ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF KAIBAEK] Imagination with KaiBaek

    ลำดับตอนที่ #12 : [FIC] White Wolf (KaiBaek) - 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.66K
      10
      10 มิ.ย. 56





    *พาร์ทนี้พักผ่อนกันชิวๆสบายๆค่ะ ไม่ต้องเตรียมผ้าซับเลือดไว้หรอกนะคะ TvT






    White wolf

    Pairing : Kai x Baekhyun
    ft.KrisHo , TaoHun 

    Rate : NC – 17

    Story and Art : Gornhai









    130608
    - Part 3 -




     

    ภายในเรือนไม้อีกหลังที่ห่างออกไปไม่ไกลในค่ำคืนนี้

     

    “....อา ยาที่เจ้าชุบลงมาที่แผลข้า ทำไมแสบแบบนี้นะจุนมยอน” คนที่นอนพิงหัวเตียงอยู่ในท่าลำบากเอ่ยบอกอย่างอดกลั้นกับปากแผลที่ถูกแกะผ้าออก ร่างสูงเหยียดขาราบไปกับที่นอนนุ่มโดยที่อีกข้างจะยกชันขึ้น

     

    แผลจากการถูกของมีคมบาดลึกเอาในตอนที่ผ่านเข้าไปช่วยมนุษย์คนนี้เอาไว้

     

    คุณพยาบาลจำเป็นที่ยืนเก็บอุปกรณ์ยาทั้งหมดเอี้ยวตัวกลับมาหา ใบหน้าขาวใสเม้มปากพลางถอนหายใจกับคนป่วยที่โอดครวญได้ตลอดทั้งที่ก็ไม่ได้เจ็บมากมายอะไรแล้ว

    “ท่านรู้จักอดทนบ้างสิอี้ฟาน”

    “หึ เดี๋ยวนี้พูดเก่งขึ้นเยอะนะ”

    “อย่าพูดเหมือนข้าอ่อนแอ ข้าไม่ชอบ” จุนมยอนไม่พอใจ ในเวลาที่ไม่ควรล้อเล่นอีกฝ่ายก็น่าจะรู้ ร่างของคนตัวเล็กกว่าก้มมองพื้นพลางถอนหายใจ เจ้าของเรือนที่นอนดูจึงเอ่ยขึ้น

    “มานี่สิ”

    อี้ฟานเรียกแต่จุนมยอนไม่ยอมขยับ ดวงตากลมขยับไปมาก่อนจะยอมแพ้สายตาแน่วนิ่งที่ส่งมา จึงจำต้องก้าวตรงไปยังร่างของมนุษย์หมาป่าหนุ่มที่เขาไม่ได้กลัวเกรงแล้วในตอนนี้

     

    จุนมยอนนั่งลงช้าๆข้างกับคนที่นอนอยู่โดยหันหน้าเข้าหากัน มือหนาเอื้อมมาดึงให้อีกคนขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม

    “อะไรของท่าน”

    “ข้ารู้นะ ว่าเจ้ากำลังคิดมากเรื่องน้องชาย”  ถึงตรงนี้คนฟังก็หลบตาไปอีกทาง จุนมยอนถอนหายใจเบาๆ อี้ฟานที่นอนกึ่งนั่งถือโอกาสขยับกายเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าหาคนข้างกายช้าๆ

    “นี่ .. อย่าคิดมากเลย ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายอะไรหรอก ท่านไคไม่ใช่คนชอบลงไม้ลงมือกับคนไม่มีทางสู้หรอก เชื่อข้าสิ” เสียงทุ้มเอ่ยอยู่ข้างหูอย่างปลอบใจ

    “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้น”

    “แล้วมันเรื่องอะไรกัน”

    “ก็ คือ ... เรื่องของแพคฮยอนน่ะ”

    “น้องชายเจ้าทำไม”

    “ข้าอยากคุยด้วย เมื่อกลางวันนี้กำลังจะได้ถามออกไปแล้วแท้ๆ แต่ท่านไคดันเข้ามาขวางเสียก่อน ข้าเลยไม่ได้ถามน้องเลยว่า.......” จุนมยอนเงียบไปขณะที่ก้มหน้า เขานึกได้ว่าควรจะพูดดีออกไปดีหรือไม่

    “ข้าไม่รู้ใช่ไหม”

