คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : 10 การ์ตูนที่ผมประทับใจ ที่ได้อะไรมากกว่าการ์ตูน
10 การ์ตูนที่ผมประทับใจ ที่ได้อะไรมากกว่าการ์ตูน
แน่นอนคนที่ชอบการ์ตูนมักมีการ์ตูนอยู่ในใจหลายๆ เรื่อง บางเรื่องนั้นรักดั่งปานดวงใจ
และนึ้คือการ์ตูน 10 เรื่องที่ผมชอบ แม้ในสายตาคนอื่นอาจอ่านเฉยๆ ให้คะแนนระดับธรรมดา แต่สำหรับแล้วมันไม่ธรรมดาเลยสักนิด ถ้าเราดูแบบคิดมากละก็........
พระเจ้าจอร์ดฯ(Katte Ni Kaizo)
แวบที่เห็นการ์ตูนนี้ครั้งแรกก็ ไม่รู้เลยนะว่าเรื่องนี้มันแนวอะไร แต่จากลายเส้นคุ้นๆ บวกกับพระเอกน่ารัก(คนเขียนมักซื้อการ์ตูนเพราะหน้าปกพระเอกและนางเอกน่ารักมากกว่าจะดูเนื้อเรื่อง)
ผลงานจากผู้สร้างซาโยนาระคุณครูผู้สิ้นหวัง ผมว่าเรื่องนี้สนุกกว่าเรื่องล่าสุดอีก เพราะตัวละครลงตัว มีแค่ 4 คน แต่น่ารักโครตๆ เรื่องราวตอนแรกๆ เหมือนดำเนินแบบเป็นเรื่องเป็นราวคือพระเอกโครตน่ารักที่ชื่อ คัตซึ ไคโซ เจ้าแห่งทฤษฏีต๊อง(แต่ถ้าคิดดูอีกทีมันไม่ต๊องเลย) ซึ่งวัยเด็กนั้น สมองของเขากระทบกระเทือนโดย นางเอกโครตน่ารักชื่อ นาโทริ อุมิ ที่มักจิตหลุดมักกลายเป็นฆาตกรโรคจิตทุกที(แถมฆาตกรที่อุมิเป็นดันมีจริงในโลกแห่งความจริงอีก) แกล้ง แล้วต่อมาก็โดนไซเอ็น ซุสุประธานชมรมอำอีก และตัวฮ่าอย่างจิตันที่ไม่รู้จะน่าสงสารหรือกวนทีน
สำหรับมุกดีไม่ดีอาจเหนือกว่าคุโรมาตี้ กับ กินทามะอีก แรกๆ มุกอาจสกปรก เอาช้างน้อยผู้ชายมาเล่นเยอะ แต่หลังๆ ไม่ทำแล้วละ แต่.....
เดี๋ยวหาว่าผมจะเชียร์ออกนอกหน้าเอาเป็นว่าภายใต้ลายเส้นน่ารัก อ่านแล้วสบายตาดีเต็มไปด้วยตลกร้าย จิตวิทยา และมุกที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวันโดยไม่สังเกต เป็นการ์ตูนเรื่องเดียวในชีวิตที่ไม่อยากให้จบเลย (รู้สึกว่าเล่ม 26 จะอวสาน)
รุคุรุคุ จอมมารอย่างนี้ก็มีด้วย
ผมชอบผลงานของอาซาริ โยชิโท (Asari Yoshitoo) ตั้งแต่เรื่อง "ครอบครัวตัวยุ่ง คาลวิลสัน", ในสมัยไม่มีลิขสิทธิ์ ไปจนถึงการ์ตูนส่งเสริมความรู้เรื่องมหัศจรรย์วิทยาศาสตร์ "ตะลุยปริศนาโลกไฮเทค"การ์ตูนของเขาเป็นการ์ตูนครอบครัว ไม่มีพิษมีภัย ไม่มีฉากเซอร์วิส ผู้ปกครองวางใจได้เลยถ้าลูกหลานของอ่านการ์ตูนของนักเขียนคนนี้ เสียดายที่ผมไม่ได้อ่านเรื่อง "ฮาไม่ฮาข้าก็ชื่อ ว่ะฮ่ะแมน", ซึ่งมันออกเร็วจนเกินที่ผมจะตามทัน ไม่เป็นไร ผมมาแก้ตัวเรื่อง ริคุริคุ จอมมารอย่างงี้ก็มีด้วย กับตัวละครเด็กผู้หญิงในชุดสาวใช้ตาโหดแต่จิตใจดีงามเป็นถึงเจ้าหญิงจากนรก และเธอและเหล่าสาวกมาขออาศัยกับพระเอกในบ้านที่ยากจน ไม่มีทั้งน้ำและไฟ(จนไม่เชื่อว่าบ้านแบบนี้ยังมีอยู่ในญี่ปุ่น)
เรื่องราวดำเนินในมุมมองของเด็กหนุ่มใส่แว่นที่ใช้ชีวิตแบบเรียบๆ ไปวันๆ จนกระทั้งวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีเด็กสาวที่อ้างว่าเป็น "เจ้าหญิง" จากนรก และสาวก(??) มาขออาศัยในบ้านของเขา เธอเล่าว่านรกตอนนี้ไม่มีที่ว่างอีก เธอผู้ซึ่งเป็นเจ้าหญิงและเหล่าปิศาจจึงจะต้องทำอะไรซักอย่าง?? แต่วิธีที่เธอและเหล่าปีศาจทำนี้สิมันจะทำให้จะช่วยนรกได้หรือเปล่า ก็ไม่รู้สิ
เล่มแรกๆ จะอ่านสบายมุกน่ารัก แต่เล่มหลังๆ มา คุณจะเริ่มรู้ว่าการ์ตูนนี้เริ่มมีมุกศาสนา มุกพระเจ้าเข้ามาด้วย เพราะมีตัวละครที่เป็นเทวดาที่ส่งจากสวรรค์เพื่อกำจัดรุคุรุคุ และพระลัทธินอกรีต ทำให้มีมุกการกัดจิกประเด็นศาสนา สงครามศาสนา เรื่องเพศ(ไม่ใช้เรื่องลามกนะประมาณว่าเพศในเชิงสัญลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรมรูปปั้นอะไรทำนองนี้) และเรื่องประเพณีที่พิกลพิการของญี่ปุ่น(เช่น แห่องค์ชาย)
ลามู
“ของดีอยู่ใกล้ตัวเรา” คือนิยามที่ใช้กับการ์ตูนเรื่องนี้ได้ดี กับเรื่องราวความรักระหว่างคนและมนุษย์ต่างดาว ผลงานของรูมิโกะ ทากาฮาชิ
ลามูเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอาตารุหนุ่มจอมกะล่อน เจ้าชู้ หน้าไม่หล่อ ทำตัวให้สังคมรังเกียจ จนกระทั้งวันหนึ่งจู่ๆ เขาก็ดันได้ถูกคัดเลือกตัวให้ไปเล่นเกมเพื่อตัดสินซะตากรรมของโลก โดยมนุษย์ต่างดาวเผ่ายักษ์ตั้งเงื่อนไขแก่ชาวโลกให้อาตารุแข่งวิ่งไล่จับกับลามู สาวเผ่ายักษ์ที่แสนน่ารัก(เซ็กซี่ด้วย อุๆๆ) โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าอาตารุสามารถจับเขาของลามูได้ภายใน 10 วัน พวกเผ่ายักษ์จะกลับไป แต่ถ้าไม่ได้โลกจะต้องถูกยึด ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก้อไม่มีวี่แววว่าอาตารุจะทำได้ แต่ด้วยความกระล่อนในที่สุดเขาก็จับเขาลามูได้สำเร็จในวันสุดท้าย และด้วยความดีใจเขาจึงหลุดปากออกไปว่า "ชั้นได้แต่งงานแล้ว(กับอีกคน)" แต่ลามูเข้าใจผิดจึงบอกว่า "ตกลง ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก้อ ชั้นจะแต่งงานด้วย" และนี่คือที่มาของเรื่องทั้งหมด
หลังจากวันนั้น ลามูตัดสินใจมาอยู่ที่โลกกับอาตารุ และเรียกอาตารุว่า "ดาร์ลิ่ง" ตลอด ลามูมักจะนำเรื่องมาให้อาตารุได้ปวดหัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องมืออันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นอาหารต่างดาวที่แสนอร่อยแต่ให้ผลข้างเคียงสุดประหลาด และเพื่อนต่างดาวที่ทั้งมิตรและศัตรู!!
ประทับใจตรงที่เป็นการ์ตูนคอมมาดี้แรกๆ ที่อ่าน ผลงานของคนเขียนรันม่าและอินุยาฉะ ที่ไม่เน้นฉากเซอวิสแต่เน้นมุกตลกหน้าตาย และที่ประทับใจคือลามูที่ไม่ยอมตัดใจกับอาตารุสักทีทั้งๆ ที่นิสัยไม่ดีอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็คงยิงไม่ก็โดนตัดเป็ดแล้วมั้ง และการ์ตูนนี้เป็นแรงบันดาลใจก่อเกิดการ์ตูนเรื่อง TO LOVE RU
ชั่วโมงเรียนพิศวง (THE SCHOOL GHOST STORY)
ยามางิชิน่ารัก ยาจิกะก็น่ารัก ทาเตอิชิก็น่ารัก เรียกได้ว่าตัวละครในเรื่องน่ารักหมด เหอๆ ไม่เกี่ยว ที่ผมชอบคือมุกการ์ตูนในเรื่อง เล่ม 1-4 ที่พระเอกยามางิชิที่ต้องผจญกับเรื่องราวพิศวงทั้งเจอทั้งฆาตกรโรคจิต, ภูตผีปีศาจ ที่แต่ละอย่างนำความตายมาให้เขาอยู่เรื่อยๆ แต่ที่น่าสนแม้เขาจะตายแล้วเขาก็ยังคืนชีพใหม่ เพื่อผจญกับความตายอีกครั้ง ไอเดียนี้ช่างเยี่ยมจริงๆ
นอกจากลายเส้นก็ไม่เหมือนใคร เป็นลายเส้นหนาๆ ของเส้นพู่กัน กับเรื่องผีๆ ที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ไม่สยองแต่น่าพิศวงจนไม่เชื่อว่าหน้าไม่กี่หน้าได้นำเสนอไอเดียที่น่าชื่มชมแบบนี้ แต่พอมาถึงเล่ม 5 บทบาทของยามางิชิก็เปลี่ยนไป จนผมผิดหวังไปบ้าง แต่ก็นะยามางิชิน่ารักนี้น่า ป๊ารับได้............ถ้าจะแต่งนิยายผมจะแต่งแนวๆ แบบนี้แหละ
เออ ลืมไป คนเขียนเรื่องนี้ชื่อ YOUSUKE TAKAHASHI เป็น 1 ใน 7 ปรมาจารย์การ์ตูนสยองแห่งประเทศญี่ปุ่นเชียวนะ
Skyhigh
ผมชอบการ์ตูนแนวยมทูต(ยกเว้นบลิซ) เนื่องจากเป็นการ์ตูนที่เล่นกับจิตใจที่ดำมืดของมนุษย์ เช่นเรื่องยมทูตสีขาว คำสาปอีเมล์มรณะ ฟูมิโกะ และหนึ่งในนั้นก็ต้องมีสกายไฮด์แน่นอน
สกายไฮด์เป็นการ์ตูนจบในตอน มีหลายภาค(มี 3 ภาค) ผลงานของTsutomu Takahashi (มีผลงานหลายเรื่อง เรื่องล่าสุดแก๊งซิ่งบิดระเบิดที่นำเสนอเรื่องแก๊งซิ่งญี่ปุ่นอ่านแล้วก็ได้อะไรหลายๆ อย่างดีนะครับ เสียดายสำนักพิมพ์สยามดองอ่ะ)
สกายไฮด์เป็นการ์ตูนยมทูตที่ลายเส้นดิบๆ ไปหน่อย แต่ก็น่ะ ผมว่าเหมาะสมออก เพราะว่าสื่อให้เห็นถึงความมืดในจิตใจของคนได้ดี และบรรยายเถื่อนๆ ของสังคม และจะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สดใจอย่างที่คิด
ตอนแรกๆ ผมเห็นปกสกายไฮด์นี้ ในใจบอกว่า “ซื้อก็โง่แล้วว่ะ” แบบว่าปกไม่สวยเลย ตัวเอกผู้หญิงดูไปก็ไม่น่ารัก ซึ่งกว่าที่ผมจะตาสว่างได้ก็ตอนไปเช่าเรื่องนี้ที่มหาลัย(ผ่านมา 3 ปี) อ่านแล้วก็พบว่า “สนุกเหลือเชื่อ!!!”
