คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : △ Love Error :: DH'ZL
“.....” ผมหันขวับมองต้นเหตุที่ทำให้กระเป๋าเป้ที่ผมเพิ่งจะสะพายก้าวออกจากกรอบประตูบ้านหลุดพรืดออกจากบ่า รถเก๋งคันหรูที่คุ้นตาแล่นผ่านตัวไปด้วยความเร็ว รถคันนั้นชะลอความเร็วจนหยุดลงตรงประตูใหญ่หน้าบ้าน กระเป๋าเป้ของผมถูกยื่นออกมานอกกระจกรถด้วยมือของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลังคนขับ
‘มัน’ อีกแล้ว
ผมพ่นลมหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเริ่มออกวิ่งไปที่รถคนนั้นเพื่อเอากระเป๋าคืน ไม่ช้า...ก็คงไม่ช้าเท่าไหร่ สิบสองนาทีต่อมาผมก็มายืนอยู่หน้ารั้วโรงเรียนสูงชะลูดในสภาพเหงื่อท่วมชายเสื้อหลุดลุ่ยซึ่งเป็นภาพที่อาจารย์เวรทุกคนคุ้นเคยดี และอีกภาพประทับใจที่พ่วงติดมากับการมาเรียนในสภาพหมาหอบของผมแบบแยกไม่ออกก็คือภาพ ‘มัน’ ที่ก้าวลงจากรถมาพร้อมกับกระเป๋าสองใบบนบ่า เดินมาทางผมพร้อมกับเสียงกรี๊ดระคายหูจากพวกนักเรียนทั้งชายและหญิงกว่าครึ่งค่อนโรงเรียนผู้ซึ่งหน้ามืดตามัวสรรเสริญมันราวกับเทวดา กระเป๋าถูกโยนมาตรงตัวผมอย่างเคยชิน ผมรับมันเอาไว้โดยแทบไม่ต้องมองเช่นกัน
“..........” ผมสะพายกระเป๋าบนบ่าข้างหนึ่งก่อนเดินผ่านผู้ชายคนนั้นโดยไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดที่จะเหลือบมอง
“...ซุปบร็อคโคลี่กับแซนวิชทูน่า อย่าซื้ออย่างอื่นมาเด็ดขาด” เสียงนุ่มทุ้มน่าขยะแขยงเอ่ยออกคำสั่ง ผมเพียงหยุดยืนแสดงการรับรู้อยู่เสี้ยววินาทีแล้วสาวเท้ามุ่งสู่ห้องเรียนตัวเอง....
“........” ผู้ชายผิวสีเข้มที่นั่งหน้านิ่งกอดอกวางอำนาจอยู่บนโต๊ะตวัดสายตาช้อนขึ้นมองหน้าผมทันทีเมื่อเห็นซองขนมกับกระป๋องน้ำอัดลมมากมายที่ผมโยนลงบนโต๊ะเรียนของมัน มันถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ผมยืนนิ่งมองมันตอบอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกไปอย่างทุกครั้ง
“ชเว จุน ฮง” มันเรียกชื่อผมเสียงเย็น นักเรียนที่เหลืออยู่ในห้องหันมามองผมกับมันอย่างสนอกสนใจ เห็นภาพแบบนี้มาจนจะจบเทอมอยู่แล้วยังไม่ชินกันอีกรึไง
“มีอะไร จอง แด ฮยอน?” ผมเรียกชื่อมันกลับชัดทุกถ้อยคำด้วยสีหน้าไม่ได้บ่งบอกถึงการท้าทายใดๆ ผู้ชายตรงหน้าลุกพรวดขึ้นมารั้งคอเสื้อผมเข้าไปจนชิดแล้วกระซิบเสียงเฉียบให้ได้ยินแค่ผมกับมัน กระซิบประโยคที่ทำให้ผมต้องยอมทำตามคำสั่งมันมาตลอดระยะเวลาเกือบ 4 เดือนที่ผ่านมา
“ลืมไปแล้วหรอว่าแม่แกขอร้องอะไรกับแกไว้...” ผมตัวแข็งทื่อ มันเป็นประโยคที่ไม่ต่างจากการร่ายมนต์ ประโยคเดียวที่ทำให้ผมแพ้ให้กับมันในทุกๆครั้งที่เพียงแค่คิดจะสู้
‘อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดนะจุนฮงว่าบ้านเราล้มละลาย...แม่ขอร้อง..’
