ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 โรงเรียน

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 54


     

    Chapter 3

    โรงเรียน

     

                เมื่อวันเปิดเรียนวันแรกมาถึง พ่อบุญธรรมก็ขับรถคันหรูไปส่งลูกชายที่โรงเรียน โรงเรียนแห่งใหม่นั้นมีทั้งสนามฟุตบอลที่กว้างใหญ่ มีสระว่ายน้ำ มีห้องเรียนติดแอร์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับดูแปลกหูแปลกตาไปหมด

     

                นี่คือโรงเรียนของลูกนะ ฮันกยอง

     

                คุณจะไม่ทิ้งผมไว้ที่นี่ใช่ไหม?”

     

                เด็กชายหันไปถามคนขับที่นั่งข้างๆ กัน ชายวัยกลางคนจึงรวบร่างของฮันกยองไปกอดไว้แนบแน่น มือหนาตบแผ่นหลังบางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะผละออก

     

                ตอนเย็นพ่อจะมารับลูก

     

                รู้ไหม? ตอนพ่อแม่ที่แท้จริงพาผมไปส่งที่วัด พวกเขาก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้น...พวกเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย

     

                ตอนนั้นพ่อบุญธรรมรู้สึกใจหายวาบ เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาเศร้าสร้อยของลูกชาย ก่อนจะหยิบสิ่งของบางอย่างที่วางอยู่เบาะนั่งด้านหลังมาให้ฮันกยอง

     

                ของขวัญจากพ่อกับแม่ รับไว้สิ

     

                มันเป็นโทรศัพท์มือถือราคาแพง ฮันกยองช้อนตาขึ้นไปมองผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายคนนี้ดีกับเขามากเหลือเกิน ผู้หญิงที่เป็นเหมือนแม่ก็แสนดีกับเขา ความจริงมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้ว

     

                แต่บาดแผลที่กรีดลึกจนเกิดเป็นรอยแผลเป็น

     

                ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงอยู่ เมื่อลองสัมผัสดู มันก็ยังคงเจ็บปวดเช่นเดิม

     

                แล้วเจอกันตอนเย็นนะครับ

     

                ฮันกยองเอ่ยบอกคนเป็นพ่อจบก็เปิดประตูรถแล้วรีบวิ่งออกไปทันที โชคดีที่ก่อนเปิดภาคเรียน พ่อกับแม่จ้างครูสอนภาษาเกาหลีมาติวเข้มเป็นพิเศษ ทำให้เด็กหัวไวอย่างฮันกยองพอจะสื่อสารประโยคง่ายๆ กับคนอื่นได้

     

                หวังว่าลูกจะมีชีวิตที่ดีนะ...ฮันกยอง

     

     

                วันนี้มีคนใจดีให้เงินป๊ามาเยอะเลย ไว้ป๊าจะซื้อนมกลับไปให้ลูกนะครับ

     

                ฮยอกแจเอ่ยบอกกับภาพถ่ายของลูกชายที่เขาตั้งค่าไว้เป็นหน้าแรกของโทรศัพท์มือถือ ริมฝีปากทรงกระจับจุมพิตเบาๆ ที่หน้าจอนั้น ก่อนจะหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อของตนเอง

     

                ใบหน้าหล่อเหลายังคงน่าดึงดูดเสมอแม้จะมองผ่านจากกระจกเงา แต่ที่น่าเศร้าก็คือร่างกายของฮยอกแจมีแต่รอยแดงเป็นจ้ำเพราะถูกลูกค้ารายล่าสุดทำรุนแรงไปหน่อย แต่เพื่อเงิน เพื่อความอยู่รอด ฮยอกแจไม่เคยปริปากบ่นออกมาแม้แต่คำเดียว เขารีบใส่เสื้อผ้าลวกๆ ก่อนจะรีบออกมาจากสถานที่สกปรกแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด

     

                เมื่อกลับมาถึงร้านทำผมของจองซู ฮยอกแจก็พบเพียงความเงียบสงัดเท่านั้น

     

                ไม่มีคนอยู่ในบ้าน

     

                พี่จองซูครับ!

     

                เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเจ้าของบ้านขณะที่มือหนาเกาะราวบันไดเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไฟทางเดินข้างบนก็ปิดสนิท มีเพียงแสงไฟที่ส่องออกมาจากห้องนอนของจองซูเท่านั้น

     

                ทงเฮ...

     

                กลิ่นของเสียลอยเข้ามาเตะจมูก ผ้าอ้อมสีขาวหลายผืนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาเจียน ฮยอกแจหายใจถี่หอบด้วยความหวาดหวั่น เขากลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับลูกชายของเขา

     

                Rrrr Rrrr

     

                เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ฮยอกแจสะดุ้งเฮือก เขารีบค้นโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดรับสายอย่างรวดเร็ว

     

                พี่จองซู ทงเฮล่ะครับ ลูกชายของผมไปไหน เขาอยู่ที่ไหนครับ

     

                [ฮยอกแจ ใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้ทงเฮไม่สบาย]

     

                ว...ว่าไงนะ?”

