คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 โรงเรียน
Chapter 3
โรงเรียน
เมื่อวันเปิดเรียนวันแรกมาถึง พ่อบุญธรรมก็ขับรถคันหรูไปส่งลูกชายที่โรงเรียน โรงเรียนแห่งใหม่นั้นมีทั้งสนามฟุตบอลที่กว้างใหญ่ มีสระว่ายน้ำ มีห้องเรียนติดแอร์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับดูแปลกหูแปลกตาไปหมด
“นี่คือโรงเรียนของลูกนะ ฮันกยอง”
“คุณจะไม่ทิ้งผมไว้ที่นี่ใช่ไหม?”
เด็กชายหันไปถามคนขับที่นั่งข้างๆ กัน ชายวัยกลางคนจึงรวบร่างของฮันกยองไปกอดไว้แนบแน่น มือหนาตบแผ่นหลังบางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะผละออก
“ตอนเย็นพ่อจะมารับลูก”
“รู้ไหม? ตอนพ่อแม่ที่แท้จริงพาผมไปส่งที่วัด พวกเขาก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้น...พวกเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย”
ตอนนั้นพ่อบุญธรรมรู้สึกใจหายวาบ เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาเศร้าสร้อยของลูกชาย ก่อนจะหยิบสิ่งของบางอย่างที่วางอยู่เบาะนั่งด้านหลังมาให้ฮันกยอง
“ของขวัญจากพ่อกับแม่ รับไว้สิ”
มันเป็นโทรศัพท์มือถือราคาแพง ฮันกยองช้อนตาขึ้นไปมองผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายคนนี้ดีกับเขามากเหลือเกิน ผู้หญิงที่เป็นเหมือนแม่ก็แสนดีกับเขา ความจริงมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้ว
แต่บาดแผลที่กรีดลึกจนเกิดเป็นรอยแผลเป็น
ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงอยู่ เมื่อลองสัมผัสดู มันก็ยังคงเจ็บปวดเช่นเดิม
“แล้วเจอกันตอนเย็นนะครับ”
ฮันกยองเอ่ยบอกคนเป็นพ่อจบก็เปิดประตูรถแล้วรีบวิ่งออกไปทันที โชคดีที่ก่อนเปิดภาคเรียน พ่อกับแม่จ้างครูสอนภาษาเกาหลีมาติวเข้มเป็นพิเศษ ทำให้เด็กหัวไวอย่างฮันกยองพอจะสื่อสารประโยคง่ายๆ กับคนอื่นได้
หวังว่าลูกจะมีชีวิตที่ดีนะ...ฮันกยอง
“วันนี้มีคนใจดีให้เงินป๊ามาเยอะเลย ไว้ป๊าจะซื้อนมกลับไปให้ลูกนะครับ”
ฮยอกแจเอ่ยบอกกับภาพถ่ายของลูกชายที่เขาตั้งค่าไว้เป็นหน้าแรกของโทรศัพท์มือถือ ริมฝีปากทรงกระจับจุมพิตเบาๆ ที่หน้าจอนั้น ก่อนจะหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อของตนเอง
ใบหน้าหล่อเหลายังคงน่าดึงดูดเสมอแม้จะมองผ่านจากกระจกเงา แต่ที่น่าเศร้าก็คือร่างกายของฮยอกแจมีแต่รอยแดงเป็นจ้ำเพราะถูกลูกค้ารายล่าสุดทำรุนแรงไปหน่อย แต่เพื่อเงิน เพื่อความอยู่รอด ฮยอกแจไม่เคยปริปากบ่นออกมาแม้แต่คำเดียว เขารีบใส่เสื้อผ้าลวกๆ ก่อนจะรีบออกมาจากสถานที่สกปรกแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด
เมื่อกลับมาถึงร้านทำผมของจองซู ฮยอกแจก็พบเพียงความเงียบสงัดเท่านั้น
ไม่มีคนอยู่ในบ้าน
“พี่จองซูครับ!”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเจ้าของบ้านขณะที่มือหนาเกาะราวบันไดเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไฟทางเดินข้างบนก็ปิดสนิท มีเพียงแสงไฟที่ส่องออกมาจากห้องนอนของจองซูเท่านั้น
“ทงเฮ...”
กลิ่นของเสียลอยเข้ามาเตะจมูก ผ้าอ้อมสีขาวหลายผืนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาเจียน ฮยอกแจหายใจถี่หอบด้วยความหวาดหวั่น เขากลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับลูกชายของเขา
Rrrr Rrrr
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ฮยอกแจสะดุ้งเฮือก เขารีบค้นโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“พี่จองซู ทงเฮล่ะครับ ลูกชายของผมไปไหน เขาอยู่ที่ไหนครับ”
[ฮยอกแจ ใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้ทงเฮไม่สบาย]
“ว...ว่าไงนะ?”
