ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    △ Whistling Autumn Wind the B.A.P Short-Fic

    ลำดับตอนที่ #6 : ? Dear Turtle :: YG'HC

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 141
      1
      3 พ.ค. 57











     

     

     

     

    Dear turtle, you can’t go far at that speed
    Up over there, the road is far and dangerous.
    Go, after your wounds have closed and healed.
    I’m serious, then I will let you go.

     

     

     

     

     

     

    “ฟ....ฟื้นแล้ว....คุณพยาบาลครับ!”     ร่างบางผุดลุกขึ้นตะโกนเรียกหาแพทย์พยาบาลที่อยู่บริเวณนั้นเป็นการใหญ่เมื่อร่างสูงบนเตียงขยับตัวก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ

     






     

    “แผลยังไม่หายสนิท แต่เท่าที่ดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ จะเหลือก็แต่ขาที่หัก แต่เนื่องจากตอนนี้โรงพยาบาลไม่มีเตียงพอสำหรับคนไข้ หมอคิดว่าพาคนไข้กลับไปรักษาตัวที่บ้านจะดีกว่านะครับ”    แพทย์เจ้าของไข้ร่ายยาวก่อนปิดแฟ้มเตรียมตัวจะเดินออกไป    “เดี๋ยวครับหมอ..”

     

    “นี่พวกเค้าไม่ได้บอกหมอหรอครับว่าผมไม่ใช่เจ้าของไข้ ผมแค่บังเอิญเจอเขานอนใกล้ตายอยู่ที่หาดก็เลยพามาที่นี่ ชื่อเขาผมก็ยังไม่รู้ นี่หมอกำลังบอกให้ผมพาเขากลับไปดูแลที่บ้านงั้นหรอครับ?”    ร่างบางรีบท้วงเมื่อเห็นว่าเหล่าคนชุดขาวทำท่าว่ากำลังจะยัดเยียดความรับผิดชอบให้ตน ทว่าเขาได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มบางของแพทย์และรอยยิ้มเห็นใจจากเหล่าพยาบาล

     

    “คุณก็รู้ว่าที่นี่เป็นแค่โรงพยาบาลเล็กๆ ถ้าจะให้เขาอยู่ที่นี่ต่อเราก็ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอที่จะรักษาอยู่ดี ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดีมากนะครับคุณ...”   แพทย์ก้มเหลือบมองประวัติคนไข้ในมือแล้วพูดต่อ   “คุณ..คิมฮิมชาน ทางเราได้รักษาเขาเท่าที่จะทำได้แล้ว ณ ตอนนี้ผมคงพูดได้เพียงแค่ว่า ชีวิตเขาอยู่ในมือคุณแล้วล่ะครับ”    ปากเล็กอ้าพะงาบยังไม่ทันได้แย้งอะไรออกไปเหล่าแพทย์และพยาบาลก็กรูกันออกจากห้องไปเสียแล้ว

     

    “เฮ้ยนี่!! จะทำอะไรน่ะคุณ?! หยุดเดี๋ยวนี้นะ”     ยืนอึ้งกับประโยคของหมออยู่ได้ไม่นานนักร่างบางก็รีบถลาเข้าหยุดคนเพิ่งฟื้นที่กำลังพยายามก้าวลงจากเตียงทั้งที่มีสายน้ำเกลือและเสาพยุงเฝือกระโยงระยางทั่วร่าง คนป่วยฮึดฮัดดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการอยู่นานก่อนที่จู่ๆก็หยุดนิ่งราวกับถูกปิดสวิตช์ ทิ้งตัวนอนหอบบนเตียงราวกับก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     





     

    “เอาล่ะ คุณชื่ออะไร?”     ร่างบางลากเก้าอี้เข้ามาใกล้ก่อนทิ้งตัวลงนั่งด้วยอาการหอบน้อยๆจากการยื้อยุดเมื่อครู่ คนถูกถามหันมามองแวบเดียวก่อนผินหน้าไปอีกทางโดยไม่ได้ทิ้งคำตอบใดๆเอาไว้ ร่างเล็กพยายามถามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไร้ผล จนสุดท้ายต้องล้มเลิกการตั้งคำถามแล้วสร้างคำตอบขึ้นเอง

