ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] EXO ,CHANBAEK - Calories Love Season 2 ♥

    ลำดับตอนที่ #13 : ♥ Calories Love Season 2 Chapter : 10000 kcal. - ลงตัว THE END.

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 56


    CALORIES LOVE SEASON 2

    PAIRING : CHANBAEK / KRISHUN / KAISOO .

    CHAPTER : 10000 kcal.

     

     

     

     

     

     

    ไม่จำเป็นต้องหวานมาก

    ขอแค่ความพอดีก็พอแล้ว...

    ...

     

     

    “แพคฮยอนอ่า...แพคฮยอนครับ..” เสียงทุ้มติดจะอ้อนหน่อยๆ ดังขึ้นอยู่ข้างๆ คนตัวเล็ก ใบหน้าที่ซบกับไหล่บางนั้นถูไถไปมาอย่างออดอ้อนให้อีกคนหันมาสนใจตัวเองหน่อย

     

    พรุ่งนี้แพคฮยอนต้องเดินทางไปจีนแล้ว ชานยอลเลยรู้สึกเคว้งเหมือนถูกปล่อยอยู่กลางทะเลแล้วก็เริ่มงอแงไม่อยากให้คนตัวเล็กเดินทาง เพราะกว่าจะกลับมาก็ตั้งสองอาทิตย์...แบบนี้มีหวังเขาจะต้องนอนไม่หลับไปหลายวันแน่ๆ เลย ชานยอลกลุ้มจริงๆ นะ...

     

    “หืม ว่าไง...” แพคฮยอนรับอือก่อนที่จะก้มอ่านรายละเอียดที่ต้องเตรียมไปจีนอีกครั้งเพื่อความชัวร์ แล้วก็มีชานยอลที่มาคอยช่วยเก็บของที่บ้าน

     

    พูดถึงเรื่องของใช้ที่แพคฮยอนลืมไว้กับจื่อเทาแล้ว เป็นชานยอลเองที่อาสาเป็นคนไปเอาโดยการขับรถไปถึงบ้านจื่อเทาด้วยซ้ำ นี่ถือว่าชานยอลลงทุนสุดๆ แล้วแถมยังไม่ยอมให้แพคฮยอนติดรถไปอีก คนตัวเล็กเองไม่กล้าขัดขืนอะไร ถ้ามันทำให้ชานยอลสบายใจแล้วเขาก็คงขัดไม่ได้เพราะไม่อยากทะเลาะกันอีก

     

    แต่ชานยอลเองก็บอกกับแพคฮยอนแล้วว่าไม่คิดติดใจอะไรกับจื่อเทาอีก

    เขาก็ยังคงเห็นจื่อเทาเป็นรุ่นน้องร่วมคณะของแพคฮยอนอยู่

     

    “คืนนี้มาค้างด้วยได้ไหมอ่ะ” ถามด้วยเสียงอ้อนๆ แพคฮยอนหยุดชะงักแล้วเงยหน้าหันไปมองชานยอลที่กระพริบตาปริบๆ ใส่เขา

    “หืม ค้างที่ไหน” ถามกลับแล้วยังทำหน้างงจนชานยอลเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเสียฟอร์มแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ ก็รู้ว่าแพคฮยอนซื่อ งั้นก็ขอตีเนียนไปเลยแล้วกัน ยังไงก็จะค้างด้วยให้ได้

    “ที่นี่”

    “ที่บ้านฉันน่ะเหรอ” ชานยอลพยักหน้ารัวจนผมปลิว แพคฮยอนอมยิ้มแล้วก้มหน้าอ่านรายการของต่อไป ชานยอลทำหน้างงแล้วก็ตื๊ออีกครั้ง

    “นะ..จะรีบกลับไปเอาชุดมานอนเลย พรุ่งนี้นายจะไปจีนแล้วนี่ ฉันไม่อยากกลับไปนอนบ้านแล้ว” ทำเสียงงอแงใส่แพคฮยอน ยังไงก็ต้องใจอ่อนบ้างแหละ อุตส่าห์พูดอ้อนซะขนาดนี้

    “ขอแม่สิ...” แพคฮยอนหันไปบอกยิ้มๆ ชานยอลกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีพร้อมจะต่อสายไปยังคุณแม่ของแพคฮยอนที่ทำงานอยู่ที่ร้าน

    “ได้ครับ!” ว่าแล้วก็คว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาต่อสายไปคุยกับแม่ของแพคฮยอนด้วยใบหน้าที่หลากหลายอารมณ์ พอคุยไปได้ไม่นานเสียงหัวเราะทุ้มหนักก็ดังร่าอย่างชอบใจ แพคฮยอนที่แอบฟังได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างก็ต้องทำหน้าอย่างอยากรู้ ชานยอลยิ้มก่อนจะวางสายไปอย่างรวดเร็ว

     

    รอยยิ้มกว้างๆ นั้นฉีกส่งไปให้ทางแพคฮยอนอย่างอารมณ์ดี

    คนตัวเล็กทำหน้าซื่อๆ แต่ในใจก็คงรู้แล้วล่ะว่า ชานยอลยิ้มแบบนี้แม่ของเขาคงอนุญาตให้คนตัวสูงมาค้างที่บ้านของเขาได้เรียบร้อย

     

    “ฮิฮิฮิ~” หัวเราะแล้วก็ยิ้มคิกคักใส่แพคฮยอน

    “นี่ไม่ต้องมาหัวเราะแบบนี้เลยนะ น่าตีจัง” แพคฮยอนยกมือขึ้นจะตีชานยอล แต่คนตัวสูงกลับมือไวรีบคว้ามือเล็กๆ เอาไว้แล้วก็ฉวยโอกาสจุ้บเบาๆ ที่นิ้วมือ

    “ชานยอลอ่า!” หน้าแดงขึ้นมาทันทีจนคนตัวสูงหัวเราะร่าอย่างชอบใจ เขาชอบโดนชานยอลมาจูบนิ้วมือบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่ชินกับมันอยู่ดี

     

    ริมฝีปากนุ่มนั้นสัมผัสกับนิ้วของเขาทีไรมันทำให้รู้สึกว่าเลือดภายในร่างกายสูบฉีดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหน้าและหูของเขารู้สึกร้อนๆ

     

    แพคฮยอนยู่หน้าใส่ชานยอลแล้วลุกขึ้นไปดูของเพื่อแก้เขิน ชานยอลลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ ตามต้อยๆ แพคฮยอนไปดูของด้วย

    “ไหนดูซิ ของครบหรือยัง” ยืนหน้าเข้าไปใกล้กับคนตัวเล็ก จนแพคฮยอนต้องหดตัวหนี

    “ฮื่อ...น่าจะครบแล้วแหละ” ชานยอลเหลือบมองใบหน้าข้างๆ พวงแก้มใสๆ นั้นอมชมพูนิดๆ

     

    คนบ้าอะไรนะ...ขนาดเขินยังน่ารัก...

