ราชาจอนคนที่หัวเราะรวนร่าไปกับภรรยาและลูกสาว ทั้งพูดจาเสียดสีหากไม่ได้โกรธเคืองกันเป็นจริงเป็นจังตามประสาเพื่อนสนิทกับอาร์ดีน คล้ายกับมาดอันน่าเกรงขามแบบที่อินฟินิตี้หวาดหวั่นนับตั้งแต่แรกพบได้หวนกลับคืนมา เฉกเช่นเดียวกับเจ้าชายหนุ่มที่ทำให้เธอได้เข้าใจความหมายในคำพูดของฮิคารุอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมา

    “พอได้แล้วน่าทั้งสองคน” คนเดียวที่หยุดความกระอักกระอ่วนที่กำลังดำเนินไปนี้ได้ย่อมมีเพียงสตรีหมายเลขหนึ่งประจำบ้านลูซิส เคลัม ราชินีฟีโอน่าส่งสีหน้าขอโทษขอโพยมาให้สาวน้อยฝั่งตรงกันข้ามที่พยักหน้ารับ พยายามเค้นรอยยิ้มฝืนๆ ไปให้ ทว่าสถานการณ์ที่ถูกแก้ไขกลับเบี่ยงมาทางเธอเข้าอย่างจัง “เจสซี่ นี่หนูอินฟินิตี้นะ”

    มันไม่ง่ายเลยที่จะบังคับน้ำเสียงไม่ให้ประหม่าเมื่อเอ่ยคำทักทาย เขาหันมองเธอแว่บหนึ่งพร้อมเสียงขานรับในลำคอที่เบาหวิวเสียจนไม่น่าจะมีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเธอที่ได้ยินมัน อินฟินิตี้รู้ว่าเรื่องนี้อาจฟังดูเพ้อพก แต่เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสาวๆ ในมหาวิทยาลัยถึงได้พากันหลงใหลได้ปลื้มองค์รัชทายาทผู้นี้เป็นนักหนา ถึงอาจเพียงแค่ปรายนัยน์ตาแล้วผ่านเลยไปก็ตามที

    แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ — หมายถึงเธอแทบจะไม่เปิดปากพูดเป็นปกติ — หากแต่ในครั้งครานี้มาจากหัวสมองที่มึนตื้อไปหมดจนจับจดหัวข้อสนทนาของคนอื่นๆ ไม่ได้เลยต่างหาก เช่นเดียวกับเจ้าของที่นั่งข้างๆ ซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดการหั่นสเต๊กด้วยท่าทีที่แสดงออกอย่างเปิดเผยสุดๆ ว่าไม่อยากร่วมเสวนากับใครทั้งนั้น กระทั่งเด็กๆ จัดการชีสเค้กซึ่งมาเสิร์ฟตบท้ายมื้ออาหารหนักจนเกลี้ยงเกลา พร้อมกับข้อเสนอแนะที่ต้องยอมรับว่ามันคือข้อบังคับกลายๆ เสียมากกว่าของฟีโอน่าที่ว่า “ลูกๆ ช่วยทำหน้าที่เจ้าบ้านแล้วพาหนูอินฟินิตี้ไปเยี่ยมชมอควาเรียมของเราทีนะจ๊ะ” เป็นอันรู้กันว่าบัดนี้สมาพันธ์ร่วมโต๊ะได้ถูกแบ่งแยกจากวัยวุฒิเป็นสอง ขณะที่อัลเลกราอิดออดโอดครวญอยู่กับมารดา เจสซี่ก็ลุกเดินลิ่วๆ นำไปก่อน ปล่อยให้ความคิดของอินฟินิตี้อยู่กึ่งกลางระหว่างรีรอและเร่งเร้า ไม่รอให้เธอลังเลอยู่นานนัก อัลเลกราถึงเข้ามาช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วยการพุ่งตัวเข้ามาควงแขนหลังจูบแนบแก้มของบิดาและมารดาราวกับเด็กน้อย ส่งรอยยิ้มที่อาจเจิดจ้ายิ่งกว่าสวนดอกไม้ทั้งเทเนไบรให้เธอ ก่อนเรียกความตื่นตระหนกให้ถาโถมเข้าใส่ เมื่อแขนอีกข้างที่ยังว่างของหล่อนจะไปเกี่ยวเข้ากับท่อนแขนของพี่ชายตัวสูงมากซึ่งไม่ปิดบังความรำคาญใจในน้ำเสียงที่บ่นงึมงำเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้นอินฟินิตี้ลองลอบขยับสายตาเลยไป ก็กลับพบรอยยิ้มเอ็นดูบนใบหน้ายามทอดมอง

    หรือแท้จริงแล้วเขาอาจไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลยก็ได้

     

    ในห้องอควาเรียมซึ่งมีตู้บรรจุเหล่าปลาน้อยใหญ่ทอดยาวไปตลอดเส้นทาง สะท้อนความมืดสีน้ำเงินเข้มสลัว บนชั้นที่ต่ำกว่าดาดฟ้าซึ่งไม่หลงเหลือผู้เข้าชมอีกแล้วในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ นอกจากลูกสาวนายกรัฐมนตรีแห่งนิฟเฟลไฮม์กับเจ้าชายแห่งลูซิสที่เดินเคียงคู่กันไปเงียบๆ หลังอัลเลกราปล่อยอ้อมแขนทั้งสองข้างให้เป็นอิสระ ก่อนกระโจนมาอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มกว้างอันเป็นแบบฉบับของเจ้าตัว

    “พี่อินฟินิตี้ หนูคงต้องขอยกหน้าที่เจ้าบ้านคราวนี้ให้พี่เจสซี่นะคะ แม่ชอบพาแขกมาดูบ่อยแล้วก็ให้หนูมาด้วยตลอดจนเบื่อจะแย่แล้ว”

    “งั้นเราจะไปไหน?” หากเพียงแค่ได้ยินเสียงหัวเราะซุกซน เจสซี่ก็จะพรูลมหายใจออกมา “นี่ โฮคุโตะไม่ได้สนุกไปกับเราด้วยหรอกนะ”

    “ชิ! โฮคุโตะไม่ได้น่าเบื่อ น่ารำคาญ แถมยังนิสัยเสียเหมือนพี่สักหน่อย!