     

    “ผมจะเรียกคุณว่าคุณเต่า ตกลงนะ”    คนถูกตั้งชื่อหันมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิมฮิมชานถูกสะกดนิ่งด้วยดวงตาเรียวคมสีดำสนิทซึ่งคนบนเตียงมองมาที่เขาอย่างล่องลอยเนิ่นนาน สายตาหม่นว่างเปล่ายิ่งกว่าโถแก้วใบใหญ่บรรจุเพียงอากาศทำให้คนมองรู้สึกว่างโหวงในช่องอกอย่างบอกไม่ถูก

     

    “มองอะไร? ก็คุณไม่ยอมบอกชื่อตัวเองผมก็ตั้งให้น่ะสิ”    คนบนเตียงไม่ตอบสนอง ยังคงทอดสายตาเหม่ออยู่อย่างนั้น     “อ๋อ คุณอยากรู้สินะว่าทำไมต้องเป็นเต่า...”    ร่างบางกระเถิบเก้าอี้เข้าไปใกล้

     

    “ผมเป็นนักอนุรักษ์ชายทะเล ผมรักเต่ามากที่สุด เพราะอะไรน่ะหรอ...”    คนที่นั่งอยู่เว้นวรรคก่อนเริ่มพูดพร้อมกับทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกลมทะเลกำลังพัดใบไม้สีเหลืองไหวส่ายไปมา

     

    “ชีวิตของเต่าน่ะ คือคำจำกัดความของคำว่าโดดเดี่ยวเลยล่ะคุณรู้มั้ย มันต้องเสี่ยงอันตรายตั้งแต่เท้ายังไม่เคยแตะน้ำทะเลเลยด้วยซ้ำ ทุกคนรู้ว่าเต่าเป็นสัตว์ที่อายุยืนยาวที่สุดในโลก แต่ใครจะรู้ว่าตลอดทั้งชีวิตที่ยาวนานของมัน มันไม่มีเพื่อนแม้แต่ตัวเดียวเลยนะ...”    ร่างบางสูดหายใจลึกกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาก่อนนึกขึ้นได้   

     

    “นี่ผมพล่ามอะไรอยู่เนี่ย”    ยกมือขึ้นยีกระหม่อมตัวเองเบาๆกับตัวเองก่อนเหลือบมองคนบนเตียง แปลกใจที่อีกฝ่ายยังไม่ถอนสายตาไปไหนทั้งที่สีหน้าก็ไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังฟังเขาอยู่

     

    “พรุ่งนี้หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ไว้พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณไปที่บ้านผมแล้วกันนะ”    ร่างบางหมุนตัวไปที่ประตู ชะงักมือที่จับลูกบิดแล้วหันกลับมา

     

    “หวังว่าคุณจะไม่ดันทุรังลงจากเตียงเหมือนเมื่อกี้อีกนะ...”

     

     

    .

     







     

     

     

    “นั่นจะออกไปไหนน่ะ? ขาคุณยังไม่หายดีเลยนะ เฮ้ คุณเต่า”    เมื่อเรียกแล้วไม่เป็นผลเจ้าของบ้านจึงผละจากงานวิจัยที่กำลังอ่านแล้วรีบก้าวไปหยุดตรงหน้าคนที่กำลังเดินด้วยไม้เท้ามุ่งสู่ชายหาด คนป่วยหยุดมองร่างเล็กครู่หนึ่งก่อนกระชับไม้เท้าแล้วเบนตัวเดินผ่านไปอย่างยากลำบากเพราะอาการปวดหนึบตรงท่อนขาที่เข้าเฝือก

     

    “นี่ หยุดก่อนได้มั้ยคุณเต่า บอกผมสิว่าคุณจะไปไหน เดี๋ยวผมจะพาไป”     ปากก็เอาแต่พร่ำบอกให้หยุด แต่สิ่งที่ร่างบางกำลังทำคือเดินตามอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ได้

     

    ในที่สุดร่างโปร่งก็หยุดอยู่ยืนอยู่หน้าโครงเรือเก่าที่กองอยู่ริมหาดห่างจากตัวบ้านออกมาราวห้าร้อยเมตร ตาเรียวจ้องมองสิ่งนั้นอยู่นานก่อนเริ่มเข้าไปใกล้จับนู่นจับนี่เพื่อสำรวจ ร่างบางยืนเท้าเอวเอียงคอมองการทำของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

