ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #21 : แว่วเสียงเรไร (Higurashi no naku koro ni) เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 60


    “ฉากที่เรา.....เห็นในหนังบ่อยๆ มันอยู่ใกล้ตัวเรา แค่นี้เองหรือ....”

    http://sesai.exteen.com/20070616/entry

     


    แว่วเสียงเรไร (ฝันร้ายหวนคืน)

    (โอนิซาราชิเฮ็น; Onisarashi-hen; บทเผยโฉมมาร)
    อ่านได้ที่ http://www.onemanga.com/Higurashi_no_Naku_Koro_ni_-_Onisarashi/

     

                    “ฝันร้ายหวนคืนเป็นผลงานในซีรีย์แว่วเสียงเรไรอีกเรื่องหนึ่ง แต่เป็นนอกตำนานน่ะ แต่กระนั้นก็มีตัวละครบางตัวในซีรีย์ปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญเหมือนกัน แต่ตัวเอกพระเอกอะไรนี้เปลี่ยนใหม่หมด

                    แน่นอนการ์ตูนนี้ไม่ค่อยตอบรับในไทยมากนัก เพราะลายเส้นไม่สวย ตัวละครไม่ค่อยมีเสน่ห์ และจบเพียง 2 เล่มจบเท่านั้น อีกทั้งคนเขียนไม่ใช้คนเดียวกับที่เขียนซีรีย์แว่วเสียงเรไรด้วย จนหลายๆ คนบอกว่าการ์ตูนนี้น่าจะเป็นโดจินหรือการ์ตูนแถมมากกว่า(อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน)

                    แต่ผมว่าเรื่องนี้สนุกกว่าซีรีย์แว่วเสียงเรไรตัวจริงเสียอีก

                    
                   ใครจะว่าอะไรผมไม่สนหรอก ผมว่าตอนนี้สนุกกว่าภาคหลักๆ อย่างแรง แม้ว่าลายเส้นอาจไม่สมบูรณ์แบบ ตัวเอกไม่น่ารัก พระเอกก็ดาษๆ เพราะคนเขียนไม่ใช้คนคนวาดซีรีย์แว่วเสียงเรไร แต่สำหรับเนื้อหาและประเด็นมันสนุกอย่างไม่น่าเชื่อครับ แม้จะไม่มีปริศนาอะไรมาก แต่ถ่ายทอดความน่ากลัวและการทำให้คนธรรมดากลายเป็นโรคจิตจนผมตะลึง

                    อย่างที่ผมชอบคือครอบครัวนางเอกต้องร่วมมือกันหั่นศพยายแท้ๆ ของตนได้อย่างขยะแขยง เสมือนหนึ่งว่าเราอยู่เหตุการณ์นี้จริงๆ.....!!

                    ในการ์ตูนเรื่องนี้กล่าวถึง นางเอกนัตสึมิที่ย้ายมาอยู่เมืองเป็นเวลา 1 ปี จนเธอเริ่มปรับตัวกับชีวิตใหม่ๆ ในเมืองแห่งใหม่ได้ วันที่แสนสงบสุข ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวอบอุ่น แม่ทำหน้าที่สมเป็นแม่บ้าน พ่อก็เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา และคุณยายที่แสนใจดี  อีกทั้งชีวิตโรงเรียนก็ดี และเพื่อนฝูงมากมาย แฟนก็มี ฯลฯ

                    “โชคดีที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่”นัตสึมิคิด

                    แต่แล้ววันหนึ่งข่าวเพียงข่าวเดียวจากทีวีทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป มันคือข่าวแก๊สภูเขาไฟเข้าถล่มหมู่บ้านของเธอที่เคยอยู่เมื่อ 1 ปีก่อน

                    หมู่บ้านที่ว่าคือ “ฮินามิซาว่า “หมู่บ้านที่เป็นเวทีของซีรีย์แว่วเสียงเรไรภาคปกตินั้นเอง

