คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Memory 1 : คลื่นทะเล [100%]
BIPOL.,Memory
Memory 1 คลื่นทะเล
ซ่า ซ่า ซ่า
เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งที่กั้นชายฝั่งด้วยลูกหินที่ถูกวางเรียงราย คละเคล้าไปพร้อมด้วยผืนทรายสีน้ำตาลละเอียดสะอาดตา เมืองท่องเที่ยวยามเย็นที่เต็มไปด้วยผู้คนข้างทาง บ้างนัดมากันเป็นคู่บ้างนั่งอยู่เพียงคนเดียว แต่ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มก็ทำให้ใครๆที่พบเห็นได้มีความสุขไปด้วย
“ถึงสักที”เสียงจากชายหนุ่มร่างโปร่งลงจากรถโดยสารขนาดเล็กที่เรียกว่ารถกระป๋องในเมืองจากท่ารถโดยสารขนส่ง นั่งผ่านเส้นทางต่างๆมาลงยังจุดหมายปลายทาง ...หาดชายทะเล...
คีตะ เกี่ยวเอากระเป๋ากีตาร์คู่ใจขึ้นพาดบ่า เดินตรงไปยังป้ายบ่งบอกสถานที่ ยกกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอไว้อยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนรถกระป๋อง มากดถ่ายภาพเก็บไว้ อย่างน้อยก็บันทึกความทรงจำของสถานที่ ที่เพิ่งเคยมา
“แล้วจะไปทางไหนต่อละทีนี้” พึมพำกับตัวเองเบาๆ ยกกระดาษที่อยู่ในมือมองหันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของร้าน “เคียงเล” อยู่ที่ไหน?
หนุ่มร่างโปร่งพร้อมสัมภาระกระเป๋าเป้หนึ่งใบสะพายหลัง ด้านข้างเป็นกระเป๋ากีตาร์คู่ใจ ที่คอคล้องกล้องถ่ายรูปขนาดไม่เล็กเดินถ่ายเก็บบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยวริมทะเลต่างจังหวัดยามพลบค่ำ
“กล้วยปิ้งจ้า กล้วยปิ้งไหมพ่อหนุ่ม”เสียงคุณยายขายกล้วยปิ้งที่นั่งบนเสื่อขนาดย่อมตรงหน้าเป็นตะกร้าที่มีเตาไฟขนาดเล็กพร้อมตะแกรงเหล็กเล็กๆมีกล้วยนอนนิ่งสีเหลืองนวล อุ่นๆ บนไฟแดงริบหรี่บนเตา
คีตะหยุดมองส่งยิ้มให้กับคุณยายด้านหน้า “ผมขออนุญาตถ่ายรูปนะยาย”ถามออกไปพร้อมกับเตรียมจะยกกล้องขึ้นสูง ยายส่งยิ้มกว้างมาให้ รอยยิ้มที่หาได้ยากในเมืองหลวง
“ขอกล้วยปิ้งยี่สิบบาทนะครับ” หลังลดกล้องในมือลง คีตะนั่งยองใกล้พร้อมกับสอบถามหาจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปต่อ
“มาเที่ยวคนเดียวหรอพ่อหนุ่ม”
“ครับยาย ยายครับ ยายรู้จักร้าน “เคียงเล” ไหม?”