เพราะความขัดแย้งบางอย่างทางธุรกิจซึ่งผมไม่เข้าใจและไม่คิดที่จะหาคำอธิบาย ครอบครัวผมล้มละลาย พ่อขออย่ากับแม่แล้วหนีไปต่างประเทศโดยไม่ติดต่อกลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม่ผมที่ตอนนั้นแบกรับภาระของบริษัทเพียงคนเดียวจำเป็นต้องแต่งงานใหม่กับนักธุรกิจมหาเศรษฐีคนหนึ่ง...ซึ่งก็คือพ่อของมัน หลังแต่งงานทั้งสองคนบินไปต่างประเทศทันที ทิ้งผมให้อยู่ที่คฤหาสน์บ้านั่นกับไอ้แดฮยอนแค่สองคน หึ แค่เพราะหน้าตาทางสังคมของพ่อกับแม่ ผมถึงกับต้องยอมทำทุกอย่างตามที่ไอ้พี่ชายต่างสายเลือดนั่นสั่งโดยไม่เต็มใจซักนิด
......................................................................................
“.......!!!” ผมเด้งตัวพรวดขึ้นนั่งบนเตียงท่ามกลางความมืดของห้องนอนขนาดสองเท่าของห้องเรียนที่ผมเรียนอยู่ เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งเบาๆอยู่อีกฝั่งของห้อง เหงื่อกาฬผุดซึมจนรู้สึกชื้นที่เสื้อแต่ตัวผมกำลังสั่นอย่างไร้ซึ่งสาเหตุแน่ชัด
ฝันร้ายอีกแล้ว คล้ายกับหลายครั้งก่อน ถึงแม้จะเลือนรางจนแทบจับขอบเขตของภาพไม่ได้ แต่ผมเห็นใครบางคน เป็นผู้ชาย สวมชุดสุภาพ มีหน้ากากสีอ่อนปิดส่วนล่างของใบหน้า เขานั่งลงบนเตียงแล้วยื่นมือมาเหมือนต้องการอะไรบางอย่างจากตัวผม ใช่! เขาเอาบางสิ่งจากตัวผมไป นั่นคือทั้งหมดที่ผมเห็นก่อนจะสะดุ้งตื่น....
ผมเลิกผ้าห่มออกแล้วก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ประตู ชะงักมือที่เอื้อมไปที่ลูกบิดนิดหน่อยเพราะแสงที่ลอดเข้ามามากกว่าปกติคล้ายว่าประตูปิดไม่สนิท แต่ก็ปล่อยความคิดนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว บางทีอาจจะเป็นผมเองที่ลืมตรวจประตูก่อนเข้านอน
“........” ผมยืนนิ่งมองหน้าผู้ชายผิวสีเข้มในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขายาวที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ถึงแม้จะไม่มีอาการสงสัยใดๆแสดงออกไปทางสีหน้า แต่ผมมั่นใจว่ามันรู้ว่าผมกำลังต้องการคำตอบ ความคิดที่ผมสลัดทิ้งไปเมื่อครู่วูบกลับมาอีกครั้ง บางทีไอ้เลวนี่อาจจะลอบเข้ามาในห้องผม....