การ์ตูนเรื่องสกายไฮด์เป็นเรื่องราวของเด็กสาวที่ชื่ออิซุโกะ ที่เฝ้าอยู่ประตูขนาดใหญ่ เธอมีหน้าที่เสมือนอาจารย์แนะแนว คอยนำทางให้กับวิญญาณที่ถูกฆ่าตาย หรือตายด้วยอุบัติเหตุ โดยมีทางเลือก 3 ทาง ได้แก่ 1.ยอมรับความตายและไปสวรรค์เพื่อรอการเกิดใหม่, 2.เลือกที่จะอยู่บนโลกเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่บนโลกไม่ไปผุดไปเกิด 3. ฆ่าจองเวรมนุษย์ได้หนึ่งคน ฆ่าใครก็ได้ที่มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ แต่ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา คือการตกนรกไม่ผุดไม่เกิด แน่นอนแค่เลือกแล้วเรื่องก็จบมันจะไปสนุกอะไรดังนั้นคนเขียนเลยแทรกเรื่องเกี่ยวกับผู้ตายที่มีเรื่องราวการตายที่หลากหลายที่มาแล้วก็ตัดสินใจไม่รู้จะไปทางไหนดี
อิซุโกะนั้นดูภายนอกจะเป็นคนเย็นชาไร้น้ำใจ แต่ความจริงแล้วเธออ่อนโยนมากเลยแหละ และเป็นคนอดทนเก่งซะด้วยสิ เธอเป็นพี่เลี้ยงที่ดีด้วยนะ ขนาดคนตายเป็นคนชั่วเธอยังต้อนรับขับสู่อย่างจริงใจ เอาใจช่วย ให้กำลังใจ แถมยังขี้สงสารด้วยขนาดคนตายเลือกทางเลือกที่ 3 เธอยังไม่ยอมให้คนตายคนนั้นตกนรกแถมยอมผิดกฎซะด้วยสิ
น่าเอาใจช่วยเธอจริงๆ แถมหลังๆ นี้เธอก็น่ารักขึ้นด้วยนะครับ
นอกจากนั้นในการ์ตูนเรื่องนี้แทรกอะไรๆ หลายๆ อย่างนำมาเป็นประเด็นสังคมเหมือนกันแถมรุนแรงด้วย(แต่ไม่ขั้นเลือดสาดนะ) ถึงแม้ว่าจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณ แต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตจริงของมนุษย์บนโลกได้เป็นอย่างดี หลายตอน มีทั้งความโหดร้าย ทำร้ายจิตใจ ซาบซึ้ง ความรัก ความเกลียด ความโลภ โกรธ หลง
ตอนที่ผมชอบคือภาค 2 เล่ม 1 ตอน 2 “ขอพรจากดวงดาว” ที่มีผู้ตายมาใช้บริการอิซุโกะถึง 4 ราย เป็นคนแก่พ่อม่าย 1 คน, ยากูซ่า 1คน และเด็ก 2 คน ทั้งหมดตายเพราะรถทัวร์พลิกคว่ำเพราะคนขับเมาหลับใน คนขับรอด ส่วยเด็กสองคนที่ตายก็ทิ้งให้พ่อแม่ต้องใช้ชีวิตอย่างใจสลาย(ลูกตายไปตั้งสองคนนี้จะไม่ให้ใจเสียได้ไง) และ คนขับนั่นก็ดูไม่ได้มีสามัญสำนึกแม้แต่น้อยนิด
ยากูซ่าและพ่อม่ายคิดจะล้างแค้นคนขับให้พ่อแม่ของเด็กน้อยทั้ง 2 (ตอนแรกยากูซ่าและพ่อม่ายคิดว่าจะฆ่าพ่อและแม่เด็กเพื่อมาเป็นให้มาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวนะครับ)เขาเลยขอให้อิซุโกะเลือกตัวเลือกที่ 3(เป็นคำตอบสุดท้ายคร้าบๆ!!) อ่านแล้วซึ้งมากเลยครับ คน 4 คนต่างไม่รู้จักกัน แต่มีใจให้กันแบบนี้ แถมอิซุโกะยังให้ออฟชั่นพิเศษให้คนตายมีชีวิตอีกครั้งเพื่อสื่อสารกับพ่อแม่เด็กนี้ ฉากโครตซึ้ง
ส่วนใหญ่การ์ตูนนี้โดยจะเน้นการ"เตือน"อะไรหลายๆ อย่างแก่เรา เช่น สอนเราให้รู้จักคุณค่าของการมีชีวิตมากขึ้น หรือทำให้คิดก่อนจะทำอะไรได้มากขึ้น เช่น อย่างภาค 2 เล่ม 1 ตอนแรกอ่านแล้วนึกถึงนิทานเรื่อง “พ่อแม่รังแกฉัน” ที่อ่านในชั้นมัธยม ที่ในการ์ตูนพ่อแม่ตามใจลูกมากไปจนลูกกลายเป็นฆาตกรเลย บางครั้งก็แทรกๆอะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธลงไปด้วย ชนิดที่เรียกว่าวัดไหนเอาการ์ตูนเรื่องนี้ไปเทศนาให้เด็กฟังละก็ เด็กสนใจแน่นอนครับ
การ์ตูนถูกทำเป็นหนังด้วยนะครับ แต่น่าเสียดายไม่สามารถตอบโจทย์ของการ์ตูนเรื่องนี้ได้ เพราะหนังทำเป็นแฟนตาซี อีกทั้งคนแสดงเป็นอิซูโกะนั้นไม่เหมือนมากๆ(ไม่รู้ทำไมเวลาญี่ปุ่นทำหนังจากการ์ตูนถึงทำแย่ๆ ก็ไม่รู้)
Kino no Tabi
การเดินทางของคิโนะมีจุดเริ่มต้นจากนิยายประเภท Light Novel (ผมว่าแฟนตาซีนะครับ) เขียนโดย เคอิจิ ซิกุซาว่า เป็นนิยายดังแบบเงียบๆ มียอดขายดีมากครับ(รู้สึกประมาณ 6 ล้านเล่มนี้แหละ) และถูกแปลเป็นภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน และภาษาไทย
ในประเทศไทย การเดินทางของคิโนะ เคยออกฉายทางช่อง Animax ซึ่งออกอากาศผ่าน UBC แต่ไม่รู้ทำไมไม่ทำเป็นซีดีสักที ทียมทูตขาวยังทำออกมาแล้ว(เศร้า)
การเดินทางของคิโนะ เป็นเรื่องราวในมุมมองเด็กสาวที่ชื่อคิโนะ(น่ารักๆๆ) ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ด้วยมอเตอร์ไซด์ที่พูดได้ และจะหยุดพักเมืองที่เจอข้างหน้า โดยพักไม่เกินสามวันก่อนออกเดินทางต่อไป และแต่ละเมืองก็มีเรื่องราวที่คิโนะต้องเรียนรู้ว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรสวยงามอย่างที่คิด”.....