     

    ชานยอลคิดในใจก่อนจะหยิกแก้มนุ่มๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

     

    “อ๊ะ..เจ็บ ฮื่อ..” เอามือกุมแก้มเพราะชานยอลออกแรงหยิกแถมยังยืดแก้มเขาออกมาอีก แบบนี้มันน่าตีจริงๆ

    “นี่แหน่ะ นายแกล้งฉันเหรอ” แพคฮยอนหันขวับแล้วฟาดไปที่ท่อนแขนแกร่งของชานยอล

    “อะไรอ่ะ นายตีฉันเหรอ”

    “ก็มันน่าตีไหมล่ะ หื้ม!” ทำเสียงดุ แต่ชานยอลก็ไม่มีความรู้สึกนึกกลัวอะไรเลย แถมยังยิ้มกลับไปให้ด้วยซ้ำ

    “ไม่ต้องค้างหรอกวันนี้ รอไปส่งที่สนามบินก็ได้” บอกด้วยเสียงเรียบ ทำเอาปากกว้างๆ ที่ยิ้มอยู่นั้นหุบแทบไม่ทัน เรื่องอะไรเขาจะกลับล่ะ อุตส่าห์ของแม่ได้แล้วเชียว ไม่มีทางกลับหรอก ให้ตายก็ไม่กลับ

    “เรื่องอะไรอ่ะ ฉันไม่กลับหรอกนะ เดี๋ยวแม่กลับมาฉันจะฟ้องแม่ว่านายไล่ฉันกลับบ้าน..”

    “ร้ายจริงๆ” ส่ายหน้าเล็กๆ ให้ชานยอล นี่เรียนการแสดงมาแถมยังเอามาใช้ในทางผิดๆ เขารู้หรอกว่าชานยอลแสดงละครใส่แม่ของเขา มันน่าตีจริงๆ

    “ไม่ร้ายสักหน่อย คิดถึงมากๆ ไง เลยไม่อยากให้ไปจีนเลย”

    “เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่ได้ไปอยู่ที่นู่นตลอดสักหน่อยนี่นา” แพคฮยอนอธิบายให้คนตัวสูงเข้าใจ ไอ้เข้าใจมันก็เข้าใจหรอกนะ ก็คนมันจะห่างกันทั้งที ไม่ให้คิดถึงมันก็แปลกสิ ยิ่งทำตัวน่ารักอยู่ด้วย พอไปจีนถ้ามีคนมาจีบเขาจะทำยังไงล่ะ

    “กลุ้มจัง มีแฟนน่ารัก”

    “เอ๋..บะ บ้าน่า” แพคฮยอนเขินอีกรอบเมื่อชานยอลคิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ โดยไม่คิดว่าตัวแพคฮยอนเองจะรู้สึกเขินบ้างเลย

    “ก็น่ารักจริงๆ ไม่งั้นจะหวงได้ขนาดนี้เหรอ” ชานยอลเดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังก่อนจะกอดร่างเล็กๆ นั้นเต็มอ้อมแขนของเขา

    “ฮื่อ..”

    “กะ..เก็บของต่อได้แล้ว” บอกด้วยเสียงเบา หน้าของเขาก็ก้มงุดด้วยความเขินเพราะชานยอลกำลังกอดเขาอยู่ คนตัวสูงโยกตัวเองไปมาแล้วเอาคางเรียวยาวนั้นเกยไว้ที่ศีรษะ

    “เก็บเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ” ชานยอลบอกทำเอาแพคฮยอนใบ้กินเพราะของที่อยู่ในกระเป๋านั้นก็ครบหมดแล้ว เลยได้แต่ทำตัวหดลีบในอ้อมแขนเกร่ง

    “งั้น...เช็คของอีกรอบดีกว่า” แพคฮยอนหาเรื่องที่จะให้ตัวเองหลุดจากอ้อมกอดนี้แต่ชานยอลก็ไม่ยอมปล่อยแถมยังแกล้งกอดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิมอีก

    “เปลี่ยนเรื่องเหรอ หืมมม” กดเสียงต่ำนิดๆ แล้วจงใจเลื่อนใบหน้าไปใกล้ที่ใบหูของแพคฮยอน

    “เปล่านะ...งั้น..รีบกลับไปเก็บของที่คอนโดได้แล้ว”

    “ไปเอาของเป็นเพื่อนหน่อยนะ” ชานยอลบอกส่วนแพคฮยอนเองก็พยักหน้าให้อย่างเข้าใจ

    “อื้อ”

     

    พอรับคำเสร็จชานยอลยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะคว้ามือนิ่มๆ มาจูบไปที่นิ้วอย่างชอบใจ สงสัยเขาจะเสพย์ติดการจูบนิ้วเล็กๆ นี่ไปเสียแล้ว ความรู้สึกที่ได้สัมผัสแล้วมันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เพราะเวลาได้จูบนิ้วแพคฮยอนทีไรทำให้เหมือนเขากำลังจูบนิ้วของเด็กเล็กๆ อยู่เลย

     

    แถมยังก้มหน้าเพื่อกลบเกลื่อนแก้มแดงๆ นั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกเอ็นดูแพคฮยอนเข้าไปใหญ่ อยากจะคว้ามาจับฟัดจริงๆ แต่ต้องสำรวมอาการเอาไว้ เขาไม่ใช่พวกคนหื่นบ้ากามอะไรอย่างนั้นนะ...เดี๋ยวแพคฮยอนจะเข้าใจเขาผิด

     

    ชานยอลผละออกมาก่อนจะคว้ามือเล็กๆ มาจับไว้แล้วเดินออกจากบ้าน มันเหมือนกับว่าเขาไม่อยากห่างแพคฮยอนไปไหน ช่วงเวลาในตอนนี้เขาอยากจะใช้เวลากับแพคฮยอนให้นานที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาแค่ช่วงสั้นๆ ก็ตามที มันช่วยบรรเทาให้เขาไม่รู้สึกเคว้งมากนักในช่วงที่แพคฮยอนไปไกล

     

     

    ระหว่างที่พวกเขาอยู่ในรถ ชานยอลก็หันไปถามแพคฮยอนในขณะที่ตายังมองเส้นทางถนนข้างหน้าอยู่

     

    “ปิดเทอมแล้วเราไปเที่ยวกันนะ”

    “หืม...เที่ยวไหนเหรอ”

    “ที่ที่นายอยากจะไป” หันไปตอบแล้วยิ้มบาง รอยยิ้มที่แพคฮยอนชอบมองมันนั้นส่งมายังเขาอย่างจริงใจ เขายิ้มเล็กๆ แล้วทำหน้าครุ่นคิดเล็กๆ

     

    ชานยอลใจดีอีกแล้ว...

     

    “ฉัน...” แพคฮยอนก้มหน้าเล็กๆ แล้วค่อยๆ พูด ชานยอลเลยหันมาฟังอย่างตั้งใจ

    “จริงๆ จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้นะ...”

    “...”