“แอร์ห้องแกดับรึเปล่า?” เสียงเรียบเย็นไร้ความรู้สึกเอ่ยถาม ผมตอบปฏิเสธ เหลือบเห็นกระบอกไฟฉายสีเงินวาวในมือมัน บางทีเมื่อกี้ไฟฟ้าอาจขัดข้อง อะไรก็ช่างหัวมัน ผมเดินผ่านหน้าไอ้แดฮยอนตรงไปที่บันไดที่ทอดสู่ชั้นล่าง เอะใจนิดหน่อยที่ไฟข้างล่างยังคงสว่างโล่ทั้งที่ปกติจะเปิดไว้แค่สลัว แต่เสี้ยววินาทีต่อมาผมก็ปล่อยมันออกไปจากสมอง
“จะไปไหน?” ผมกรอกตาขึ้นฟ้า เอียงคอหันไปย่นคิ้วมองมันอย่างเบื่อหน่าย เป็นอีกคำถามงี่เง่าที่หลุดออกจากปากประธานนักเรียนพ่วงตำแหน่งนักเรียนผลการเรียนดีเด่นอย่างมัน นั่นไม่ใช่ประโยคปกติที่มันใช้พูดกับลูกติดเมียใหม่พ่อตัวเองอย่างผม
“กินน้ำ” ผมตอบเสียงห้วนแล้วก้าวลงบันได ไม่อยากจะต่อความยาวให้ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกชายสามีใหม่ของแม่นานกว่านี้ เสียงพูดอะไรบางอย่างของมันลอยมากระทบแก้วหูแต่ผมไม่ใส่ใจจะฟัง
“............” ผมชะงักขายืนอยู่ข้างทีวี ยืนถือขวดน้ำพลาสติกที่เพิ่งหยิบมาจากตู้เย็นนิ่งมองผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง แสงจากโคมไฟหัวเตียงทำให้ผมเห็นว่ามันก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน คิ้วขมวดชนกันแทบจะทันที รู้สึกถึงอารมณ์โกรธที่กำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วภายในใจ
“เข้ามาทำไม?” ผมบังคับเสียงให้สั่นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมโมโหจนต้องกำหมัดแน่นเพื่อระงับมันเอาไว้ พอจะจินตนาการสีหน้าตัวเองตอนนี้ได้ มันคงเหยเกรจนดูน่าขันสำหรับผู้ชายที่อยู่บนเตียง
“ฉันถามว่าแกเข้ามาในห้องนี้ทำไม?!!!!” ผมเขวี้ยงขวดลงบนพื้นพรมจนขวดแตกหยดน้ำกระเด็นมากระทบผิว ผมรู้ดีว่าคฤหาสน์นี่ทั้งหลังเป็นของมัน แต่นี่มันห้องที่ผมอยู่ ไม่ใช่ที่ที่มันจะเข้ามาทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ได้
“ออกไป!! ฉันบอกให้ออ..”
“แอร์ห้องฉันเสีย คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่..” คำก่นด่าทั้งหมดที่มาออกันอยู่ข้างริมฝีปากอันตรธานหายไปในพริบตา ผมยืนนิ่งงัน ในหัวเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักถึงวิธีจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า กับคนอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับผม สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดเมื่อครู่มันคือวิกฤต
ไม่ได้กลัว ไม่ได้หวง แต่ผมเกลียดผู้ชายคนนี้ เกลียดจนแทบไม่สามารถจะหายใจอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งร่วมกับมันได้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ไม่มีซักครั้งที่มันจะปฏิบัติกับผมเหมือนคนๆหนึ่งที่ไม่เคยมีความบาดหมางใดๆกับมันมาก่อน จะมีก็แต่เรื่องที่แม่ของผมแย่งพ่อของมันไป แต่นั่นมันไม่ใช่ความผิดของผม! เพราะบ้านและทรัพย์สินของครอบครัวผมถูกยึดไปเกือบทั้งหมด ผมเลยต้องมาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์หลังเกือบเท่าตึกเรียนของพ่อใหม่ และเพราะตอนนี้ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่นี่ อำนาจการควบคุมทุกสิ่งในบ้านซึ่งรวมถึงตัวผมจึงตกเป็นของลูกชายคนเดียวของเขา...จองแดฮยอน