                    และเมื่อคุณยายของนัตสึมิได้ดูข่าวก็ได้บอกกับเธอว่า “มันคือคำสาปของท่านโอยาชิโร่”

                    และแล้ววันที่แสนสงบสุขก็พูดบางสิ่งคุกคาม คุณยายเปลี่ยนไป ครอบครัวของนัตสึมิเริ่มอึดอัดความเป็นคนหัวโบราณของคุณยาย ที่ทำบรรยากาศรอบๆ บ้านกลายเป็นบ้านผีสิงซะงั้น และเมื่อถึงขั้นเหลืออด สมาชิกคนหนึ่งจึงได้ฆ่าคุณยายเพื่อแก้ปัญหา(เฉพาะหน้า)

                    จากนั้นก็ถึงฉากที่ผมชอบ เมื่อสมาชิกครอบครัวที่เหลือถูกเรียกเขามา เห็นศพยาย แทนที่สมาชิกครอบครัวจะสงสารคุณยายที่อยู่กับเรามาหลายปี แต่กลับกลายเป็นว่าไม่สงสารเลย กับสะใจด้วยซ้ำ

                    “เพราะเราเป็นครอบครัวนี้น่า”สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของนัตสึมิพูด

                    จากนั้นก็มีครอบครัวของนัตสึมิก็ตัดสินใจว่าเราต้องกำจัดศพยาย เพื่อให้วันคืนที่สงบสุขอีกครั้ง พวกเขาเลยตัดสินใจหั่นศพ

                    ทำไมต้องหั่นศพ การหั่นศพมันโหดเหี้ยมน่าขยะแขยงแต่ทำไมฆาตกรยอมที่จะทำ เพราะโรคจิตเหรอ คำตอบคือไม่ใช่สาเหตุเพราะเพื่อกำจัดศพต่างหาก เพราะหากเอาศพคนตายทั้งตัวออกนอกบ้านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนญี่ปุ่นคนอื่นก็เห็นสิ สู้หั่นศพเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแบ่งใส่ถุงทยอยออกจากบ้านทิ้งไว้ตามจุดดีกว่าง่ายดี

                    และแล้วบทสรุปของครอบครัวนัตสึมิจะเป็นอย่างไรนั้น หาอ่านได้จากสำนักพิมพ์มดครับ หรือจะรอสยามพิมพ์ก็ได้(คงนานหน่อยละ)

                    หลังจากอ่านจบ ผมว่าฉากการ์ตูนเรื่องนี้มีอรรรสดีนะครับ ภาพที่ครอบครัวนางเอกหั่นศพคนนี้เป็นอะไรที่ผมไม่กล้าเปิดอ่านหน้าต่อไปเลย ผิดกับซีรีย์แว่วเสียงเรไรที่ผมมักเปิดอ่านหน้าสุดท้ายเพื่อดูพระเอกว่าพระเอกตายหรือไม่ได้(..........)

                    สำหรับตอนนี้สิ่งที่ผมชอบคือมันสื่อได้ 2 ประเด็น คือ ครอบครัวญี่ปุ่น, และการฆาตกรรมในครอบครัว

                   ครอบครัวญี่ปุ่นแต่ดั้งเดิมนั้นสนิทกันมาก ครอบครัวชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไปสมัยก่อนสงครามนั้น จะเป็นครอบครัวที่ประกอบด้วยสมาชิก 3 รุ่น คือรุ่นบิดามารดา บุตร และหลาน อาศัยอยู่รวมกัน โดยมีสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวเป็นผู้ที่มีสิทธิขาดในฐานะหัวหน้าครอบครัว ส่วนภรรยานั้นจะอยู่บ้านมีหน้าที่ดูแลปรนนิบัติรับใช้สามีและบิดามารดาของสามี ตลอดจนทำงานบ้านเลี้ยงลูกทุกอย่าง สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น ผู้อยู่ในบ้าน(kanai) ส่วนในช่วงระหว่างสงครามที่ประสบปัญหาขาดแคลนเสบียงอาหารนั้น ภรรยาจะเป็นผู้ดูแลบ้านแทนสามีที่ไปเป็นทหาร ตลอดจนพยายามจัดหาเสบียงอาหารต่าง ๆ โดยไม่ทำให้สามีต้องมีความกังวล ลักษณะดังกล่าวนี้คือลักษณะสถาบันครอบครัวแบบญี่ปุ่น