    อินฟินิตี้ไม่เข้าใจคำพูดของสองพี่น้อง รวมถึงไม่รู้จักเจ้าของชื่อโฮคุโตะ (คนใจดีของอัลเลกราและคนขี้บ่นของเจสซี่) ที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาให้เธอยิ่งกลายเป็นคนนอกเข้าไปใหญ่อยู่ ณ ขณะนี้ หากความคิดของการที่ต้องอยู่ตามลำพังกับเขาก็คล้ายว่ายากเกินจะทานทน ในที่สุดจึงถือโอกาสรวบรวมความกล้าแล้วแทรกขึ้นกลางวงโดยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้มันฟังดูเสียมารยาทว่า “ถ้ายังไงให้ฉันเดินดูคนเดียวก็ได้ ไม่ต้องลำบากทั้งสองคนหรอกค่ะ” ให้อัลเลกราต้องรีบสั่นศีรษะบอกว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอินฟินิตี้คิดว่าเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากกว่าคือการเจสซี่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทว่า “ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่ไป”

    อัลเลกราโบกมือไหวพร้อมคำอวยพรว่า “ขอให้สนุกนะคะ” ก่อนวิ่งร่าจากไป อินฟินิตี้แน่ใจว่าความรู้สึกในตอนนี้ของเธอไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่า สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว มันทั้งชวนประหม่าและสับสนกับการที่อ่านความรู้สึกบนใบหน้าเรียบเฉยของคนข้างตัวไม่ออก กระทั่งมองเห็นแทงค์ทรงกระบอกขนาดใหญ่กับรูปปั้นของเทพี ณ ใจกลางซึ่งถูกรายล้อมด้วยฝูงปลาที่เกือบสุดทางเดินของห้อง เธอจึงตัดสินใจละทิ้งปัญหา เปลี่ยนมันให้กลายเป็นความตื่นเต้น พร้อมกับความทรงจำถึงครอบครัวที่พร้อมหน้าถึงอาจไม่ชัดเจนนักของอควาเรียมที่ราวกับยกใต้ทะเลมาจริงๆ ในเทเนไบร สมัยที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ กระทั่งการสูญเสียผู้ให้กำเนิดไปจากเหตุสัตว์ประหลาดบุกโจมตีระหว่างที่นายและนางลารอยเดินทางไปทำธุระยังเทเนไบรตอนเธออายุได้เก้าขวบ หลังจากนั้นอินฟินิตี้ก็ไม่เคยเหยียบย่างกลับไปในที่ที่เคยเชื่อว่าพรากชีวิตของแม่ไปอีกเลย แม้ความเชื่อเหลวไหลนั้นจะผันเปลี่ยนกลายเป็นความเข้าใจโลกเมื่อเติบโต ดินแดนเหนือสันเขาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติและดอกไม้นานาพรรณอันงดงาม รวมถึงอควาเรียมจำลองที่สมจริงที่สุดเท่าที่อีออสเคยเห็นมา อย่างไรมันก็ไม่เคยเป็นจุดหมายปลายทางของเธออีกเลย

    เมื่อเห็นดังนั้น เจสซี่จึงเดินแยกมาทิ้งตัวลงบนม้านั่งยาวไม่ไกล ทอดมองออกไปยังตัวเมืองอินซอมเนียที่ประดาแสงสีงดงามยามค่ำคืนนอกบานกระจกใส ไม่ต่างจากภาพที่เขาเห็นอยู่เป็นนิจในอพาร์ตเมนต์ที่ซุกหัวนอนตั้งแต่สมัยไฮสคูลจนเข้ามหาวิทยาลัย ถึงอาจไม่มีอะไรเทียบเท่ากับความหรูหราอันเป็นอภิสิทธิ์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เจสซี่ก็พอใจกับชีวิตเรียบง่ายลำพังของตัวเองในแบบนี้ มากกว่าการอยู่ในซิทาเดลที่ชวนให้หายใจไม่ออกเสียยิ่งกว่าอะไร

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อกลายมาเป็นห่างเหิน เปิดปากพูดกันทีไรก็มีแต่คำเสียดสีราวกับสงครามที่ฟาดฟัน ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเป็นเพราะความเกลียดชัง ลึกๆ ข้างในใจเขารู้ดีถึงต้นเหตุเสมอมา เพียงแต่เขาไม่คิดว่าการเปิดอกพูดคุยกันตามประสาพ่อลูกจะแก้ไขอะไรได้ ในเมื่อทุกอย่างมันจบสิ้นลงไปตั้งแต่วินาทีนั้นแล้ว