    “จะไปที่ใกล้ๆ หรือที่ไกลๆ ก็ตาม...แค่มีนายไปด้วยก็พอแล้ว” บอกเสร็จก็ยิ่งก้มหน้ามากกว่าเดิม ชานยอลแทบจะเหยียบเบรกกะทันหันแต่ก็ยังดีที่เขาสามารถควบคุมสติเอาไว้ได้

     

    มาพูดอะไรแบบนี้รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่ามันทำให้เขาเขินขนาดไหนน่ะ...

     

    “ฮะๆ...เขินจัง” ชานยอลเกาท้ายทอยตัวเองเล็กๆ แล้วหันหน้าไปยิ้มอีกทาง แพคฮยอนเองก็หันไปช้อนตาเล็กๆ แล้วก็หันหน้าออกมายิ้มกับตัวเองอย่างอายๆ เช่นกัน

     

     

    นี่แหละน่ะครับความรักของผม...แม้ว่ามันอาจจะไม่หวานเลี่ยนเหมือนขนมบางอย่าง

    ผมว่ามันพอดีออกนะ เพราะผมก็ไม่ชอบของหวานเลี่ยน แพคฮยอนก็ไม่ได้เป็นคนหวานอะไรมากนัก

    เขารู้ว่าผมชอบกินขนมที่ไม่หวานมาก ถ้าขนมนั้นจะมีรสชาติหวานเลี่ยน แต่คนตัวเล็กๆ นี้ก็สามารถทำมันออกมาให้ผมกินได้ ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ได้ที่รสชาติขนมหรอกครับ

     

    มันอยู่ที่ตัวของแพคฮยอนต่างหาก เพราะเขาเป็นคนทำให้ผมนึกถึงได้ตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ อยากมีส่วนร่วมในการทำอะไรหลายๆ อย่าง และผมก็ได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ส่งมาให้เขา ในบางทีมันก็ทำให้ใจเต้นแรง เมื่อแพคฮยอนยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัวมาให้ผม...

     

    ผมดีใจนะ...เมื่อนึกถึงวันนั้น....

    วันที่ผมเป็นพลเมืองดีไปช่วยผู้ชายอ้วนๆ คนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มหน้าเก็บของที่ของกระจายเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ในตอนนี้ผมไม่ได้คิดอะไรมาก ก็แค่อยากเข้าไปช่วยเท่านั้นเอง สุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องตลกร้ายกับผม เมื่อผู้ชายที่มีใบหน้าจิ้มเหมือนเด็กผู้หญิงดันมาทำให้หัวใจของผมสับสน

     

    จะให้พูดตอนนี้มันก็คงไม่จบหรอกครับ...เพราะแพคฮยอนดันมีเรื่องราวหลายอย่างทำให้ผมประทับใจ

     

    “ชานยอลอ่า..ชานยอล”

    “ห๊ะ หืม? ว่าไงเหรอ”

     

    ชานยอลสะดุ้งแล้วก็หันไปหาแพคฮยอนอย่างตื่นๆ เมื่อกี้เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ในหัว จนเสียงแพคฮยอนเข้ามาแทรกในโสติประสาทของเขา

     

    “คิดอะไรอยู่ เมื่อกี้เรียกไปตั้งหลายครั้งแหนะ เหม่อตอนขับรถไม่ดีนะ” แพคฮยอนเตือนเล็กๆ ชานยอลได้แต่ยิ้มแหยๆ ไปให้

    “ขอโทษครับ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

    “หืม...” แพคฮยอนทำเสียงอย่างอยากรู้ แล้วก็เคาะนิ้วเล็กๆ ไปมาที่คอนโซลหน้ารถ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มองต้นไม้ที่อยู่ตามข้างทาง ผู้คนที่เดินไปเดินมา และรถยนต์ที่กำลังขับสวนรถของเขา

     

    รอยยิ้มกว้างที่เขาสามารถมองมันอยู่ใกล้ๆ นี้มันทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้แต่แอบมองอยู่ไกลๆ และก็ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้มองมันใกล้ๆ อย่างชัด โดยที่ไม่ต้องเพ่งดวงตาหรือต้องสวมแว่นสายตาอะไรเลย เพราะชานยอลได้มาอยู่ข้างๆ เขาแล้วและก็ใกล้มากๆ ด้วย

     

    ไม่น่าเชื่อ..และไม่คิดว่ามันเป็นเป็นแบบนี้ ความแน่นอนอยู่บนความไม่แน่นอนนั้นสามารถใช้กับเขาได้อย่างแท้จริง แพคฮยอนไม่เคยหวังว่าเขาจะมีชานยอลมายืนอยู่ข้างกาย ไม่ได้หวังให้เป็นมากกว่าคนพิเศษที่อยู่เพียงภายในใจ

     

    แต่ชานยอลก็ได้กลายมาเป็นคนที่เขา...รัก

    รักแท้จริง...อย่างเปิดเผย

     

    วันแรกที่ผมเจอกับชานยอลนั้น ผมเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาร่างอ้วนท้วมน่าเกลียดไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจสักนิด ติดจะทำให้คนอื่นรำคาญทางสายตาด้วยซ้ำเพราะร่างใหญ่ๆ นี่...สิ่งที่มันทำให้ผมน่าอายมากในที่สาธารณะนั่นก็คือของที่ผมซื้อจากซูเปอร์นั้นหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ไม่มีคนช่วยแถมยังถูกมองอีกด้วย วินาทีนั้นผมอยากจะรีบๆ เก็บของและวิ่งหนีออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็วเลยครับ

     

    ผมรีบเก็บของใส่ถุงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ยังช้าอยู่ดี จนกระทั่งมีมือสวยๆ จากคนแปลกหน้าเลื่อนเข้ามาใกล้แล้วก็เก็บของช่วยผม พร้อมๆ กับยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร...

    ใบหน้าอันหล่อเหลาทำให้ผมรู้สึกอิจฉาผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้จริงๆ และผมก็รู้สึกว่าทำไมผมไม่เกิดมาให้ได้อย่างคนๆ นี้บ้างนะ...ทำไมผมจะต้องอ้วนน่าเกลียดแบบนี้ด้วย

     

    เรื่องราวของชานยอลนั้นทำให้ผมไม่ลืมเลย ผมยืนขึ้นแล้วก้มหน้าอย่างเขินอายแต่ก็ไม่ลืมขอบคุณคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อ แถมยังอาสาจะช่วยถือของให้อีก แบบนี้มันยิ่งทำให้ผมเกรงใจเข้าไปอีก แต่มันก็รู้สึกดีนะครับที่มีพลเมืองดีมาช่วย แถมเขายังดูดีมากๆ ด้วย ทุกอย่างเพอร์เฟ็คจนผมไม่กล้าจะยืนใกล้ๆ เลยด้วยซ้ำ

     

    ผมกลับมาที่ร้านด้วยหัวใจที่พองโต รู้สึกดี แต่ก็ต้องตกใจเมื่อผู้ชายคนที่ช่วยผมเก็บของที่ซูเปอร์นั้นมาทานข้าวที่ร้านของผมพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง ผมตกใจแทบจะลืมหายใจด้วยซ้ำ

     

    แต่ผมก็ได้พูดคุยและแนะนำตัว...แล้วก็ได้รู้จักชื่อผู้ชายคนนี้นั่นก็คือ ปาร์ค ชานยอล

     

    เรื่องของผมมันยาวดีนะครับ ยาวนานมากจริงๆ เล่าวันนี้ก็คงไม่หมดหรอก ผมมีเรื่องมากมายเกี่ยวกับชานยอล ความประทับหลายๆ อย่างผมไม่เคยลืมเลย

     

    “แพคฮยอน...”