    “ใช่ ท่านไม่รู้”

    “งั้นเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

    ใบหน้าของอี้ฟานก้มลงมาใกล้กว่าเก่า ร่างสูงที่นั่งทาบมาจากด้านหลังเกือบจะกลายเป็นโอบร่างของมนุษย์ธรรมดาคนนี้เอาไว้อยู่แล้ว จุนมยอนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย และนั่นก็ทำให้คนที่อยากจะมีโอกาสต้องรีบผละออกไม่ให้รู้ตัว อี้ฟานทำท่าทีเหมือนเป็นปกติ เขารู้ว่าจุนมยอนกำลังชั่งใจว่าจะเล่าให้คนอย่างเขาฟังหรือไม่ และอะไรบางอย่างก็ดลใจให้คนตัวเล็กรู้สึกไว้ใจขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

     

    “ก็ได้ ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง” ดวงตาแน่วแน่จริงจังอย่างนั้น คนตรงหน้าจึงไม่อยากทำลายมันด้วยท่าทีเล่นๆอะไรอีก อี้ฟานพยักหน้าและรับฟังในสิ่งที่จุนมยอนเริ่มอธิบาย

     

     

    เรื่องราวสั้นๆได้ใจความถูกร้อยเรียงผ่านคำพูดไม่กี่ประโยคออกมา

     

     

    “ว่าไงนะ ... นี่เจ้าไม่ได้หลอกข้าเล่นใช่ไหม น้องชายของเจ้าถูกสาปมาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่อย่างนั้นหรือ” อี้ฟานมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน จุนมยอนพยักหน้าช้าๆ

    “เดี๋ยวนะ ขอข้านึกก่อน ... มิน่าล่ะ เมื่อกลางวันเซฮุนถึงได้เล่าให้ฟังเรื่องเป็นผู้ชายแล้วกลายเป็นผู้หญิงอะไรนั่น”

    “ว่าไงนะ .. เกิดเรื่องแบบนั้นแล้วหรือ”

    “อืม ข้าก็คิดว่าน่าจะโยงกันได้”

    “เฮ้อ ... ข้าก็ไม่รู้ละเอียดมากนักหรอกนะ แต่ท่านยายเคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนข้ายังเด็ก แต่เราไม่เคยบอกน้อง”

    “แล้วคนที่สาป ก็คือ ...”

    “ใช่ อย่างที่ข้าบอกไป ท่านยายบอกว่าคนผู้นั้นก็คือนายหญิงของเผ่าพวกท่าน .. อย่างแน่นอน”

     

    สองสายตาสบกันอย่างจริงจัง อี้ฟานพึมพำเบาๆกับเรื่องที่ได้ยิน

     

    “นายหญิง ... ข้าก็เคยได้ยินอยู่บ้างจากที่พ่อของข้าเล่ามา ไม่มีใครรู้รายละเอียดและมันก็นานมากแล้วด้วย ไม่นึกว่าจะได้ยินเรื่องที่ประจวบเหมาะกันในเวลาเช่นนี้เลย”

    “นั่นสิ ข้าเองก็อยากจะเห็นกับตาเหมือนกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

    “แล้วเราต้องทำยังไง”

    “ข้าอยากบอกให้แพคฮยอนรู้”

    “แต่ .. ท่านไคสั่งเอาไว้ก่อนมาว่าห้ามให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามในเรือนนั้นอีก เจ้าก็รู้นี่ว่ามันฤดูอะไร”

    “ใช่ ข้ารู้ แต่ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องให้ท่านเซฮุนช่วยพาแพคฮยอนออกมา....”

    “ไม่ได้หรอก เห็นทีว่าเจ้าอาจต้องผิดหวัง”

    “ทำไมล่ะ” จุนมยอนถามอย่างสงสัย อี้ฟานหลบสายตาแบบนั้นก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมลวกๆ

    “ก็เพราะว่า .. เฮ้อ ข้าเคยบอกคร่าวๆไปแล้วนี่นาเรื่องฤดูผสมพันธุ์ของพวกเรา” อี้ฟานไม่ยอมมองหน้าจุนมยอน และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายแคลงใจขึ้นมา ด้วยความที่เป็นคนตรงๆจึงถามออกไปเพราะไม่เข้าใจ