                  
                    
    ภาพพจน์ของครอบครัวที่กล่าวมาข้างต้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปัจจุบันพบว่าครอบครัวที่มีองค์ประกอบนี้น้อยมากโดย ครอบครัวที่ประกอบด้วยบุคคล
    3 รุ่นมีประมาณเพียง 12% ของครอบครัวญี่ปุ่นทั้งหมดเท่านั้นแต่กระนั้น การหย่าร้างถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยมีอัตราการหย่าร้างเพียง 1.6 ต่อประชากรทุก ๆ 1,000 คน เมื่อเทียบกับอัตรา 4.6 ในสหรัฐอเมริกา และ 3.1 ในอังกฤษ นอกจากนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงคือภาพลักษณ์ของสามีผู้ยิ่งใหญ่”  ในอดีตที่เป็นผู้ถือสิทธิผูกขาดการเป็นผู้นำในทุกกรณี แต่ในปัจจุบัน สถานภาพของภรรยานั้นเริ่มสูงขึ้นมาก ถึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ในฐานะที่เท่าเทียมกับสามีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีอำนาจสิทธิขาดเหนือสามีมากในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาของบุตร

                    ดังนั้นในการ์ตูนเรื่องนี้เราจะเห็นภาพสามีหรือพ่อของนัตสึมิเอาแต่นั่งสะลึมสะลือเมื่อเห็นศพยายซึ่งเป็นแม่ของเมียของตน เขาทำเหมือนกับว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความฝัน ส่วนแม่ของนัตสึมินั้นกลายเป็นคนวางแผนการ แสดงความคิดเห็น และแสดงอำนาจเหมือนสามี

                    พอมาถึงเล่ม 2 เรื่องราวก็เริ่มหักมุมเมื่อพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงโลกหนีความจริงของนัตสึมิ แท้จริงแล้วตัวนัตสึมินั้นแหละเป็นคนสังหารยายแท้ๆ ของตน เพราะอึดอัดที่ยายทำตัวเป็นคนหัวโบราณ และหลังจากสังหารและทิ้งศพแล้ว เธอยิ่งเครียดยิ่งขึ้นเมื่อข่าวเสนอการพบศพยาย(มันทิ้งท่าไหนถึงหาเจอง่ายนักเนี่ย)

                    ส่งผลให้นัตสึมิฆ่าพ่อแม่แท้ๆ ของตน!!

                   
                   
    อ่านมาถึงตอนนี้ จะพบว่าเดี๋ยวนี้คนฆ่าคนจะเริ่มมีเหตุผลการฆ่าเบาบางมากขึ้น จากข่าวพบที่มีเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นนับวันจะเริ่มเกิดขึ้นในครอบครัวและเหตุผลเบาบางยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง วันที่ 24  มิ.ย. 2008 ... โยชิโอะ คิอูชิ  คุณปู่เกษตรกรชาวญี่ปุ่นวัย 77 ปี ได้โทรศัพท์แจ้งความในตอนเช้าว่า เขาได้ฆ่าคนในครอบครัวตายไป 4 คน เมื่อตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ที่ตำบลคาชิวะ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงโตเกียว ก็พบศพทั้ง 4 อันประกอบด้วย ภรรยาวัย 75 ปีของคุณปู่, บุตรชายวัย 49, บุตรสะใภ้วัย 44, และหลานสาววัย 4 ขวบ ขณะที่ตัวคุณปู่นอนสลบอยู่โดยที่ยังสวมเสื้อผ้าเปื้อนเลือด และมีโทรศัพท์มือถือตกอยู่ใกล้ๆ