พูดตรงๆ นะผมยังไม่ได้ดูการ์ตูน แต่อ่านนิยายเอา แต่ผมว่าถึงดูการ์ตูนก็คงไม่แตกต่างนิยายเท่าไหร่หรอก เพื่อนในเอ็มของผมให้ความคิดเห็นการ์ตูนเรื่องนี้ว่า “ดำเนินเรื่องแบบเฉื่อยๆ ไม่มีอะไร แถมบางตอนโหดด้วยซ้ำ แบบว่าคิโนะฆ่าคนไม่กระพริบตาเลยอ่ะ” นี้คือคำบ่นๆ แต่สำหรับผมแล้วไม่คิดแบบนี้แน่นอน คิโนะนั้นเป็นการ์ตูนมุกตลกร้ายๆ อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งหลายๆ ตอน ที่สื่อให้เห็น “ความเอาแต่ใจของมนุษย์” เวลาที่คิโนะเดินทางไปเมืองไหน ผมไม่เห็นเมืองไหนเป็น “ยูโทเปีย” สักเมือง ทุกเมืองล้วนมีแต่ปัญหาของตัวเอง มีเรื่องราวที่น่าหดหู่ และสื่อถึงจิตใจของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคิโนะจะฟังเรื่องราวปัญหาแต่ละเมือง แต่ว่าคิโนะก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเมืองนั้นแต่อย่างใด ทำให้ดูแล้วเหมือนคิโนะเป็นคนไร้น้ำใจ เย็นชา และเลือดเย็น ซึ่งถ้ามองลึกๆ แล้วคิโนะคงมีเหตุผลของเขา ก็ปัญหาที่เขาฟังนั้นเป็นปํญหาที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น แต่เป็นคนในเมืองต่างหาก แถมปัญหาเหล่านี้คิโนะจะมาแก้ปัญหาได้ไงคนเดียว มันก็ขึ้นอยู่กับการร่วมมือร่วมใจคนในเมืองทั้งหลายเหล่านั้นด้วย ดังนั้นคิโนะจึงเปรียบเสมือนเป็นผู้ดู ผู้สังเกตการณ์มากกว่า
ลืมบอกไป เชื่อหรือไม่ว่าคิโนะนั้นถูกทำเป็นโดจินโป๊ครับ (โฮก) ผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกหรอก แต่เดาๆ ว่าคิโนะเดินทางไปถึงเมือง “ซาดิสต์” ที่คนเข้ามาจะต้อง........(นั้นแหละ) จะบ้าตายทำกับหนูคิโนะของเฮียได้ไง อยากไปฆ่าคนเขียนอ่ะ
The Grim Adventures of Billy & Mandy
ผมชอบการ์ตูน CN เพราะเขาพากษ์ตรงกับต้นฉบับและจบในตอน และดูไปเรื่อยๆ ไม่แม้บางตอนจะฉายซ้ำก็เถอะ และถ้าจะให้ผมเลือกมาสักเรื่องหนึ่งติดอันดับ ผมก็เลือกการยากเหมือนกันระหว่างทีน ไททัน, พาวเวอร์พัตเกิล,เบนเท็น แต่ในที่สุดแล้วผมก็เลือกการ์ตูนเรื่องผจญภัยของบิลลี่และแมนดี้
การผจญภัยของบิลลี่และแมนดี้เรื่องราวของยมทูตที่ชื่อ เดอะ กริม รีปเปอร์ ยมทูตที่แพ้พนันเด็กสองคนที่เด็กสองคนที่ชื่อ บิลลี่ และ แมนดี้ จนต้องเป็นเพื่อนรักของบิลลี่กับแมนดี้ไปตลอดกาล แต่หลายๆ ตอนที่ผ่านๆ มา ดูเหมือนว่ากริมจะเหมือน “ทาส” มากกว่า “เพื่อน” นะเนี้ย
ทำไมผมประทับใจการ์ตูนเรื่องนี้เหรอ? ก็เพราะแมนดี้น่ารักนะสิ!! ไม่ๆ มันมีอะไรมากนั้น เพราะการ์ตูนเรื่องนี้แซวสังคมและแซวอะไรต่างๆ ของอเมริกันเยอะ อย่างเช่น แซวหนังเฟอร์เรนต์ กั๊มต์(ผมเขียนถูกเปล่า), แซวฆาตกรรถบรรทุก,ความเชื่อของอเมริกัน แม้แต่การ์ตูนค่ายเดียวกันยังเอามาแซวเลย หรือสุดๆ คือนิยายสยองของสตีเฟ่นคิงเรื่อง คริสตี้ เก๋งปีศาจ ก็กลายเป็นเหยื่อให้กับการ์ตูนเรื่องนี้นำมาแซวเช่นกัน(เปลี่ยนจากรถเป็นจักรยาน)
มุกการ์ตูนเรื่องนี้โหดเล็กน้อย เพราะมีทั้งมุกเป้าตาหลุด ไส้แตก เห็นกระดูกกะโหลก ทำให้กลายเป็นตลกร้ายๆ ไป
นอกจากเราจะเห็นสังคมอเมริกันผ่านตัวละครที่ชื่อบิลลี่กับแมนดี้ บิลลี่เป็นเด็กไอคิวต่ำ(-5) แต่อีคิวสูงบิลลี่เป็นเด็กผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสและมองโลกในแง่ดี จนเขามักตกเป็นเหยื่อการโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียน(ที่อเมริกาถือว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก) ดังนั้นบิลลี่ก็เปรียบเสมือนคนอเมริกันในด้านดี ที่เป็นมิตร เสรี ไม่ยึดติดธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น และพร้อมที่จะเรียนรู้และรับวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามาในตัวเขาเสมอ แม้ว่าสิ่งนั้นจะให้คนรอบข้างเดือดร้อนก็เถอะ ส่วนแมนดี้เป็นเด็กผู้หญิงเตี้ยน่ารัก ไอคิวสูง แต่อีคิวต่ำ ที่มองโลกในแง่ร้าย ชอบใช้งานคนอื่นราวกับทาส และเธอแทบไม่กลัวอะไรสักอย่าง และมีนิสัยอยากครองโลก เธอชอบทำหน้าเหมือนเบื่อโลกเพราะเธอยิ้มไม่ได้ถ้าเธอยิ้มโลกจะสูญเสียเสถียรภาพ และกฎธรรมชาติจะถูกทำลาย แมนดี้จึงเปรียบเสมือนด้านมืดของคนอเมริกันที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่า(ประเทศอเมริการังแกประเทศที่ด้อยกว่า) และนิสัยด้านมืดของอเมริกาคือไม่สนชีวิตผู้อื่นเพราะมัน ไม่ใช้เรื่องของเรา แต่ก็บางตอนแมนดี้ก็แสดงตัวเป็นผู้หญิงธรรมดาเหมือนกัน
ดังนั้นกริมก็เปรียบเสมือนอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของโลก ซึ่งมันจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ หลายๆ ตอนเราจะเห็นเด็กทั้งสองใช้กริมทำอะไรหลายๆ อย่าง(เหมือนโดเรมอน) ที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งผลลัพท์ที่ออกมาโลกก็เกือบสูญสลาย สิ่งที่ผมได้ดู จึงเปรียบได้ว่ากริมก็เหมือนระเบิดปรมาณูที่อยู่ในประเทศยักษ์ใหญ่ ที่ประเทศที่ครอบครองเหล่านั้นมักบอกว่ามีไว้เพื่อให้เกิดความสงบสุขของโลก แต่ลึกๆ แล้วในจิตใจไม่รู้ว่าผู้นำประเทศนั้นจะเป็นบิลลี่หรือแมนดี้ดี
ลืมไปบิลลี่กับแมนดี้มีโดจินด้วยนะ(ไม่โป๊) เขาวาดแมนดี้น่ารักมากเลย เสียดายผมทำลิงค์หายนะครับ ไว้ถ้าเจอจะมานำเสนอในตอนต่อๆ ไป
Suzumiya Haruhi
ผมชอบการ์ตูนแนวคอมมาดี้ที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินเรื่องเป็นดราม่ามากนัก และมีตัวละครน้อยๆ เน้นความสัมพันธ์ของตัวละคร ดังนั้นเรื่องสึซึมิยะ ฮารุฮิคือการ์ตูนในฝันที่ตรงสเป็กผมพอดี
เนื้อเรื่องสึซึมิยะ ฮารุฮิ เคียวน์พระเอกชื่อแปลก(ไม่น่ารักอ่ะ) ที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติและกำลังเป็นนักเรียนธรรมดาในโรงเรียนที่ธรรมดา แต่แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาพบนักเรียนหญิงที่ชื่อ สึซึมิยะ ฮารุฮิ มีความตั้งใจที่จะค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก นั้นคือ ผู้เดินทางข้ามกาลเวลา ผู้มีพลังพิเศษ มนุษย์ต่างดาว และเธอได้บังคับเคียวน์ ก่อตั้งชมรม "กองพัน SOS" และสมาชิกที่มาสมัครกองพันของฮารุฮินั้นดูเหมือนว่าจะไม่ใช้คนธรรมดาซะด้วยสิ
เป็นการ์ตูนเรื่อสองเลยที่ผมสะสมทั้งซีดีหนัง, โดจินโป๊(คนวาดนายเมดสุดแสบวาดโดจินเรื่องนี้ด้วย) และหนังสือการ์ตูน(เรื่องแรกคือ(FAM) เนื่องจากฮารุฮิน่ารักมากๆ อีกทั้งนาโงโตะ ยูกินั้นก็ขวัญใจของเฮียเลย น่ารัก. อาซาฮินะ มิคุรุก็ชอบนิดๆ โคอิซึมิ อิสึกิก็วายดี.......
เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก เพราะว่าเขียนว่าวันธรรมดา ชีวิตธรรมดาของสึซึมิยะ ฮารุฮิ แต่กระนั้นถ้าเอาแต่ธรรมดาก็น่าเบื่อเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องเลยนำเสนอว่าสึซึมิยะ ฮารุฮินั้นมีพลังวิเศษบางอย่างที่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เธอคิดได้ ส่งผลให้เคียวน์และพรรคพวกต้องเอาใจฮารุฮิแบบสุดฤทธิ์เพื่อให้โลกนี้สงบสุขต่อไป(ปานนั้น) แถมแต่ละตอนมีอะไรแฝงอะไรหลายๆ อย่างเลยครับ แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ผมสนว่าการ์ตูนให้อะไรมากกว่า