     

    “คุณจะทำอะไรกับซากเรือนี่หรอ?”     คนที่กำลังสำรวจซากเรือเงยหน้ามอง สายตาราวกับกำลังตั้งคำถามถึงสิ่งที่ตนสำรวจอยู่    “เรือนั่นเป็นของเจ้าของบ้านคนก่อนน่ะ ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่ในเมืองแล้ว”

     

    “คุณคิดจะทำอะไรกับมันงั้นหรอ?”    คำถามไม่ได้รับคำตอบเหมือนเช่นเคย คนถูกถามยังคงสนใจกับซากเรือไม้สีฟ้าซีด แม้ภายนอกอาจดูไม่เก่าคร่ำคร่านักแต่จากสภาพคาดว่าคงถูกใช้การมามากพอดู

     

    “....นี่อย่าบอกนะว่าคุณจะซ่อมมันน่ะ?”    ร่างโปร่งเหลือบมองคนที่เบิกตาค้างกับการคาดการของตัวเองก่อนหมุนตัวขยับไม้เท้าพยุงตัวเองเดินกลับบ้าน








     

     

     

     

     

    “นี่คุณเต่า ฝนตกแล้วนะ เข้าบ้านก่อนดีมั้ย? พรุ่งนี้ค่อยทำต่อก็ได้”    ร่างบางยืนถือร่มกางให้ตัวเองและคนที่กำลังตอกแผ่นไม้ติดกับท้องเรืออย่างแข็งขันไม่ใยดีต่อสายฝนที่กำลังโรยตัวลงมาและทำท่าจะตกหนักขึ้นอีกภายในเวลาไม่นานต่อจากนี้

     

    แสงสีเหลืองแลบปราบตามมาด้วยเสียงร้องครืนของท้องฟ้าสีทะมึนเต็มแน่นไปด้วยก้อนเมฆบีบตัวแน่นลอยต่ำ ฝนเม็ดใหญ่สาดมาเป็นห้วงๆ ร่างเล็กเปียกปอนตัดสินใจยื้อยุดคนที่ยังคงซ่อมเรืออย่างดื้อดึงให้กลับเข้าบ้านไปด้วยกัน

     





     

    ระยะทางเพียงห้าร้อยเมตรแต่เมื่อเพิ่มความดึงดันของอีกฝ่ายเข้าไป คิมฮิมชานต้องใช้เวลาราวยี่สิบนาทีกว่าจะพาคนป่วยกลับเข้าบ้านมาได้โดยสวัสดิภาพแต่ตัวเองกลับยืนตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บ

     

     

     

     

    “เข้าไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวก็ได้ป่วยอีก”     ดันหลังร่างโปร่งเข้าห้องน้ำแต่คนถูกดันขืนตัวไว้ทำท่าจะออกไปอีกครั้ง ฮิมชานจับไหล่หนาให้หันหน้ามาก่อนพูดด้วยเสียงสั่นเพราะอาการหนาวเหน็บที่เริ่มทวีขึ้น

     

    “คุณจะดื้ออย่างงี้ไม่ได้นะคุณเต่า คุณต้องอยู่ที่นี่ ให้ผมดูแลคุณก่อน รอให้แผลคุณหายสนิทแล้วผมถึงจะปล่อยคุณไปตกลงมั้ย? นี่ผมจริงจังนะ...ผมจะปล่อยคุณไปจริงๆ...”     ประโยคสุดท้ายเสียงเล็กสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่โดยที่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอุณภูมิที่ต่ำเกินไปหรือเพราะความหมายในตัวประโยคเอง

     

    ร่างโปร่งยอมเดินกะเผลกเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ฮิมชานถอนหายใจโล่งอกแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ น้ำจากขอบเสื้อและกางเกงไหลมารวมตัวกันที่จุดต่ำสุดของแต่ละส่วนก่อนทิ้งตัวหยดลงบนพื้น บ้างทีละหยด บ้างพร้อมใจกันหยดลงมา ร่างบางห่อไหล่กอดตัวเอง ไหล่เล็กสั่นน้อยๆโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว

     







     

    เขายังจำความรู้สึกแรกสุดที่พบชายคนนั้นนอนหายใจรวยรินสภาพไม่ต่างจากศพลอยน้ำมาเกยตื้นที่ริมหาดในตอนนั้นได้ เป็นความรู้สึกเจ็บแปลบราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านหัวใจเหมือนกับตอนที่เขาพบสัตว์ทะเลถูกมนุษย์ทำร้ายให้บาดเจ็บปางตายซึ่งพาร่างตัวเองมาเกยที่ริมหาดรอความเห็นใจจากโชคชะตา

     

    ฮิมชานเคยนึกเล่นๆ ว่าถ้าหากเปรียบกับสัตว์ทะเลที่เขามักช่วยเหลือเอาไว้บ่อยๆ ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเหมือนสัตว์อะไร เขาไม่มีคำตอบในตอนแรก แต่หลังจากที่ได้พบกับสายตาคู่นั้น คำตอบหนึ่งเดียวก็ปรากฎขึ้นในความคิด....โดดเดี่ยว เชื่องช้า ทว่าทรงพลัง สายตาคู่นั้นทำให้เขานึกถึงสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง

     

     


     

     

     

     

    เต่ายังไงล่ะ....


     

     

     

     

     

     

     

     


    With no place to place the heart, no place to go, it’s a sad turtle.

    Because you have a lot of scars and you’re all alone.

    Is that why you’re rehiding alone every day?

    I can’t protect nor love you, it’s my heartaching story.


     

     

     


     

     

    “คุณเต่า...คุณเต่า กินข้า...”     เจ้าของเสียงนุ่มละมุนหยุดชะงักเมื่อพบว่าห้องว่างเปล่า ห้องใต้หลังคาซึ่งใช้เป็นที่พักชั่วคราวของคนที่ตนเรียกชื่อ 
     

     

    คิ้วเรียวบนใบหน้าหวานขมวดเข้าหากัน ร่างบางหันหลังวิ่งลงบันไดออกมาดูที่หน้าบ้าน ตาคู่สวยกวาดมองผืนชายหาดกว้างสุดสายตาเบื้องหน้ามองหาร่างที่คุ้นเคย แสงสีส้มที่สาดโถมเข้ามาของดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังจะลับขอบฟ้าอีกฟากทำให้ตาเรียวหรี่ลงตามปฏิกิริยาตอบสนองต่อแสงของร่างกาย ในที่สุดเงาสีทึบซึ่งทอดตัวยาวขนานกับแนวแสงอาทิตย์ของใครบางคนก็ปะทะกับสายตา ตาคู่สวยเบิกขึ้น ขาเรียวออกวิ่งไปยังเงาไกลลิบนั้นอย่างไม่รีรอ

     

    “คุณเต่า!!! ไม่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”     เจ้าของบ้านหัวใจเต้นถี่รัวราวกับจะพุ่งออกจากอกตรงไปหยุดใครบางคนซึ่งกำลังเดินกะเผลกด้วยขาที่บาดเจ็บเข้าหาน้ำทะเลลาดลึกเบื้องหน้า

     

    “ไม่!! แฮ่ก! คุณเต่า! แฮ่ก! ฮึ่บ!”     ร่างบางกระโจนวิ่งลงทะเลและถึงตัวร่างหนาในที่สุด ไร้ซึ่งการต่อสู้หรือขัดขืน ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆจากคนที่พยายามจะเดินลงทะเล ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ถึงกับลงไปนอนหอบถี่อย่างหมดแรงเมื่อลากคนตัวสูงเข้ามาถึงบนหาดได้


     

     

     

     

    เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนกระทั่งการหายใจของร่างบางกลับสู่ระดับปกติแต่ยังคงนอนราบบนพื้นหาดไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าซึ่งชุ่มได้ด้วยน้ำทะเลเค็มจัดและทรายสีซีด คิมฮิมชานพรูลมหายใจยาวก่อนหันมองหน้าอีกคนที่นอนลืมตานิ่งไม่ไหวติงตั้งแต่ถูกลากจากน้ำขึ้นมาเมื่อครู่ก่อน

     