                    สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า คิอูชิให้การกับตำรวจ เขาป่วยด้วยปัญหาเรื่องการนอน และตอนตื่นเช้าวานนี้ภรรยามีท่าทีเย็นชาใส่ โดยก่อนหน้านั้นได้บอกเขาว่าเขาเป็นตัวก่อกวนความสงบสุขของครอบครัว จึงเป็นชนวนให้เขาตัดสินใจฆ่ายกครัว

                    ในบรรทัดฐานสังคม สิ่งที่ต้องห้ามชั่วร้ายที่สุด คงนี้ไม่พ้นการทำการฆาตกรรมบุพการี มันผู้ใดที่กระทำเยี่ยงสัตว์นรกอย่างนั้นสังคมจะตัดสินโทษว่าบาปหนา ต้องรับโทษสูงสุด สังคมจะประณาม การกระทำของมันว่าไม่ใช้คน มันเป็นทรพี และบางทีก็ตั้งศาลเตี้ยเพื่อตัดสินโทษเอาเองเลยก็มี

                    แต่สำหรับนักจิตวิทยาแล้วเรื่องนี้น่าศึกษาอย่างยิ่ง

                    จากการศึกษาพบว่า ฆาตกรส่วนใหญ่ที่สังหารบิดา มารดามักจะมีอาการพิกลพิการทางสมอง หรือไม่ก็มีเหตุผลบีบบังคับ ตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคม 1988 กรุงโตเกียว เด็กนักเรียนวัยสิบสี่สังหารบิดามารดาและย่าด้วยมีด ญี่ปุ่นต่างประณามในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเด็กชายไม่ใช้คน จะต้องรับโทษประหาร แต่หนังสือพิมพ์ลอนดอนออบเซิร์ฟเวอร์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า

                    "สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมยิ่งกว่าการฆาตกรรม คือสาเหตุการฆาตกรรม"

                    ปัจจุบันนี้จะเห็นครอบครัวญี่ปุ่นจากการอ่านการ์ตูน เราจะพบว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก  ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่ใส่ใจลูกเลย เพียงแต่ใส่ใจลูกน้อยไปหน่อยบวกกับเด็กๆที่ชอบใช้เวลาอยู่กับเกมหรือกิจกรรมอย่างอื่นมากจนเกินไป แล้วเกมที่เล่นสมัยนี้มีแต่เกมส์เลือดสุด เซ็กต์ และความรุนแรง และเมื่อเด็กเหล่านี้เล่นเกมส์พวกนี้มากขึ้น  เวลาที่จะได้พูดคุยกับพ่อแม่ก็น้อยลง ซึ่งเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยชอบปรึกษาผู้ใหญ่ มักตัดสินใจด้วยตัวเอง และความว่าการฆ่าเป็นเรื่องง่ายๆ เป็นต้น จึงไปแปลกอะไรที่เกิดเหตุลูกฆ่าพ่อแม่ในที่สุด       

                    ตัวอย่าง

                    
                  โยชิโอะ คิอูชิ เด็กชายเป็นลูกคนเดียวของฮิโรสุเกะ ซาวาโนอิ อายุสี่สิบสี่ ประธานบริษัทขายวัสดุก่อสร้าง และนางอาซาโกะ อายุสี่สิบ เขาได้รับการศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในโตเกียว เมื่อเขาสอบตกสามวิชา แม่จะลงโทษโดยงดให้เงินค่าขนมและไม่ให้ช่วยเหลือเรื่องการเรียนพิเศษหรือแก้ปัญหาให้ลูกแต่อย่างใด สามเดือนก่อนที่เด็กชายจะทำการฆาตกรรม เขาเคยพูดเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน เพื่อคิดว่าเขาพูดเล่น ทั้งๆ ที่เขาเสนอเงินจำนวนหนึ่งให้กับใครๆ ก็ได้ที่สามารถช่วยเขาทำการบุพกีได้

                    และในราตรีแห่งความวิปโยค พ่อแม่ขู่ลูกชายเมื่อรู้ว่าเขาทำคะแนนได้ไม่ดี เด็กชายนอนปวดท้องเกร็งในท้องเนื่องจากความเครียด

