คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #300 : 7000 million miracles: Sakurazaka 「さくら坂」
ปีสองพันเจ็ด
ขณะนั้นย่างเข้าบ่ายโมงตรงที่แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศเข้าสู่ผืนโลก เพิ่มความสดใสและชีวิตชีวาให้กับเด็กสาวทามาโมริ อาริเอย์ที่กำลังเดินเอ้อระเหยขึ้น ‘เนินซากุระ’ อันเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างบ้านและร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุดในเมือง มือข้างหนึ่งถือนมกล่องรสกาแฟที่ยกขึ้นดูดพลาง ส่วนมืออีกข้างก็ถือข้าวปั้นห่อสาหร่ายไส้ทูน่าไปด้วย ก่อนที่อาริเอย์จะได้ยินเสียงดีดกีตาร์ดังแว่วมาพร้อมกับเสียงแหกปากร้องโดยไม่สนใจต่อผู้คนที่เดินสวนทางไปมา ไม่ใช่แค่เพราะว่ามันคือบทเพลงที่เธอชอบ แต่เพราะว่ามันคือน้ำเสียงที่เคยคุ้นของเด็กหนุ่มซึ่งมักจะหยิบยกบทเพลงทั้งเก่าใหม่มาร้อง คลอเคล้าไปกับเสียงดีดกีตาร์ด้วยความสุนทรีย์ บางทีก็สร้างสีสัน แต่บางครั้งก็กลับกลายเป็นความน่ารำคาญสำหรับเพื่อนร่วมห้องบีที่ต้องเผชิญ เมื่อนั้นอาริเอย์จึงหยุดฝีเท้า ยืนฟังเพลงฮิตในช่วงปีสองพันจากศิลปินคนโปรดที่แม่ชอบจนส่งต่อมาถึงเธออย่าง ‘ซากุระซากะ’ (เนินซากุระ) บทเพลงอมตะประจำฤดูกาลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวามากที่สุด...และเป็นเพลงซากุระที่อาริเอย์ชอบมากที่สุดจวบกระทั่งปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเจ้าของเสียงร้อง ณ เวลานี้จะไม่ได้มีโทนเสียงนุ่มลึกเทียบเท่ากับต้นฉบับผู้เป็นตำนานของวงการเพลงญี่ปุ่นอย่างคุณฟุคุยามะ มาซาฮารุ แต่นิชิมูระ ทาคุยะ นักเรียนชั้นปีสองห้องบี โรงเรียนมัธยมปลายซากุระ ก็สามารถขับเสียงร้องในแบบฉบับของตัวเองได้อย่างไพเราะน่าฟังไม่แพ้กัน
ก่อนทาคุยะที่หันมาเห็นเธอกำลังยืนดูดนมกล่องมองดูเขาจะฉีกยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นโบกทักทายขณะที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาพร้อมกับกีตาร์คู่ใจที่สะพายพาดไหล่
“เพลงกำลังเพราะเลย หยุดร้องซะแล้ว” อาริเอย์เย้า กลั้วไปกับเสียงหัวเราะของทาคุยะ
“กำลังจะกลับบ้านเหรอ?”
“อื้อ แล้วนายล่ะ?”
“กำลังจะไปหาคามิน่ะ”
เรียกลมหายใจของเด็กสาวให้พรูแรง ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังลั่นกับใบหน้าที่ย่นยู่ลงไปว่า “เฮ้อ! น่าอิจฉาคนมีแฟนจังน้า!”
“เธอก็หาแฟนซะสิ ฤดูใบไม้ผลิน่ะเป็นฤดูของการเริ่มต้นความรักเลยนะ”
“ถ้าไม่ใช่อิเคเมงแบบพวกทาคุยะก็ไม่เอาด้วยหรอก!”
“อิเคเมงอะไร! น่าอายออกจะตาย!” ทาคุยะรีบสวนย้อนกลับไปอย่างเร็วรี่ “มีแต่ฟูกะแหละที่ภูมิใจกับไอ้ฉายาแบบนี้น่ะ! ฉันกับโคทาโร่ไม่เอาด้วยหรอก!”