“เคียงเล? มันเป็นร้านยังไงละ ยายไม่เคยได้ยิน”
“ร้านอาหารกึ่งผับ ร้านเหล้าประมาณว่าริมทะเลอะยาย พี่เขาบอกผมมาแบบนี้ ผมเป็นนักดนตรีมาใหม่ของร้านน่ะครับ”
“อ๋อ....” ยาย ยื่นกล้วยปิ้งให้พร้อมกับทำท่าครุ่นคิด แล้วมองออกไปยังชายทะเลที่เลียบริมฝั่ง เมื่อสายลมที่พัดแรงเริ่มโหม
“เดินเลียบริมทะเลไปเรื่อยๆ จะมีร้านริมทะเลเล็กๆลูกยายมันเคยทำงานที่นั่น แต่ตอนนี้มันออกมานานแล้ว เจ้าของร้านใจดี ลองเดินไปเรื่อยๆน่าจะเจอนะพ่อหนุ่ม”
“ขอบคุณครับยาย” คีตะยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม ยกกระเป๋ากีตาร์ขึ้นสะพายแล้วเดินตรงไปยัง ชายหาดที่เกลียวคลื่นจากทะเลเข้ากระทบฝั่ง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า~~ อื้มมม อ่าส์”
เสียงหวานจากบทรักเร่าร้อนยังคงอยู่ในห้วงของความทรงจำ มือแกร่งค่อยๆเอื้อมคว้ามือปัดป่ายไปยังพื้นที่ข้างๆเตียง สายตาสะลึมสะลือ งัวเงียค่อยๆดันร่างให้เหยียดลุกขึ้นนั่ง มือขยี้ผมสะบัดหัวไปมาเรียกสติ ให้เริ่มตื่นเต็มตา
ร่างหนาคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ถูกจัดวางไว้จากใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดทั้งคืนและช่วงเช้าที่ผ่านมา เสื้อผ้าสำหรับวันนี้ถูกพับอย่างเป็นระเบียบกองไว้ที่ปลายเตียง ข้างกันคือผ้าเช็ดตัวพร้อมชั้นในที่นำวางไว้ให้ สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึก คนที่จะทำแบบนี้ให้ได้มีเพียงในฐานะเดียว “เมีย”
กล่องกำมะหยี่สีน้ำตาลถูกยกขึ้นมาจูบ เมื่อคนร่างสูงลงจากรถแล้วเดินมุ่งตรงเข้าไปยังหน้าประตูห้องชมรม ที่มีป้ายขึ้นชื่อไว้ “ชมรมดนตรี”
“เฮ้อ....แล้วจะบอกยังไงดีวะ?”
“แล้วใครจะพูด มึงดิมึงเลย มึงเป็นรองฯ”
“มึงเป็นเลขาฯ หน้าที่มึงไม่ใช่ของกู”
เสียงที่ดังมาจากภายในห้องค่อยๆเงียบเสียงลงเมื่อบัสผลักประตูเข้าไป ก็พบกับคนคุ้นตาที่อยู่ในนั้น ใบหน้าราวครุ่นคิดดูวิตกกังวลกับบางอย่าง
“มีอะไรกันหรือเปล่า?” ถามออกไป ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยไม่ทันสังเกตถึงสีหน้าของคนที่อยู่ในห้องกันเท่าไหร่นัก
“ไม่ ไม่มีอะไร? ...” ใครคนหนึ่งที่หน้าจะเป็นสมาชิกในชมรมพูดขึ้น ก่อนที่คนในชมรมจะขอตัวกันออกไปข้างนอกทีละคนสองคน
จนในที่สุดแล้วก็เหลืออยู่เพียงแค่คนคุ้นตาสองคน ที่นั่งเงียบอยู่ในมุมของตนเอง เหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่างให้กับร่างสูง แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคน
“พี่คริสครับ จะบอกพี่บัสยังไงละฮะว่าพี่ๆเขาไปจนใกล้จะถึงสนามบินกันแล้ว” เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้มือที่กำกล่องกำมะหยี่เริ่มสั่นเทา
“หมายความว่าไง?” บัสหันไปก็เจอกับเด็กหนุ่มตัวขาว ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูชมรมก่อนจะวิ่งไปหาคนร่างสูงที่อีกคนเรียกว่าคริส แล้วเข้าไปยืนเกาะอยู่ที่ด้านหลัง
“ไปกันหมดแล้ว นี่ละคือสิ่งที่อยากจะบอก เครื่องจะออกตอนประมาณ 1 ทุ่ม” คนร่างสูงอีกคนที่นั่งอยู่ตรงชุดกลองลุกออกมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วบอกออกมาใบหน้ามีรอยยิ้มแต่แววตาเศร้านิดๆ
“อะไร? ใครไปไหน?” ได้แต่ถามออกไปอย่างงงๆ
“ใครสักคนที่พี่มาหาเขาไม่ใช่หรอครับ? ตามไปสิครับ ตอนนี้เวลายังพอมี ถ้าโชคดีอาจจะไปทัน ยังไงพวกเราก็เอาใจช่วย ตามให้ได้นะครับ” เสียงจากเด็กหนุ่มหน้าใสนั่นบอกออกมา ในตอนนี้ใจมันเริ่มหวั่นไหว มือมันเริ่มสั่น ร่างสูงไม่เข้าใจตัวเองว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่จะตอบคำถามของตัวเองได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ต้องไปที่สนามบินให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น .... หัวใจของตนมันอาจจะหยุดเต้น
ระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงในความรู้สึกหากแต่มันก็รวดเร็วเพียงแค่พริบตาเดียว ร่างสูงมาอยู่ที่สนามบิน หลังจากที่วนจอดรถได้แล้ว เหมือนเสียงหัวใจมันกำลังนำทางให้ขาก้าววิ่งไปออก จุดหมายที่ไหนไม่รู้ ไม่มีใครรู้ รู้แค่เพียงว่าตอนนี้จะต้องวิ่ง วิ่งไป วิ่งเท่านั้น
ร่างสูงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงใจกลางผู้คนที่มากมาย หลายคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเพื่อออกนอกประเทศหลายคนกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม กับกลุ่มคนที่มารอรับ ภาพเหล่านี้วนในหัว แต่ใจของคนคนนี้กลับกำลังสับสน ทั้งยังคงถามตัวเอง ว่าหัวใจที่กำลังเต้นระรัวอยู่นี้ มันเป็นอะไร
“ผู้โดยสารโปรดทราบ ท่านที่...” เสียงประกาศดังก้องในโสตประสาต คำหนึ่งที่สะกิดให้ต้องเดินไปยังเกทผู้โดยสารขาออก โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่ประเทศออสเตรีย หัวใจที่หนักอึ้งมันเรียกร้องให้เดินไป และในที่สุดเมื่อมาถึงที่หมาย ภาพแผ่นหลังของใครสักคนที่ให้ความรู้สึกโหยหากำลังเดินเข้าไปยังปลายทางที่ตามเข้าไปไม่ได้
“เดี๋ยว เดี๋ยวสิ เดี๋ยว รอก่อน...” ร่างสูงได้แต่ร้องบอกออกไปให้ใครคนนั้นหยุดนิ่ง อยากวิ่งเข้าไปกอด อยากจะฉุดรั้งร่างนั้นเอาไว้ แต่เหมือนแผ่นหลังของคนที่คุ้นตา หยุดชะงักไว้เพียงนิด ที่ไหล่สั่นไหวน้อยๆราวกับกำลังสะอื้นไห้ ร่างนั้นกำลังร้องไห้? คำถามที่เกิดขึ้น บีบหัวใจที่ปวด ปวดหนักขึ้นไปอีก
เพียงแค่คิดแค่นั้นหัวใจดวงนี้กลับหล่นวูบ มันหนักอึ้ง มันปวดร้าว คนคนนั้นเป็นใคร? และมือที่กำกล่องกำมะหยีนี้ที่ภายในคืออะไรก็ไม่เคยรู้ รู้แค่เพียงว่ามันคือของสำคัญอย่างหนึ่ง ของสำคัญสำหรับใครคนนั้นที่สำคัญกำลังจะหายออกไปช้าๆ
ไม่ จะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด นั่นคือสิ่งที่ร่างสูงบอกกับตัวเอง ขาที่กำลังจะก้าววิ่งเพื่อไปดึงรั้งใครคนนั้นไว้กลับหยุดชะงักลง เมื่อมีมือเรียวของหญิงสาวที่คุ้นตา ดึงรั้งข้อแขนเอาไว้
“ไนติงเกล....” เสียงแผ่วเบาของร่างสูงเปล่งออกมาช้าๆ นัยน์ตายามที่มองไปยังหญิงสาวตรงหน้า บ่งบอกความรู้สึกที่หลากหลาย ใบหน้าหวานส่งยิ้มมาให้น้อยๆ ผมลอนหยักกับผิวขาวใสของคนตรงหน้า ไนติงเกล น้องสาวลูกของญาติห่างๆที่ร่างสูงเคยมีใจให้กำลังส่งยิ้มเจือด้วยความเศร้ามาให้อย่างฝืน
“พี่บัส ปล่อยเราไปเถอะนะค่ะ ปล่อยเราไป” เสียงหวานบอกเพียงแค่นั้น แต่หัวใจของร่างสูงกลับเหมือนบ่วงที่จองจำไม่ให้สามารถเคลื่อนไหวได้ รอยยิ้มที่มี เป็นเพียงแค่ยิ้มที่นึกสมเพชให้กับตัวเอง รอยยิ้มที่เจ็บปวด
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้มันคือ อะไร ร่างสูงรู้แค่เพียงว่า น้ำตา ที่ไหลลงมาอาบแก้มในตอนนี้บ่งบอกถึงความปวดร้าว บ่งบอกถึงความรู้สึกที่กำลังเจ็บ ราวแตกสลายของหัวใจ ในมือบีบกล่องกำมะหยี่ขึ้นมาจูบพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า ค่อยๆทรุดตัวลงช้าๆ
ผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้ หากมองแค่เพียงบุคคลภายนอกอาจจะกำลังร้องไห้ ให้กับเธอที่เพิ่งจากไป แต่ คนที่กำลังร่ำร้องกลับรู้ดีว่า ไม่ใช่เพราะญาติสาว หากแต่เป็นเพราะคนสำคัญที่รับรู้แค่เพียงแผ่นหลังที่คุ้นตาเท่านั้น ใคร? ใครคนนั้นต่างหากที่ทำให้หัวใจของคนร่างสูงคนนี้ มีน้ำตา....