    “...”

    “แพคฮยอนอ่า ถึงแล้วนะ”

    “ห๊ะ...ถึงแล้วเหรอ” สะดุ้งเหมือนที่ชานยอลถูกเขาเรียกไม่ต่างกันเลย แพคฮยอนมองออกไปก็เห็นว่าชานยอลเข้ามาจอดรถที่ลานจอดรถของคอนโดแล้ว เขาปลดเบลท์ออก ชานยอลเลยดับเครื่องแล้วหันไปถามอย่างสงสัย

    “เหม่อเหรอ”

    “หืม..คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

    “ขี้ตู่เอาคำตอบฉันไปตอบนี่”

    “เปล่าสักหน่อย ก็คิดอะไรเพลินๆ ไง...”

    “เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังด้วยว่าคิดอะไรอยู่”

    “บะ บ้า..ไม่มีอะไรหรอก”

    “คิดเรื่องของฉันอยู่หรือเปล่า”

    “บะ บ้า...” ก้มหน้างุดแล้วเปิดประตูรถออกไปเพื่อแก้เขิน นี่ชานยอลจะเดาใจได้ทุกเรื่องเลยหรือไงนะว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

    “เดี๋ยวค่อยถามอีกที ไปเก็บของดีกว่า” ชานยอลบอกก่อนที่จะเดินเข้าไปในตัวตึกคอนโด แพคฮยอนย่นจมูกเล็กๆ แล้วก็รีบเดินตามคนตัวสูงทันที

     

    เรื่องอะไรจะบอกล่ะ...

     

     

     

     

     

    กลับมาได้ไหม...

    รักของผม

    ...

     

     

                เซฮุนนอนอยู่บนเตียงกว้างของตัวเอง เขาลืมตามองฝ้าเพดานห้องที่พร่ามัว และเปลือกตาก็ค่อยๆ กระพริบลงทำให้หยดน้ำที่คลออยู่เต็มหน่วยตาไหลอาบแก้มทั้งสอง ห้องที่เงียบสงัด ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดเข้ามา เขาปิดกั้นทุกอย่างจากภายนอก แม้กระทั้งแม่ของเขาเองที่มาเคาะประตูเขาแล้วก็ไม่มีทางที่เขาจะยอมเปิดออกเลย เสียงโทรศัพท์ก็ถูกปิดเครื่องเอาไว้ ไม่ให้ใครติดต่อกลับมา เพราะตอนนี้เขาต้องการจะอยู่คนเดียว

     

    และวันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะไม่ร้องไห้อีก

     

    น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ แม้เขาจะพยายามเช็ดมันแล้วมันก็ยังไหลออกมาไม่หยุดเสียที ใต้ตาที่คล้ำและบวมช้ำทำให้เซฮุนเจ็บปวดเข้าไปอีก แต่มันก็ดี เขาอยากจะให้มันเจ็บให้ถึงที่สุด

     

    เขาจะได้ชินเสียทีกับการผิดหวังแบบนี้ และเขาก็ไม่หวังอะไรอีกต่อไปแล้ว

    มีความหวังบนความผิดหวัง...

    ช่างไร้ค่าจริงๆ...

     

    พรุ่งนี้เซฮุนจะเริ่มเดินด้วยตัวเองใหม่อีกครั้ง...

    เขารู้ว่ามันยากถ้าจะให้ลืมพี่คริสภายในเวลาสั้นๆ นี้ เพราะเขาได้ให้ใจไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ความรักเขามีก็ให้ไปหมดแล้วเช่นกัน

     

    “ฮึก...” เซฮุนปาดน้ำตาออกก่อนที่ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง เพื่อเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ แต่เพราะเขาไม่ได้พักผ่อนแถมข้าวก็ไม่ได้กินมาหลายวัน ร่างกายขาดสารอาหารและน้ำทำให้เขาเกิดอาการวูบหน้ามืดจนพยุงตัวเองไว้ไม่อยู่

     

    เขาลืมตามองแต่สิ่งที่เห็นนั้นเป็นโลกมืดดำ พยายามคว้าสิ่งที่อยู่ข้างตัวเองแต่ก็ไม่มีอะไรให้เขายึดเหนี่ยวเอาไว้เลย ร่างผอมๆ กระแทกกับพื้นแล้วสติก็ดับในทันที

     

     

    ...

     

     

    “อือ...” เซฮุนขยับตัวแล้วร้องอือในลำคอ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองแล้วกระพริบตาเพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจน ห้องที่เขานอนอยู่นั้นเดาออกได้ไม่ยากและกลิ่นฆ่าเชื้อก็ลอยฟุ้งไปทั่ว และที่นี่ก็คือโรงพยาบาลนั่นเอง เขาหันไปมองข้างเตียง มือของเขาถูกมือหนาของใครบางคนกุมเอาไว้หลวมๆ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ชักมือออกอย่างช้าๆ แต่มันก็ทำร่างนั้นขยับตัวแล้วเงยหน้ามามองเขา

     

    “เซฮุน...”

    “...” เสียงเรียกชื่ออันคุ้ยเคย เสียงเรียกแบบนี้...เสียงที่ทำให้เขาร้องแทบตาย

     

    เซฮุนหันหนาหนีไปอีกทาง ถ้าเขามองหน้าอันแสนคุ้นเคยและโหยหานี้นานมากเท่าไหร่น้ำตาเขาก็พาลจะไหลออกมาอีก ทั้งๆ ที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้อ่อนแออีกแล้ว

     

    “กลับไปเถอะครับ...”

    “ทำไม...ทำไมไม่ดูแลตัวเอง...” เสียงของคริสนั้นสั่นเครือเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนมือหนาไปคว้ามือผอมๆ นั้นมาจับเอาไว้ แต่เซฮุนกลับค่อยๆ บิดมือของตัวเองออก นั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของคริสหล่นวูบไปพร้อมๆ กัน

    “มันเรื่องของผมครับ...คุณ..กลับไปเถอะ”

     

    สรรพนามที่แสนจะห่างเหินที่เซฮุนใช้เรียกเขานั้นยิ่งกรีดลึกเข้าไปในหัวใจของคริสมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาเองใช่ไหมที่ทำให้เซฮุนเป็นแบบนี้ เพราะเขามันขี้ขลาด เพราะเขาไม่ชัดเจน

     

    ทุกอย่างก็เพราะเขาเองทั้งนั้น...

