ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [SF] All I want for Valentine's Day is you
All I want for Valentine's Day is you
จีฟ่าน ตงไห่ @ ห้องนอนใหญ่ ใต้หลังคา The Grand Place
เทศกาลวาเลนไทน์. . .
หัวใจของคนที่มี 'คนรัก' มันต้องซาบซ่านไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไม... ผมถึงรู้สึกตรงกันข้าม!
“หน้าบึ้งเป็นตูด คนขายขนมหน้าบึ้งแบบนี้ ใครเขาจะอยากเข้ามาซื้อ!”
ประตูร้าน The Grand Place ที่ปิดทำการไปแล้วเปิดออกพร้อมกับน้ำเสียงล้อเลียนของคนตัวผอมบางที่เดินดูดนมกล่องสตรอเบอร์รี่เข้ามาอย่างเริงร่า ผมมองหน้าคนที่ล้อผมแล้วก็ทำเบือนไปทางอื่น
“นี่! อย่ามาเมินฉันนะอีทงเฮ” คิดไว้ไม่มีผิดเลยว่าอีฮยอกแจจะต้องโวยวายถ้าผมทำเมินไม่สนใจ
“ก็นายล้อฉันก่อน... เฮ้อ~ ยอมก็ได้ ไม่เถียงด้วยแล้ว” ผมบอกพร้อมกับถอนหายใจ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร จะเป็นผมที่ยอมให้เขาก่อนเสมอ เพราะมีเรื่องกับฮยอกแจไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ยังไงซะผมก็ไม่มีวันชนะลูกพี่ลูกน้องคนสนิทคนนี้ได้หรอก
“เลิกเลยดิ” พูดอะไรของเขาน่ะ อยู่ๆก็พูดขึ้นมา ฮยอกแจนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูงหน้าเคาน์เตอร์ชงกาแฟ ก่อนจะหรี่ตามองผม และไม่พูดอะไรออกมาอีก ผมจึงต้องเป็นฝ่ายถามขึ้น
“เลิกอะไร”
“ก็เลิกกับคิมคิบอมอะไรนั่นไง”
“ฮยอกแจ!”
ผมตกใจเมื่อได้ยินเขาพูดออกมาอย่างนั้น 'คิมคิบอม' คือคนรักของผม เขาเป็นดาราที่ต้องมาถ่ายละครที่ไต้หวัน เราสองคนเจอกันด้วยความบังเอิญในร้านขนมของผมเอง และที่บังเอิญมากกว่านั้นคือเขาเป็นรักแรกของผมด้วย แค่คิดว่าจะต้องเลิกกัน หัวใจมันก็สั่นขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ดูเหมือนฮยอกแจจะชอบใจเมื่อได้เห็นผมทำหน้าตาเหรอหรา เขาหัวเราะใหญ่ เห็นแล้วอยากจะไล่กลับเกาหลีเดี๋ยวนี้เลย
“ก็เป็นแฟนกันประสาอะไรล่ะ ปล่อยให้นายนั่งทำหน้าตูดทุกวัน”
“ฉันไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นสักหน่อย” ก็เขาต้องทำงานนี่... ผมต่อในใจ ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะยิ่งคิดถึงมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจมากเท่านั้น เดี๋ยวนี้เราเจอกันน้อยลง เพราะคิวละครของเขาถี่มากขึ้น จากที่แชทคุยกันบ่อยๆ ก็น้อยลงด้วย เวลาที่คิบอมเลิกกองดึกๆ แล้วแวะมาหาที่ร้าน ผมก็ไม่อยากจะฉุดรั้งเขาไว้นาน เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ได้พักผ่อน
“ถ้าหมอนั่นมาหาเมื่อไร ฉันต่อยให้เอามั้ย”
“บ้าน่า... ขอบใจนะฮยอกแจ” ผมปรามก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นขอบคุณเขา เพราะรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาด้วย ถึงแม้ในฐานะจริงๆ แล้วเขาจะเป็นพี่ผมหลายเดือนก็ตาม
“เฮอะ น่าหมั่นไส้ชะมัด” ฮยอกแจทำปากยื่นแก้เก้อ แล้วที่เขาหมั่นไส้ก็คงเพราะรู้ว่าผมกำลังปกป้องคิบอมอยู่ เห็นฮยอกแจต่อต้านคิบอมแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่ชอบคิบอมหรอกนะ แต่เป็นเพราะเราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิท ความผูกพันของเรามันก็เลยมีมากเป็นพิเศษ ที่สำคัญฮยอกแจเป็นเด็กขี้อิจฉา คงกลัวว่าคิบอมจะแย่งความรักจากผมไปจนหมด
เห็นเปรี้ยว เฉี่ยว มั่นใจ และไม่ยอมใครแบบนี้
อีฮยอกแจเป็นคนที่อ่อนไหวมากเลยล่ะ มีแค่ผมเท่านั้นที่เข้าใจ~
“ว่าแต่เมื่อไรล่ะ... คุณหนูฮยอกแจถึงจะยอมเปิดใจมีแฟนกับเขาบ้าง”
ผมเปลี่ยนจากเรื่องของผมมายังเรื่องของฮยอกแจทันที คนถูกถามทำหน้าบู้อย่างเบื่อหน่าย ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ พูดเรื่องแฟนทีไร ฮยอกแจทำหน้าเบื่อโลกทุกที ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาชอบนะ ตรงกันข้ามเลยล่ะ คนที่เข้าหาฮยอกแจมีมากมายทั้งผู้ชายแล้วก็ผู้หญิง แต่เจ้าตัวก็จะเลือกคบคนที่เห็นว่าน่าสนใจเท่านั้น และที่ผ่านมาก็ไม่เคยคบใครจริงจังเลย วันไหนอารมณ์ไม่ดีก็บอกเลิกไปดื้อๆ
“เปิดใจอะไร ไม่เอาด้วยหรอก ถ้ามีแฟนแล้วต้องมานั่งหน้าตูดก็ไม่เอาด้วยหรอก!”