     

                หลังจากจองซูบอกชื่อโรงพยาบาลกับฮยอกแจแล้ว เขาก็รีบเรียกแท็กซี่ออกไปอย่างร้อนใจทันที ทงเฮจะต้องไม่เป็นอะไร ลูกชายของอี ฮยอกแจจะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด

     

                อย่าทิ้งปะป๊าไปนะลูก ปะป๊ากำลังไปหาทงเฮแล้ว

     

     

                หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฮยอกแจก็วิ่งตรงมายังห้องฉุกเฉิน ลูกชายตัวน้อยๆ ของเขานอนหายใจรวยรินอยู่ในตู้อบ ฮยอกแจได้แต่ยืนเกาะกระจกใสด้วยสายตาละห้อย ถ้าหากเขาอยู่ดูแลลูกตลอดเวลา ทงเฮก็คงไม่ต้องมาเจ็บป่วยแบบนี้

     

                ฮยอกแจ พี่ขอโทษ...พี่ดูแลหลานไม่ดีจองซูเดินเข้ามาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

     

                ผมต่างหากครับที่ไม่ดี ผมไม่น่าไปทำงานเลย ผมเห็นว่าเขาตัวอุ่น แต่ไม่คิดว่าเขาจะไม่สบายหนักขนาดนี้ ถ้าผมเจ็บแทนทงเฮได้...

     

                ฮยอกแจจุกที่หน้าอกจนพูดอะไรไม่ออก ทงเฮทำท่าเหมือนจะลืมตาขึ้นมามองเขา แต่แล้วก็หลับลงไปอีกครั้ง ทำให้ฮยอกแจทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง เขาจะทำยังไงดี ฮยอกแจจะแบ่งความเจ็บปวดมาจากลูกชายตัวน้อยๆ ของเขาได้อย่างไร

     

                ดวงใจของปะป๊า ทงเฮจะต้องไม่เป็นอะไรนะลูก ปะป๊ารักทงเฮนะครับ

     

                น้ำตาของเด็กทารกรินไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอเบาๆ ราวกับต้องการจะเอื้อนเอ่ยคำบางคำกับคนเป็นพ่อ ฮยอกแจเลื่อนมือที่แตะกระจกลงมาช้าๆ ราวกับเขากำลังลูบปลอบโยนลูกชายให้หายป่วย ราวกับกำลังกุมมือเล็กๆ ของทงเฮเอาไว้แน่นไม่ไปไหน

     

                ทงเฮของป๊า

     

                ใครเป็นผู้ปกครองของเด็กครับ?”

     

                เสียงนายแพทย์มีอายุคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น ฮยอกแจกับจองซูรีบปรี่เข้าไปหาทันที

     

                ผ...ผมเองครับ ผมเป็นพ่อของเขา

     

                แพทย์คนนั้นขยับแว่นมองดูเด็กหนุ่มที่หน้าตาอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นพ่อคนได้ ก่อนจะก้มลงมองแฟ้มที่อยู่ในมือแล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

                ลูกชายของคุณปลอดภัยแล้วครับ

     

                ฮยอกแจยกมือขึ้นทาบหัวใจด้วยความโล่งอก น้ำตาอุ่นไหลรินออกมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข โชคดีเหลือเกิน เป็นเพราะความโชคดีจริงๆ ที่ทงเฮไม่เป็นอะไรแล้ว

     

                แล้วลูกของผมเป็นโรคอะไรเหรอครับ

     

                เด็กเป็นโรคภูมิแพ้อากาศน่ะครับ เท่าที่สังเกตคือเด็กคนนี้มีภูมิต้านทานต่ำมาก อาจจะเกิดจากการที่ไม่ได้รับสารอาหารจากนมมารดา เมื่ออากาศเย็นมากๆ จะทำให้เป็นหวัด ถ้าเสมหะไหลลงคอมากๆ อาจจะเสียชีวิตฉับพลันก็ได้ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลทัน

     

                พี่จองซู

     

                ฮยอกแจหันไปเรียกชื่อจองซูด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ถึงเขาจะไม่ได้เรียนสูงนัก แต่ฮยอกแจก็พอจะรู้ว่าโรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หายขาดได้ง่ายๆ การที่ทงเฮเป็นโรคนี้ก็เท่ากับว่าทงเฮเป็นเด็กที่อ่อนแอกว่าเด็กคนอื่นๆ

     

                ไม่เป็นไรนะฮยอกแจ เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้จองซูเอ่ยขึ้นพลางแตะไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ

     

                ผมจะเข้มแข็งครับ ผมจะต้องเข้มแข็งเพื่อลูกของผม

     

                แม้คำพูดจะมุ่งมั่นมากสักแค่ไหน แต่อี ฮยอกแจกลับซ่อนน้ำเสียงที่สั่นเครือนั้นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

                หลายเดือนต่อมา ฮันกยองก็สามารถใช้ชีวิตใหม่ในโรงเรียนได้เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เขาทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับต้นๆ ของสายชั้น นอกจากนั้นยังมีความสามารถในด้านกีฬาและด้านดนตรีจนอาจารย์ต่างพากันชื่นชมไม่ขาดปาก

     

                แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครรู้

     

                ทุกๆ เย็นหลังจากที่เด็กนักเรียนทยอยกลับบ้าน ในเวลาที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงสีส้มเรืองรองไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันให้ทั้งความรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่จนถึงที่สุด ฮันกยองมักจะไปนั่งเล่นอยู่ที่บันไดหนีไฟเพื่อมองดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับไป

     

                เขารอจนกว่าจะมีใครบางคนเดินผ่านมาเจอ

     

                อ้าว...น้องยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?”