หลังจากจองซูบอกชื่อโรงพยาบาลกับฮยอกแจแล้ว เขาก็รีบเรียกแท็กซี่ออกไปอย่างร้อนใจทันที ทงเฮจะต้องไม่เป็นอะไร ลูกชายของอี ฮยอกแจจะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด
อย่าทิ้งปะป๊าไปนะลูก ปะป๊ากำลังไปหาทงเฮแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฮยอกแจก็วิ่งตรงมายังห้องฉุกเฉิน ลูกชายตัวน้อยๆ ของเขานอนหายใจรวยรินอยู่ในตู้อบ ฮยอกแจได้แต่ยืนเกาะกระจกใสด้วยสายตาละห้อย ถ้าหากเขาอยู่ดูแลลูกตลอดเวลา ทงเฮก็คงไม่ต้องมาเจ็บป่วยแบบนี้
“ฮยอกแจ พี่ขอโทษ...พี่ดูแลหลานไม่ดี” จองซูเดินเข้ามาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ผมต่างหากครับที่ไม่ดี ผมไม่น่าไปทำงานเลย ผมเห็นว่าเขาตัวอุ่น แต่ไม่คิดว่าเขาจะไม่สบายหนักขนาดนี้ ถ้าผมเจ็บแทนทงเฮได้...”
ฮยอกแจจุกที่หน้าอกจนพูดอะไรไม่ออก ทงเฮทำท่าเหมือนจะลืมตาขึ้นมามองเขา แต่แล้วก็หลับลงไปอีกครั้ง ทำให้ฮยอกแจทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง เขาจะทำยังไงดี ฮยอกแจจะแบ่งความเจ็บปวดมาจากลูกชายตัวน้อยๆ ของเขาได้อย่างไร
ดวงใจของปะป๊า ทงเฮจะต้องไม่เป็นอะไรนะลูก ปะป๊ารักทงเฮนะครับ
น้ำตาของเด็กทารกรินไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอเบาๆ ราวกับต้องการจะเอื้อนเอ่ยคำบางคำกับคนเป็นพ่อ ฮยอกแจเลื่อนมือที่แตะกระจกลงมาช้าๆ ราวกับเขากำลังลูบปลอบโยนลูกชายให้หายป่วย ราวกับกำลังกุมมือเล็กๆ ของทงเฮเอาไว้แน่นไม่ไปไหน
“ทงเฮของป๊า”
“ใครเป็นผู้ปกครองของเด็กครับ?”
เสียงนายแพทย์มีอายุคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น ฮยอกแจกับจองซูรีบปรี่เข้าไปหาทันที
“ผ...ผมเองครับ ผมเป็นพ่อของเขา”
แพทย์คนนั้นขยับแว่นมองดูเด็กหนุ่มที่หน้าตาอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นพ่อคนได้ ก่อนจะก้มลงมองแฟ้มที่อยู่ในมือแล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ลูกชายของคุณปลอดภัยแล้วครับ”
ฮยอกแจยกมือขึ้นทาบหัวใจด้วยความโล่งอก น้ำตาอุ่นไหลรินออกมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข โชคดีเหลือเกิน เป็นเพราะความโชคดีจริงๆ ที่ทงเฮไม่เป็นอะไรแล้ว
“แล้วลูกของผมเป็นโรคอะไรเหรอครับ”
“เด็กเป็นโรคภูมิแพ้อากาศน่ะครับ เท่าที่สังเกตคือเด็กคนนี้มีภูมิต้านทานต่ำมาก อาจจะเกิดจากการที่ไม่ได้รับสารอาหารจากนมมารดา เมื่ออากาศเย็นมากๆ จะทำให้เป็นหวัด ถ้าเสมหะไหลลงคอมากๆ อาจจะเสียชีวิตฉับพลันก็ได้ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลทัน”
“พี่จองซู”
ฮยอกแจหันไปเรียกชื่อจองซูด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ถึงเขาจะไม่ได้เรียนสูงนัก แต่ฮยอกแจก็พอจะรู้ว่าโรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หายขาดได้ง่ายๆ การที่ทงเฮเป็นโรคนี้ก็เท่ากับว่าทงเฮเป็นเด็กที่อ่อนแอกว่าเด็กคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไรนะฮยอกแจ เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้” จองซูเอ่ยขึ้นพลางแตะไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ
“ผมจะเข้มแข็งครับ ผมจะต้องเข้มแข็งเพื่อลูกของผม”
แม้คำพูดจะมุ่งมั่นมากสักแค่ไหน แต่อี ฮยอกแจกลับซ่อนน้ำเสียงที่สั่นเครือนั้นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
หลายเดือนต่อมา ฮันกยองก็สามารถใช้ชีวิตใหม่ในโรงเรียนได้เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เขาทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับต้นๆ ของสายชั้น นอกจากนั้นยังมีความสามารถในด้านกีฬาและด้านดนตรีจนอาจารย์ต่างพากันชื่นชมไม่ขาดปาก
แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครรู้
ทุกๆ เย็นหลังจากที่เด็กนักเรียนทยอยกลับบ้าน ในเวลาที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงสีส้มเรืองรองไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันให้ทั้งความรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่จนถึงที่สุด ฮันกยองมักจะไปนั่งเล่นอยู่ที่บันไดหนีไฟเพื่อมองดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับไป
เขารอจนกว่าจะมีใครบางคนเดินผ่านมาเจอ
“อ้าว...น้องยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?”