อาริเอย์ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาเมื่อไพล่คิดไปถึงเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อที่มีใบหน้าหล่อเหลา ร้องเพลงก็เพราะ เล่นกีตาร์ก็เก่ง เรียกว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับทาคุยะที่เป็นหนุ่มป๊อปที่สุดในโรงเรียนได้ (น่าเสียดายที่เจ้าตัวขัดเขินเกินกว่าจะยอมรับตำแหน่งนั้น ฟูกะที่มั่นหน้ามั่นใจก็เลยรับแทนให้โดยไม่สนเสียงนกเสียงกา) แต่เพราะไอ้ความตรงไปตรงมาชนิดที่ปากตะไกรยังเรียกพี่ เลยทำให้มีศัตรูรอบด้านไม่ว่าจะชายหญิง แน่นอนว่ากับอาริเอย์ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวคามิจะรอนาน”
“บ๊ายบาย ยังไงก็เดตให้สนุกนะ!” อาริเอย์ยกมือข้างที่ถือข้าวปั้นขึ้นโบกเป็นการอำลา ก่อนทาคุยะที่เดินสวนทางไปได้ไม่ทันไรจะหันกลับมาร้องเรียกเธอเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ให้อาริเอย์เอี้ยวตัวหันไปเลิกคิ้วแทนคำถามที่พูดออกมาไม่ได้เพราะก้อนข้าวปั้นที่กำลังเคี้ยวอยู่เต็มปาก
“เธอชอบเพลงของคุณฟุคุยามะใช่ไหม?”
อาริเอย์พยักหน้าหงึก ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้จนต้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังไม่ได้กลืนข้าวปั้นลงคอด้วยซ้ำว่า “ชอบมากๆ เลยล่ะ!” เรียกเสียงหัวเราะสดใสของทาคุยะ ไม่ต่างจากดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงลงมาเลยแม้แต่น้อย
“งั้นไว้ครั้งหน้าเรามาร้องเพลงของคุณฟุคุยามะด้วยกันนะ!”
และเนินซากุระในวันนี้ก็อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความสุขที่ไม่จางหายไป
ถึงอาจเป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์เล็กๆ ที่ดูจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นข้างในใจ และในที่สุดก็ถึงวันเบ่งบาน
愛と知っていたのに 花はそっと咲くのに
ถึงฉันจะรู้ว่ามันคือความรัก ถึงดอกไม้จะเริ่มผลิบานอย่างเงียบงัน
君は今も 君のままで
แต่กระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังคงเป็นเธอคนเดิม
ปีสองพันแปด
ครั้นกดปลายปากกาวาดวงกลมตัวโปร่งปิดท้ายประโยคและปัดหน้าปกสมุดปิดเข้าหากันแล้ว เธอจึงค่อยยืดแขนยืดตัวเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งหลังขดหลังแข็งทำการบ้านด้วยความเขม้น ฝ่ายกระจายเสียงเริ่มประกาศให้กลับบ้านเมื่อเข็มนาฬิกาบนข้อมือชี้ไปที่เลขหก เธอเก็บข้าวของลงไปในกระเป๋าเรียนลวกๆ ไม่ลืมที่จะปิดหน้าต่างและบานประตูให้เรียบร้อยก่อนเดินย่ำไปตามระเบียงทางเดินที่ร้างไร้ผู้คน อันเป็นดั่งกิจวัตรประจำวันของฟูจิกายะ อายูมิมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนขึ้นชั้นไฮสคูลปีที่สามในโรงเรียนมัธยมปลายซากุระ นั่นคือการมาโรงเรียนตอนเจ็ดโมงเช้า และกลับถึงบ้านตอนเจ็ดโมง...หากเป็นของช่วงเย็นทุกวันที่มีชั่วโมงเรียน
เธอก็แค่เกลียดบ้านที่ดูไม่เหมือนบ้าน เกลียดครอบครัวที่ดูไม่เหมือนครอบครัวก็เท่านั้น
‘เนินซากุระ’ สะพรั่งไปด้วยสีสันและกลีบดอกไม้ที่พากันเบ่งบานเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ นี่คือเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างโรงเรียนและบ้านที่เธอมักจะมายืนปล่อยใจไปกับสายลมและความงดงามของฤดูที่ชอบที่สุด หลังออกจากรั้วโรงเรียนในทุกเย็น
แต่ในตอนที่กำลังนึกอารมณ์ดีกระโดดโหยงเหยงขึ้นไปบนทางลาดชั้น เธอก็จะดันสะดุดรองเท้าตัวเองแล้วกระแทกเข่ามนกับพื้นคอนกรีตเข้าอย่างจัง ให้อายูมิรีบลุกขึ้นเร่งฝีเท้าจากไปเพราะเสียงหัวเราะคิกคักที่แว่วลอยตามลมมา ด้วยความที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยนอกจากความชาแปลบที่แล่นริ้วขึ้นมา อายูมิจึงเดินโขยกเขยกต่อไปโดยไม่ก้มลงมองบาดแผลที่คงจะไม่ได้ร้ายแรงในความคิด กระทั่งเจ้าของใบหน้าที่เธอคุ้นเคยดีในฐานะเพื่อนร่วมห้องของโอกาซากิ โคทาโร่จะเดินสวนทางขึ้นมาบนเนินสะพาน ครั้นสบตากับเธอก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนสีหน้าที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจจะเปลี่ยนไปเป็นความตื่นตกใจจนต้องรีบวิ่งพรวดพราดมาหา
“เธอ...เลือดออกนี่!”