                    ตีสามครึ่งเด็กชายทนปวดท้องไม่ไหว เดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ปลุกแม่เพื่อขอยา แม่ตื่นด้วยใบหน้าบึ้งตึง ด่าลูกที่มารบกวนเวลานอนและไล่ลูกออกจากห้องโดยไม่ช่วยหายาให้

                    หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเด็กชายกลับเข้าไปในห้องนอนพ่อแม่อีกครั้งพร้อมไม้เบสบอลในมือ เขาตีหัวแม่ด้วยไม้จนล้มคว่ำ แล้วแทงพ่อด้วยมีด 37 แผลที่หน้าอก เมื่อแม่ฟื้นและพยายามโทรศัพท์ เด็กชายแทงแม่ 72 แผล และเมื่อย่าได้ยินเสียงร้อง เธอตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายวิ่งไปห้องย่า แทงคนที่อันเป็นที่รักด้วยมีดถึง 56 ครั้ง ก่อนที่จะบีบคอซ้ำอย่างโหดเหี้ยม

                    สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในฆาตกรที่เตรียมตัวมาล่วงหน้าคือความใจเย็น เมื่อเด็กชายทำการฆาตกรรมครอบครัวแล้ว เด็กชายอาบน้ำ สระผม และนั่งดูวีดีโอนักร้องคนโปรด โยโกะ มินามิโน หลังจากนั้นก็รวบรวมเงินในบ้านทั้งหมดใส่กระเป๋า นั่งรถของบิดาเป็นเวลานานก่อนจะโทรไปหาเพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เขาเล่า เด็กชายบรรยายอย่างละเอียดเพื่อให้เพื่อเห็นภาพ

                    ในที่สุดเพื่อนก็เชื่อว่าเกิดฆาตกรรมจริง เขาโทรบอกครูประจำชั้น และตำรวจตามด้วยผู้สื่อข่าวมากมายและทั้งหมดต่างไปที่เกิดเหตุในเวลาต่อมา เขาพบเด็กชายซาวาโนอิในสวนสาธารณะไม่ไกล ในมือถือมีดเปื้อนเลือดและเงินสดกว่าสามหมื่นบาท ตามรายงานของผู้สื่อข่าวบอกว่า "เด็กชายมีท่าที่สงบเยือกเย็น ตอบคำถามตำรวจชัดถ้อยชัดคำ"

                    ในคำให้การของเด็กชายต่อตำรวจ เขาสารภาพว่าทำไปด้วยแรงบีบคั้นมากกว่าความไร้เดียงสา หรือพูดง่ายๆ คือ เขารูตัวดีว่าจะทำอะไร เขาบอกตำรวจว่า ผู้เป็นแม่กระตุ้นให้เขาฆ่า เพราะเธอ ไม่เคยเอาใจใส่เขาเลย เธอปล่อยให้ย่าเลี้ยงผมมาตลอด เธอไม่เคยแสดงความรัก เขายังกล่าวถึงพ่อว่าเป็นพ่อที่แย่มาก ทำงานจนดึกดื่นจากจันทร์ถึงเสาร์ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง และออกตีกอล์ฟวันอาทิตย์กับผู้ร่วมงานหรือแขกของบริษัท

                    นอกจากนี้ เด็กชายยังบ่นอีกถึงเรื่องพ่อที่กลับบ้าน แล้วเมา ใช้เด็กชายเป็นเครื่องระบายอารมณ์