“บอกว่าไม่ได้หน้าตูดไง! นี่ถ้าฉันหน้าตูด นายก็ต้องหน้าตูดด้วย เพราะพวกผู้ใหญ่ชอบบอกว่าเราเป็นแฝดกัน” ผมบีบแก้มขาวๆ ของเขาจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อ มีฮยอกแจอยู่ด้วยแบบนี้ก็ดีแฮะ แต่อีกเดี๋ยวฮยอกแจก็ต้องกลับเกาหลีแล้ว เขามาไต้หวันเพราะต้องมาทำธุระให้คุณพ่อซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณลุงของผมก็เท่านั้นเอง
“อื้อ ใจหายจัง นายมีแฟนแล้ว ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย นายเป็นของฉันนะ ทงเฮของฉัน”
ฮยอกแจเริ่มงอแง เขาดึงแก้มผมจนยืดออกทั้งสองข้าง พร้อมกับมองมาตาละห้อย เห็นแบบนั้นก็อดขำไม่ได้
“ขี้หวง”
“แล้วนายไม่หวงฉันเหรอ” เขาทำหน้าบึ้งตึงเมื่อโดนผมว่า ทั้งที่เป็นพี่แท้ๆ แต่บางครั้งก็ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ
“หวงสิ... ถ้านายคิดจะมีใครจริงจังเมื่อไร คนคนนั้นก็ต้องผ่านด่านฉันก่อน เพราะฮยอกแจก็เป็นของฉัน”
“ดีจังที่ชีวิตฉันมีนายอยู่~” ฮยอกแจยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของเราสองคนอยู่แล้ว
“อื้อ~ เหมือนกัน” ผมตอบพร้อมกับหอมแก้มนุ่มๆ ของเขาคืน แล้วเราสองคนก็หัวเราะไปด้วยกัน
ก็อก ก็อก ก็อก !
เราสองคนผละออกจากกัน แล้วหันไปมองที่ประตูร้านโดยพร้อมเพรียง
“ตายยากจริง ฉันขึ้นข้างบนล่ะ ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ”
ฮยอกแจยืดตัวขึ้นพร้อมมองผมสลับกับประตูร้านอย่างล้อเลียนก่อนจะเดินไปเปิดตู้ขนมแล้วหยิบเอาขนมติดมือไปด้วยหลายกล่อง
ผมยิ้มให้ฮยอกแจก่อนจะเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ไปยังประตูร้าน ที่หน้าร้านมีคนที่ผมไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันยืนกอดอกรออยู่
“อะไรเนี่ย!”
ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ หลังจากที่เปิดประตูให้ คิบอมก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่น ไม่เท่านั้นยังก้มหน้ามาหอมแก้มผมซ้ำๆ สลับกันไปมาทั้งสองข้าง ไม่ยอมหยุด จนผมเองยังรู้สึกว่าแก้มมันร้อนขึ้นมาแล้ว
“อยากหอมบ้าง อิจฉาแฝดนาย” นานทีเดียวกว่าเขาจะยอมหยุดรุกรานแก้มผม
“ทำหน้าตลกจัง”
ผมหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึง คิบอมชอบทำหน้าบึ้ง หน้าหงอย เวลาที่เขารู้สึกน้อยใจหรือโกรธเคืองเล็กๆ น้อยๆ
จะว่าผมโรคจิตก็ได้นะ...
แต่ผมชอบเวลาที่เขาทำหน้าแบบนี้
มันเหมือนว่าผมเป็นคนสำคัญ~
“อื้ออ พอแล้ว จะหอมทั้งคืนเลยหรือไง”
ผมประท้วงอีกครั้ง เพราะพอเขานั่งลงบนโซฟาตัวประจำได้ก็ดึงผมลงไปนั่งบนตักของเขาแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาหอมผมอีก
“ก็แก้มนายหอมจะตาย หอมทั้งคืนก็ได้นะ ไม่มีปัญหา”
“ทะลึ่ง!”
“ก็ใครล่ะที่เปิดทาง” คิบอมยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มแบบที่ทำให้ผมใจเต้นแรงทุกครั้ง แล้วหน้ามันก็จะแดงโดยอัตโนมัติ ให้เขาได้ส่งสายตาล้อเลียนกลับมาบ่อบๆ
“บ้า... ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”
“หอมฉันบ้างสิ” เขายกแขนขึ้นกอดผมหลวมๆ พร้อมกับซบใบหน้าลงมาที่แขนของผม แล้วก็ฝังมันไว้อย่างนั้น
“อะไรเล่า” ผมลูบกลุ่มผมสีดำสนิทเบาๆ อย่างเก้อเขิน เมื่อได้ยินคำขอตรงไปตรงมาแบบนั้น
“ทีฮยอกแจล่ะ” เขาผละใบหน้าออกจากแขนผม แล้วก็มองมาตาละห้อย
“ฮยอกแจเป็นพี่ชายฉันนะ”
“ฉันก็เป็นแฟนนายอ่ะ” เขาเถียงกลับทันควัน อยากจะบ้าตาย นี่น่ะหรือคิมคิบอม พระเอกขี้เก็กที่เคยเห็นในทีวี เป็นคนเดียวกับคนที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงปนหงอยเหงาใส่ผมจริงๆหรือ
“ก็ได้ๆ”
“เหมือนไม่เต็มใจ”
“ขี้งอนอะไรเนี่ย ตัวก็โต ตลกชะมัด” ผมวางมือทั้งสองข้างลงบนแก้มอูมๆ ของเขา พร้อมกับโยกมันไปมา
“...”
ความเงียบของคิบอมทำให้ผมรู้สึกใจเสียขึ้นมาทันที เมื่อคิบอมไม่ยอมพูดอะไร ผมจึงละมือออกแล้วเปลี่ยนเป็นริมฝีปากแทน ผมหอมแก้มอูมทั้งสองข้างนั้นอย่างเท่าเทียม และฟอดใหญ่ด้วย!