    โดยไม่รู้ตัว เจ้าชายแห่งลูซิสก็ได้รับรู้ว่าตนมีคู่หมั้นคู่หมายที่แทบไม่เคยพบหน้านอกจากนามอันเลื่องลืออย่างเจ้าหญิงลูซี่ น็อกซ์ เฟลอเรต์แห่งเทเนไบรในตอนที่อายุได้สิบหก นั่นเป็นตอนที่เขาทะเลาะกับพ่อใหญ่โตเมื่อพบความจริงถึงอนาคตที่ตนไม่มีสิทธิ์เลือก ด้วยเหตุผลทางการเมืองและสิทธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับล่าสุด ระบุว่าจะเป็นทายาทคนใดก็ได้ ถ้าไม่ใช่เขาก็ย่อมต้องเป็นอัลเลกราที่อายุห่างกันสองปี แต่นั่นยังไม่มากเท่าระยะห่างสิบสองปีของหล่อนกับรัชทายาทองค์โตแห่งเทเนไบรที่เจสซี่จะยินยอมให้เรื่องพรรค์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาก้มหน้ารับชะตากรรมเฮงซวยนี่ด้วยความเกลียดชังต่อสถานะแต่กำเนิดอย่างเหลือแสนนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก่อนยื่นคำขาดให้ตาแก่มอบชีวิตอิสระให้กับเขาจนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่อย่างกับว่ามันจะทดแทนอะไรได้ ในเมื่อเจสซี่รู้แน่แก่ใจว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'อิสระอย่างแท้จริงอยู่ในชีวิตของเขาอีกต่อไป

    เหมือนว่าแขกจากนิฟเฟลไฮม์จะดื่มด่ำกับปลาน้อยใหญ่ในตู้จนพอใจ เธอถึงค่อยเดินมานั่งลงเคียงข้างกับเขาด้วยระยะห่างที่สุดปลาย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอไม่ได้จับจ้องมาทางนี้ มันตรึงอยู่กับทิศทางที่เขาเพิ่งผละจากมาด้วยความพิศวง

    “ฉันเพิ่งจะเคยเห็นอินซอมเนียจากมุมนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ”

    แน่นอนว่าเจสซี่ซึ่งเป็นลูกชายของราชินีฟีโอน่าผู้ให้ที่พักพิงย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวของเธอมาบ้าง ถึงจะรับฟังข่าวจากซิทาเดลที่โฮคุโตะคอยบอกเล่ามาให้อยู่เนืองๆ แบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ตามที ยอมรับว่าเขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่แม่ให้เธอพักอยู่ที่บ้านเล็กหลังเก่าในย่านที่แทบจะไม่มีสิ่งบันเทิงเริงใจใดๆ เลยของคุณยาย แทนที่จะเป็นอพาร์ตเมนต์ในย่านตัวเมืองเหมือนกับเขา ซึ่งก็ดี...เพราะเขาไม่อยากได้ภาระอย่างตาแก่ของเธอที่ชอบหาเรื่องกวนใจเป็นบ้าในทุกคราวที่มาเยือนอินซอมเนีย

    น่าแปลกที่เธอไม่มีอะไรใกล้เคียงกับอาร์ดีนหรือความคิดแรกเริ่มก่อนได้พานพบหน้า จนเขาต้องพูดมันออกมาดังๆ

    “เธอไม่เหมือนพ่อเลยนะ”

    “แต่ถึงจะไม่เหมือน ทุกคนที่นี่ก็เห็นฉันเป็นลูกสาวของนายกรัฐมนตรีอาร์ดีน ลารอยยิ่งกว่าที่นิฟเฟลไฮม์อีกค่ะ” อินฟินิตี้กล่าวอย่างขบขันกลั้วไปกับเสียงหัวเราะบางเบา แต่เจสซี่ก็จับความสั่นไหวถึงเพียงเล็กน้อยภายในนั้นได้

    เจสซี่รู้ได้เลยทันทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับมุกตลกเชิงวิพากย์ของอาร์ดีนต่อราชวงศ์ลูซิส เคลัมที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อหนึ่งปีก่อน พ่อกับแม่ของเขาไม่ถือสาหาความอะไร เมื่อมันชัดเจนออกขนาดนี้ว่าเป็นการหยอกล้อตามประสาเพื่อนสนิท แต่จะให้คนนอกที่ไม่รู้เบื้องลึกใดๆ ทำความเข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นจะโยงใยไปถึงลูกสาวที่ไม่ได้ทำอะไรผิด นอกจากมีนามสกุลลารอยติดตัวมาแต่กำเนิดเท่านั้น ข่าวซุบซิบในมหาวิทยาลัยของเธอที่ได้ยินผ่านหูมาล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางลบ โดยเฉพาะความหยิ่งยโสเหมือนถือตัวว่าอยู่ในสถานะที่เหนือกว่า แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยสนใจให้ค่าเมื่อไม่ได้รู้จักลูกสาวบ้านลารอยผู้นั้น อีกทั้งคณะและสาขาที่แตกต่างกันคนละโยชน์อย่างรัฐศาสตร์และวรรณกรรมก็ไม่น่าจะมาบรรจบ แต่ครั้นได้มาพบหน้าทำความรู้จักกับเธอในค่ำคืนนี้ มันก็ทำให้เจสซี่รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมานิดหน่อย

    “ดูเหมือนว่าคราวน์ซิตี้จะสร้างปัญหาให้กับเธอ”