และเมื่อเธอก้มลงไปเห็นรอยเลือดสีแดงปรากฏเป็นวงอยู่บนเข่าของตัวเอง อายูมิก็จะร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจเช่นเดียวกัน
“ไปโดนอะไรมา?”
“อ๋อ สงสัยจะเป็นเมื่อกี้ที่หกล้มตอนขึ้นเนินน่ะ”
“เลือดออกเยอะมากเลยนะ” โคทาโร่ว่า “เจ็บมากไหม? เดินไหวหรือเปล่า?”
ถึงอายูมิจะพยักหน้าตอบรับด้วยความเริงร่าและขันแข็งว่า “อื้อ แค่นี้สบายมาก!” แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับดูไม่ได้สบายใจตามไปด้วยเลย หลังจากลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ฉันว่าแวะทำแผลก่อนกลับบ้านดีกว่า” ตามมาด้วยประโยคที่ทำให้อายูมิต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู
“ขี่หลังฉันแล้วกัน”
“ม...ไม่เป็นไร! ไม่ต้องลำบากโอกาซากิคุงหรอก!”
“เห็นเลือดออกเยอะแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลย บ้านของฟูจิกายะก็อยู่อีกตั้งไกล ถ้ายังไงแวะทำแผลที่บ้านฉันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะปั่นจักรยานไปส่งเอง ว่าแต่กลับบ้านช้าหน่อยคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“อ...อื้อ”
“งั้นก็ขึ้นมาเลย”
พอได้ยินคำตอบรับแล้วก็ไม่รีรอต่อคำพูดปฏิเสธหรือสนใจกับมือทั้งสองข้างที่อีกฝ่ายยกขึ้นโบกรัวๆ อีก นอกจากก้มตัวหันหลัง มัดมือชกให้เพื่อนร่วมห้องต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ เมื่อนั้นอายูมิจึงรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขออนุญาตแม้ว่าจะไม่จำเป็นด้วยสุ้มเสียงที่แผ่วเบา เธอได้แต่ภาวนาไม่ให้หัวใจเต้นรัวแรงเมื่อแนบอกอยู่กับแผ่นหลังกว้างและกลิ่นตัวของผู้ชายที่ดูสดชื่นเหมือนกับกลิ่นทะเลที่ไม่อาจหาพบได้ในเมืองหลวง อย่างนั้นก็คงจะเป็นกลิ่นน้ำหอม
นอกจากการถามไถ่ถึงเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดูจะไม่ได้มีคำพูดอะไรมากนักระหว่างเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ได้สนิทกันอีก แต่ท่ามกลางสายลมและกลุ่มกลีบดอกซากุระที่บานสะพรั่งตลอดระรายทาง บาดแผลที่หัวเข่าไม่รู้สึกทั้งอาการชาและความเจ็บปวดแล่นริ้วผ่านขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวที่อายูมิรู้สึกได้ชัดเจนนั่นคือ...ความสุข
และนั่นก็คือความทรงจำต่อโคทาโร่ที่แม้กระทั่งตอนนี้...อายูมิก็ยังไม่เคยลืมเลือน
เป็นเหตุผลที่ทำให้ฤดูใบไม้ผลิและดอกซากุระเป็นดั่งสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่าขุมทรัพย์ไหนๆ การได้เพียงแอบมองเขาข้างเดียว ด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความชอบ ก่อนผันเปลี่ยนไปเป็นความรักที่เอ่อล้นเมื่อสัมผัสกับความใจดีที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสมันด้วยตนเอง ถึงอาจโรยราไปจากสายตา อย่างไรก็จะงดงามอยู่ในความทรงจำ ไม่มีวันที่จะแปรเปลี่ยน
愛と知っていたのに 春はやってくるのに
ถึงฉันจะรู้ว่ามันคือความรัก ถึงในที่สุดฤดูใบไม้ผลิจะหวนคืนมา
夢は今も 夢のままで
แต่กระทั่งตอนนี้ ความฝันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน
_______________
ความคิดเห็น