     

                เด็กหนุ่มหน้าหวานที่เรียนอยู่เกรดเก้าเปิดประตูบันไดหนีไฟเข้ามาแล้วทำหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นคนยืนหันหลังอยู่ ฮันกยองหันไปส่งยิ้มบางๆ เหมือนกับที่เขาเคยทำให้ทุกคนที่ผ่านมาที่นี่

     

                รอพ่อมารับน่ะครับ เด็กชายที่เรียนเพียงชั้นประถมปีสุดท้ายหันไปตอบเสียงเยือกเย็น

     

                แล้วทำไมไม่ลงไปรอข้างล่างล่ะ

     

                แล้วรุ่นพี่ล่ะครับ ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวเหรอ?”

     

                คำถามนั้นทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาขนลุกซู่ ขาเรียวถอยกรูดไปติดประตู ก่อนจะจับลูกบิดไว้แน่น หากแต่ฮันกยองกลับว่องไวกว่าหลายเท่านัก เด็กชายเข้ามาประชิดถึงตัวรุ่นพี่แล้วจับอีกฝ่ายหันหน้าแนบชิดไปกับกำแพงอย่างรวดเร็ว

     

                จะ...จะทำอะไรน่ะ?”

     

    น้ำเสียงนั้นเอ่ยถามขึ้นด้วยอารามตกใจ ทว่าฮันกยองกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิด เขากดจมูกลงไปกับลำคอระหง แล้วลากลิ้นสากไปด้วยท่าทางหื่นกระหายเกินกว่าที่เด็กประถมจะทำได้

     

    ปล่อย...อึก...ปล่อยนะ

     

                เอาน่า แปบเดียวก็เสร็จแล้ว

     

                มือหนาค่อยๆ สอดเข้าไปในกางเกงนักเรียนของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มรุ่นพี่หลับตาแน่นปี๋ น้ำตามากมายรินไหลออกมาเต็มใบหน้าหวาน หากแต่เขาไม่สามารถเปล่งเสียงร้องให้ใครเข้ามาช่วยได้เลย เขากลัวมากเหลือเกิน

     

                “...ฮึก...

     

                เสียงสะอื้นยังดังคลออยู่เรื่อยๆ ฮันกยองทำเพียงกระตุกยิ้มบางเบา ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็แค่ใช้นิ้วแล้วปล่อยไป แต่กับผู้ชายคนนี้ ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ฮันกยองดึงกางเกงขายาวของอีกฝ่ายร่นลงอย่างไม่ปรานี

     

                ยะ...อย่านะ...

     

                เงียบๆ เถอะน่า บอกแล้วไงว่าแปบเดียว

     

                ฮันกยองรูดซิปกางเกงของตัวเองลงแล้วควักมังกรยักษ์ที่มันขยายเต็มที่ออกมาจ่อกับช่องทางเล็กๆ ด้านหลังของรุ่นพี่ หากแต่เสียงที่เหือดหายไปในตอนแรกกลับแผดดังลั่น

     

                ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!!

     

                ประตูถูกผลักออกอย่างรวดเร็ว ฮันกยองถอยกรูดไปติดกับกำแพงอีกฝั่งของบันไดหนีไฟ ในขณะที่อาจารย์ประจำเกรดเก้าและหัวหน้าสายชั้นกลับเบิกตาโพลงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

                ซ...ซีวอน...

     

                เสียงหวานเรียกชื่อหัวหน้าสายชั้นที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ชเว ซีวอนรีบเข้ามาประคองร่างบางเอาไว้แนบอก ก่อนจะดึงกางเกงอีกฝ่ายขึ้นด้วยท่าทางสุภาพบุรุษอย่างเหมือนเคย

     

                ฉันมาช่วยแล้วนะคยูฮยอน ขอโทษที่มาช้า ขอโทษจริงๆ

     

                “...ฮึก...ฉันนึกว่านายลืมนัดของเราไปแล้วซะอีก...ฮือ...

     

                โจ คยูฮยอนยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะหมดสติไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายในทันที ฮันกยองได้แต่ยืนหน้าซีดอยู่กับที่ เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวหรือวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้น อาจารย์เลยพาตัวเขาเข้าไปในห้องปกครองได้อย่างง่ายดาย

     

                บางครั้ง...

     

                การเริ่มต้นที่รวดเร็วก็มักจะจบลงด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน

     

     

    Talk with Lee Seen

                โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×