    “ฉันไม่คิดอะไรมากหรอกค่ะ อย่าห่วงเลย” พอเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของเขา ใบหน้าระเรื่อของเธอก็ก้มงุดลงไป “ก็...ถ้าให้พูดตามตรง ก่อนหน้าที่จะมาเรียนต่อที่นี่ ฉันเคยนึกจริงๆ ว่าชีวิตในประเทศที่นามสกุลของตัวเองไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยจะง่ายขึ้นกว่าเดิม ฉันอาจได้มีเพื่อนจริงๆ โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครเข้าหาเพื่อหวังผลประโยชน์ อันที่จริงมันก็ถูกนะคะ แต่ก็แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”

    เจสซี่จึงได้เข้าใจเดี๋ยวนั้นเองว่าเธอมีชะตาที่ต้องเผชิญไม่ต่างจากเขาเพียงไร

    “แต่เรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉันจริงๆ ค่ะ! แค่ทุกวันนี้ฉันได้ใช้ชีวิตอิสระ ได้ร่ำเรียนในสิ่งที่ฝัน ก็พอใจแล้ว”

    “ถึงจะแค่เฉพาะตอนนี้น่ะเหรอ?”

    “แล้วทำไมถึงจะทำให้มันเป็นตลอดไปไม่ได้ล่ะคะ?”

    มือของเขาที่ประสานอยู่เบื้องหน้ากำเข้าหากันแน่น มีเพียงคำตอบรับที่หลุดลอดออกจากในลำคอก่อนความเงียบงันระหว่างกันจะหวนกลับคืนมา นัยน์ตาสองคู่อาจกำลังทอดมองออกไปเบื้องหน้าในทิศทางเดียวกัน หากความคิดกลับกระจัดกระจายแตกไปไม่ต่างกัน

     

    เขามองเห็นภาพสะท้อนคนละด้านของตนในตัวหญิงสาวผู้นั้น และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกกล้ำกลืน

    เธอดึงดันเพราะต้องการใช้ชีวิต ขณะที่เขาดึงดันเพราะต้องการหนีชีวิต เธอได้พบอิสรภาพ ส่วนเขากลับได้พบว่าอิสรภาพนั้นไม่มีจริง ตราบเท่าที่ฐานะอันสูงศักดิ์จะยังคงค้ำคออยู่อย่างนี้

    เพราะความเงียบงันตอนที่ได้อยู่กับเธอ มันทำให้เขาไม่รู้สึกเปลี่ยวเหงาเลยเป็นครั้งแรกในชีวิต



    ความครื้นเครงจากแสงสีและผู้คนที่มัวเมากันไปแล้วจนนอนกอดก่ายกันเละเทะ หรือไม่ก็คู่รักที่กำลังนัวเนียกันอยู่ในสระว่ายน้ำที่ไคโตะเกือบจะแน่ใจว่าผู้หญิงผมสีบลอนด์คนนั้นน่าจะเป็นแฟนสาวคนใหม่ของไคล์ แต่แน่นอนว่าไอ้หนุ่มผมยาวที่กำลังจูบเธอจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันนั้นไม่มีทางใช่ไคล์ ไคโตะอาจไม่ใช่พวกปากโป้งก็จริง ถึงอย่างนั้นถ้าเป็นเวลาปกติเขาก็คงไม่มานั่งรับรู้เรื่องที่จะสร้างปัญหาอยู่ภายในบริเวณเดียวกันแบบนี้ อันที่จริงจะเรียกว่ารับรู้ก็คงไม่ได้ เมื่อหัวสมองของเขากำลังล่องลอยไปไกลถึงไหนต่อไหน เบียร์กระป๋องในมือก็ดูเหมือนจะยิ่งเป็นตัวรบกวนความคิดและจิตใจมากขึ้นไปทุกที

    “โย่!

    เขาไม่มีแก่ใจจะตอบทักทายกลับไปด้วยวลีเดียวกัน จึงเพียงมองหน้าของอีวี่ที่ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ จากนั้นหล่อนก็เปิดปากพูดโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ฉันบอกอัลเลกราแล้วว่าจะมารอที่นี่” และก่อนที่เขาจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง อีวี่ก็เอนทัังตัวลงไปกับเก้าอี้ผ้าใบริมสระ แหงนมองผืนผ้าใบสีหมึกที่มีเพียงพระจันทร์เสี้ยวแขวนลอยอยู่บนนั้น แล้วพลันโพล่งขึ้นโดยไม่มองหน้าเขาว่า “นายไม่ควรหนีออกมาแบบนี้เลยนะ

    “ฉันไม่ได้หนีอะไรสักหน่อย”

    “เหอะ! หัดตรองดูซะบ้างว่าทำไมฉันถึงได้เป็นเพื่อนสนิท ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของนาย” หล่อนค่อนแคะ “แค่ยอมรับว่านายชอบน้องสาวของเจสซี่มันจะตายหรือไง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าจะทำปากแข็งให้ได้อะไรขึ้นมา งี่เง่าจริงๆ”

    ไคโตะหันไปทำตาโตใส่ “เธอรู้?”

    “เจสซี่ก็รู้เหอะ”

    “ฉันดูออกง่ายมากเลยเหรอ?”

    “สำหรับฉันกับเจสซี่...ใช่”

    เช่นนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายทิ้งตัวตามลงไปบ้าง

    “แล้วเธอดูอัลเลกราออกหรือเปล่า?”