ปังๆ ปังๆ ปังๆ เสียงเคาะประตูรัว เรียกสติที่หลับใหลของคนในห้อง ให้ลุกงัวเงียขึ้นมา
“อ่า .... ฝัน ฝันแบบนี้มา 2-3 ครั้งแล้วนะ แล้ว น้ำตา?” ร่างสูงบนที่นอนในห้องพักที่แตกต่างจากในภาพความฝัน บัสค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง โดยที่ยังไม่สนใจเสียงที่เคาะประตูที่ดังรัวๆอยู่นั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เออๆ ตื่นแล้ว เดี๋ยวโว้ย!!” ตะโกนตอบกลับไปยังหน้าประตู แล้วลุกขึ้นไม่ลืมหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้กับราวไม้ข้างเตียงขึ้นมาพาดบ่า เดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าและซับกลบรอยน้ำตา แต่ถึงจะกลบเกลื่อนสักแค่ไหน ดวงตาที่แดงก่ำผ่านการร้องไห้ที่ผ่านมา ก็ยังคงมีให้เห็นที่ดวงตา
บัสเดินไปยังหน้าห้องพัก เขาเลือกที่จะเช่าห้องพักเดี่ยวอยู่คนเดียวในระยะ 1 เดือนกับการมาเข้าค่ายทำงานของสโมสรนักศึกษาวิศวะฯที่มารวมกัน ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคใต้ ลูกบิดประตูดังกึกๆของคนภายนอกที่พยายามจะเปิดพังประตูเข้ามา ต้องเงียบลงเมื่อเจ้าของห้อง เคาะบอกว่ากำลังจะเปิด
“นอนหรือมึงตายวะ?”เสียงของธีม ชลที รองประธานคณะที่มาค่ายด้วยกันเดินเข้ามากอดคอเจ้าของห้องโดยไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติของเพื่อนตัวเอง
“เออ พวกมึงมาแหกปากอะไรหน้าห้องกู”บัสสะบัดหน้าแสร้งหนีสายตาของเพื่อนอีกคนที่เข้ามาพร้อมกันเงียบๆ
“อ้าว ไอ้นี่ ลืมหรือไง วันนี้มีนัดกันที่ “เคียงเล”นะเว้ย พวกไอ้หนึ่งไอ้สอง สองแฝดเจ้าภาพมันบอกเมื่อกลางวันมึงจำไม่ได้ไง?”เสียงทุ้มของธีมยังคงจ้อไม่หยุด
“เออ นัดกี่โมงวะกูลืม”
“ก็เกือบๆทุ่มนั่นละ นี่ก็เพิ่งจะหกโมงกว่าๆ กูว่า คุณประธานคณะฯมึงไปอาบน้ำได้แล้วไป”
“เออ!!!” บัสดึงมือที่พาดไหล่ของตัวเองออกกำลังจะเดินตรงไปยังห้องทางด้านหลังที่เป็นส่วนของห้องน้ำ ก็ต้องชะงักลง เพราะมือเรียวของอีกคน
“มีอะไร?” เสียงห้วนถามกลับไปยังเจ้าของมือทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่บอกไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกไม่ค่อยอยากจะคุยกับเพื่อนคนนี้เท่าไหร่ นั่นเพราะคือเพื่อนรัก ที่คบกันมานานตั้งแต่ ม.ปลาย ที่ไม่ต้องพูดอะไร ก็รับรู้แทบจะทุกอย่างที่เขาเป็น
“มึงร้องไห้?” เสียงนุ่ม กับคำถามง่ายๆ ทำให้ใครอีกคนที่เพิ่งเข้ามาและธีมต้องหันไปมองเจ้าของห้องอย่างพิจารณาใหม่
“ว่าไงนะคะพี่ฟรีซ? พี่บัสร้องไห้หรอ? ไหนๆขอพีชดูหน่อยดิ?” เลขาสาวตัวป่วนตำแหน่งว่าที่แฟนของรองประธานคณะอีกคนหนึ่ง หรือฟรีซ ถามขึ้นก่อนจะวางถุงกับข้าวที่เพิ่งซื้อมาไว้ที่โต๊ะอาหารหน้าทีวี
“เกี่ยวอะไรกับแกวะพีช โน่นๆไปดูว่าที่แฟนแกโน่นอย่ามายุ่ง”บัสร้องโวยวายเมื่อพีชพยายามที่จะเอามือประกบหน้าเพื่อดูดวงตาที่แดงก่ำ