ตอนแรกผมเปรียบเทียบกับสึซึมิยะ ฮารุฮิเป็นผู้นำคนหนึ่งที่เรารู้จักกันดี นั้นคือ คิม จอง อิล แต่หลังๆ เรื่องก็ดำเนินไปให้เรารู้จักฮารุฮิมาขึ้น ภายนอกเธอจะเหมือนเด็กไร้เดียงสา เผล็ดการไม่มีใครอยากคบด้วย(เพราะเธอต้องแง่ไว้ก่อน) แต่แล้วฮารุฮิก็เผยตัวตนขึ้นมา คือเธออยากเรียนรู้โลกให้มากขึ้น เธอเบื่อชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ(แต่ไม่ระบายแบบไลท์ในเดธโนตนะ) ผมประทับใจมากกับความหมายที่ว่าเราเป็นส่วนเล็กๆ ของจักรวาลเท่านั้น และสาเหตุที่เธอทำตัวเอาแต่ใจก็แค่แสดงออกให้เข้มแข็งภายนอกเท่านั้น ลึกๆ แล้วเธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ขี้เหงา อยากได้เพื่อน อยากหาคนรู้ใจก็เท่านั้นเอง ต่างจากคิม จอง ฮิวผู้นำแห่งเกาหลีเหนือ ไม่ว่าผู้นำคนนี้จะต้องการอะไร ผู้น้อยจะต้องจัดให้เสมอ ผู้นำอยากทำหนังก็อตซิล่า ผู้น้อยก็ต้องจัดหาอุปกรณ์ถ่ายทำ ผู้นำอยากกินเหล้าจากฝรั่งเศส ผู้น้อยก็ต้องนำเข้าไวน์จากฝรั่งเศสมาให้ผู้นำได้ดื่มกิน แม้ประเทศเกาหลีเหนือจะมีทรัพย์กรที่จำกัดก็ตาม คิวจองอิลนั้นต่างจากฮารุฮิเขาไม่ไร้เดียงสา เขาผ่านโลกมาพอสมควร แต่การผ่านโลกของเขาต่างจากฮารุฮิเพราะว่าโลกที่เขาผ่านนั้นมีแต่งสงครามและความหิวโหย เขามีทั้งอำนาจ วาสนา และได้เพื่อนเยอะก็จริง แต่เพื่อนเหล่านั้นไม่ได้มีใจให้เขา ปรชาชนก็ต้องเอาใจเขาเพีราะความกลัว ต่างจากฮารุฮิที่เพื่อนเอาใจเธอเพราะความเต็มใจ สุดท้ายคิม จอง อิลจึงเป็นคนโดดเดี่ยว ต้องอยู่แต่บัลลังก์ที่เปื้อนเลือดและความโลภตลอดกาล
อมนุษย์สามก๊ก
ผมไม่ได้อ่านหงสาจอมราชันย์เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่ผลงานของเฉินเหมา (CHANG MOU) นี้ผมยอมรับว่าเขาต่างจากนักเขียนการ์ตูนฮ่องกงคนอื่นๆ ที่การ์ตูนฮ่องกงส่วนใหญ่เน้นภาพอลังการ ปล่อยพลังราวกับซูปเปอร์ไซย่า บางเรื่องดัดแปลงจากนิยายกำลังภายใน(ที่ไม่ค่อยตรงกับต้นฉบับมากนัก) และตัวละครเพียบ และเล่นถึงลูกถึงหลาน กลายเป็นศึกตระกูลเลยก็มี
แต่ของฉินเหมาต่างกัน ลายเส้นของเขานั้นไม่ได้เน้นอลังการแบบการ์ตูนฮ่องกงทั่วๆ ไป เลยเส้นดิบๆ สะท้อนถึงสังคมจีนสมัยนั้นที่มีแต่สงคราม ความยากจน คนชั่วครองอำนาจ และความไม่เป็นธรรม ความโหดร้ายได้เป็นอย่างดี
ผมอ่านผลงานของหลินเหมาสองเรื่อง เรื่องแรกที่อ่านคือเทพวิบัติ ตอนแรกผมเห็นเรื่องนี้แทบจะวางหนังสือลง แต่เมื่อลองอ่านกับติดใจจนวางไม่ลงเพราะนาจาน่ารักจริงๆ(อีกล่ะ)
อมนุษย์สามก๊ก 2 เล่มจบ ผลงานของ เฉินเหมา เรื่องนี้เป็นการนำเอาเกล็ดบางตอนใน"สามก๊ก"มาตีความใหม่ให้ตัวละครแต่ละตัวมีความเป็นมนุษย์ที่มีความรัก โลภ โกรธ หลง แบบคนทั่วไป ไม่ได้มีลักษณะจำเพาะที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ในตัวเหมือนอย่างในพงศาวดาร ทำให้บางเสี้ยวของบันทึกที่มีเพียงไม่กี่บรรทัดที่หลายคนมองข้ามมีมิติและชวนให้หักมุมคิดอยู่ไม่น้อย
การ์ตูนโดยนำเสนอ 3 ตอน คือลิโป๊ เตี้ยวเสี้ยน และขงเบ้ง แน่นอนที่ผมเลือกเล่มนี้ก็เพราะผมชอบสามก๊ก และการ์ตูนเรื่องนี้ได้เปิดประเด็นอะไรหลายๆ อย่างในสามก๊กที่อ่านแล้ว เออ....ก็มีเหตุผลน่ะ
ผมชอบไปอ่านบทความ “เจาะลึกประวัติขุนพลสามก๊ก” ผมอ่านแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่เมื่อดูเม้นข้างล่างผมก็พบว่ามีแต่เม้นด่า ขอบอกว่าแรงมาก เนื่องจากคนเขียนเอาความรู้สึกส่วนตัวมาเขียนด้วย แต่สำหรับผมแล้วผมเฉยๆ เพราะว่านี้คือกระทู้เสรี ไม่ใช้ผลงานวิจัยอะไร และการอ่านสามก๊กแบบไม่ไร้สมองนั้น อย่างแรกคือให้เราทิ้งความมีอคติทุกอย่างให้หมด คนเราทั้งด้านดีและด้านชั่ว คนเขาวิจารณ์อะไรอย่าไปด่าเขา เพราะนี้คือของสาธารณะไม่ใช้ใครคนใดคนหนึ่ง
ส่วนใหญ่ภาพลักษณ์ของจ๊กก๊ก(เล่าปี่)นั้นส่วนใหญ่อยู่ในคราบพระเอก แต่การ์ตูนเรื่องนี้ได้นำเสนอภายใต้หน้ากากพระเอกนั้นว่าลึกๆ แล้วเขาคือคนดีหรือไม่?? เช่นตอนลิโป้หนังสือเล่มนี้เข้าไปในช่วงที่ลิโป้ฆ่าพ่อเลี้ยงตนเองและไปอยู่กับตั๋งโต๊ะระหว่างทางเขาไปนั่งจิบชาที่โรงเตี๊ยมและก็พบว่าชาวบ้านส่วนหนึ่งได้ดักรอฆ่าเขาอยู่แล้ว....