     

    คริสก้มหน้านิ่ง..เขาจะไม่ทำตามที่เซฮุนบอก เพราะเขาเลือกที่จะมาเอง และเขาจะกลับเองก็ต่อเมื่อเขาอยากจะกลับ เขาต้องดูแลคนไข้ของเขาถูกไหมถึงแม้ว่าโรงพยาบาลนี้จะไม่ใช่โรงพยาบาลในมหาลัยก็ตามที แต่เซฮุนก็เหมือนเป็นคนไข้อยู่ตลอดเวลา

     

    “พี่ต้องมาดูแลคนไข้ของพี่สิ...พี่จะกลับได้ยังไง”

    “นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลของคุณนี่ครับ...แล้วผมไปเป็นคนไข้ของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่งั้นเหรอ” เซฮุนหันมาแล้วก็พูดด้วยเสียงเรียบ น้ำเสียงทุกสิ่งทุกอย่างที่กลั่นออกมามีแต่ความห่างเหินและไร้ความนุ่มนวล

     

    คริสกลืนน้ำลายอันเหนียวหนืดลงคอ เหมือนกับมีก้อนหินหนักๆ อัดแน่นอยู่เต็มไปหมด เขารู้ว่าเซฮุนร้องไห้ เขารู้ว่าเซฮุนเจ็บปวด...เขาอยากจะขอโทษทุกสิ่งทุกอย่าง

     

    “เซฮุน...”

    “...”

    “พี่ขอโทษ”

    “...”

     

    เซฮุนได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนพูดกับเขา หัวใจของเขาหล่นวูบอีกครั้ง มือเล็กๆ กำผ้าปูเตียงแน่นเพื่อกักเก็บอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอกเอาไว้ เขากำลังจะร้องไห้ ดวงตาถูกกลอกขึ้นข้างบนเพื่อไม่ให้น้ำใสๆ ที่กำลังก่ออยู่รอบๆ ดวงตานั้นหลั่งไหลออกมา

     

    แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขาร้องไห้อีกครั้ง

     

    น้ำตาไหลออกมาไม่หยุดและก็ห้ามไม่ได้ คริสเลื่อนนิ้วมือไปเกลี่ยและเช็ดให้อย่างเบามือ เซฮุนหันหน้าหนี แต่คริสก็ไม่ยอมแพ้ เขาเช็ดน้ำตานั้นออกให้เรื่อยๆ แม้มันจะไหลมาไม่หยุด เขาก็จะเช็ดมันอยู่อย่างนั้น

     

    “พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...” คริสพร่ำบอกอยู่อย่างนั้น แล้วเซฮุนก็ปล่อยโฮออกมาทันที คริสโผเข้ากอดเซฮุนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาไม่อยากคนในอ้อมกอดนี้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว

     

    นับตั้งแต่นั้นมาที่เซฮุนออกจากบ้านเขาไป ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาถึงกลับเปลี่ยน ไม่มีเซฮุนแล้ว..เขาอยู่ไม่ได้...หัวใจของเขานั้นร้องเรียกแต่คนที่ชื่อว่า เซฮุน..

     

    และเขาก็วิ่งตามเสียงเรียกของหัวใจนั้นแล้ว...

     

    “ฮึก ฮือ...” เซฮุนร้องไห้หนักกว่าเดิม จนคริสต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นมากกว่าเดิม มือหนาลูบปลอบปละโลมที่แผ่นหลัง เขาจูบเส้นผมนุ่มอย่างโหยหาและคิดถึง มือเล็กๆ ของเซฮุนกำเสื้อเชิ้ตของคริสแน่น น้ำตาเปียกชื้นไปทั่วอกกว้าง

     

    “พี่จะไม่ทิ้งนาย...เพราะพี่...”

    “ฮึก...ฮือ...”

    “เพราะพี่รู้แล้วว่าพี่รักนาย...”

    “ฮือ...”

     

    เมื่อเซฮุนได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งกอดคริสแน่นมากกว่าเดิม เขาร้องไห้ไม่ใช่เพราะเขาเจ็บปวด แต่รู้สึกดีใจจนต้องร้องไห้

     

    “ให้อภัยพี่ได้ไหมครับ...”

    “ฮึก...”

     

    คริสค่อยๆ ดันร่างของเซฮุนออกมาก่อนที่เช็ดน้ำตาที่เปรอเปื้อนไปทั่วใบหน้าออก

     

    “รู้ไหมว่าผมเสียใจมากแค่ไหน...”

    “...” คริสเงียบและตั้งใจฟังที่เซฮุนพูดกับเขา

    “รู้ไหมว่าผมต้องร้องไห้ทุกวันเพื่อลืมพี่...”

    “...”

    “รู้ไหมว่าผมก็รักพี่มากเหมือนกัน ฮึก...” เซฮุนก้มหน้าลงแล้วร้องไห้โฮอีกครั้ง ยิ้มบางก่อนจะดึงร่างนั้นเข้ามากอด

    “รู้ครับ...พี่ผิดไปแล้ว”

    “ฮือ...พี่คริสใจร้าย” เซฮุนใช้แรงอันน้อยนิดนั้นทุบไปที่แผ่นหลัง แต่คริสก็ยอม จะตีแรงกว่านี้ก็ได้ เขาไม่จะปริปากร้องสักแอะเดียว

    “ให้อภัยพี่นะ”

    “ไม่” เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองแล้วตอบเสียงแข็ง ทำเอาคริสทำหน้างง

    “ถึงพี่จะขอโทษผมแล้วก็ตาม แต่พี่ไม่ได้ตอบคำถามผม...วันที่ผมถามพี่ในวันนั้น...”

     

    คริสยิ้ม เพราะเขารู้ว่าเซฮุนต้องถามคำถามนี้กับเขาอีก

     

    ...เราเป็นอะไรกันกันเหรอครับ

     

    “งั้นพี่จะตอบให้นะ...”

    “...”

     

    ใบหน้าที่จริงจังค่อยๆ เลื่อนเข้าไปใกล้ ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปประทับที่ริมฝีปากแดงเล็กๆ นั้นอย่างเบาบาง สัมผัสที่คุ้ยเคยและนุ่มลึกค่อยๆ ส่งผ่านเข้ามา ก่อนจะถอดถอนออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

     

    ดวงตาของทั้งคู่ค่อยๆ สบตากัน

     

    “เป็นคนรักของพี่นะครับ...”

    “ฮึก...”

     

    เซฮุนเบะปากจะร้องไห้ สุดท้ายเขาก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วก็ร้องไห้ออกมาทันที

     

    “ฮื่อ...ฮึก ฮือ...”

    “นะครับ...” คริสถามอีกครั้งแล้วกอดเซฮุนเอาไว้หลวมๆ

    “อึก...อื้อ...”

     

    เซฮุนพยักหน้าทั้งน้ำตาแล้วยิ้มกว้างให้กับคริส

     

    ทั้งคู่ยิ้มให้กัน...อย่างมีความสุข แม้จะมีน้ำตาเข้ามามีบทบาทในชีวิต แต่สิ่งสุดท้ายที่รอคอยก็คุ้มค่าเกินพอ และเกินจะหาสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบได้

     

    ความรักมันยิ่งใหญ่อย่างนี้นี่เอง...