    “ข้าไม่เข้าใจ เกี่ยวอะไรกับท่านเซฮุน” ร่างเล็กสงสัยอย่างมาก เขาดันกายขยับเข้าหาคนที่นอนอยู่เพื่อจะเอาคำตอบ ใบหน้าขาวๆที่จ้องอยู่ใกล้ๆทำเอาหมาป่าหนุ่มต้องมีท่าทีลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้านั้นหันกลับมาสบกับอีกคนตรงๆ

    “เฮ้อ .. เจ้านี่นะ ก็จื่อเทามันเป็นอย่างข้า แล้วตอนนี้ก็คงขลุกอยู่กับเซฮุนไม่ยอมออกไปไหนแน่นอน”

    “................”

    “ทีนี้เข้าใจรึยัง เรื่องฤดูผสมพันธุ์น่ะ”

     

     

    ใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบทำเอาคนขี้สงสัยต้องหน้าแดงไปตามระเบียบ จุนมยอนก้มหน้าลงพลางถอยห่างออกไป แต่มือของคนเจ็บดันรั้งเอวของเขาไว้เสียก่อน อี้ฟานดึงจุนมยอนเข้ามากอดไว้ แต่มีหรือที่จะถูกยินยอมง่ายๆ มือเล็กๆดันเข้าที่แผงอกอย่างแรง

    “โอ๊ย ...”

    “อ๊ะ ... ข้าขอโทษ” จุนมยอนรีบดึงมือตัวเองออกหลังจากที่เผลอผลักเข้าที่แผลของอีกฝ่าย ระหว่างนั้นเองที่คนเจ็บดันถือโอกาสรวบร่างนั้นเข้ามากอดไว้เบาๆ

     
     

    อี้ฟานนึกขอบคุณแผลนี้เหลือเกินที่เอาเลือดในกายของเขาออกไปให้ความพลุ่งพล่านมันลดลง ไม่อย่างนั้นในช่วงความต้องการมากมายแบบนี้เขาอาจเผลอทำอะไรไม่ดีลงไปก็ได้ แต่จะว่าไปแล้ว หากไม่เจออีกฝ่ายเขาก็คงไม่ต้องได้แผลแบบนี้ ระหว่างที่อยู่ด้วยกันมา เขายังไม่ได้ให้หญิงคนไหนเหยียบเข้ามาที่เรือนแห่งนี้เลย  ที่ยังพอทนได้ก็คงเพราะร่างกายที่ยังไม่หายดี

     

    ความเงียบเข้ากลืนกินรอบกายของทั้งสอง

     

     “ท่าน ไม่เจ็บแผลแล้วหรือ”

    “เจ็บสิ เจ็บมากด้วย .. แต่ถ้าอยู่แบบนี้สักหน่อย คงทุเลาขึ้น”

     

    อี้ฟานเอ่ยเบาๆที่ข้างใบหูนั้น เขารับรู้ได้ถึงแรงเต้นของหัวใจจุนมยอนที่แม้ว่าจะไม่เป็นจังหวะแต่อีกฝ่ายกำลังเหนื่อย คนๆนี้กำลังวิตกกังวลและโทษตัวเอง เขารู้ดี ถ้อยคำปลอบประโลมจึงหลุดออกไปเพียงสั้นๆพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นในคืนนี้

     
     

    “อย่าคิดมากเลยนะ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย โชคชะตาต่างหากที่จะกำหนด .. เชื่อข้าสิ”

     

     

     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

     

    เรือนไม้ชั้นเดียวขนาดกว้างขวางยังคงไร้ซึ่งความมีชีวิต

     

    นับตั้งแต่เที่ยงคืนล่วงเลยมาถึงเที่ยงวัน ร่างของผู้เป็นเจ้าของเรือนเริ่มขยับกายภายใต้แสงแดดรำไรที่ลอดผ่านม่านสีขาวเข้ามา ดวงตาสีเข้มลืมขึ้นช้าๆก่อนที่สัญชาตญาณจะเข้าครอบงำจิตใจ มัดกล้ามสีแทนดันร่างกายไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆขึ้นนั่ง

     