“เฮ้ยๆ ไหนมาดูดิ กูอยากเห็น แม่ง มันนอนร้องไห้ด้วยเว้ย ฮ่าๆ” เสียงเฮฮาของธีม พยายามช่วยพีชเพื่อที่จะแกล้งบัส แต่เหมือนธีมแทบไม่ต้องทำอะไร เมื่อลูกสาวมาเฟียใช้วิชายูโดล้มบัสทีเผลอให้ลงไปนอนกองที่ปลายเตียงนอน
“เฮียไปโดนอะไรมา บอกลูกพีชมาได้เลย ใครทำเฮียของลูกพีชนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย ฮ่าๆ” ลูกพีชหัวเราะชอบใจก่อนจะหุบปากฉับแทบไม่ทันเมื่อมาเจอเข้ากับสายตายิ้มนิดๆของคนที่เริ่มประเด็น
“เพราะมึงเชี่ยฟรีส เสือกพูดทำไมวะ”
“ก็แล้วมึงร้องไห้จริงปะล่ะ?”
“เออ แล้วไง?” หมดหนทางหนีจึงได้แต่เดิน ออกมานั่งยังโต๊ะญี่ปุ่นขนาดใหญ่หน้าทีวีที่ตอนนี้ลูกพีชกำลังเตรียมจานข้าวสำหรับอาหารมื้อเย็น
“ก่อนจะไปดริ้ง เราต้องมารองท้องกันก่อนคุณหมอเฮียหนึ่งบอกไว้” ลูกพีชพูดถึงพี่ชายลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติของตนเอง
“ไหนๆมีอะไรกินบ้าง รีบๆทำไปสิ ไม่ต้องหันมามองหน้า”บัสตบหัวลูกพีชเบาๆไปทีหนึ่ง แล้วก็ขยับไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับฟรีสที่นั่งทางด้านขวามือของพีช ถ้าให้พูดง่ายๆ โต๊ะญี่ปุ่น สี่ด้าน ทุกคนก็นั่งกันคนละด้าน J
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เคียงเล
คีตะเดินไล่เลียบริมชายฝั่งทะเล สุดขอบทะเลแต่งแต้มสีม่วงอมเทาเสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งกับแก่งหินที่เรียงรายสลับกับหาดทรายละเอียด ข้างหน้าคือซุ้มไม้ ที่มีรั้วเป็นคบไฟประดับ บรรยากาศร้านริมทะเลค่อนข้างดีเลยทีเดียว
แว่วเสียงเพลงแห่งความเศร้า คลาเคล้ากับความเงียบสงบและเสียงของเกลียวคลื่นของท้องน้ำทะเลยามค่ำคืน
กลับไปเป็นเหมือนเดิมก็เท่านั้น ไม่มีใครเหมือนเคยก็แค่นั้น
แต่ทำไมฉันทนมันไม่ไหว
ก็มันเหงา....ใจเหลือเกิน หัวใจก็ดวงเท่าเดิม แต่เหมือนอะไรมันขาดหายไป
มันช่างเหงา...ไม่ใช่ไม่มีผู้คนรอบกาย แต่แค่เพียงไม่มีเธอตรงนี้ มันก็เหงา...จะขาดใจ
(เหงา...หัวใจดวงเท่าเดิม : หวิว ณัฐพนธ์)
“เคียงเล” แผ่นป้ายไฟติดประดับไว้ที่มุมหนึ่งข้างๆคบไฟที่จัดเอาไว้ บรรยากาศร้านเป็นร้านเหล้ากึ่งผับกึ่งร้านอาหาร คีตะยิ้มน้อยๆ ก่อนเดินเข้าไปนั่งมุมโต๊ะขนาดเล็กที่เหมาะกับการมานั่ง1-2 คน พักฟังเพลงสบายๆ มารับประทานอาหารหรือการนั่งดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเล บรรยากาศภายนอกจะได้ยินเพลงที่อยู่ภายในอาคารแผ่วเบา ส่วนภายในร้านจะเป็นห้องปิดที่มีวงดนตรีสดเล่นขับกล่อมจังหวะช้าเร็วกึ่งผับสลับกันไปแล้วแต่วันไหนวงใดจะขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้ทางร้านมีปัญหาเกี่ยวกับมือกีตาร์ที่แขนหักทำให้วงประจำที่เคยเล่นหยุดชะงักไป ประจวบเหมาะกับคีตะอยากลงมาพักผ่อน เจ้าของร้านจึงชวนให้มาเป็นมือกีตาร์ตัวแทนพร้อมกับนักร้องในตัว รอระหว่างจะหาคนใหม่ได้