“ยิ้มหน่อยนะ ไม่เจอตั้งหลายวัน พอเจอกันแล้วยังทำหน้าบึ้งใส่อีก”
“หึหึ”
คิบอมหัวเราะในลำคออย่างชอบใจที่ได้แกล้งผม เห็นแบบนั้นแล้วก็อดไม่ไหว ก็เลยทุบบ่ากว้างนั้นไปหลายที แต่ไปๆ มาๆ มือของผมก็ตกไปอยู่ในฝ่ามืออบอุ่นของเขา เรานั่งกอดกันเงียบๆ อยู่หลายนาที ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายพูดออกมา
“คิดถึงจัง”
“เหนื่อยมั้ย” ผมลูบแก้มของเขาเบาๆ รู้สึกว่าใบหน้าของเขามันสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนล้าได้อย่างชัดเจน เขายิ้มบางๆ ก่อนจะกระชับลำแขนที่โอบกอดผมอยู่ให้แน่นขึ้น
“อื้ม~ อยากกอดนายทุกวันหลังเลิกกอง มันทำให้ฉันมีแรงขึ้นมาจริงๆนะ”
“ฉันเป็นที่ชาร์ตแบตเหรอ” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ เพราะดูเหมือนมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็เขาชอบมากอดผม แล้วก็บอกว่าทำให้มีแรงขึ้นมาทุกที
“หึหึ”
“หัวเราะอะไร” เสียงหัวเราะของเขาทำเอาผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะมันไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิดเดียว นี่ผมพูดอะไรที่มันชวนขำขนาดนั้นเลยเหรอ
“จะเป็นที่ชาร์ตแบตจริงอ่ะ”
“ทำไมล่ะ...” เรื่องที่ชาร์ตแบตจริงๆด้วย แต่ผมเห็นว่ามันไม่น่าหัวเราะตรงไหนเลยนะ
“...”
“บอกมานะ ยิ้มกรุ่มกริ่มอะไร” เพราะคิบอมไม่ยอมตอบแต่กลับยิ้มแบบมีเลศนัยมันก็เลยทำให้ผมเริ่มร้อนรน อยากจะรู้ให้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คิบอมเห็นผมจ้องไม่ยอมเลิก ก็เลยยอมบอกออกมา แต่ด้วยการกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูผม
“มันต้องเสียบนะ ถึงจะชาร์ตได้~”
“ไอ้บ้า! ลามก!! บ้าที่สุดเลย!” ผมตาโตทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แล้วก็ยกมือขึ้นทุบเขาชุดใหญ่ คำพูดที่ล่อแหลมแบบนั้นเขาพูดมันออกมาได้ยังไงกันนะ แถมท่านั่งตอนนี้มันก็ชวนให้คิดอีกด้วย
ตัวผมจะระเบิดแล้วนะ!!!
“โวยวายอะไรเนี่ย ในหัวคงคิดภาพไปถึงไหนต่อไหนแล้วสิ”
คิบอมหลบหลีกมือผมได้อย่างคล่องแคล่วแถมยังมีแรงล้อต่ออีก ก็พูดให้คิด มันก็ต้องคิดสิ ผมผิดตรงไหนล่ะ เขานั่นแหละที่ผิด!!
“หยุดพูดเลยนะ!” ผมยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขานิ่ง คิบอมยอมหยุดล้อ แต่กลับจุ๊บเบาๆ ลงบนนิ้วของผม ผมนี่เก็บนิ้วแทบไม่ทัน ทำบ้าอะไรไม่รู้ น่าอายจะตายไป!
“คืนนี้ขอนอนด้วยนะ พรุ่งนี้พักกอง” เมื่อเห็นว่าผมกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วคิบอมก็เอ่ยขอออกมา ผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะเพิ่งนึกได้
“อ้อ... หยุดตรุษจีนเหรอ”
“อื้ม อยากกินต็อกฝีมือนาย” คิบอมยิ้มจนตาของเขาเหลือเพียงขีดเดียว เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกระเป๋าใบเล็กๆ ของเขา
“ขนเสื้อผ้ามาขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันบอกว่าไม่ให้นอนด้วย นายจะกลับโรงแรมหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มีทาง เพราะฉันรู้ว่านายไม่ไล่ฉันอยู่แล้ว”
“หลงตัวเอง” ผมตีมือลงบนแก้มอูมนั้นเบาๆ คนอะไรมั่นใจในตัวเองได้ขนาดนี้
“แล้วจริงมั้ย”
“อื้อ” ก็ดันเออออออกไปได้นะอีทงเฮ!
“อื้ออย่างเดียวอีกแล้ว ไม่เข้าใจหรอก”
“อื้อ!! ใครจะไล่แฟนตัวเองได้ลงคอ!” ต้องบังคับให้ผมพูดให้หมดใช่มั้ย สมใจคนเอาแต่ใจเขาแล้วล่ะ เพราะหน้างี้บานเลย แถมยังหัวเราะร่วนอีกด้วย
“ฮาๆ รักทงเฮจัง~”
คิบอมจุ๊บแก้มผมเบาๆ พร้อมกับบอกรัก ทำเอาผมเขินจนแทบละลาย ต้องเฉไฉลุกขึ้นยืนแล้วลากเขาขึ้นห้อง
ไม่นะ... อย่าคิดไปไกลสิ
ก็เขาขอนอนด้วย จะให้นอนห้องครัวหรือไงล่ะ!! >__<
ผมเดินนำคิบอมขึ้นมายังห้องนอนของผม ก่อนจะยกมือเคาะประตูสองสามทีเพราะรู้ดีว่าฮยอกแจต้องอยู่ในห้องของผม ถึงแม้ว่าจะมีห้องของตัวเอง แต่ตั้งแต่มาไต้หวัน ฮยอกแจก็ย้ายมานอนห้องผมทุกคืน
“หื้อ?”