    มือหนาขยี้ผมเผ้าจนยุ่งเหยิง เรียวหน้าได้รูปของท่านหัวหน้าเผ่านิ่งไปสักพักเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ชายหนุ่มหันกลับมามองข้างกายช้าๆ ภาพของคนที่ยังหลับอยู่ทำเอาเขาต้องนิ่งไปอีก ดวงตาคมจดจ้องร่างที่นอนอยู่ข้างกับเขา

     

    ร่างกายเปล่าเปลือยของคนตัวเล็กกว่านอนตะแคงหันไปอีกทาง ผิวขาวมีรอยแดงเป็นจ้ำตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่นับกับร่องรอยอะไรต่อมิอะไรมากมายที่ปรากฏเด่นชัดบนที่นอนที่ยับยู่ยี่ น้ำเหนียวเหนอะเปรอะออกมาจากซอกขาเนียนเปื้อนเต็มที่นอนไปหมด ไคเงยขึ้นมองใบหน้าของแพคฮยอนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แม้ในยามหลับก็กลับมีสีหน้าหวาดกลัว

     

    เจ็บปวดมากสินะ ....

     

    เสียงที่ไม่ใช่ของตนเองกำลังบอกแบบนั้น เสียงของจิตใต้สำนึก

     

    “เก่งนักไม่ใช่เหรอ..ลุกขึ้นมาได้แล้ว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบาๆ แต่ร่างตรงหน้ากลับไม่มีการตอบรับ อกขาวกระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆให้รู้ว่ายังหายใจ แม้ว่าไคจะพูดออกไปอย่างนั้นหากแต่ในใจกลับรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวเอง

     

     

    เขาจำได้ดีว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องที่โมโหอีกฝ่าย หรือเรื่องกลิ่นที่ทำให้เขาห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ กลิ่นนั่นไม่ได้มอมเมาให้หลงใหลจนหน้ามืด แต่มันเหมือนกับว่าความต้องการที่มีนั้นไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ เขามีสติครบถ้วนดีกับสิ่งที่ทำลงไป จำได้ทุกน้ำเสียง ทุกคำขอร้อง ทุกความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาในยามที่เขากำลังสุขสม .... ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

     

    มือหนาตวัดเอาผ้าห่มที่ร่นมาอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นคลุมร่างนั้นเอาไว้พลางถอนหายใจ

     

    ไคเดินออกจากเตียงแล้วก้มลงหยิบชุดคลุมตัวเก่าขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ เขากำลังหงุดหงิดและค้างคาใจในบางสิ่งบางอย่าง เรื่องของกลิ่นที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ... ไม่สิ รู้อยู่แก่ใจว่าคืออะไร แต่ตราบใดที่สมองยังทำงาน เขาจะยังไม่ยอมรับในเรื่องประหลาดอย่างนี้หรอก

     

     

     

     

     

    หลังจากเดินออกมาจากห้องนั้นแล้วเขาก็ตรงเข้าไปชำระร่างกายให้สดชื่น ก่อนจะออกมายังห้องทำงานที่เต็มไปด้วยตำรามากมาย ฤดูสำคัญที่จะต้องอยู่เรือนเป็นสัปดาห์เพื่อปลดปล่อย ไหนจะต้องเอาเวลามาเขียนแผนที่ใหม่ให้กับคนในหมู่บ้าน ไหนจะเรื่องประชุมเผ่ากับเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วทำไมเรื่องนี้มันถึงได้รบกวนจิตใจของเขาได้มากขนาดนี้

     

    ไคใช้เวลาในห้องทำงานไปได้เกือบชั่วโมง ระหว่างนั้นที่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรภายนอกจึงอดจะรู้สึกไม่ได้

     

     

    ประตูห้องนอนห้องเดิมถูกเปิดออกแรงๆก่อนที่ร่างของผู้เป็นเจ้าของจะตรงปรี่เข้ามายังเตียงกว้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าสภาพของคนที่นอนอยู่นั้นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    “พยอนแพคฮยอน .. ลุกขึ้นมาได้แล้ว” ไคเอ่ยสั้นๆเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับสบาย ภายนอกเอ่ยได้แค่วาจาร้ายกาจ แต่แท้ที่จริงเขาคงไม่สบายใจแน่ถ้าคนๆนี้ต้องมาเป็นอะไรเพราะรองรับอารมณ์ความใคร่ของเขา

     

    “นี่!