“พี่พัท ผมมาถึงแล้วนะครับ” เมื่อวางสัมภาระลงด้านข้าง หลังจากนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ ของโต๊ะอาหาร ก็ยกโทรศัพท์เพื่อบอกการมาถึงให้กับญาติสาวเจ้าของร้านได้รับรู้
“ผมเพิ่งมาถึง...ครับ ชอบครับ บรรยากาศดีมากๆเลย” ตอบปลายสายไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เหม่อมองออกไปยังชายทะเลยามค่ำคืน ความสงบเงียบตรงหน้าทำให้อาการที่แสนเศร้า ลดน้อยลง แต่เมื่อนึกขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มก็กลับกลายเป็นยิ้มฝืน
“...คี คี คีตะ ฟังพี่อยู่ไหม?” เสียงจากปลายสายดังขึ้นมาเรียกความคิดที่อยู่ในภวังค์ของคีตะให้ตื่นขึ้น
“เอ่อครับ ขอโทษที ผมคงเหม่อไปหน่อย ...เอาน่าครับ ผมไม่เป็นไร” ตอบกลับไปอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“จะให้ผมเริ่มเล่นวันนี้เลยไหม? ผมพร้อมแล้วจะได้เข้าไปเลย ...ได้ครับ ได้ ครับรอก่อนก็ได้ครับ ฮ่าๆ ครับพักก่อนก็ได้ ...ไม่เป็นไรน่า ผมสบายดี ...ครับให้เสร็จก่อนค่อยลงมาก็ได้ ผมอยู่คนเดียวได้น่า” คีตะ ขำเบาๆกับการช่างห่วงของพี่สาวที่มักจะมีมาให้อยู่เรื่อยๆ
วันนี้คีตะตั้งใจมาถึงจะลองฟอร์มวงเข้ากับวงประจำ แต่กลับมาถึงช้ากว่าปกติ ทางร้านจึงให้อีกวงได้ลองมาขึ้นแสดงแทนและให้คีตะที่เพิ่งมาถึงได้พักผ่อน โดยที่ตัวเจ้าของร้านเองตอนนี้กำลังจัดการสั่งงานให้กับลูกน้องด้านบนของร้านที่ทำเป็นชั้นลอยไว้บริหารงาน ข้างล่างจะมีมุมเวทีแสดงดนตรีสด ภายในจะถูกกั้นด้วยผนังเก็บเสียงเพราะเสียงภายในที่ค่อนข้างดังและส่วนมากจะเป็นนักท่องราตรีทีมาดื่มมาเมาซะมากกว่า
หากใครที่ชอบบรรยากาศสบายๆอาหารอร่อยๆ ก็ต้องเป็นมุมข้างนอกที่คีตะกำลังนั่งอยู่นี่ กับจำนวนโต๊ะที่วางเรียงรายพร้อมลูกค้าอีกจำนวนหนึ่ง ไม่น้อย
คีตะวางสายจากคนปลายสาย ยกกีตาร์ขึ้นมาปรับเสียงสักหน่อยก่อนค่อยๆบรรเลงเบาๆ เมื่อโต๊ะข้างๆได้เช็คบิลและลุกออกไปแล้ว บริเวณนี้ก็น้อยคน เมื่อเวลาล่วงเข้าเกือบ 2 ทุ่ม คนส่วนมากก็จะเข้าไปอยู่ข้างในบริเวณของผับด้านในมากกว่า
“เอ่อ คือ...” เสียงจากพนักงานเสิร์ฟที่บ่งบอกว่าคงเป็นพนักงานส่วนนอกเพราะภายในจะมีกฎไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปเสิร์ฟเหล้า แต่คนตรงหน้ากลับเป็นสาวสวยที่เปียผมเรียบร้อย กำลังส่งยิ้มมาให้
“ว่าไงครับ?”คีตะลดมือกอดกีตาร์ในมือไว้หลวมๆ หันไปส่งยิ้มให้กับพนักงานสาวที่หน้าแดงเรื่อน้อยๆเมื่อเจอเข้ากับรอยยิ้มนิ่งๆของคีตะ
“จะรับอะไรดีคะ เห็นมานั่งนานแล้วยังไม่เรียกสั่งอะไรสักที”
“อ่อ ขอโทษทีนะลืมไป ขอเป็นน้ำเปล่ากับข้าวผัดทะเล ง่ายๆก่อนก็แล้วกันครับ”