คนตัวผอมในชุดนอนที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงส่งเสียงออกมาอย่างแปลกใจเมื่อหันมาเห็นเราสองคนยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ผมก็เลยทำลายความสงสัยนั้นทันที
“ฮยอกแจ... คืนนี้คิบอมนอนด้วยนะ พรุ่งนี้เดี๋ยวพวกเราจะได้ช่วยกันทำต็อกไง”
“รบกวนด้วยนะครับ... พี่ชาย~” ฟังดูก็รู้ว่าคิบอมกำลังตีรวนฮยอกจ สองคนนี้นี่นิสัยเหมือนกันเลยแฮะ ขี้หวงแถมยังขี้อิจฉาด้วย
“อ้อ... ได้เลย~ ไม่มีปัญหา” ฮยอกแจยิ้มรับซะหวานหยด แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกันดีแบบผมมองแล้วบอกได้เลยว่าเจ้าตัวกำลังคิดเรื่องแสบๆ อยู่แน่นอน
“งั้นนายไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน ฉันจะได้จัดห้องด้วย” ผมยุติสงครามประสาทของคนทั้งคู่ด้วยการส่งผ้าเช็ดตัวให้คิบอม ซึ่งเขาก็รับเอาไปและทำตามแต่โดยดี
“ไวไฟ” ฮยอกแจวางโทรศัพท์ลงบนเตียงก่อนจะเด้งตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วจ้องผมเขม็ง
“อะไรเล่า แค่นอนเฉยๆ ไวไฟอะไร คิดมาก อีกอย่างเราก็เป็นผู้ชายเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย” ผมอธิบายยาวเหยียดพร้อมกับจัดหมอนและผ้าห่มไปด้วย เตียงของผมใหญ่พอที่จะนอนด้วยกันทั้งสามคน
“อ้อเหรออออ งั้นบอกมาเลย คืนนี้นายจะกอดหมอนั่นหรือกอดฉัน”
“บ้า...” ผมเอาหมอนอุดปากเขาแน่น ประจวบเหมาะกับคิบอมเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เราสองคนจึงหยุดสงครามหมอนเอาไว้แค่นั้น
“เดี๋ยวฉันอาบน้ำก่อนนะ” ผมบอกทั้งคู่ก่อนจะฉวยเอาผ้าเช็ดตัวและชุดนอน แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำทันที
ผมพยายามอาบน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยสองคนนั้นให้อยู่กันตามลำพัง ด้วยกลัวว่าจะตีกันตายซะก่อน ผมสวมเสื้อนอนหลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันได้เดินออกจากห้องน้ำก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะเสียงที่ดังแว่วมาจากเตียง
“นี่... ฉันน่ะ... เป็นที่หนึ่งมาตลอดนะ นายมาทีหลังต้องเป็นที่สอง” เป็นเสียงของฮยอกแจ ได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะ แต่ต้องกลั้นเอาไว้ก่อน
“ครับ กลัวทงเฮรักผมมากกว่าเหรอ”
“เฮอะ! ไม่มีทางหรอก” ผมขยับออกมาเล็กน้อย จึงทันได้เห็นฮยอกแจเชิดหน้าใส่คิบอม ก่อนจะหันกลับมาจ้องคิบอมนิ่ง
“แล้วก็... นายไม่มีสิทธิ์ทำให้ทงเฮเสียใจ”
“...” คิบอมเงียบ ผมเองก็อยากจะฟังเหมือนกันว่าเขาจะตอบโต้ยังไง
“ถ้านายทำทงเฮเสียใจ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
“ผมสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด”
ผมไม่สามารถสะกดรอยยิ้มเอาไว้ได้เมื่อได้รับรู้ถึงความรักจากคนทั้งสองคนที่ผมรัก ที่จริงแล้วคิบอมไม่ได้เป็นที่สองหรอกนะ ก็เป็นที่หนึ่งทั้งคู่นั่นแหละ เพียงแค่มันเป็นที่หนึ่งคนละแบบเท่านั้นเอง
ผมลงน้ำหนักเท้าให้หนักขึ้นเพื่อให้ทั้งสองคนรู้ตัวว่าผมออกจากห้องน้ำมาแล้ว และแน่นอนว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ฮยอกแจหันกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ ส่วนคิบอมก็นั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียง
“นั่งนี่สิ เดี๋ยวฉันเช็ดให้” คิบอมดึงมือผมให้นั่งลงบนเตียง พร้อมกับฉวยผ้าขนหนูในมือมาถือไว้ ฮยอกแจเหลือบตามามองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“พอแล้ว ดึกแล้ว นอนเถอะ ตานายจะปิดแล้วเนี่ย ฮยอกแจง่วงแล้วใช่มั้ย” ผมบอกหลังจากที่ผมเริ่มจะแห้ง ดูก็รู้ว่าคิบอมกำลังฝืน
“อื้อ~” ฮยอกแจตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะเอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอนที่ประจำ
ผมเห็นแบบนั้นก็ดึงผ้าขนหนูออกจากมือคิบอมแล้วบอกให้เขานอน คิบอมยิ้มก่อนจะล้มตัวลง ผมจึงเอาผ้าขนหนูไปเก็บก่อนจะกลับมาล้มตัวนอนบนเตียง อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งคู่
“ไม่มีจูบราตรีสวัสดิ์เหรอ” คิบอมกระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ ได้ยินแบบนั้นผมก็เลยทุบเขาไปหนึ่งที
“บ้า....”
“จุ๊บ~” เสียงจุ๊บดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน แต่ไม่ใช่คิบอมหรอกนะที่จุ๊บผม เป็นฮยอกแจต่างหากที่ลุกมาจุ๊บแก้มผม
ไม่ต้องเอาชนะกันทุกเรื่องก็ได้นะ!!