     

     

     

     

    ช่วงเวลาที่ห่างไกลกันนั้น

    มีเอาไว้ให้คิดถึงกัน

    ...

     

     

    “เฮ้ย ฉันไปก่อนนะเว้ย เดี๋ยวแพคฮยอนรอที่สนามบินนาน” ชานยอลบอกในขณะที่ตัวเองคว้าจะเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนจะโบกมือขึ้นสูงเป็นเชิงว่าเขาต้องรีบไปแล้ว ทั้งจงอินกับเซฮุนพยักหน้าให้แล้วพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ ไม่อยากขัดเพราะความรู้สึกที่คิดถึงใครสักคนนั้นมันมากจนห้ามใจเอาไว้ไม่ได้จริงๆ พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเหมือนกันหมดแล้วก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี

     

    จงอินเหลือบมองเพื่อนตัวสูงในกลุ่มวิ่งหน้าตั้งไปยังรถของตัวเองอย่างเร่งรีบ ก่อนจะก้มหน้ามองในจอโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มีข้อความมากมายที่เขาคุยกับคยองซู เขาอ่านข้อความล่าสุดแล้วตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

     

    คิดถึง

     

    ข้อความสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งคำถูกส่งออกไป ไม่นานคยองซูก็ส่งข้อความกลับมา

     

    นอนกลางวันอยู่รึไง บ้า

     

    จงอินที่อ่านข้อความนั้นแล้วก็ยิ้มที่มุมปากเล็กๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา เขานึกใบหน้าของคยองซูออกเลยทันทีว่าคงจะทำตาโตๆ ใส่แล้วก็ย่นจมูกใส่ แถมยังเพิกเฉยต่อคำพวกนี้อีก แต่ไม่เป็นไร เขารู้ว่าคยองซูรับรู้อยู่ภายในใจอยู่แล้วล่ะ...

     

    แค่รู้ว่าตอนนี้เข้าใจกันมากกว่าแต่ก่อนก็ดีแล้วล่ะ เขาพร้อมจะเรียนรู้ และทำความรู้จักคนนี้เรื่อยๆ จนกว่าคยองซูจะเดินจากเขาไปเอง จงอินตั้งมั่นเอาไว้อย่างนั้น เพราะเขาจะไม่มีทางทิ้งคยองซูแน่นอน

     

    เขาสัญญากับตัวเอง และคยองซูเอาไว้แล้ว

     

    “จงอินครับ ไปส่งผมหน่อยสิ” เซฮุนสะกิดที่แขนจงอินเล็กๆ ก่อนจะยืนขึ้น

    “ที่ไหนล่ะ” ถามก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง

    “ที่เดิมครับ”

     

    ที่เดิม ที่ทุกคนรู้...

    ทั้งสองเดินไปยังรถของจงอิน และก่อนจะขับเคลื่อนไปส่งเพื่อนรักและเพื่อนสนิทอย่างเซฮุนตามหน้าที่

     

     

     

    ...

     

     

    ชานยอลมองเวลาที่คอนโซลหน้ารถ ป่านนี้แพคฮยอนคงใกล้ถึงแล้วล่ะ เมื่อเขาขับรถถึงสนามบินอินชอนเรียบร้อยก็รีบขับไปจอดในที่จอดรถแล้วรีบลงเดินเข้าไปในสนามบินทันที และรอเวลารักของกำลังกลับมา

     

    ถึงแม้ว่าไม่กี่ชั่วโมงจะเพิ่งคุยกันก็ตามทีเถอะ เขาอยากเจอแพคฮยอนจะแย่อยู่แล้ว...

     

    ชานยอลนั่งรอที่เก้าอี้พัก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก่อนจะเข้าไปดูรูปในม้วนฟิล์ม เลื่อนดูรูปคนตัวเล็กที่ส่งมาให้เขาดูตอนที่อยู่จีน เขาเลื่อนดูรูปแพคฮยอนอย่างไม่มีเบื่อ ดูแล้วดูอีก เลื่อนกลับไปเลื่อนกลับมา

     

    มันเป็นภาพรอยยิ้มกว้างที่ฉีกยิ้มใส่กล้อง ก็เหมือนกับกำลังฉีกยิ้มให้กับชานยอล แพคฮยอนถ่ายรูปคู่กับอาหารที่เขาทำมันเอง น่าจะเป็นอาหารจีนสักอย่างที่ชานยอบไม่รู้จัก ก่อนจะเลื่อนนิ้วไปดูรูปต่อไป แพคฮยอนถ่ายรูปตัวเองด้วยกล้องหน้าพร้อมๆ กับใส่แว่นตาสายตากรอบใหญ่ แล้วยิ้มบางมา มันดูน่ารักจนชานยอลอดจะจิ้มที่รูปอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้

     

    แล้วก็เลื่อนรูปต่อไป แพคฮยอนถ่ายรูปตัวในขณะที่กำลังกินข้าวอยู่ แก้มพองทั้งสองอย่างเพราะมีข้าวอยู่เต็มปาก ชานยอลส่ายหน้าเล็กๆ ให้กับความน่ารัก

     

    เดี๋ยวนี้ถ่ายรูปเก่งขึ้นนะ...

     

    จริงๆ ก็เป็นเขาเองก็กำชับให้แพคฮยอนคอยถ่ายรูปส่งมาให้เขาดูบ้าง ทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน ทำอาหารเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า เขาอยากจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแพคฮยอนเหมือนกับตัวเองได้ตามไปอยู่จีนด้วย อิจฉาไอ้เจ้ารุ่นน้องจื่อเทาที่ดันทำอาหารเก่งเหมือนกับแพคฮยอนเลยได้ไปดูงานด้วยกัน

     

    แต่ไม่เป็นไรหรอก เขาเชื่อใจแพคฮยอนแล้วล่ะ เชื่อว่ายังไงเขาก็คือที่หนึ่ง

    ชานยอลสบายใจแล้วล่ะ...