“ค่ะ สั่งเป็นน้ำเปล่ากับข้าวผัดทะเลนะคะ ต้องการน้ำแข็งด้วยไหมคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ แค่นี้อากาศก็เย็นแล้ว”
“ค...ค่ะ” ใบหน้าแดงเรื่อของพนักงานสาว เอียงอายน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าน้อยๆเป็นมารยาทที่ทางร้านได้กำหนดไว้ แล้วเดินตรงไปยังส่วนครัวของร้าน
ไม่นานนักพนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็เดินเข้ามาพร้อมถาดใส่จานข้าวผัดทะเลที่มีทั้งกุ้งหมึกน่าทาน เป็นอาหารจานเดียวพร้อมกับแก้วน้ำและขวดน้ำขนาดเล็ก วางไว้ข้างๆกับจานข้าว เมื่อวางจานอาหารเสร็จพนักงานก็โน้มศีรษะลงเล็กน้อยอีกครั้งแล้วเดินออกไปอยู่ในมุมที่พร้อมจะเข้ามาบริการได้ทุกเมื่อเมื่อมีแขกเข้ามาใหม่หรือลูกค้าเดิมที่ต้องการสั่งหรือเรียกใช้
คีตะยิ้มให้กับมารยาทของพนักงานภายในร้านอยู่ไม่น้อย ไม่ต่างจากการบริหารงาน “พีโอไนท์(POnight)” ของนันทพัทธ์ หรือพี่พัท เจ้าของร้านเคียงเลแห่งนี้ นึกยิ้มในใจเพียงคนเดียวพร้อมกับวางสิ่งที่อยู่ในมือก่อนนี้ไว้ที่เกาอี้อีกตัวด้านข้าง ลงมือทานอาหารฟังเพลงเบาๆที่ถูกเปิดผ่านลำโพงจากเพลงสดด้านในออกมาด้านนอก ก่อนเพลงเบาๆซึ้งๆจะเปลี่ยนเป็นจังหวะเพลงร๊อคหนักๆ
“จังหวะดนตรีใช้ได้ เสียงร้องมีพลัง เป็นวงที่น่าสนใจจริงๆ” รวบช้อนเข้าด้วยกันแล้วดันจานข้าวออกจากตัว ยกผ้าขึ้นเช็ดปากเบาๆก่อนจะตามด้วยการเปิดน้ำจากขวดที่ยังไม่ได้เปิดเทใส่แก้วแล้วดื่ม นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พัทติดมาจากการบริหารงานดูแลผับมาก่อนหน้านี้ พนักงานจะคอยดูห่างแต่ก็ไม่หายไปไหน พร้อมบริการลูกค้าเสมอ มารยาทการก้มคำนับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม และอีกสิ่งหนึ่งคือ น้ำดื่ม หรือเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะอะไรก็ตามก่อนำมาเสิร์ฟลูกค้าต้องไม่มีการเปิดก่อน และถ้าลูกค้างต้องการให้เปิดถึงจะเปิดต่อหน้าลูกค้าเท่านั้น เป็นการป้องกันการเกิดปัญหาอีกอย่างหนึ่ง โดนเฉพาะสาวๆในผับ
คีตะยกมือเรียกพนักงานอีกครั้งเป็นพนักงานคนเดิมที่เดิมยิ้มตรงเข้ามาหา เมือเห็นว่าลูกค้าทานเสร็จและให้สัญญาณพนักงานก็เก็บจานข้าวที่ทานเสร็จแล้วให้เหลือไว้เพียงแก้วน้ำเอาไว้และเดินกลับมายังโต๊ะอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคีตะได้มองตนอยู่
“รับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ”
“อยากกินของหวานที่นี่มีอะไรแนะนำบ้าง”
“ส่วนมากของหวานเราจะมีแค่ช่วงกลางวัน ค่ะ ถ้าเป็นค่ำๆแบบนี้ก็จะมีแต่ไอศกรีมเท่านั้น”
“งั้นขอเป็นไอศกรีมสักถ้วยขนาดกลางแล้วกัน”คีตะดูเมนูในมือสั่งไปพร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆไปให้ แต่ยังไม่ทันที่พนักงานสาวจะเดินเข้าไป เธอกลับหยุดชะงักลงเมื่อเห็นพนักงานในร้านจากภายในเปิดประตูให้ลูกค้าจากภายในบางส่วนออกมาแบบเร่งรีบ