พอฮยอกแจได้แกล้งคิบอมแล้วก็กลับไปนอนยิ้มหวาน แม้ว่าดวงตาเรียวจะปิดไปแล้ว แต่ฮยอกแจก็ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น แต่พอผมหันกลับมามองคนอีกข้างก็กลับเจอใบหน้าบึ้งตึง
“ยอมกันบ้างไม่ได้เหรอ” ผมบอกคิบอม ซึ่งเขาก็ส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ
“เหมือนเด็กทั้งคู่เลย” ผมส่ายหน้าก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มของเขาเบาๆ ไม่อยากให้ฮยอกแจรู้หรอกว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
“อื้ออ ไม่เอานะ” ผมเผลอร้องออกมาเมื่อคิบอมยกแขนขึ้นกอดผม แถมยังเอาริมฝีปากมาคลอเคลียแก้มของผมด้วย
“อย่าโวยวายสิ ไม่กลัวแฝดนายเห็นเหรอ” คิบอมกระซิบเบาๆ แล้วริมฝีปากของเขามันก็อยู่ชิดกับริมฝีปากของผมด้วย
“อะ อื้ม~”
ผมไม่สามารถประท้วงอะไรออกมาได้อีกเมื่อคิบอมงับริมฝีปากของผมไว้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดูดดันเบาๆ แก้มของผมมันร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที คิบอมละริมฝีปากออกก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาให้ ผมจึงกมือขึ้นฟาดเขาไปหลายที
“โธ่เว้ย! ไม่นอนด้วยแล้ว! คิมคิบอมจำไว้เลยนะ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ฮยอกแจเด้งตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาผมตกใจไม่น้อย แต่ดูเหมือนคิบอมจะไม่ตกใจอะไรเลย เขากำลังกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ด้วยซ้ำ ฮยอกแจสะบัดหน้าแดงๆของเขาให้เราสองคนก่อนจะเดินตึงตังออกจากห้องนอนของผมไป
“นิสัยไม่ดี แกล้งแฝดฉันเหรอ” ผมแก้แค้นให้ฮยอกแจด้วยการบิดแก้มอูมนั้นเต็มแรง คิบอมร้องโอดโอยก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้
“นายนั่นแหละ ครางเสียงดังเอง ฮยอกแจเลยรู้ว่าเราทำอะไรกัน”
“บ้า!! ไปนอนกับฮยอกแจดีกว่า” ผมว่าก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น แต่เขาก็สอดแขนมากอดเอวผมเอาไว้แน่น
“ไม่เอานะ สัญญาว่าจะไม่แกล้งเขาอีก นอนด้วยกันนะ ไม่คิดถึงฉันเหรอ”
คิบอมกอดผมแน่นพร้อมกับฝังใบหน้าไว้กับหลังคอของผม
เฮ้ออออ ใจอ่อนยวบเลยอีทงเฮเอ้ย!!
“อื้อ นอนได้แล้ว” ผมหันกลับไปบอกเขา พร้อมกับแถมรอยยิ้มให้ด้วย
“ฝันดีครับ~” คิบอมจูบหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาจูบเปลือกตา
“ครับ~”
ผมตอบรับได้เพียงเท่านั้นก่อนจะซุกใบหน้าเข้ากับอกของเขา แล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
คืนนี้... ผมคงนอนยิ้มทั้งคืน ~
: All I want for Valentine's Day is you :
วันนี้เป็นวันตรุษจีนหรือวันปีใหม่ของชาวจีน ผมก็เลยปิดร้านเพื่อให้พนักงานในร้านได้หยุดพักในวันปีใหม่ และสำหรับคนเกาหลีแล้วในวันนี้จะต้องกินซุปเค้กข้าวหรือต็อก เพราะความเชื่อที่ว่าจะทำให้อายุยืนยาวและเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ผมตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอุปกรณ์ และหลังจากนั้นไม่นานฮยอกแจก็ตื่นมาช่วย แต่คิบอมนั้นผมปล่อยให้เขานอนไปไม่รบกวน เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยได้พักผ่อน
“เดี๋ยวฉันจัดโต๊ะให้ นายไปปลุกพ่อพระเอกสุดหล่อของนายเถอะ” ฮยอกแจบอกหลังจากที่ผมหมุนปิดแก๊ส
“ล้อได้ล้อไป อย่ามีให้ล้อบ้างแล้วกัน” ผมแลบลิ้นให้ฮยอกแจเร็วๆ ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องครัว เพราะขืนอยู่ต่อฮยอกแจต้องโวยวายใส่ผมแน่นอน
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของตัวเองอย่างเงียบเชียบ คิบอมยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ผมก็เลยค่อยๆ ขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียง
“คิบอม...” ผมหยั่งเชิงลองเรียกเขาเบาๆ คิดว่าถ้าเขาไม่ตื่น ก็จะปล่อยให้เขาได้นอนจนกว่าจะตื่นเอง แต่เพียงไม่นานคิบอมก็เปิดเปลือกตาขึ้น
“นอนต่อก็ได้นะ”
“อื้ม”
ผมไม่รู้ว่าเสียงครางของเขานี่หมายถึงอะไร รู้แต่ว่าในตอนนี้ผมกลับถูกดึงในลงไปนอนข้างๆ เขา แล้วเขาก็กอดผมแน่นเหมือนผมเป็นหมอนข้างของเขาเลย
“แป๊บนึงนะ” เขาบอกผมเบาๆ ผมก็เลยไม่ประท้วงอะไรออกมาอีก
“ยังง่วงอยู่มั้ย ถ้าง่วงก็นอนเถอะนะ”
“ไม่เอา... ถ้ามัวแต่นอนก็ไม่ได้อยู่กับนาย เสียดายวันหยุด”
ผมกลั้นยิ้มไม่อยู่เมื่อได้ยินเสียงงัวเงียนั้น คิบอมหอมแก้มผมเบาๆ ก่อนจะยอมลืมตาขึ้น
“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำ ฉันกับฮยอกแจทำซุปจนเสร็จแล้วนะ”
“ครับๆ” ถึงจะตอบออกมาแบบนั้นแต่คิบอมก็ยังไม่ยอมลุก ผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายดึงเขาขึ้นมา แต่ตัวเขาก็หนักเกินกำลัง ผมก็เลยล้มกลับลงไปทับอยู่บนตัวเขา
“ยั่วแต่เช้าเลยนะ” คิบอมลืมตาขึ้นมองพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม
“คนลามก!” ผมบิดหน้าท้องแกร่งนั้นเต็มแรง แต่คิบอมก็กลับหัวเราะออกมา ไม่แสดงความเจ็บปวดเลยสักนิด
“ฮาๆ ตื่นเต็มตาเลย”
“ไปช่วยฮยอกแจจัดโต๊ะดีกว่า~” ผมทุบลงไปบนกล้ามเนื้อแน่นนั้นอีกครั้ง ก่อนจะรีบยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปเลย
ขืนยังอยู่แบบนั้น
วันนี้ทั้งวันก็คงไม่ได้กินซุปหรอก!