    ชานยอลนั่งดูรูปไปเพลินๆ ก่อนที่จะสะดุ้งตกใจเมื่อมีคนโทรเข้ามา มันเป็นรูปแพคฮยอนหันมายิ้มให้กล้องเมื่อตอนปีที่แล้ว เขาเป็นคนถ่ายรูปนี้ที่สวนทุ่งหญ้าเองกับมือ และเขาก็ชอบมันมากๆ เลยตั้งเป็นรูปประจำตัวเวลาที่แพคฮยอนโทรเข้ามา เขารีบกดรับมันแต่กรอกเสียงทุ้มๆ ไปหา

     

    “ถึงแล้วเหรอ”

    (“อื้อ ถึงแล้วนายอยู่ไหนเหรอ”)

    “อยู่สนามบินแล้ว”

    (“อ๊ะ ใส่เสื้อสีขาวใช่ไหม”)

    “หืม อยู่ไหนเนี่ย” ชานยอลลุกพรวดแล้วหันขวับไปมองรอบๆ เพราะแพคฮยอนรู้ว่าเขาใส่เสื้อสีขาว แล้วก็เจอกับคนตัวเล็ก สวมแว่นสายตากรอบใหญ่พร้อมๆ กับลากกระเป๋าเดินยิ้มมาทางเขา ชานยอลอมยิ้มแล้วกดวางสายก่อนจะเดินเข้าไปหา

     

    ขายาวก้าวไปหาคนตัวเล็กๆ อย่างรวดเร็วแพคฮยอนยิ้มรับ แล้วชานยอลก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

     

    “กลับมาแล้วเหรอ” ถามด้วยรอยยิ้ม เขารอเวลาที่จะได้พูดคำนี้กับแพคฮยอนทุกวันเลย

    “กลับมาแล้วครับ” ตอบด้วยประโยคเพราะๆ ชานยอลดึงแพคฮยอนเข้ามากอดหลวมๆ อย่างไม่อายคนรอบข้าง เพราะตอนนี้เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะมอง ก็เขาคิดถึงแพคฮยอนจะตายอยู่แล้ว

     

    ชานยอลผละออกมาก่อนจะเอามือหนาทั้งสองประกบแก้มนิ่มๆ ของแพคฮยอนเอาไว้แล้วขยี้ไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

     

    “คิดถึงจัง นี่แหน่ะๆๆ” พูดแล้วก็ขยี้แก้มแพคฮยอนต่อไปจนแทบจะย้วยติดมือ

    “ฮื่อๆ เจ็บ”

    “มันน่ากอดให้ตัวแตกไปเลย...เหนื่อยไหม ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ชานยอลหยุดทำแล้วคว้ากระเป๋าเดินทางของแพคฮยอนมาเข็นเอง อีกมือก็คว้ามือเล็กๆ มาจับเอาไว้

     

    ทั้งคู่เดินคุยไปพร้อมๆ กัน

     

    แพคฮยอนพยักหน้าหงึกหงักไปให้ ตอนที่นั่งอยู่บนเครื่องก็กินอะไรรองท้องไปแค่นิดเดียวเองเพราะเขารอเวลามากินข้าวกับชานยอลต่างหากล่ะ

    “อื้อ รอกินข้าวกับนายเลยนะ...”

    “วันนี้เลี้ยงเต็มที่เลย” แกว่งมือแพคฮยอนขึ้นลงเหมือนเด็กๆ แล้วอมยิ้มไปให้

    “งั้นก็จะกินให้เต็มที่เหมือนกันนะ เอียนอาหารจีนมาก” บ่นหงุงหงิงแล้วก็หัวเราะ เพราะตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอกได้กินอาหารจีนแปลก แต่พอหลายวันเข้าก็รู้สึกเบื่อ คิดถึงอาหารเกาหลีมากจริงๆ

    “ได้ครับ!

     

    ชานยอลเดินนำไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ ก่อนจะเก็บกระเป๋าไว้ที่เบาะหลังให้เรียบร้อย มือหนาวางลงที่พวงมาลัยแล้วหันไปแพคฮยอนที่กำลังใส่เบลท์อยู่

     

    “คิดถึงมาก แล้วก็เหงามาก วันนี้มาค้างไปคอนโดนะ”

    “เห? จะไม่ให้กลับไปนอนบ้านเลยเหรอ” เอียงคอถามอย่างงงๆ แถมยังมาทำตาแป๋วใส่เขาอีก ยิ่งใส่แว่นกรอบโตๆ ด้วยแล้ว น่ารักอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

    “เดี๋ยวขอแม่เอง”

    “ชานยอลคนเผด็จการ” เบินปากไปให้ แต่ร่างสูงกลับยักไหล่ไปให้อย่างไม่สนใจ

    “จะโทรหาแม่เดี๋ยวนี้แหละ”

    “งั้นฉันจะโทรไปบอกแม่ว่านายเล่นละครตบตา”

    “แม่จะเชื่อใครดีน้า~

    “ชานยอลอ่า!” แพคฮยอนทำเสียงดุนิดๆ แต่ชานยอลก็ไม่กลัวหรอก เขาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดต่อสายไปยังแม่คนที่สองของเขาทันที

     

    ชานยอลยักคิ้วไปให้แพคฮยอนนิดๆ ก่อนที่จะตั้งใจพูดเมื่อแม่ของแพคฮยอนรับสายเขาแล้ว

     

    “ฮัลโหลครับแม่ ผมมารับแพคฮยอนที่สนามบินแล้วนะครับ”

    (“...”)

    “ครับ วันนี้ขอจองตัวแพคฮยอนอีกวันนะครับ แม่ไม่ว่าผมนะ ฮะๆ ครับผม แล้วพรุ่งนี้ผมจะเอาลูกชายแม่มาคืนนะครับ...ครับผม สวัสดีครับ”

     

    ติ๊ด..

    วางสายไปเรียบร้อย ภารกิจเสร็จไปอย่างง่ายดาย เขาหันไปมองแพคฮยอนก่อนที่จะสตาร์ทรถแล้วขับออกจากสนามบินอย่างอารมณ์ดี

     

    “นายนี่นะ”

    “อยู่ด้วยกันนะ...” หันไปบอกด้วยเสียงทุ้มนุ่ม แพคฮยอนยิ้มบางแล้วพยักหน้าให้เบาๆ

    “อือ...”

     

    อาจจะคิดว่าเวลาสองอาทิตย์นั้นแป๊บเดียวมันก็ผ่านไปแล้ว แต่มันไม่ใช่สำหรับชานยอลน่ะสิ เขาคิดถึงแพคฮยอนตลอดเวลา แค่สองอาทิตย์นี้ก็ถือว่านานแล้ว หลายวันที่ไม่ได้นอนกอด ไม่ได้นอนด้วยกัน ไม่ได้ถูกแพคฮยอนบ่นเวลาที่เขาชอบนอนเตะผ้าห่มออก ไม่ได้ถูกบ่นเวลาที่เขาชอบแอบเข้าครัวไปหาอะไรกินแล้วก็ทำครัวเลอะ แต่สุดท้าย แพคฮยอนก็ช่วยดูแล ช่วยทำทุกอย่างให้อยู่ดี

     

    วันนี้ผมจะได้นอนกอดแพคฮยอนแล้วนะครับ...

    คิดถึงที่สุดเลยครับ

     

     

     

    ...

