ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #5 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER THREE

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 54


     
     

    MY STORY IS A LIE:: CHAPTER THREE

     

    “พวกแกลืมอะไรไปหรือเปล่าวะ ...ร้านฉันขายกาแฟไม่ใช่เหล้า จะได้มานั่งกินกันเป็นขวดๆ อยู่อย่างนี้” เสียงบ่นของหนุ่มอารมณ์ดีซึ่งเป็นเจ้าของร้านที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามานั่งลงบนโซฟาอีกตัวข้างๆ กับเพื่อนอีกสามคนที่นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันอยู่

     

    “แกหายหัวไปไหนมาอีสเตอร์” ชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งไขว่ห้างอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้น นี่แหละ เรย์ทายาทบริษัทนำเข้ารถยุโรปชื่อดังของประเทศ และยังเป็นผู้ชายที่ถูกจับตามองว่าน่าจะเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงในปีนี้อีกด้วย ถ้าจะให้พูดถึงความร้ายกาจล่ะก็ เขาน่ะเป็นจอมมารอันดับต้นๆ ของกลุ่มเพื่อนเลยล่ะ

     

    “ไปคุยงานกับลูกค้ามา เห็นพนักงานข้างล่างบอกว่าพวกแกมานั่งกันตั้งแต่หัวค่ำ แล้วไอ้ราฟไม่มาด้วยเหรอวะ”

     

    “มา แต่มันกลับไปแล้ว คนกำลังเห่อเมียก็งี้แหละ”

    คนที่ตอบคือ แอมแปร์ ลูกชายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงาน เขาเป็นคนขี้เล่นและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีที่สุดในกลุ่มเพื่อนรองมาจากอีสเตอร์ นอกจากนั้นก็แย่กันเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นเจนัว เรย์ เหมันต์ และคนที่ถูกกล่าวชื่อในบทสนทนาเมื่อครู่อย่างราฟาเอลหรือราฟก็ด้วย

     

    “ถ้าแกมีบ้างฉันจะคอยดู” เรย์ว่า

     

    “ถ้าจะมีฉันก็ขอให้ได้อย่างเมียไอ้ราฟแล้วกัน คนอะไรโคตรน่ารักเลย เรียบร้อย อ่อนหวาน ...ไม่เห็นจะเข้ากับมันเลย แถมยังอายุน้อยอีก สิบเจ็ดเองนี่ ” แอมแปร์พูดพลางนึกถึงรอยยิ้มอ่อนหวานของภรรยาเพื่อน ไม่สิ ก็แค่ภรรยาในนามเท่านั้น เพราะการแต่งงานของราฟกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เกิดจากความรัก แต่ทั้งคู่ถูกคลุมถุงชนต่างหาก แถมเป็นการคลุมถุงชนที่เขาอยากจะถูกคลุมแทนเพื่อนซะด้วย ก็ว่าที่เจ้าสาวน่ะได้ขโมยหัวใจของเขาไปตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตากันในงานแต่งงานแล้ว!

     

    “นั่นมันก็เป็นเรื่องของไอ้ราฟไม่เกี่ยวอะไรกับแก” อีสเตอร์ท้วง

     

    “เกี่ยวดิ ก็เราเป็นเพื่อนมัน ....จริงมั้ยวะเจนัว?” แอมแปร์แย้งกลับก่อนจะรีบหาตัวช่วย แต่ทว่าเขาจะเลือกตัวช่วยผิดเพราะเจนัวไม่ได้สนใจบทสนทนาเมื่อครู่เลยสักนิด

     

    “................”

     

    “เป็นอะไรวะ” อีสเตอร์ถาม เจนัวไม่ได้ตอบอะไรแต่เพราะไม่ตอบนี่แหละ อีสเตอร์จึงดูออกได้ไม่ยากเลย “...ทะเลาะกับน้ำขิงมาอีกแล้วสิท่า”

     

    “แล้วมีวันไหนที่ไม่ทะเลาะกันบ้างล่ะ?” เจนัวย้อนถามก่อนจะยกขวดแอลกอฮอล์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นดื่ม “นิสัยน้ำขิงเป็นยังไงแกก็รู้”

     

    “ฉันก็เห็นไม่ต่างกันเลยทั้งคู่ ” อีสเตอร์รู้นิสัยของเพื่อนตัวเองดี เจนัวเป็นคนอารมณ์ร้อนไม่ได้ต่างอะไรไปจากน้ำขิง เพราะอย่างนี้ยิ่งน้ำขิงอาละวาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะหยุดเจนัวได้ ยิ่งร้ายมาก็จะยิ่งร้ายกลับ ยิ่งวาดระแวงก็จะยิ่งประชดประชัน

     

    “กดไลท์ว่ะ J” แอมแปร์พูดแบบขำๆ ชูนิ้วโป้งให้อีสเตอร์

     

    “...............”  เจนัวเงียบ ปลายตาคมจ้องขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถืออยู่ในมือนิ่ง

    เขาเองก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ...ผู้ชายธรรมดาๆ ที่อยากใช้ชีวิตให้เป็นอิสระ ไม่มีกรอบมากั้นหรือโซ่มาคล้อง  แต่ดูเหมือนชีวิตที่ว่าจะอยู่ไกลเหลือเกิน สำหรับเจนัวแล้วตอนนี้น้ำขิงไม่ได้ต่างไปจากโซ่ที่รัดตัวเขาไว้แน่นเลย แถมยังเป็นโซ่ที่ตัดยากซะด้วยสิ ...เพราะมันเป็นโซ่ที่เขาเคยเต็มใจให้มันคล้อง หากแต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่ายังอยากจะถูกมันคล้องอยู่อีกหรือไม่ ...ในเมื่อน้ำขิงไม่เคยให้ความเชื่อใจกับเขาเลยสักครั้ง

     

    “แกก็รู้ว่าที่น้ำขิงทำลงไปทุกอย่างก็เพราะรักแก ถึงบางครั้งเธออาจจะทำอะไรเกินไปบ้าง แต่แกก็ควรจะเข้าใจเธอหน่อย ผู้หญิงน่ะ ....อารมณ์มักอยู่เหนือเหตุผลเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่เธอรัก” อีสเตอร์พยายามพูดให้เจนัวเข้าใจในอีกมุมหนึ่งของผู้หญิงในแบบประสาของคนใจเย็นและมองโลกในแง่ดี ไม่มีพิษมีภัยกับใคร

     

    “ผู้ชายก็แค่ต้องการความเชื่อใจจากผู้หญิงที่รักเหมือนกัน” เจนัวพูดต่อจากอีสเตอร์ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ

     

    “อันนี้กระทืบไลท์เลย J” และก็เป็นอีกครั้งที่แอมป์แปร์ช่วยเสริม

     

    “หยุดพูดแทรกอะไรปัญญาอ่อนก่อนที่ฉันจะอารมณ์เสียไอ้แอมป์ -__-

     

    “แกก็นั่งฟังเฉยๆ แบบไม่ต้องบ่นขัดขึ้นมาสักครั้งได้มั้ยไอ้คุณเรย์ L

     

    “ก็แก...!

     

    “หยุดกัดกันสักที โตๆ กันแล้วนะเว้ย ทะเลาะกันเป็นเด็กห้าขวบไปได้ -____-++” อีสเตอร์พูดหยุดทัพศึกของเรย์ที่เตรียมจะพ่นคำด่าออกมา แน่นอนว่าเรย์ยอมหยุดไปแต่โดยดี แต่ก็ส่งสายตาขุ่นมัวไปให้อีสเตอร์ทันที

    ....เรย์ไม่ชอบให้ใครมาพูดดูถูกว่าเขาเป็น เด็ก

     

    “เออ ขอโทษว่ะ =o=;;” 

     

    “ฉันจะกลับแล้ว ...ขืนอยู่นานกว่านี้คงได้เล่นมวยปล้ำเหมือนเด็กสิบกว่าขวบ!” เรย์พูดประชดแล้วผุดลุกเดินออกไป อีสเตอร์กับแอมแปร์หันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติด้วยความรู้สึกผิดนิดๆ (ย้ำว่านิดๆนะ)

     

    “เอาแล้วไงล่ะ ไอ้เรย์มันโกรธเลยเห็นมั้ย เพราะแกเลยไอ้อีส”

     

    “ได้ข่าวว่าเพราะแกด้วยไม่ใช่เหรอ -O-;;

     

    “ก็นิดนึง J

     

    “ไอ้....”

     

    “ขอเชิญพวกแกสองคนเล่นกันต่อแล้วกัน ฉันจะกลับล่ะ รำคาญ” เจนัวพูดขึ้นมาอีกคน  ร่างสูงลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกไป ทิ้งให้อีกสองหนุ่มที่เหลือนั่งเถียงกันตามลำพัง

     


    (special: Genoa Talk)

    ผมกลับเข้ามาถึงคอนโดฯ ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ สาบานได้ว่าพอออกจากร้านของไอ้อีสเตอร์มาผมไม่ได้แวะต่อที่ไหน

    ...ก็แค่ขับรถเล่นไปเรื่อยๆ เหมือนคนไร้จุดหมายก็เท่านั้น

     

    “ไปไหนมา” เสียงของหญิงสาวร่างบางถามขึ้นมาเหมือนจ้องจะจับผิดทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง น้ำขิงยืนมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ ผมหยุดมองเธอเพียงช่วงวินาทีก่อนจะเดินผ่านเลยไป ไม่แปลกใจอะไรเลยที่เธอยังอยู่ที่นี่ แน่ล่ะ เธอก็ทำแบบนี้ประจำ

     

    “ฉันถามว่าไปไหนมา!!