หลังจากกินซุปกันแล้ว ผมกับคิบอมก็รับผิดชอบจัดเก็บถ้วยชามเพราะฮยอกแจนั้นออกไปเดินหาซื้อของขวัญสำหรับลูกค้าของคุณลุง ฮยอกแจต้องไปพบลูกค้าแทนคุณลุงในวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ เจ้าตัวก็เลยต้องรีบออกไปหาซื้อของขวัญ เพราะกว่าจะหาของถูกใจได้ สำหรับฮยอกแจแล้วคงต้องใช้เวลาหลายวัน
“อยากออกไปข้างนอกหรือเปล่า” คิบอมถามผมในขณะที่เขากำลังช่วยเช็ดจานชามที่ล้างเรียบร้อยแล้ว ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วถามเขาบ้าง
“นายล่ะ”
“ไม่อยากไปเหมือนกัน ขอเลือกอยู่กับนายทั้งวัน”
“ถามหรือยังว่าฉันอยากด้วยหรือเปล่า” ผมสวนกลับแล้วก็ยิ้มกวนให้เขาด้วย
“...”
“ล้อเล่นครับ โกรธทงเฮเหรอ” ทำไมผมต้องมาง้ออีกแล้วเนี่ย พูดเล่นแค่นี้ทำเป็นขรึม เฮอะ!
“...”
“ไม่เอาน่า... ทงเฮอยากอยู่กับคิบอมเหมือนกันแหละ” ผมซบหน้าเข้ากับไหล่ของเขาแล้วก็กลิ้งหน้าไปมา ถึงแม้จะอายอยู่บ้างที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้าทำให้คิบอมหายงอน ผมยอมอายก็ได้
“ยอมแล้วๆ นายนี่นะ จะอ้อนไปไหน” คิบอมยอมหายงอนอย่างรวดเร็วเหมือนทุกครั้งที่ผมลงมือง้อ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ผมยิ้มให้เขา ก่อนจะจูงมือหนานั้นออกมาจากห้องครัว
เราสองคนกลับขึ้นมาบนห้องนอนของผมเพราะอยู่ข้างล่างก็ไม่รู้จะทำอะไร ผมก็เลยลากเขาขึ้นมาดวลเกมส์ คิบอมเอาชนะผมได้ทุกครั้ง ถึงผมจะเจ็บใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นเขายิ้มและผ่อนคลาย ผมเองก็มีความสุขไปด้วย
“ช่วงนี้นายคิวแน่นจัง”
พอเบื่อเกมส์ก็เปลี่ยนมาดูหนัง ผมพูดขึ้นทั้งที่ยังคงนอนอยู่บนตักเขา คิบอมให้ผมหนุนตักเขาแทนหมอนระหว่างดูหนัง
“อื้อ เป็นฉากใหญ่ ต้องสมบูรณ์ที่สุด” เขาบอกผมพร้อมกับป้อนมันฝรั่งทอดกรอบเข้าปากผมด้วย
“เหนื่อยเลยสิ”
“ครับ แต่มันก็เป็นงานที่ฉันชอบ” เขายิ้มให้ผม มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นมาก ซึ่งแน่นอนว่าผมได้บันทึกรอยยิ้มนี้ของเขาไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ทำไมถึงชอบฉันล่ะ”
ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่จู่ๆก็ถามเขาออกมาแบบนั้น ก็มันอดคิดไม่ได้นี่นาว่าคนอย่างผมจะมีอะไรไปมัดใจเขาไว้ได้
“ไม่รู้สิ... แต่ถ้าให้เลิกชอบก็ทำไม่ได้แล้วนะ” คิบอมตอบพร้อมกับเอานิ้วมาเกลี่ยแก้มผมเล่น ผมก็เลยจับมือเขาเอาไว้
“นายว่าฉันเห็นแก่ตัวมั้ย”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น เป็นอะไรหรือเปล่า” เขายกมืออีกข้างขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ น้ำเสียงร้อนรนไม่น้อย เห็นแบบนั้นผมก็เลยหลับตาก่อนจะบอกออกมา
“ก็ฉัน... อยากเจอนายทุกวัน อยากได้ยินเสียง พอไม่ได้เจอหรือไม่ได้คุยมันก็รู้สึกไม่ดี ทั้งที่นายต้องทำงานแท้ๆ แล้วมันก็เป็นงานที่นายรักด้วย ฉันนี่มันแย่จริงๆ”
พูดออกมาได้ยังไงก็ไม่รู้ คงเพราะความรู้สึกนี้มันอัดแน่นอยู่ในใจผมมานาน พอไปสะกิดโดนเข้าก็เลยหลุดออกมาหมด
“พูดแบบนี้ฉันจะไปไหนรอดล่ะ” คิบอมจิ้มลงมาบนหน้าผาก ผมก็เลยลืมตาขึ้นมองหน้าเค้านิ่ง
“แล้วใครจะยอมให้ไป”
“ฉันจะยกเวลาว่างทั้งหมดของฉันให้นายคนเดียว ไม่เหลือให้คนอื่นแน่นอน” เขาโน้มหน้าลงมาจนหน้าเราเกือบจะติดกัน เสียงทุ้มของเขาดูจริงจังซะจนผมต้องแอบยิ้มในใจ
“ก็ลองเอาไปให้คนอื่นสิ” ผมดึงแก้มเขาให้ยืดออกจากกันพร้อมกับพูดขู่
“โหดจัง” คิบอมจุ๊บเบาๆ ลงมาบนปากของผม แล้วก็ยิ้มหวานให้ด้วย
“พูดจริงๆนะ” ผมยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขาด้วยหน้าตาจริงจังที่สุด แต่คิบอมกลับหัวเราะออกมา
“ครับๆ กลัวแล้ว ไม่มีให้ใครที่ไหนแน่นอน”
“ดีมากกกกก”
“นี่... เอานี่ไว้” หลังจากที่ผมลากเสียงยาวแล้ว คิบอมก็เอื้อมไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนาสีดำที่ผมเห็นเขาใส่บ่อยๆ มาคลุมตัวผมที่นอนขดหนุนตักเขาอยู่
“ทำอะไร...” ผมขยับตัวถามเขาอย่างสงสัย
“เสื้อตัวนี้ตัวโปรดฉันเลยนะ นายเอามันมาใส่ก็ได้วันที่ฉันไม่อยู่ แล้วมันก็จะเหมือนว่าเราได้อยู่ด้วยกัน”