     

     

     

    ชานยอลและแพคฮยอนหลังจากที่กินข้าวเย็นกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ผลัดกันเข้าไปอาบน้ำ ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากันก่อนที่จะสลับกันเช็ดผมให้อยู่บนเตียงกว้าง คนตัวเล็กนั้นหัวโยกไปมาเพราะชานยอลแกล้งเช็ดผมให้แรงๆ

     

    “อย่าแกล้งกันสิ”

    “จะได้แห้งไวๆ ไง” พูดแล้วก็ขยี้ๆ เช็ดๆ

    “ฮื่อ ไม่หยุดเหรอ” แพคฮยอนถามก่อนที่จะแกล้งชานยอลคืนบ้าง มือเล็กๆ ออกแรงขยี้หัวของชานยอลบ้างจนผมนั้นฟูฟ่องเหมือนกับรังนก เพราะผมชานยอลก็เริ่มยาวมามากแล้วเหมือนกัน

    “เห..ผมยาวแล้วนะ” แพคฮยอนจับเส้นผมนุ่มๆ นั้นก่อนจะพูดขึ้น

    “อื้ม ยาวแล้วล่ะ แทบจะมัดได้แล้วมั้ง”

    “ไปตัดผมไหม”

    “ตัดทรงอะไรดี”

    “ตัดสั้นไปเลยสิ” แพคฮยอนเสนอ แต่ชานยอลย่นคิ้ว ใหเขาตัดผมสั้นเนี่ยเหรอ ไม่เหมาะมั้ง

    “จะดีเหรอ ฉันว่าไม่เหมาะเท่าไหร่นะ”

    “นายตัดอะไรก็ดูดีหมดแหละ อ๊ะ...” แพคฮยอนแทบจะเอามือปิดปากของตัวเองแทบไม่ทัน พอเอ่ยชมชานยอลทีไร ตัวเองต้องเขินทุกเลย ร่างสูงอมยิ้มแล้วหรี่ตามองแพคฮยอนอย่างเจ้าเล่ห์

    “หื้ม...เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

    “ปะ..เปล่านี่” เฉไฉไปเรื่อยแล้วก็ก้มหน้างุด

    “ไม่บอกเหรอ” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ แพคฮยอนก็ยิ่งก้มหน้าลงมากกว่าเดิมจนชานยอลแทบมองไม่เห็นหน้าเล็กๆ นั้น เขาเลยตัดสินใจนอนลงบนตักทันที เพราะจะได้เห็นหน้าแพคฮยอนได้ชัดๆ

    “อ๊ะ...” สะดุ้งนิดๆ เมื่อชานทิ้งตัวลงมานอนบนตักเขาอย่างไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ใบหน้าหล่อๆ นั้นมองมายังเขาที่ก้มหน้าอยู่ ชานยอลมองเข้าไปในดวงตากลมเล็กก่อนจะยกมือขึ้นไปลูบแก้มใสๆ นั้นอย่างเบามือ

    “จะตัดหรือไม่ตัด ฉันก็ดูดีใช่ไหม”

    “เอ่อ...”

    “ฮะๆ ล้อเล่นนะ ฉันไม่ได้ดูดีอะไรสักหน่อย”

    “ดูดีสิ..รุ่นน้องที่คณะฉันชอบนายทุกคนเลยนะ...” แพคฮยอนบอกด้วยเสียงใสซื่อ ชานยอลเลิกคิ้วขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะเมื่อคนอื่นชมจะเท่ากับแฟนตัวเองชมได้ยังไงกัน

    “เหมือนกันที่ไหนล่ะ”

    “?”

    “ถ้าฉันไม่ดูดีนายยังจะสนใจฉันไหม”

    “เอ๋? ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย”

    “ไม่เกี่ยว?”

    “อือ...ถึงนายจะไม่ได้ดูดี ถึงนายจะไม่ได้เป็นเดือนมหาลัยฉัน...นั่นมันก็แค่รูปกายภายนอก..นายน่ะ..ดูดีจากภายในนะ...” แพคฮยอนอธิบาย นั่นก็ยิ่งเรียกเอารอยยิ้มจากชานยอลมากขึ้นเป็นเท่าตัว

    “นายน่ะดูดีมากกว่าฉันเสียอีก...แพคฮยอน”

    (.__.)<--ทำหน้าซื่อไปให้

     

    ชานยอลมองหน้าเล็กๆ นั้นก่อนจะอมยิ้ม เขายกมือไปวางทาบที่แก้มแล้วเลื่อนไปยังท้ายทอยของแพคฮยอน ก่อนจะค่อยๆ กดให้ใบหน้าของแพคฮยอนนั้นเลื่อนต่ำลงมา

     

    ใบหน้าของพวกเขาเคลื่อนเข้าหากันก่อนที่จมูกของทั้งคู่จะค่อยๆ แตะ พร้อมๆ กับริมฝีปากประทับเข้าหากันอย่างอ่อนนุ่มและอ่อนหวานที่สุด...

     

    ชานยอลจูบแพคฮยอนเบาๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วรอยยิ้มของทั้งคู่ก็ส่งมาให้กัน...

     

    “รักนายที่เป็นนายนะ...”

    “ฉันก็เหมือนกัน...”

     

    ขอให้ความรักเล็กๆ นี้เบ่งบานไปทั่วทั้งโลก

    รักที่บริสุทธิ์ของแพคฮยอนที่มีให้ชานยอล...

     

     

     

     

     

     

    THE END. So Happy

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    *

    กรีดร้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

    จบแล้วนะคะ เซย์กู้ดบายเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่จะไม่มีวันลืมเลย

    ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ขอบคุณมากๆ เลย

    อาจจะแต่งไม่ดีมาก ภาษาก็เรียบง่าย ไม่ได้สวยงามอะไรเลย ก็ยังมีคนติดตามคนเกรียนๆคนนี้อยู่

    จริงๆ ออกจะติดเกรียนมากกว่ามาหวานแหววแบบนี้นะ 5555555555555555555

    มันมาจากจิตวิญญาณป่ะวะ

    ฮ่าๆ จะไม่มีเรื่องไหนมีภาค 2 แล้วนะ เข็ดมากอ่ะ ฮ่วยยย !

    ไม่รู้จะขอบคุณยังไงหมด รักทุกคนและรักทุกเรื่องที่แต่งมา

    ลงช้าบ้าง แต่ก็มีคนอดนอนรออัพ นอนดึกไม่ดีน้า กริกริ~

     

    ไม่มีอะไรจะฝอยหรอก รักทุกคน เยิฟยูว

    เจอกันเรื่องหน้า hello darling สวัสดีคุณแฟน นะจ้ะ

    อิอิอิ ไม่รู้จะเกรียนมั้ย แต่จะพยายามแต่งให้ดีที่สุดนะ

     

    รักทุกคนที่อ่านเรื่องนี้ เรื่องเก่า เรื่องใหม่

    เขินว่ะ พอละๆๆๆ ไปแล้ว บรั้ยยยยยยส์
     

    มอบเพลงนี้ให้แฟนฟิคทุกคน รักซำเหมอ
    - - -
    ขอมือเธอหน่อย ไว้คอยกระชับให้ชื่นใจ
    ขอมองตาหน่อย ไว้คอยให้เตือนเมื่อเหงาใจ
    ขอใจเธอหน่อย ไว้คอยเป็นแรงผลักดันฝันอันยิ่งใหญ่
    หากมีหัวใจของเธอ ก็สุขเกินพอ :)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×