เรามักเห็นลิโป้ในคราบของคนชั่ว คนเลว ชอบหักหลังกับผู้มีพระคุณ และมากลัวตายภายหลังถูกจับได้ แต่การ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอว่า สุดท้ายใครกันแน่คือคนไม่ดี เพราะชาวบ้านเหล่านั้นลากผู้บริสุทธิ์ไปตายด้วย(เด็กและผู้หญิงโดนลูกหลง) ซึ่งถ้าเราเคยอ่านสามก๊กก็พบว่าลิโป้นั้นเป็นสุภาพบุรุษต่อผู้หญิง เช่นในช่วงหนึ่งที่ลิโป้ยึดเมืองที่เล่าปี่ฝากเตี๋ยวอุยไว้ ทหารของลิโป้ทำการล้อมเมืองและจับเมีย 2 คนของเล่าปี่เอาไว้ ทหารถามว่าจะให้จัดการไหม ลิโป้ตอบว่าไม่ และเดินเข้าไปปลอบพวกนางว่านางจะปลอดภัย
ตอนที่สองคือเตี้ยวเสี้ยน หนังสือได้เอาแนวคิดว่า “เตี้ยวเสี้ยน” หายไปไหน หลังจากลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ แน่นอนในประวัติศาสตร์จริงๆ นั้นเตี้ยวเสี้ยวไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นเพียงตัวละครสมมุติเท่านั้น แต่ผู้อ่านหลายคนก็อยากรู้ว่านางหายไปไหน เพราะบทบาทของเธอนั้นสำคัญเหลือเกิน ซึ่งหนังสือได้จับแนวความคิดสันนิษฐานข้อหนึ่งที่มีการโต้เถียงจริงว่า กวนอูเป็นคนช่วยนางไว้ สมัยก่อนนั้นเตี้ยวเสี้ยนเคยรู้จักกวนอู และกวนอูหลงความงามของเตี้ยวเสี้ยนมาก ถือว่าเป็นการตบคนชอบสามก๊กหลายคนที่เดียว เพราะว่าภาพลักษณ์ของกวนอูที่ผู้อ่านรู้จักคือเทพแห่งความซื่อสัตย์และขุนพลที่เก่งกล้า แต่หนังสือการ์ตูนนี้กล้าเอาเรื่องด้านมืดแบบนี้มานำเสนอ ได้อย่างกล้าหาญ ไม่กลัวนั่งยางแต่อย่างใด
ตอนที่สามขงเบ้งอุ๋ยเอี๋ยน เป็นการนำเสนอด้านมืดของขงเบ้ง โดยเล่าว่าขงเบ้งสมัยยังเป็นบัณทิตที่เอาแต่พล่านแต่ตำรา(จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร)โดยไม่รบจริงแต่อย่างใด ในเวลานั้นขุนพลอุ๋ยเอี๋ยนมาพอดีและมีเรื่องชกต่อยกันจนขงเบ้งเจ็บแค้นอุ๋ยเอี๋ยน เขาต้องการเผยแพร่แนวคิดเขาว่าเป็นฝ่ายถูก เขายอมแต่งงานกับอุยสี ที่หน้าตาอัปลักษณ์เพื่ออาศัยชื่อเสียงของพ่อตาเพื่อเรียกเล่าปี่มา และอาศัยความรู้ของตนไต่เต้า
และแล้ววันที่ขงเบ้งที่ไม่อยากเจอก็มาถึง เมื่อเล่าปี่แนะนำขุนพลคนใหม่นาม “อุ๋ยเอี๋ยน” และนี้คือจุดเริ่มต้นสองคู่กัดทั้งๆ ทิ่อยู่ฝ่ายเดียวกัน และสาเหตุการก่อกบฏอุ๋ยเอี๋ยนที่ว่าเขาผิดจริงหรือถูกใส่ร้าย
สรุปแล้วแต่ละตอนนั้นทำให้ผมเปลี่ยนความคิดในอ่านเรื่องสามก๊กใหม่ในมุมมองใหม่ๆนั้นเอง
ปล. ผมไปอ่านเขาวิจารณ์หงสาว่ามีภาคของลิโป้ด้วย ผมอยากอ่านจัง ผมชอบลิโป้นะ
Princess Mononoke
อันดับ 1 นี้ผมคิดอยู่นานมาจากเอาเรื่องอะไรในจำนวน 4 เรื่อง ระหว่างการ์ตูนแนวรักหวานซึ้งอย่างยมทูตขาว หรือแอ็คชั่นธรรมดาอย่างคิมิโกะแวมไพร์กระหายเลือด หรือจะเป็นการ์ตูนแนวเรตอาร์ที่มีลิขสิทธิ์อย่างมนุษย์กบพันธุ์เด้งดึ๋ง หรือจะเป็นอมิเนชั่นที่โครตประทับใจอย่างโมโมโกะเจ้าหญิงหมาป่า
สุดท้ายผมก็ต้องเลือก โมโมโกะเจ้าหญิงหมาป่า
สาเหตุที่เลือกคือพระเอกน่ารัก(.......จะบ้าไปถึงไหนว่ะตรู) และเป็นอมิเนชั่นที่ผมดูจนถึงตี 3 ที่โครตประทับใจ ทำใจช่วยว่าสุดท้ายพระเอกจะตายไหม และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ และเนื้อหาแปลกใหม่น่าดูอย่างยิ่ง
โมโมโกะเจ้าหญิงหมาป่าเป็นอมิเนชั่นซีรีย์ของค่าย studio Ghibli ผลงานของ Hayao Miyazakiz ผู้กำกับเงินล้านที่กวาดรางวัลเพียบ การ์ตูนซีรีย์ของเขาดีจริง ผมดูเกือบทุกเรื่อง (สุสานหิ่งห้อยทำไมผมดูแล้วไม่ซึ้งหว่า)
Princess Mononoke ที่พูดถึงเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ด้วยการเล่าที่ย้อนไปถึงยุคมุโระมะจิ(สมัยโอตุกาว่า อิเอยะสุเรืองอำนาจ) ในมุมมองของพระเอกที่น่ารักที่ชื่อ "เจ้าชายอาชิทากะ" ที่โดนคำสาปจากอสูรทาทาริ ซึ่งเขาอาจจะต้องตาย ทางแก้ที่จะช่วยเขาได้ คือ ต้องเดินทางไปสู่ประจินทิศเพื่อไปป่าของเทพชิชิ เทพสูงสุดแห่งพงไพรช่วยแก้คำสาปให้ ซึ่งพระเอกต้องเดินทางไปกับกวางแดงเขาประหลาด และเมื่อมาถึงที่หมายก็พบว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของป่าเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นาม “โลหะนคร” ที่อยู่ภายใต้ในการนำของนายหญิงอิโบชิ หมู่บ้านแห่งนี้ผลิตเหล็ก และปืนไฟ เพื่อความอยู่รอดในยุคสงคราม แต่การผลิตเหล็กสร้างความเดือดร้อนให้กับป่า และพวกเทพทั้งหลายเริ่มที่จะเป็นศัตรูกับคนในหมู่บ้านโดยเฉพาะเทพหมูป่า