เขาบอกพร้อมกับก้มลงมากอดผมซะแน่นเลย เสื้อของคิบอมที่อยู่บนตัวผมมันอุ่นเหมือนกับตอนที่เขากอดผมเเลย แถมกลิ่นในเสื้อก็เหมือนกลิ่นที่ผมคุ้นเคย เพราะมันเหมือนกับกลิ่นตัวของเขา ผมปล่อยให้เขากอดอยู่แบบนั้นก่อนจะขยับลุกไปยังตู้เสื้อผ้าของผม
“งั้น... นายก็เอาหมวกกับผ้าพันคอฉันไปด้วยนะ เวลาใส่มันก็นึกถึงฉันด้วยล่ะ”
ผมใส่หมวกไหมพรมสีดำและพันผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่ให้กับเขา คิบอมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโยกหัวผมไปมา ก่อนที่เราสองคนจะเปลี่ยนไปคุยกันมากกว่าจะสนใจดูหนัง เพราะเขาก็คงรู้สึกเหมือนกันกับผม
เราต้องเก็บช่วงเวลาที่มีค่านี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ^ ^
“ไม่ไปด้วยกันแน่นะ”
ฮยอกแจที่วันนี้แต่งตัวเต็มกว่าทุกวันถามผมเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเจ้าตัวกำลังจะออกเดินทาง
วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์แล้ว
เป็นวันสารภาพรักของคนที่ยังไร้คู่
และควรจะเป็นวันที่คนมีคู่ได้อยู่ด้วยกัน
แต่ผมเลือกไม่ได้ . . .
“ไปเถอะ ฉันไม่ชอบคนเยอะๆ นายก็่น่าจะรู้” เพราะสถานที่ที่ฮยอกแจจะไปนั้นเป็นสถานบันเทิงยามค่ำคืนซึ่งผมไม่ชอบเอาซะเลย
“โอเค~ ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ถ้าอยากไปหาก็โทรมานะ” ฮยอกแจยกมือขึ้นทำมือเป็นโทรศัพท์ ก่อนจะโบกมือแล้วเดินออกจากร้านไปขึ้นรถที่เจ้าของงานส่งมารอรับอยู่ที่หน้าร้าน
ผมตรวจดูความเรียบร้อยของร้านก่อนจะปิดประตูลงกลอนแล้วหยิบเอาขนมที่ผมเพิ่งจะทำเสร็จขึ้นไปบนห้องนอน ผมวางขนมไว้บนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วมือมันก็ฉวยเอาโทรศัพท์ขึ้นมามองอย่างไม่รู้ตัว
ไม่กล้าโทรหา....
กลัวจะไปรบกวนเขา
Rr r R rr~
เสียงริงโทนที่ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งจนเผลอปล่อยโทรศัพท์ลงบนเตียงก่อนจะรีบคว้ามันมากดรับ ไม่ต้องดูหน้าจอก็รู้ว่าใครโทรมา เพราะเสียงนี้ผมตั้งเป็นเสียงพิเศษเฉพาะเขาคนเดียว
(สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ)
“เมื่อคืนก็บอกไปแล้วไง ลืมเหรอ”
ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงทักคำแรกของเขาก่อนจะกวนกลับไป ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วผมจะรู้สึกดีเมื่อได้ฟังมันซ้ำก็ตาม เมื่อคืนตอนที่คุยกัน พอเที่ยงคืนปุ๊ปเขาก็รีบบอกรักผมทันทีเลย
(ไม่ได้ลืม... ก็อยากบอกซ้ำๆ)
“อื้ม! ขอบคุณนะ สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ” ผมแกล้งทำเสียงจูบส่งไปให้เขาด้วย คิบอมโอดครวญทันที เพราะวันนี้กองถ่ายเซตฉากอยู่ในเมืองที่ค่อนข้างห่างจากไทเป เขาคงกลับมาไม่ทันเหมือนที่เคยกลับมาหาผมในวันปีใหม่
“เหลืออีกเยอะมั้ย” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องงานเพราะเขาเริ่มจะงอแงอยากจะกลับขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวผู้จัดการของเขาจะว่าผมได้ว่าทำให้พระเอกเกเรหนีกอง
(คืนนี้เหลือซีนเดียว เสียใจอ่ะ วาเลนไทน์ทั้งทีแต่ไม่ได้อยู่กับแฟน)
“อยู่วันอื่นก็ได้นี่ หรือรักกันแค่วันวาเลนไทน์”
ผมเดินไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตของเขามาใส่ ก่อนจะนอนลงบนเตียง เสื้อของเขาทำให้ตัวผมอุ่นขึ้นมา อีกทั้งในใจยังรู้สึกอุ่นด้วย
(อยู่คนเดียวเหรอ) เขาถามเพราะคงรู้สึกว่ารอบตัวผมมันเงียบเชียบผิดปกติ เพราะทุกครั้งที่เราคุยกันต้องมีฮยอกแจมางุ้งงิ้งอยู่ใกล้ๆผม
“อื้อ ฮยอกแจไปทำธุระให้คุณลุง”
(แย่จัง...) เสียงของเขาเบาหวิว ซึ่งผมก็เดาได้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น เขาคงกลัวว่าผมจะเหงาสินะ คงรู้สึกผิดด้วยที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันในวันนี้ อันที่จริงตอนแรกผมก็น้อยใจนิดๆนะ แต่พอได้คุยกันแล้ว ผมก็เข้าใจว่าเราไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวันก็ได้ แค่ความรู้สึกของเรายังเหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ใกล้หรือไกลกัน เราก็จะรู้สึกได้เองว่าเราอยู่ข้างๆกันเสมอ
เหมือนในตอนนี้ . . .