                    
                   เมื่อเขาจบการศึกษาระดับมัธยมต้น ก็ถูกพ่อแม่กดดันขนาดหนัก ให้สอบแข่งขันเข้าโรงเรียนมีชื่อตามวีถีชีวิตญี่ปุ่นเป็นส่วนมาก
    "พ่อแม่รังแกฉัน รุมกระหน่ำผม บีบบังคับทั้งวาจาและกิริยาเพื่อให้ผมยอมรับว่า ผมจะต้องไปเรียนเข้าโรงเรียนที่ (พ่อแม่) ต้องการให้ได้ ผมไม่ชอบเรียน แต่แม่กลับคาดหวังว่าผมจะต้องเรียนเก่ง ขณะที่พ่อไม่อยู่บ้าน ไม่เคยสอนการบ้าน พ่อไม่รู้อะไรเลย ฟ้องทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมผ่านแม่ซึ่งก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมเช่นกัน ผมจำเป็นต้องใช้มีดเพื่อให้พวกเขาหยุด"

                    ฟังที่เขาเล่าก็พอรู้สาเหตุว่าทำไมเขาต้องทำการฆาตกรรมบุพการี แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไร้มนุษย์ธรรม เกินกว่าที่จะให้ ว่า ทำไมเขาต้องฆ่าย่าที่เลี้ยงดูเขาแต่เล็กแต่น้อย อาบน้ำให้ ซื้อของเล่นให้ และเข้าข้างเด็กชายเสมอเมื่อมีเรื่องกลับครอบครัว "ย่าเป็นคนเดียวที่ผมรัก" ส่วนปู่รอดตายได้เพราะบังเอิญไปทำธุระต่างจังหวัดกับครอบครัว

                    หนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่นวิเคราะห์ข่าวอย่างระมัดระวังก่อนที่จะระบุว่าทั้งเด็กและผู้ปกครองต่างล้วนตกเป็นเหยื่อของสังคมญี่ปุ่นที่พิกลพิการ ซึ่งหัวหน้าครอบครัวมักจะบ้างานจนลืมลูกลืมเมีย

                    "ลูกที่ดีในสังคมของญี่ปุ่นทุกวันนี้ วัดความดีด้วยคะแนนสอบที่โรงเรียน การสอบแข่งขันเข้าเรียนทวีความรุนแรงและกลายเป็นสนามประลองที่เด็กหวาดกลัว ทุกคนรู้ว่าไม่มีเวทีสำหรับผู้แพ้ นี้เป็นความจริงที่ไม่พิสูจน์"

                    นี้แหละสภาพครอบครัวของญี่ปุ่น เป็นทุกครอบครัวทุกบ้าน โดยเฉพาะคนชั้นกลาง เด็กญี่ปุ่นทุกคนต้องเจอสภาพนี้ เพียงแต่ว่าพวกเขาจะปรับตัวเพียงใด

                     แต่สิ่งที่น่าศึกษาลึกลงไปก็คือ ทำไมเด็กชายซาวาโนอิเลือกการฆ่าพ่อแม่ของตนเป็นการตอบโต้แทนการอดทนเช่นเด็กคนอื่น อะไรชักนำให้เขาทำเช่นนี้?

                    อีกคดีหนึ่งอย่างที่ทุกคนได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ นั้นคือคดีเด็กชายชาวญี่ปุ่น อายุ 17 ปี ไอสึวากะมัตสุ ในจังหวัดฟูคูชิมะ ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนแห่งหนึ่งได้ฆ่าตัดหัวแม่ตัวเอง ก่อนหิ้วหัวแม่เข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา

                    รายงานบอกว่าเด็กชายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ได้ไปโรงเรียนมาหลายวันแล้วและอยู่ในระหว่างการเข้ารับการบำบัดจากจิตแพทย์ โดยเด็กชายได้ให้การแก่เจ้าหน้าที่สอบสวนว่า จะดีมากหากการก่อการร้ายและสงครามหมดสิ้นไปจากโลกนี้ และว่า ผมไม่สนคนที่ผมฆ่า ขณะที่เหตุฆ่าตัดหัวสุดสยองครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าวันครบรอบคล้ายวันเกิดอายุ 47 ปีของแม่ของเด็กชายรายนี้เพียงหนึ่งวัน

                    
                    สรุปคือ อ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วคิดถึงข่าวพวกนี้นะครับ สงสัยต้องอ่านอะไรที่เบาๆ สมองหน่อยแล้วล่ะ+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×