    เมื่ออีวี่ไม่ยอมตอบคำถามนั้น สิ่งที่ลอยอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศจึงมีเพียงมวลอากาศเย็นสบายของค่ำคืน แต่มันกลับทำให้ไคโตะรู้สึกหนักอึ้งจนหายใจไม่ออก

    “สุดท้ายเจ้าหญิงก็ต้องได้ลงเอยอย่างมีความสุขกับเจ้าชายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

    “อย่าทำมาน้อยเนื้อต่ำใจ ประชดประชันคนที่ไม่รู้เรื่อง แถมเจ้าตัวก็ไม่เคยชอบฉายาเจ้าชายบ้าบอนั่นอย่างมินาโตะแบบนั้นได้ไหม ไม่สมกับเป็นนายเลย” สุดท้ายอีวี่ก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องหันมาเอ็ดอึงใส่ไคโตะที่จะทำหน้าสลด ยิ่งเมื่อเธอพูดต่อไปโดยไม่ลดทอนอารมณ์ลงมาเลยว่า “อีกอย่าง นายไม่ควรเป็นคนที่พูดประโยคนั้นออกมาที่สุดในอินซอมเนียแล้วนะ รู้ไหม”

    เขารู้ และรู้ดีอีกเช่นกันว่าเจสซี่ไม่ได้รักเจ้าหญิงแห่งเทเนไบรเลยแม้แต่น้อย จริงอยู่ที่หล่อนมีรูปลักษณ์อันพรักพร้อม ขนาดไคโตะที่เคยเห็นหน้าค่าตาแค่เพียงในสื่อก็ยังต้องยอมรับ หากมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะตกหลุมรักกับคนที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่สำหรับเพื่อนสนิทคนนี้ของเขา

    ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเจสซี่ ลูซิส เคลัมไม่ใช่คนเพ้อฝันแบบนั้น ชื่อของเลดี้ลูซี่แทบไม่เคยหลุดลอดออกจากปากของเจสซี่ถ้าไม่มีใครเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน ครั้งหนึ่งตอนที่เขาเพิ่งเริ่มสนิทกับพวกเจสซี่ใหม่ๆ แล้วไปเทรนกับพวกคราวนส์การ์ด จะด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่แน่ชัด แต่เขาก็เผลอแซวเรื่องพิธีแต่งงานในอนาคตไป ผลคือริมฝีปากที่ปิดฉับเหมือนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่จริง ครั้นเจสซี่ขอตัวจากไปโดยให้เหตุผลที่เป็นข้อแก้ตัวมากกว่าว่าเหนื่อย ฮิคารุก็จะตรงเข้ามาถองไหล่เข้าซี่โครงเต็มรักจนแทบกระอัก ขณะที่โฮคุโตะจะเพียงเงยมองเขาด้วยสายตาที่สื่อเป็นนัยๆ ว่า ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ให้เพื่อนใหม่ที่ไม่รู้อะไรจริงๆ ได้ยิงรัวคำถามใส่คนสนิททั้งสองขององค์รัชทายาทอย่างกับปืนกล จากนั้นเรื่องราวก็พรูพร่าง

    ไคโตะเคยคิดว่าการเป็นเจ้าชายคือเรื่องที่น่าอิจฉาเป็นบ้า! เขาเรียนห้องเดียวกับเจสซี่มาตลอดตั้งแต่ชั้นประถม มองเห็นผู้คนห้อมล้อมรายรอบไม่ได้ว่างเว้น แม้ในยามที่เจ้าตัวไม่อยู่ก็ยังได้ยินคำชื่นชมลอยผ่านเข้าหูตลอดเวลา ไคโตะในตอนนั้นยังเป็นเด็กชายตัวอ้วนกลม ผลพวงจากการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเมื่อพ่อแม่ที่ยุ่งเรื่องงานไม่ให้ความเหลียวแลใดที่เป็นนามธรรมนอกจากรูปธรรมผ่านค่าใช้จ่ายในแต่ละวันวันหนึ่ง เพื่อนคนเดียวที่เขาคบหาด้วยในตอนนั้นคือกล้องถ่ายรูปเก่าๆ อันเป็นมรดกตกทอดจากพ่อ ไคโตะเคยคิดว่าแค่นี้ก็มีความสุขดีแล้ว แม้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขามักจะคอยมองดูแผ่นหลังของเจสซี่ด้วยสายตาแสดงความอาลัยอาวรณ์อยู่เสมอ

    ทั้งอยากเป็นแบบนั้น...และอยากเป็นเพื่อนกับเด็กคนนั้น

    แต่ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งนั้น ดูเขากับสารรูปที่น่าอดสูนี่สิ อย่าว่าแต่เดินกอดคอเคียงข้างกับเจ้าชาย แค่คนธรรมดายังไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ 'ไอ้หมูตอน' ที่มักถูกทำร้ายและรีดไถเงินเมื่อขึ้นชั้นมัธยมต้นให้ได้เป็นที่น่าสมเพช ถ้าไม่ใช่เพราะการได้รับความช่วยเหลือทั้งจากเจ้าหญิงและเจ้าชายในเย็นวันนั้น ก็คงจะไม่มีไคโตะ นากามูระคนที่เป็นอย่างทุกวันนี้