“นี่... อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ ฉันร้องไห้จริงๆนะ”
(ไม่เอา~ ขอโทษครับๆ ยิ้มนะๆ)
“พรุ่งนี้นายก็กลับแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมต้องพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของผมเอาไว้ เพราะเดี๋ยวเขาจะได้ใจ อีกอย่างคิบอมชอบอ้อน ทำตัวเหมือนเด็กๆ ทั้งที่พรุ่งนี้ก็กลับมาแล้วแท้ๆ แต่ก็ทำเหมือนต้องอยู่ต่ออีกหลายวัน
(จูบกันนะ..) เสียงทุ้มที่ดังลอดมาทำเอาผมหน้าร้อน ก็ทำไมต้องพูดด้วยเสียงจริงจังขนาดนั้นด้วยเล่า!
“จูบยังไงเล่า...”
(เหมือนเดิม... นะๆ) กลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้ว ทำไมคิมคิบอมถึงทำให้ผมมีความสุขได้มากขนาดนี้นะ
“อื้อ~”
ผมตอบกลับไปเพราะรู้ดีว่าจูบเหมือนเดิมของเรานั้นเป็นแบบไหน ผมหลับตาหลังจากที่ได้ยินเขาเริ่มนับหนึ่ง และกดจูบลงไปบนหน้าจอเมื่อได้ยินเสียงนับสาม ทิ้งริมฝีปากไว้ที่หน้าจอนานพอสมควร ผมก็เอาโทรศพท์กลับมาแนบหูเหมือนเดิม
(รักทงเฮนะครับ)
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ผมเอาโทรศัพท์กลับมาแนบหูทำเอาหัวใจเต้นรัว ขนาดฟังแค่เสียงผมยังอายจนแทบละลาย ถ้าให้คิบอมมาสบตาแล้วพูดกับผมต่อหน้า ผมคงไม่สามารถยืนตัวตรงได้แน่ๆ
“อื้ม~ รักคิบอมเหมือนกันครับ”
ผมบอกเขากลับไปหลังจากที่ตั้งสติได้ เพราะเป็นสิ่งที่อยากจะบอกเขาทุกวันเหมือนกัน ผมไม่กล้าเป็นฝ่ายบอกเขาก่อนหรอกนะ ต้องรอให้เขาบอกก่อนแล้วผมบอกกลับไป แบบนี้มันถึงมีชั้นเชิงหน่อย หรืออีกทางนึงผมก็แค่เออออกลับไปให้คิบอมคาดคั้น แค่นั้นผมก็จะได้พูดสิ่งที่ผมอยากจะพูดแบบไม่ต้องรู้สึกอายปากมากเกินไป!
ผมนอนยิ้มอยู่บนเตียงหลังจากที่คิบอมขอตัวไปถ่ายละครซีนสุดท้ายของเขา และดูเหมือนไม่นานโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมาอีก แต่เป็นเสียงของข้อความ ผมรีบกดเปิดดูทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความของเขา
- Happy Valentine's Day , My Babe -
ข้อความภาษาอังกฤษของเขามาพร้อมกับรูปของเขาเอง แต่ที่ทำให้ผมแก้มร้อนและยิ้มจนแก้มจะระเบิด ก็คงเป็นเพราะในรูปเขากำลังสวมหมวกไหมพรมสีดำและพันผ้าพันคอสีแดงของผมอยู่ด้วย ผมกระชับเสื้อตัวใหญ่ที่ผมสวมใส่อยู่ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบขนมที่ผมหยิบติดมือขึ้นมาด้วยมาจุ๊บเบาๆ แล้วหยุดถ่ายรูปส่งไปให้เขาด้วย
'ช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์ ทงเฮให้คิบอม <3'
เพียงอึดใจเดียวคิบอมก็ส่งข้อความกลับมา ซึ่งทำเอาผมต้องกำมือแน่น อยากจะทุบเขาให้หนำใจแก้อาการเก้อเขินที่เป็นอยู่ในตอนนี้
- เดี๋ยวเสร็จงานแล้วกลับไปจัดหนักให้เลยนะที่รัก! -
วาเลนไทน์ของผมไม่ห่อเหี่ยวแล้วเพราะมีคิมคิบอมอยู่ตรงนี้
และที่สำคัญสำหรับคิบอมแล้ว ผมก็คงอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน...
แล้ววาเลนไทน์ของคุณล่ะ . . . ?
สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ ^ ^
THE END **
Kibummi Talk ::
ฮยอกแจน่ารักจุงบุยยยยยยยย ก๊ากกกกกกกกกกก ไม่ใช่ละๆ -..-
เขาเป็นแขกรับเชิญกิติมศักดิ์ตลอดอะคนนี้ 5555555555555~
คิเฮก็ยังคงใสใสเหมือนเดิม จริงๆว่าจะแทรกเอ็นซีสักหน่อย แต่ไม่ไหวแล้ว
ถ้ามีนะ เดี๋ยวมันยาวกว่านี้แน่ แค่นี้ก็ยาวมากแย้ววววววววววววววว
เอาไว้ไวท์เดย์ดีปะ? #ยังจะมีอีกเหรอ 5555555555555555
ฟิคเรื่องนี้ไม่มีตอนจบนะคะ เหมือนกับความรักของคิเฮ ฮิ้วววววววว~
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ คิดถึงรีดเดอร์ จุ๊บๆๆๆ <3
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น