     

    “กลับบ้านเธอไปซะน้ำขิง!” ผมพูดโดยที่ไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเธอด้วยซ้ำ แค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเธอกำลังร้องไห้....

     

    “ไม่พายัยนั่นกลับมาด้วยเหรอ หรือว่าคั่วกันจนเบื่อแล้วก่อนกลับมา?!

    คำพูดเสียดสีที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่ผมเคยกอบโกยความหอมหวานนั่นทำเอาผมก้าวเท้าเดินต่อไม่ออก

     

    นี่ไงสิ่งที่น้ำขิงเป็น!

     

    ผมพยายามข่มความรู้สึกโมโหพลุ่งพล่านที่เกิดจากคำพูดเสียดสีของน้ำขิงเอาไว้ก่อนจะหันกับไปมองเธอที่มีแต่คราบน้ำตาประปรายอยู่เต็มสองข้างแก้มเนียน

     

    “ใช่ ถ้ารู้แล้วก็กลับไปซะสิ ”  ผมประชดกลับ

     

    “เลว!

    ร่างบางว่าแล้วพุ่งตรงเข้ามาตบหน้าผมทันที ...ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าความอดทนของผมที่เหลืออยู่กับเธอมันน้อยแล้วจริงๆ!!

     

    “หยุดได้แล้วน้ำขิง!!” ผมตะคอกแล้วรวบแขนทั้งสองข้างของเธอที่เตรียมจะเงื้อขึ้นตบหน้าผมอีกครั้งเอาไว้แน่นพร้อมกับออกแรงบีบ น้ำขิงไม่ได้ร้องโอดโอยออกมาสักนิด เธอจ้องหน้าผมผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อล้นออกมานิ่งๆ อย่างตัดพ้อ

     

    “ฉันทำอะไรผิด... บอกฉันหน่อยสิเจนัว บอกฉันหน่อย ฮึก.... บอกฉันหน่อยว่าทำไมนายถึงทำแบบนี้กับฉัน...” เสียงสะอื้นของน้ำขิงเอ่ยถามขึ้น ผมมองใบหน้าที่เต็มคราบน้ำตานั่นก่อนจะค่อยๆ นึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น...

     

    ช่วงสามปีหลังที่คบกัน ระหว่างผมกับน้ำขิงความรักของเราไม่เคยมีคำว่า ความเข้าใจเลยสักครั้ง ไม่มีวันไหนเลยที่ผมกับเธอจะพูดจากันดีๆ ไม่ประชดประชัน หรือทำอะไรก็ได้ที่เขาเรียกกันว่า แฟนผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราแย่ลงมันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน มันมากมายซะจนผมจำได้ไม่หมด ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ จนถึงเรื่องใหญ่ ผมจำไม่ได้จริงๆ

     

    “กลับบ้านเธอไปได้แล้ว ถ้าไม่อยากให้ฉันโทรเรียกไอ้เหมให้มาลากเธอกลับไป” ผมพูดแล้วปล่อยเธอให้เป็นอิสระ ไม่คิดที่จะตอบคำถามของเธอเหมือนทุกครั้ง น้ำขิงเบือนหน้ามองไปทางอื่นก่อนที่เธอจะยกมือปาดน้ำตาที่ข้างแก้มทิ้งหันหน้ากลับมามองผมอีกครั้ง

    ....ดวงตาสวยเอ่อคลอเต็มไปด้วยน้ำตา

     

    “ตรงอกข้างซ้ายของฉันสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นฉันเรียกมันว่าหัวใจ แต่ที่อกข้างซ้ายของนาย ...สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันเรียกว่าหัวใจจริงๆ เหรอ ....หรือว่ามันเป็นแค่ก้อนเนื้อที่ไม่มีความรู้สึก”

    ผมยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อเห็นร่างบางเปิดประตูเดินออกไปแล้ว ....เหมือนทุกๆ ครั้งที่ปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างผมกับเธอสิ้นสุดลง ภาพใบหน้าที่แดงก่ำจากการร้องไห้ของน้ำขิงเป็นภาพที่ผมเห็นบ่อยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึก อะไรเลย ....เพราะถ้าหากมันเป็นแค่ก้อนเนื้อที่ไม่มีความรู้สึกจริงๆ อย่างที่น้ำขิงว่า มันคงไม่เต้นแรงทุกครั้งเวลาที่ผมทะเลาะกับเธอ และที่สำคัญน้ำขิงอาจไม่เคยรู้เลยว่า ....ผมให้มันกับเธอไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่เราคบกัน

     

    จนถึงวันนี้มันก็ยังเป็นของเธอ ...น้ำขิง

     




















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×