    “ผมถามคุณจริงๆเถอะคุณเต่า ไม่เบื่อบ้างรึไงทำแบบนี้เนี่ย ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอคุณคุณก็เอาแต่จะเดินลงทะเลลูกเดียว นี่มันไม่รู้กี่สิบรอบแล้วนะ”     ร่างบางส่ายหน้าอย่างระอาก่อนดันตัวลุกขึ้นนั่งมองคนบนพื้นทรายที่ยังนอนนิ่งราวท่อนเหล็กถูกแช่แข็ง ในใจไม่คิดจะรอคำตอบเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบสนองประโยคยืดยาวของเขาอย่างแน่นอน

     

    “คุณรู้อะไรมั้ย ผมไม่เคยคิดว่าการมองหน้าคนไม่รู้จักจะทำให้รู้สึกเศร้า เหงา หรือหดหู่ใจมาก่อน แต่ผมกลับรู้สึกอย่างนั้นทุกครั้งที่มองหน้าคุณ...”      ปากบางขยับจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็นิ่งไปคล้ายเปลี่ยนใจกระทันหัน คนพูดถอนหายใจแรงๆก่อนเท้าศอกข้างหนึ่งกับหน้าขาแล้ววางคางลงบนอุ้งมือข้างนั้น ตาคู่สวยจ้องสำรวจใบหน้าคมเจ้าของแววตาโศกอย่างถือวิสาสะอย่างเคยชิน ลืมเรื่องกินข้าวไปเสียสนิท



     

     

     

     

     

    ผู้ชายที่นอนเป็นหุ่นกระพริบตาคนนี้เป็นใครมาจากไหนจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้และเลิกคิดจะค้นเอาคำตอบจากเขาแล้ว ตั้งแต่ผมเจอเขา เขาก็แทบจะไม่พูดอะไรออกมาเลยนอกจากพูดคนเดียวไม่ก็ถามคำถามที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคือภาษาเกาหลีรึเปล่า ถึงแม้ผมจะดีใจที่เขาพูดกับผมแต่มันก็เท่านั้น เพราะผมไม่เข้าใจที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย

     

    แต่ถึงอย่างนั้น อะไรบางอย่างในตัวเขาก็ทำให้ผมดูแลเขามาจนถึงตอนนี้ เวลาจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวคมคู่นั้น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนจมอยู่ใต้ทะเลลึกที่แม้แต่แสงอาทิตย์ก็ไม่สามารถส่องถึง ทุกอย่างมืดมิดจนมองอะไรไม่เห็น ทว่าผมกลับรู้สึกอบอุ่น มันเป็นความอบอุ่นที่ถูกเจือจางด้วยความว่างเปล่าเจ็บปวดและการดิ้นรนเพื่อหาเหตุผลของการมีชีวิต




     

     

     

     

    “จริงด้วย...”    ตาเรียวเบิกกว้างพร้อมกับไหล่เล็กกระตุกน้อยๆ ร่างขาวซีดขยับตัวลุกพลางคว้าแขนแกร่งแล้วดึงให้ลุกตาม    “ไปกินข้าวกันเถอะ”    ร่างหนาขยับตามแรงฉุดที่แขนอย่างว่าง่ายทว่าไร้จิตวิญญาณ





     

     

     

     

    หลังทานข้าวร่างสูงพาตัวเองขึ้นมาบนห้องด้วยขาซึ่งเพิ่งถอดเฝือกออกทว่ายังไม่หายสนิทดี ทิ้งร่างลงบนเตียง หลับตาลงก่อนจะเข้าสู่นิทราในเวลาไม่กี่นาที และมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของคิมฮิมชานไปแล้วในการที่จะตามขึ้นมานั่งจ้องมองผู้อาศัยนิรนามเป็นเวลานานโดยไม่รู้จักเบื่อ อย่างมากก็มองจนกระทั่งเผลอฟุบหลับไปตรงนั้น

     

     