จากนั้นพระเอกก็ได้พบมนุษย์เด็กผู้หญิงอย่าง ซัน (หรือ เจ้าหญิง โมโมโกะ) ที่อาศัยอยู่ในเทพโมโร หมาป่าสีขาวตัวยักษ์ในฐานะลูก แม้เธอจะเป็นมนุษย์ เธอรักในธรรมชาติและป่า หากแต่กลับเกลียดชังมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งต่างจากพระเอกที่มองทุกอย่างด้วยดวงตาที่ปราศจากความเกลียดชัง และปรารถนาให้ทุกคนอยู่ร่วมอย่างสันติ แต่แล้วสงครามระหว่างเทพและมนุษย์ก็เริ่มขึ้น พระเอกต้องอยู่กลางวงเป็นคนกลางสำหรับสุดท้ายนี้ เจ้าชายจะแก้ไขความขัดแย้งนี้อย่างไร พร้อมๆ กับต้องแก้ไขคำสาปบนแขนขวาของตนที่กำลังกัดกินจนใกล้จะถึงฆาตแล้วด้วย
ผมประทับใจการ์ตูนเรื่องนี้มาก เพราะสอนอะไรหลายๆ อย่างแก่ผมจริงๆ มีทั้งความรัก, ความให้อภัย, ความโลภ, สงครามไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใด, การต่อสู้ชีวิต, การให้กำลังใจ
สิ่งสำคัญที่การ์ตูนเรื่องนี้สอนคือ “ความรักธรรมชาติ” หากเปรียบการ์ตูนกับโลกทุกวันนี้ มนุษย์เราก็โดนธรรมชาติลงโทษ,แก้แค้นกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมที่เกาะใต้หวัน, ภัยพิบัติซึนามิ และสถาวะบนโลกร้อน แต่มนุษย์ก็ยังทำลายสิ่งแวดล้อมอยู่ดี เพราะความโลภและอำนาจเหรอ เปล่าเลย เพราะปากท้องของตัวเองต่างหาก พวกเขาต้องการที่อยู่อาศัย ต้องการเงินมาเลี้ยงครอบครัว อุตสาหกรรมเพื่อให้ประเทศของตนพัฒนายิ่งขึ้น ป่าจึงถูกทำลายอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อป่าถูกทำลาย หน้าดินถูกทำลาย ความแห้งแล้งเริ่มมาเยือน เกิดสถาวะโลกร้อน และเกิดภัยพิบัติดั่งกล่าว
โลกเรากำลังทรยศเราหรือเรากำลังทรยศโลก คำตอบนี้มีอยู่ในใจทุกคนแล้ว
สุดท้ายนี้ธรรมชาติจะจัดการกับมนุษย์อย่างไรหนอ ไม่อยากจะคิดเลย
นี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ที่จริงผมมีหลายเรื่องที่อยู่ในความทรงจำเยอะเลยนะครับ อย่างเรื่อง ผึ้งจดหมาย. รักนี้เหมียวจัดให้, ผีอีเมล์, ยมทูตสีขาว, จันทร์ครึ่งดวง แต่เนื่องจากว่าถ้าเล่าไปหมดบทความนี้ก็จะจบเช่นกัน ไว้คราวหน้าจะเล่าการ์ตูนพวกนี้ให้ฟังละกัน(สังเกตว่าผมไม่ได้เขียนภาษาอังกฤษเลย เนื่องจากผมชอบจำชื่อไทยมากกว่าชื่ออังกฤษไงละ)
สังเกตว่าการ์ตูนทั้ง 10 นั้นเป็นการ์ตูนสมัยใหม่เกือบทั้งสิ้น และส่วนใหญ่เป็นการ์ตูนไม่ฮิต(ในไทย) ไม่มีโดเรมอน ดราก้อนบอล หรือเซเลอร์มูล หรือการ์ตูนสมัยใหม่อย่าง รีบอร์น
อันเนื่องจากสมัยก่อนการ์ตูนญี่ปุ่นยังไม่เข้าไทยมากนัก เนื่องจากสมัยไม่มีอินเตอร์เน็ต สำนักพิมพ์การ์ตูนต่างๆ ก็ไม่ใส่ใจเรื่องการ์ตูนมากนัก และช่องเดียวที่มีการ์ตูนคือ 9 ส่วนช่องอื่นๆ นั้นมักออกการ์ตูนตอนเช้าตู่ไม่ ตี 5 และ 6 โมง ผมจำได้สมัยก่อนผิดตื่นเช้าหกโมงเพื่อดูการ์ตูน “เทพอสูรเซ็นกิ” เป็นการ์ตูนที่ผมชอบเพราะว่าการออกแบบสัตว์ประหลาดนั้นหน้าดูจริงๆ
น่าเสียดายที่ไม่มีการ์ตูนสำหรับผู้หญิงติดอันดับ ความจริงผมก็มีนะ แต่กลัวว่าคนอ่านจะไม่รู้จัก ผมเลยไม่ได้เล่า เอาเป็นว่าก็คราวหน้าอีกเช่นกัน
ทำไมผมถึงชอบการ์ตูนที่ไม่ฮิต อย่างแรกคือการ์ตูนที่ฮิตส่วนใหญ่มักมีจำนวนเล่มที่พิมพ์เยอะ บางเล่มมี 50 เล่มจบก็ มี ผมไม่ชอบความยาวของเนื้อเรื่องการ์ตูนเหล่านี้มาก เพราะมันจะทำให้ออกทะเล ออกดาวพลูโตไปไกล ส่วนการ์ตูนที่ไม่ฮิตนั้นเป็นการ์ตูนที่จบในไม่เล่ม
ที่น่าสังเกตคือการ์ตูนที่ผมเล่ามา ไม่มีการ์ตูนไทยสักเรื่อง ความจริงผมก็ชอบการ์ตูนไทย แต่สาเหตุที่ไม่ติดอันดับความประทับใจคือราคามันแพงไม่เหมาะสมในการซื้อหา ถ้าราคาลดลง ใช้กระดาษพิมพ์ธรรมดา การ์ตูนไทยเหล่านั้นจะติดอันดับความประทับใจไม่ยาก
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
+ +
ความคิดเห็น