“เป็นอะไรพี่ซี?”เสียงใสถามด้วยใบหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ก็มีเรื่องกันนิดหน่อยนะ นี่ก็ทำลูกค้าบางส่วนเช็คบิลออกมาละ” คนพนักงานเสิร์ฟจากข้างในตอบพร้อมกับมือที่เปิดประตูส่วนนอกค้างไว้ ให้ได้ยินเสียงจากส่วนในดังขึ้นมาอีกเล็กน้อย
“นี่มันเพิ่งจะ3ทุ่มเองนะพี่”
“ก็ใช่ไง เห็นว่าเป็นพวกเด็กที่มาค่ายจาก ม.ในเมืองมาเลี้ยงแล้วคุยกันไม่ลงรอยอะไรสักอย่าง ตอนนี้อีกฝ่ายที่มีปัญหาหนักพี่พัทจัดการจับไปสงบสติแล้วละ”
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ?” เป็นเสียงของคีตะที่เดินเข้ามาทันได้ยินเรื่องราวทั้งหมด โชคดีที่ลูกค้าฝั่งโซชายทะเลตอนนี้ไม่มีแล้ว
“เอ่อ ขอโทษค่ะ เดี๋ยวน้ำไปตักไอศกรีมให้นะคะ” พนักงานสาวพูดละล่ำละลักเพราะเผลอลืมหน้าที่เป็นสิ่งที่ถือว่าไม่ดีต่อการเป็นพนักงานที่นี่มาก อาจจะต้องมีการตักเตือนถ้าลูกค้ามีการฟ้องกับเจ้าของร้านขึ้น
“ไม่เป็นไรไม่เอาแล้วก็ได้ ว่าแต่แล้วคนที่เหลือนี่จัดการยังไง?”คีตะถามกับพนักงานชายที่ตัวเล็กว่าตนเองเล็กน้อย
“ก็ไม่เป็นอะไรแล้วละครับตอนนี้ อยู่ในความสงบ เอ่อ..แล้ว”พนักงานชายคนเดินพูดชะงักเล็กน้อยเมื่อเสียงดนตรีที่เงียบลงทำให้ได้ยินเสียงที่ดังอยู่ข้างในชัดเจน
“โวยวายขนาดนี้คงไม่เงียบแล้วมั่ง แล้วนี่พี่พัท คือเจ้าของร้านอ่ะอยู่ไหน?”
“พี่พัทพาคู่กรณีอีกคนออกไปส่งบ้านครับ เป็นเด็ก ม.ลูกอาจารย์ที่พี่เขาสนิทด้วยนะครับ คงต้องมีเรื่องคุยกันอยู่บ้างสักหน่อย”ซีพูดโดยไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่ตนกำลังบอกออกไปนั่นคือลูกค้าและไม่เหมาะสมนักที่จะบอกอะไรแบบนี้ออกไป
“หืม? มันดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ”คีตะพูดยิ้มก่อนจะบอกประโยคต่อให้ให้ทั้งซีและน้ำที่เป็นพนักงานชั่วคราวได้หน้าซีดกันยิ่งขึ้น “ผมเป็นน้องของพี่พัท ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น แต่ยังไงเราคงต้องคุยเรื่องกฎของร้านกันอีกสักหน่อยนะ แต่ตอนนี้พาผมเข้าไปดูได้ไหม?ว่าตอนนี้ข้างในมันเกิดอะไรขึ้น”
“คะ ครับ” พนักงานหนุ่มซี เดินนำหน้าเข้าไปก่อนโดยมีคีตะเดินตามไปส่วนน้ำได้แต่ปิดประตูด้านหน้าเอาไว้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC
ครบร้อยแล้วนะ
ปั่นกันมึน เนื้อเรื่องยังราบๆเรียบๆ ยังไงก็ฝากเป็นกำลังให้กันหน่อยนะ
โค้งงงงงง
ปล.เรื่องนี้นักแสดงเยอะมาก คือ มีคู่รองด้วยไงส่วนจะคู่ไหน?ก็เอาไว้รอลุ้นกันนะ ตอนนี้ บัสกับคีตะยังไม่เจอกันเลยอ่ะ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันละครับ แบบนี้ J
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
:) Shalunla
ความคิดเห็น