เด็กหนุ่มหน้าหวานที่เรียนอยู่เกรดเก้าเปิดประตูบันไดหนีไฟเข้ามาแล้วทำหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นคนยืนหันหลังอยู่ ฮันกยองหันไปส่งยิ้มบางๆ เหมือนกับที่เขาเคยทำให้ทุกคนที่ผ่านมาที่นี่
“รอพ่อมารับน่ะครับ” เด็กชายที่เรียนเพียงชั้นประถมปีสุดท้ายหันไปตอบเสียงเยือกเย็น
“แล้วทำไมไม่ลงไปรอข้างล่างล่ะ”
“แล้วรุ่นพี่ล่ะครับ ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวเหรอ?”
คำถามนั้นทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาขนลุกซู่ ขาเรียวถอยกรูดไปติดประตู ก่อนจะจับลูกบิดไว้แน่น หากแต่ฮันกยองกลับว่องไวกว่าหลายเท่านัก เด็กชายเข้ามาประชิดถึงตัวรุ่นพี่แล้วจับอีกฝ่ายหันหน้าแนบชิดไปกับกำแพงอย่างรวดเร็ว
“จะ...จะทำอะไรน่ะ?”
น้ำเสียงนั้นเอ่ยถามขึ้นด้วยอารามตกใจ ทว่าฮันกยองกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิด เขากดจมูกลงไปกับลำคอระหง แล้วลากลิ้นสากไปด้วยท่าทางหื่นกระหายเกินกว่าที่เด็กประถมจะทำได้
“ปล่อย...อึก...ปล่อยนะ”
“เอาน่า แปบเดียวก็เสร็จแล้ว”
มือหนาค่อยๆ สอดเข้าไปในกางเกงนักเรียนของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มรุ่นพี่หลับตาแน่นปี๋ น้ำตามากมายรินไหลออกมาเต็มใบหน้าหวาน หากแต่เขาไม่สามารถเปล่งเสียงร้องให้ใครเข้ามาช่วยได้เลย เขากลัวมากเหลือเกิน
“...ฮึก...”
เสียงสะอื้นยังดังคลออยู่เรื่อยๆ ฮันกยองทำเพียงกระตุกยิ้มบางเบา ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็แค่ใช้นิ้วแล้วปล่อยไป แต่กับผู้ชายคนนี้ ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ฮันกยองดึงกางเกงขายาวของอีกฝ่ายร่นลงอย่างไม่ปรานี
“ยะ...อย่านะ...”
“เงียบๆ เถอะน่า บอกแล้วไงว่าแปบเดียว”
ฮันกยองรูดซิปกางเกงของตัวเองลงแล้วควักมังกรยักษ์ที่มันขยายเต็มที่ออกมาจ่อกับช่องทางเล็กๆ ด้านหลังของรุ่นพี่ หากแต่เสียงที่เหือดหายไปในตอนแรกกลับแผดดังลั่น
“ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!!”
ประตูถูกผลักออกอย่างรวดเร็ว ฮันกยองถอยกรูดไปติดกับกำแพงอีกฝั่งของบันไดหนีไฟ ในขณะที่อาจารย์ประจำเกรดเก้าและหัวหน้าสายชั้นกลับเบิกตาโพลงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ซ...ซีวอน...”
เสียงหวานเรียกชื่อหัวหน้าสายชั้นที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ชเว ซีวอนรีบเข้ามาประคองร่างบางเอาไว้แนบอก ก่อนจะดึงกางเกงอีกฝ่ายขึ้นด้วยท่าทางสุภาพบุรุษอย่างเหมือนเคย
“ฉันมาช่วยแล้วนะคยูฮยอน ขอโทษที่มาช้า ขอโทษจริงๆ”
“...ฮึก...ฉันนึกว่านายลืมนัดของเราไปแล้วซะอีก...ฮือ...”
โจ คยูฮยอนยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะหมดสติไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายในทันที ฮันกยองได้แต่ยืนหน้าซีดอยู่กับที่ เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวหรือวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้น อาจารย์เลยพาตัวเขาเข้าไปในห้องปกครองได้อย่างง่ายดาย
บางครั้ง...
การเริ่มต้นที่รวดเร็วก็มักจะจบลงด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน
Talk with Lee Seen
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...
ความคิดเห็น