ผมไม่เคยได้รับอนุญาตให้ใช้รถที่บ้านเพื่อไปโรงเรียนทั้งที่ในโรงรถเท่าที่ผมเห็นก็แทบจะเปิดโชว์รูมได้อยู่แล้ว นอกจากจะไม่ให้นั่งรถไปโรงเรียนด้วยทั้งที่เรียนที่เดียวกันแล้วผมยังต้องวิ่งตามกระเป๋าตัวเองไปโรงเรียนแทบทุกวัน ผมไม่เคยมีโอกาสได้เล่นกีฬากับเพื่อนๆไม่ว่าจะเป็นในคาบพละหรือเวลาพักเพราะมันสั่งห้ามเอาไว้ แม้กระทั่งตอนกินข้าวผมยังไม่สามารถจะกินอะไรที่อยากกินได้ ผมต้องซื้ออาหารไปกินกับมันทุกๆพักเที่ยง และตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่คฤหาสถ์นี่ผมก็ไม่เคยมีบทสนทาที่ยาวเกิน 3 ประโยคกับคนใช้คนไหนในบ้านเพราะคำสั่งโง่ๆของไอ้เลวนั่น นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในอีกหลายๆเรื่องที่มันเล่นตลกกับชีวิตผมโดยไร้ซึ่งเหตุผล หรืออาจจะมี แต่ผมก็ไม่คิดที่จะถาม
ทุกวันนี้ผมแค่ตั้งตารอเวลาที่แม่กับพ่อกลับมาพาผมออกไปจากที่นี่ก็เท่านั้น....
“งั้นฉันไปนอนข้างนอก” ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดออกไปแล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่ประตูทันที แต่ไม่ทันที่จะก้าวเกินสามก้าวตัวผมก็ถูกรั้งแล้วเหวี่ยงลงบนเตียงพร้อมกับแขนแกร่งของมันที่โอบเอวเอาไว้
“เฮ่ย! ปล่อย!!” ผมโวยวายดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ก็ทำได้เพียงทำให้วงแขนที่เอวกระชับแน่นขึ้น
“นอนด้วยกันที่นี่แหละ” มันออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลงอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ฉันไม่นอน! ปล่อยสิวะ!” ความรู้สึกขยะแขยงก่อตัวขึ้นมาเต็มหัวใจ ผมทั้งหยิกทั้งบิดมือมันหวังให้มันปล่อยผมออกจากอ้อมแขน แต่เหมือนสูญเปล่า ไอ้เลวแดฮยอนยังคงนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ผมพยายามอยู่นานจนในที่สุดมารู้ตัวอีกทีก็เหนื่อยหอบหมดพลัง หลับไปในสภาพถูกไอ้สารเลวนั่นกอดทั้งอย่างนั้น ทว่าคำพูดสุดท้ายของมันที่เข้ามาสู่การรับรู้ของผมก่อนสติห้วงสุดท้ายจะหลุดลอยไปยังคงก้องอยู่ในหัว
“...ฮยองดูแลนายไม่ดีเอง ยกโทษให้ฮยองด้วยนะจุนฮง....”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มแฝงไปด้วยความเศร้าทว่าฟังดูอบอุ่นจับใจ สัมผัสจากอ้อมแขนอุ่นของพี่ชายต่างสายเลือดทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา คล้ายกับความรู้สึกเวลาอยู่กับใครบางคน บางคนที่ผมเกือบจะทำหล่นหายไปจากความทรงจำ....