    ร่างบางกระพริบตาเนือยๆ พรูลมหายใจยาว ทอดสายตามองร่างสูงบนเตียงเดี่ยวตรงหน้าอย่างเคยชิน ใบหน้าคมถูกประดับด้วยคิ้วเข้มเรียงตัวสวย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าเมื่อลืมขึ้น จมูกโด่งสวยและริมฝีปากบางเฉียบซึ่งไม่เคยขยับยกเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ลำตัวหนาซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนซึ่งมีเสื้อกล้ามสีขาวสะอาดสวมทับไว้ แขนแกร่งสองข้างยังคงปรากฎร่องรอยการถูกกระแทกด้วยของแข็งซึ่งข้างหนึ่งมีรอยแผลเป็นซึ่งเกิดจากแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ นิ้วเรียวสวยบนมือหนายังปรากฏจ้ำสีม่วงจางบนข้อนิ้วทุกข้อ


     

    “...........”     จู่ๆคนมองก็รู้สึกใจหายวาบเมื่อเห็นหยดน้ำใสไหลซึมออกจากหางตาของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เป็นอีกครั้งในหลายสิบครั้งที่ผ่านมาที่ร่างบางเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ทั้งที่ยังนอนหลับอยู่ ราวกับมีสิ่งโศกเศร้าสะเทือนใจกำลังดำเนินอยู่ภายใต้เปลือกตาปิดสนิท


     

    “คุณเป็นอะไรคุณเต่า? คุณเจ็บตรงไหน? ได้โปรดเถอะนะ ช่วยบอกผมทีเถอะ เผื่อว่าผมจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของคุณได้บ้าง มันไม่ยุติธรรมเลยนะ ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลยซักอย่าง แต่ผมกลับเจ็บปวดจนแทบบ้าเพียงแค่นั่งมองหน้าคุณแบบนี้”     มือบางเอื้อมไปกุมมือเรียวใหญ่


     

    “ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย แม้แต่รักคุณก็ยังทำไม่ได้ นั่นมันยิ่งทำให้หัวใจผมเจ็บ....ทั้งๆที่ไม่รู้อะไร.....แต่ทำไมหัวใจผมถึงเจ็บเหลือเกิน....”     เจ้าของบ้านยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาเมื่อไหร่ไม่อาจรู้อย่างลวกๆก่อนขยับตัวลุกขึ้น เหม่อมองร่างบนเตียงอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนเดินไหล่ลู่ออกจากห้องใต้หลังคาด้วยความรู้สึกปวดหนึบในช่องอก


     

     

     

     



     

     





    It will be okay if only a day passes.
    That’s what I tell myself as if memorizing the spell.
    Dear turtle, I see myself when I see you.
    Tears come and flow like crazy.

     
     


     

     

     

     

     

     

    แสงสีแดงวูบสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปได้ครู่ใหญ่ ม่านจางของราตรีกาลลอยละเมียดเข้ามาจับจองทุกตารางพื้นที่ของผืนฟ้า ตามมาด้วยจุดระยิบใหญ่น้อยของดวงดาวที่ค่อยๆเผยตัวตนออกมาอย่างเหนียมอายระลอกคลื่นที่ร้องเกรียวกราวอยู่บนผิวทะเลส่งกระแสลมเย็นพัดพรายไปทั่วหาด

     

    ร่างบางนั่งหย่อนขาทอดสายตามองผืนทะเลยามพลบค่ำอยู่ตรงเฉลียงหน้าบ้าน ปล่อยความคิดล่องลอยไปกับทุกสรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว สายตาเคลื่อนมาจดอยู่ที่จุดๆหนึ่งบนหาด จุดที่ก่อนหน้าเคยมีเรือเก่าๆลำหนึ่งเกยลำอยู่ เรือซึ่งร่างบางเคยมองเห็นอยู่บนหาดไม่ไกลหากมองจากเฉลียงตรงนี้ เรือซึ่งใครบางคนใช้เวลาวันทั้งวันอยู่กับการซ่อมแซมมันถึงแม้สภาพร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย เรือซึ่งใครคนนั้นได้ล่องจากไปในทะเลเมื่อหลายวันก่อน คิมฮิมชานทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เขาเองที่ปล่อยให้ชายคนนั้นจากไป

     

     

     

     

     

     

    มีเพียงแค่ตัวเขากับเรือ เขาไม่ได้เอาอะไรติดตัวกลับไปเลย นอกเสียจาก.....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวใจของผม

     

     

     

     























    THE? FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×