    มันก็เป็นอีกหนึ่งวันธรรมดาสำหรับ 'ไอ้หมูตอน' ในสวนหลังโรงเรียนที่เปลี่ยวร้างผู้คน เขาถูกลากคอมาตอนหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างทุกที ถูกอัดเข้าท้องและกระทืบใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนงอก่องอขิงอยู่บนพื้น ในตอนที่เด็กหญิงส่งเสียงตะโกนห้ามแล้ววิ่งเข้ามากางแขนขวางระหว่างกลาง เธอก็กรีดเสียงร้องแหลมว่า “ไม่ทุเรศตัวเองเหรอคะที่ทำร้ายคนไม่มีทางสู้แบบนี้!” โดยไม่มีท่าทีหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะเสียดแทงจิตใจเกินไป ไอ้เด็กหัวโจกที่มีชื่อว่าวูลฟ์ถึงได้เงื้อมือขึ้นหมายจะตีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนี้ เขาพยายามเสือกไสร่างอ้วนๆ ของตัวเองไปบนพื้นคอนกรีตเพื่อช่วยเหลือ หากเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างของวูลฟ์ก็จะร่วงลงไปกองกับพื้น เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคนที่ถูกซัดหน้าหงายไปคนละทิศละทาง เด็กหญิงถือโอกาสนี้วิ่งเข้ามาประคองเขาที่ยังคงตะลึงลานด้วยความงุนงงอยู่ไม่หาย เงาร่างที่แว่บไปมาราวกับหายตัวได้จนพวกนั้นไม่สามารถแม้แต่จะจับได้ไล่ทันก่อนเผ่นหนีกันหัวซุกหัวซุน ก่อนปรากฎขึ้นเป็นรูปเป็นร่างต่อหน้าเขาและเด็กหญิงอย่างชัดเจน

    เขารู้ว่าเป็นใครก่อนเธอจะร้องเรียกชื่อเด็กผู้ชายคนนั้นซะอีก

    “ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

    เด็กหญิงแสดงความเป็นห่วงเขาจากใจจริงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับรอยเลือดที่ข้างกกหูซึ่งทำเอาอื้อไปหมด ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไคโตะจะนึกอดสูตัวเองได้เท่ากับวินาทีนั้นอีกแล้ว เขาก้มหน้าหลบสายตาทั้งสองคนพลางกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วค่อย ยิ่งเมื่อได้ยินคำว่า “ฉันเองก็ต้องขอบคุณที่ช่วยน้องฉัน” ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยก็ยิ่งน่าละอาย

    เมื่อเขากลับบ้านมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักชื่อย่อเป็นตัวเอ — จากอัลเลกรา ไคโตะก็สัตย์สาบานว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนับตั้งแต่นั้น เขาอยากเป็นคนที่ควรคู่กับคำขอบคุณนั้นจากเจ้าชายแห่งลูซิสที่ตนทั้งเฝ้าอิจฉาและชื่นชม ก่อนอื่นก็เลิกกินอาหารฟาสต์ฟู้ดแล้วพยายามฝืนกินผักสลัดที่เคยยี้ัทั้งหลาย เริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการตื่นไปวิ่งทุกเช้า ช่วงแรกเขาเหนื่อยสายตัวแทบจะขาดและมีหลายครั้งที่ตบะใกล้จะแตกต่ออาหารมันเยิ้มน่ากินทั้งหลายนั่น เมื่อไหร่ที่ท้อใจ เขาจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาดูพร้อมกับกำลังใจช่วยให้ฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเป็นคนที่ปกป้องเธอ...และคนอื่นๆ ได้เหมือนกับที่เด็กตัวเล็กๆ คนนั้นเคยกระทำต่อ ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเป็นคนที่ควรคู่กับคำขอบคุณของเจสซี่อย่างแท้จริง ไคโตะถึงขนาดเข้าคลาสศิลปะการป้องกันตัวจะได้ไม่มีใครกล้าตอแยอีก และในที่สุดเมื่อขึ้นชั้นไฮสคูลปีหนึ่งกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไกลกว่าละแวกบ้านของตัวเองอีกสองสถานี เขาก็รวบรวมความกล้าเข้าไปทักทายเจสซี่ที่เปิดใจรับเขาอย่างง่ายดาย ในภายหลังเขาถึงได้รู้ว่าเจสซี่ไม่เคยลืมเลือน ไอ้หมูตอนที่ช่วยน้องสาวของเขาเอาไว้เลย เพราะอย่างนั้น แม้ในตอนที่เจสซี่พยายามจะผลักไสทุกคนรอบตัวออกไป เขาถึงตัดสินใจว่าจะอยู่เคียงข้างเพื่อนคนแรกในชีวิตให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม












    2022年03月13日
    _______________
     เพราะคอไฟนอลอย่างกูก็ต้องไฮป์กับ Stranger of Paradise สิจ๊ะ หลังจากเล่นเดโม่ปุ๊บคือกดซื้อปั๊บรออะไร และด้วยความที่ภาคนี้มีตีมเป็นในรั้วในวัง กูก็เลยคิดถึงฟิคที่แต่งจากไฟนอล 15 หรือพูดให้ถูกก็คือเวอร์ซัส 13 จากเทรเลอร์ตัวนี้ (ลิงค์) ตอนที่หาอ่านไปเรื่อยถึงรู้ว่าอินซอมเนียมีที่มาหลักๆ จากชินจูกุหลักซึ่งกูชอบมาก รักมาก พอมีให้เห็นบ้างในหนังภาคคิงส์เกลฟ ส่วนในเกมก็มีแค่ DLC ของอาร์ดีนเพราะในภาคหลักคือเมืองถูกถล่มไปแล้ว อีผี orz ฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นจากว่ากูชอบฉากในเมืองมาก มันสามารถเอามาแต่งพล็อตธรรมดาได้แบบไม่ตะขิดตะขวงอะไร และเพราะตอนจบในเกมมันเศร้ามาก หดหู่ เลยอยากลองแต่งให้ทุกคนในเกมได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป เมาท์เลยว่าสมัยนั้นกูมีฟิคไฟนอลภาคนี้เยอะสุดแล้ว มีทั้งแบบเบาสมองทั่วไปแต่อิงฉากในเกม (ฟิคซัมเมอร์ไปโร้ดทริปกับตะลอนกาลดินคีย์ก็มีอยู่ แต่งได้หนึ่งตอนถ้วน) หรืออิงเนื้อเรื่องจากในเกมมาเลยทั้งแนวบู๊ ดราม่า รั้ววัง ใดๆ ก็คือเป็นตัวละครที่เอามาเล่นได้ทุกแนวในสมัยแต่งฟิคเกม และมันคือภาคที่มีฟิค smut ให้อ่านเยอะมากคุณเอ๊ย นักเขียนคนที่กูรักที่สุดอยู่ใน AO3 แม้ว่าเค้าจะใช้ศัพท์แสงสวยมากยากมากขนาดกูต้องเปิดดิกเพื่ออ่านพอร์น แต่เมื่อใจเราหมกมุ่น อะไรก็ขวางไม่ได้
     บอกเลยว่ากูรักบทพระเอกมากๆๆๆๆๆๆ ตอนที่ดูภาคบราเธอร์ฮู้ดแล้วเห็นปมในใจก็อยากแต่งมาก แต่ใครจะเหมาะกับบทเจ้าชายที่อีกไม่นานก็จะได้เป็นทรูคิงเท่าเจสสี้อีกล่ะวะ! แต่เอาจริงก็ยกให้ได้ไม่เสียดาย เพราะคิดมาตลอดว่าอยากแต่งอุมิบทพรอมพ์โต้มากกว่า เพราะเป็นโคลนนิ่งและใช้ปืน ซึ่งอุมิกูต้องได้จับปืนบู๊เต้าอั้น! โอ๊ยเล่านะ กูมีพล็อตฟิคที่มาจาก DLC ของพรอมพ์โต้ ครบทั้งบู๊และดราม่า แต่แต่งไม่ออก อ้าว กับอีกพล็อตคือแนวรั้ววัง อัลเลกราจะต้องแต่งงานกับพี่ของลูซี่เพื่อสานสัมพันธ์ให้เมืองทั้งสองทั้งที่แอบรักอุมิ และอุมิก็รักเจ้าหญิง ส่วนพี่ของลูซี่ (สาบานว่าคนที่คิดไว้ในหัวตั้งแต่แรกคือไทกะ ซูซูกิจากอิมแพคเตอร์ วงเจ้าชาย ราชวงศ์ใดๆ ใช่สิ วงกูมันก็แค่บัตเลอร์ ส่วนวงมึงคือยามส่องไฟเมเจอร์) จะเกลียดอัลเลกรามากเพราะจริงๆ มีคนรักเป็นสามัญชนอยู่แล้ว แต่พระเอกจริงก็พี่ไทกะนี่แหละ โอ้โห น้ำเน่ามากอีเหี้ย ชอบ ปมของอุมิก็จิ๊กมาหมดเลยทั้งตอนอ้วนแล้วเปลี่ยนตัวเองจนได้เป็นเพื่อนเจ้าชาย ที่ให้เรียนทำหนังเพราะชอบถ่ายรูป ตอนแรกจะไม่ลงพาร์ทของอุมิกับอัลเลกรา แต่แต่งไว้เยอะแล้วเสียดาย เลยเอามาลงด้วยแล้วกันเพราะมันก็ดีในระดับหนึ่ง ที่จริงตอนแรกบทอุมิจะชอบคนเดียวกับเจสสี้เว้ย! แต่มึงต้องไปฝันเอาแล้วล่ะถ้าจะเห็นกูแต่งให้อุมิตัดพ้อแอบรักนางเอกมึง ผีต้องเข้าเท่านั้น เลยลองเปลี่ยนให้อุมิชอบเจ้าหญิงแทนแล้วก็เฮ้ย! ได้! เริ่ด! (ชื่ออัลเลกราได้มาจากเดอะแฟลช ในซีรีส์นางใช้พลังแสง ซึ่งลูซิสก็แปลว่าแสง ว้ายบังเอิญ ส่วนชื่ออีวี่เอามาจากโปเกมอนจ้า)
     บทราชเลขาที่คอยดูแลเจ้าชายก็ต้องโฮคุโตะที่รักเจสสี้มากๆ ไหมล่ะ ส่วนกลาดิโอ้สายบู๊สอนการต่อสู้ให้เจ้าชายก็ต้องพี่อิวะเท่านั้นไหมล่ะหรือจะเถียง / ชื่ออาร์ดีนคงเดิมกับในเกมเพราะชอบเวลาพิมพ์เลยไม่เปลี่ยน โลเคชั่นก็ดึงมาจากในเกมหมด อยากบอกว่ากูรักอควาเรียมในเคลัมเวียมากๆๆๆๆๆๆ จากที่ได้เห็นในเทรเลอร์แล้วก็ในคิงส์เกลฟ เลยตั้งใจเลือกให้พระนางได้คุยกันที่นี่ ส่วนอินซอมเนียในเกมใช้หน่วยเงินเยนจริง มีป้ายภาษาญี่ปุ่นจริง เพราะฉะนั้นการมีคนญี่ปุ่นก็เลยเนียนจังโว้ย ใครไม่คิดเราคิดเองได้ไม่ต้องกลัวใคร