     

    เสียงดังตวาดลั่น และนั่นก็ทำให้คนที่นอนหายใจช้าๆต้องขยับกายเพียงนิด เปลือกตาชื้นๆลืมขึ้นมองมายังคนตรงหน้า และเมื่อรู้ว่าเป็นใครดวงตาคู่นั้นจึงเบิกกว้างขึ้น แพคฮยอนสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที

    “ตกใจอะไร” ไคถามเสียงเย็น

     

    ร่างเล็กถดกายหนีเท่าที่แรงอันน้อยนิดจะมี แพคฮยอนก้มมองดูตัวเองในภาพที่ไม่มีอะไรปกปิดเลยนอกจากผ้าห่ม มือบางตกใจรีบคว้ามันขึ้นไปคลุมตัวเองเอาไว้จนถึงคอ หารู้ไม่ว่าส่วนล่างตั้งแต่ปลายเท้ามายังต้นขาจึงว่างเปล่าไม่มีอะไรปกปิด

    ไคก้มมองเรียวขาคู่นั้นที่ผ่านมือเขามาทั้งคืนจนหนำใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างไม่คิดจะสนใจ

    “ตื่นแล้วก็รีบไปอาบน้ำ....”

    “ไม่ .. ข้าจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้แหละ” แพคฮยอนหลุดปากในสิ่งที่ใจคิด สมองของเขาประมวลอะไรไม่ได้มากนักในเวลานี้ นึกได้แต่เรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาด้วยความทรมานอย่างถึงที่สุด เขาเกลียดร่างกายตัวเองนักที่เผลอยินดีไปกับสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่เพราะความรุนแรงป่าเถื่อนของคนใจยักษ์ ความเจ็บร้าวจึงเป็นเท่าทวีพอกัน

     

    ความรู้สึกของผู้ชายที่ต้องถูกทำราวกับว่าเป็นผู้หญิง ยิ่งกับคนที่เขาทั้งเกลียดทั้งกลัวด้วยแล้วมันยิ่งทำให้อยากจะตายไปเสียเดี๋ยวนี้

     

    ไคมองร่างที่นั่งขดอยู่บนเตียงอย่างแสนสมเพช ใบหน้าคมยกยิ้มราวกับเย้ยหยันก่อนจะถอยหลังก้าวออกจากประตูห้องไป

     

    แพคฮยอนมองตามด้วยสายตาหวาดกลัวอย่างเก่า สติทั้งหมดที่มีกำลังบอกให้เขาออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ใช่แล้ว แพคฮยอนต้องรีบออกไปแล้วตามหาจุนมยอนให้พบ จากนั้นพวกเขาสองพี่น้องจึงจะได้เป็นอิสระจากที่ประหลาดแห่งนี้เสียที

     

     

    มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาที่ร่วงผล็อยออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายใต้ผ้าห่มสีขาวขยับก้าววางปลายเท้าลงที่พื้น ความเจ็บร้าวไปทั้งร่างแล่นปราดเข้ามา โดยเฉพาะตรงนั้นที่เจ็บระบมราวกับจะแตกออกให้ได้ เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ยังคั่งค้างอยู่ในตัว ของเหลวสีขุ่นไหลเยิ้มลงตามต้นขา แพคฮยอนตกใจกับสิ่งที่ไม่เคยได้รับ ความเจ็บทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงกับเตียงดังเดิม

     “ทำไงดี เจ็บ...” แพคฮยอนกลั้นน้ำตาเอาไว้อีกครั้ง ตอนนี้จึงต้องนอนลงที่เตียงอย่างเดิม

     

    เวลาไม่กี่นาทีที่ก้มพินิจมองร่างกายตัวเองประกอบกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา ความน้อยใจในโชคชะตาก็ถาโถมกันเข้ามา

     

     

    ประตูห้องนอนถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว แพคฮยอนดันตัวเองขึ้นพิงหัวเตียงเพราะความกลัว ไคเดินตรงเข้ามาที่เขาด้วยสายตาดุดัน แต่เวลาแบบนี้แพคฮยอนยังไม่อยากจะรับฟังอะไร

    “ท่านอย่าเพิ่งกล่าวว่าข้าได้ไหม ข้าเหนื่อยเต็มทนแล้ว” ใบหน้าซีดหมองเอ่ยขอร้องยังไม่มีปิดบัง