5 Months Later
Dae Hyun’s Talk
ห้าเดือนก่อน เด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผมเคยเจอเมื่อนานมาแล้วเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านของผม แม่ของเขาเป็นเพื่อนสนิทของพ่อของผม ตอนนั้นเธอกำลังมีปัญหาใหญ่เรื่องธุรกิจ เพราะต้องการช่วยเหลือเธอ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจพ่อผมจึงแต่งงานกับเธอแค่ในนาม ทั้งสองคนไปช่วยกันสู้คดีที่ต่างประเทศรวมทั้งตามหาพ่อเลวของไอ้เด็กนั่นที่หอบเงินก้อนสุดท้ายหนีไปซุกหัวอยู่ที่ไหนซักแห่ง ผมถูกขอร้องจนแทบจะเรียกว่าอ้อนวอนจากแม่ของเด็กนั่นให้ช่วยดูแลเขาให้ดี นั่นเพราะเธอจำเป็นต้องบินไปต่างประเทศทั้งที่เพิ่งรู้เรื่องอาการป่วยของลูกชายตัวเอง.....
ผมต้องทำตัวเย็นชากับเด็กนั่นเพราะมันสมเหตุสมผลที่สุดแล้วที่จะทำให้เด็กนั่นดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดรวมทั้งไม่มีทางรู้ว่าตัวเองกำลังป่วยหนัก.... ผมดูแลเด็กนั่นอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ทุกอย่างถึงแม้จะได้รับสายตาเกลียดชังกลับมาเสมอ และถึงแม้ผมจะทำตามคำแนะนำอย่างไม่มีบกพร่อง อาการของเด็กนั่นก็ยังคงไม่ดีขึ้น อย่าว่าแต่ดีขึ้นเลย แค่คงที่ก็ยังไม่มีวี่แวว
ทั้งหมดเป็นความผิดของผม......ผมผิดที่ทำตัวเย็นชากับเขาทั้งที่ไม่มีซักครั้งที่ต้องการจะทำแบบนั้น ผิดที่ยอมให้เด็กนั่นเข้าใจผิดว่าผมเกลียดเขาเข้ากระดูกทั้งที่ความจริงผมเป็นห่วงเขาจนแทบคลั่ง ผิดที่ยอมให้เด็กนั่นมองผมด้วยสายตาเกลียดชังทั้งที่จริงๆแล้วผมอยากจะสารภาพความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้เขาฟัง ผิดที่เก็บคำว่ารักเอาไว้ แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายผมก็ยังไม่เอ่ยปากพูดมันออกไป ถ้าเป็นไปได้ ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ผมสาบานกับพระเจ้าเลยว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกเด็ดขาดต่อให้ต้องตายก็ตาม
แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อตอนนี้.......
ผมกำลังยืนถือร่มอยู่ริมแนวรั้วต้นเบญจมาศไร้ดอก....ฝนกำลังตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด....ผู้คนกำลังยืนอย่างสงบอยู่ใต้ร่มของตัวเอง....ต้นเมเปิลสีส้มแดงยืนตากฝนอยู่อย่างเงียบเชียบไม่ห่างจากแผ่นหินอ่อน....พ่อยืนถือร่มอยู่ใกล้ๆกับผม.....ผู้หญิงคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟายราวกับจะขาดใจ....ผู้ชายใส่สูทที่ยืนอยู่ข้างเธอกำลังกดผ้าเช็ดหน้าลงบนดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำ.......
‘ฮยอง แอบรักนี่เป็นยังไงหรอ?’
‘ไม่รู้สิ รักแบบไม่ให้เขารู้ล่ะมั้ง’
‘ยังไง?’
‘...ต่อหน้าทำเป็นไม่ชอบแต่ลับหลังทำดีให้โดยที่ไม่ให้เขารู้ตัวเพื่อความแนบเนียน’
‘โห เท่ห์อ่ะ งั้นถ้าเจอกันคราวหน้าฮยองห้ามทำดีกับผมเด็ดขาดนะ’
‘อ้าว ทำไม?’
‘ก็ผมอยากให้ฮยองแอบรักผมดูไง ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ะ แม่มาแล้ว ไปกันเถอะ!’
‘.........แล้วถ้าฉันรักนายอยู่แล้วล่ะ?’
© Tenpoints!
ความคิดเห็น