     เกร็ดขนมปังรายทาง: Crownsguard คือหน่วยองครักษ์ปกป้องราชวงศ์ มีหลายคนอยู่นับรวมโฮคุโตะ พี่อิวะ และอุมิ (แต่ที่จริงเจสซี่คนเดียวก็ไปสู้เต่ายักษ์ HP: 9999 ด้วยมือเปล่าได้แล้วมึงว่าไหม) แล้วถ้าเจสสี้ได้เป็นคิงเมื่อไหร่ก็จะได้เลื่อนเป็น Kingsglaive แทนต่อไปจ้า / เจสซี่ได้พลังเวทย์จากแหวนของราชวงศ์ ทำให้วาร์ปหรือหายตัวได้ แต่ปกติก็ไม่ใช้หรอก เป็นเจ้าชายก็ฟันดาบดีกว่า หล่อๆ หล่อมากมั้ง / โลกในเกมเรียกว่าอีออส ประเทศหลักมีลูซิส/เมืองหลวงอินซอมเนีย (ของเจสซี่) นิฟเฟลไฮม์/เมืองหลวงกราเลีย และเทเนไบร (ของลูซี่) แล้วก็อัลทิสเชียเวนิส อันนั้นต้องไปปลุกลีไวอาธาน ว้าย น่ากลัวๆ >_<
     ว่าไปสมัยนั้นภาษาค่อนข้างเวิ่น พล็อตก็ cringeๆ แต่ก็เป็นอะไรที่ชอบและดี นิ่มและอร่อย (ไม่เหมือนตอนแต่งฟิคนักแสดงที่ไม่รู้ใส่อะไรมาเยอะแยะ ห่วยแตก) ที่ขำคือตอนกูแต่งฟิคเกมเป็นช่วงที่ต้องสลับเวลาทำงาน เล่นเกม แต่งฟิค และตะลอนเที่ยว แต่บ้าเอ๊ย! แต่งได้เยอะมาก! เรื่องนี้ที่จริงแต่งได้หกตอนเป็นหมื่นจะสองหมื่นคำแต่ตัดๆ ไปเหอะ ไม่เวิร์ก เอาเป็นว่ามีซีนไปเที่ยวห้าง ดูหนัง ต่อด้วยไคโตะไปเที่ยวกับอินฟินิตี้สองคน (อันนี้ตัดทิ้งเลยไม่เสียดาย) ปาร์ตี้ในบ้าน (เพราะตอนนั้นติดซิมส์ 3 ยูนิเวอร์ซิตี้) ตอนละอย่างต่ำๆ 3k เลย มากสุดก็ 5k ฟิคสั้นก็มีเยอะแยะ แต่งจบบ้าง ไม่จบซะเยอะ แต่ก็มีพอประมาณขนาดเอามาแปลงได้มากมาย มีของดีมากซ่อนอยู่ในนั้นเช่นอิมเพียว โรมันติก้า ฯลฯ แถมไม่ห่วยเหมือนฟิคสายนักแสดงด้วย เวรกรรม จำได้เลยว่าแต่งแบบชิวมาก สบายๆ มันทำได้ยังไง จนตอนนี้กูก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง ยิ่งยุ่งยิ่งเยอะประสบการณ์งี้มั้ง บรีซป่าว / ชื่อเรื่องได้มาจากชื่อเพลงในเกม เพราะนางเอกชื่อลูน่ามันเลยวนๆ เวียนๆ กับดวงจันทร์แบบนี้แหละ ค่ำคืน ดวงดาวอะไรก็มี แต่ชอบชื่อนี้สุดแล้ว (ว้าก ในเรื่องมีใช้อิมเมจสึกิด้วย บังเอิ๊ญ!) ส่วนชื่อภาษาญี่ปุ่นแปลได้ว่า 'บทเพลงที่เติมเต็มค่ำคืน' มั้งนะ ไม่รู้ มั่ว เดาๆ
     จำได้เลาๆ ว่าเคยคิดตอนจบไว้ว่ายังไงเจสซี่ก็จะได้แต่งงานกับลูซี่ ส่วนอินฟินิตี้คู่กับบทไคโตะ (เดิมโว้ย เพราะตอนนี้เขาเป็นของกูคนเดียว!) แต่ถ้าเป็นเวอร์นี้อินฟินิตี้ก็จะมูฟออน กลับบ้านเกิดหลังเรียนจบ พบรักกับใครสักคนที่นั่น เป็นความทรงจำดีๆ ของกันและกันตลอดไป เจสซี่ก็จะได้เข้าใจชีวิตและหน้าที่มากขึ้นเพื่อขึ้นเป็นทรูคิงที่แท้จริง U_U ส่วนอัลเลกราก็ไม่ได้กับไคโตะเหมือนกันเพราะผู้ชายไม่เคยสารภาพด้วยฐานะที่ต่างกันมาก (แถมเป็นแค่โคลนด้วย ยังไงปมนี้ก็ต้องใส่ในเรื่องเพราะมันสำคัญมาก) คนที่ใกล้เคียงจะได้ลงเอยที่สุดก็คืออีวี่นี่แหละ ส่วนอัลเลกราไม่รู้ว่ะ หักมุมไปได้กับโฮคุโตะมั้ง
     ปล. ทำไมมินาโตะถึงมาแค่ชื่อตลอดเลยวะ เมื่อไหร่จะได้เปิดตัวเมนกูในวงนี้จริงจังสักที เฮ้อ แต่ที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่จะได้เด่นมาก แต่แต่งยังไงก็ไม่จบสักที บอกเลยว่าคือเดอะโชว์ของจากะ แต่แต่งได้แค่พันคำแล้วก็แต่งต่อไม่ได้ ติดอะไรไม่รู้ กูก็ไม่รู้
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×