    “หึ .. ไม่เหนื่อยก็เกินคนแล้ว” ไคกล่าวลอยๆให้คนฟังต้องสงสัย

    “ทะ ท่าน .. พูดเรื่องอะไรน่ะ”

    “ก็เมื่อคืนนี้ถ้าไม่เหนื่อยเจ้าก็ไม่ใช่คนแล้ว”

    “พูดแบบนี้ได้ไง ท่านเป็นคนทำร้ายข้าเองนะ ถึงไม่มีคำขอโทษก็ไม่ควรเอ่ยอะไรอย่างนี้”

    “ใครกันแน่ที่ผิด เจ้าเองไม่ใช่หรือที่ปล่อย................” ไคชะงักคำพูดไปทันทีเมื่อรู้ตัวว่าจะเผลอพูดเรื่องกลิ่นนั้นออกไป แพคฮยอนจ้องเขาไม่วางตา

    “ปล่อย ปล่อยอะไร ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ”

    “ก็ ปล่อย .. เฮ้อ เด็กหนอเด็ก ปล่อยในสิ่งที่เจ้าอดกลั้นมานานไงล่ะ”

    “.........................”

     

    ไคเบี่ยงอีกเรื่องมาแสร้งพูดถึงอีกเรื่อง แต่นั่นกลับทำให้คนฟังหน้าขึ้นสีและเชื่อสนิทใจว่าหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ แพคฮยอนไม่เถียงกับความจริงที่เขาก็รับรู้ แม้จะเคยอยู่บ้างแต่การที่ปลดปล่อยขนาดนั้นถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

     

    ใบหน้าแดงๆก้มลงเพราะไม่รู้ว่าจะสบตากันไปเพื่ออะไร ไม่อยากมีอาการแปลกๆออกมาให้อีกฝ่ายเห็น

     

     

    ไคมองเผลอมองคนอายุน้อยกว่าเขาเกือบสิบปีด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็แทบไม่รู้ตัว ครู่ใหญ่ที่อีกฝ่ายช้อนสายตากลับมา เขาจึงรีบเบนหน้าหนี

    “จะนอนอยู่อีกนานไหม ควรเอาเวลาไปทำงานในเรือนของข้าให้เกิดประโยชน์ทดแทนกับที่เจ้ามาอยู่ที่นี่บ้างนะ” ไคเอ่ยโดยไม่หันมามอง เขารู้สึกได้ถึงการขยับกายของอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับมาอีกทีก็พบว่าแพคฮยอนยังนั่งนิ่งที่เดิม

    “ลุกไปอาบน้ำเสียสิ”

    “เอ่อ ข้า ข้า....”

    “หึ ไหนบอกว่าจะออกไปจากที่นี่ไง นี่แค่จะไปจัดการตัวเองยังไม่มีปัญญา”

    “หยุดว่าข้าเสียทีได้มั้ย”

    “ข้าไม่ได้ว่า มันเรื่องจริง”

    “ไม่จริง ข้าไม่ใช่อย่างที่ท่านว่าอย่างแน่นอน”

    “แล้วทำไมไม่รีบลุกไปล่ะ....”

    “ก็ข้า ข้าเดินไม่ไหว ข้าเจ็บ!

     

    แพคฮยอนหลุดความจริงออกไปอย่างหมดท่า และนั่นก็ทำให้ไคเงียบไป ที่อีกฝ่ายเจ็บจนเดินไม่ได้ก็เพราะอะไรล่ะ สองสายตาสบกันก่อนที่คนที่ยืนอยู่จะหันหนีออกมาอีก

    “เดี๋ยวข้าจะตามเซฮุนมาให้แล้วกัน”

     

    ไคผลักประตูห้องออกไปทิ้งให้แพคฮยอนได้อยู่กับความโล่งใจ

     

    “เฮ้อ .. ถ้าเป็นเซฮุนคงเข้าใจข้า” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเอนหลังลงนอน แต่แล้วแพคฮยอนก็เกิดนึกขึ้นได้กับสภาพที่เป็นอยู่ ถ้าหากเซฮุนเข้ามาแล้วพบเขาในสภาพนี้จะเข้าใจว่ายังไงนะ ไม่น่าเลยจริงๆ แพคฮยอนมองซ้ายมองขวาเพื่อจะหาเสื้อผ้า ขาที่ขยับได้เตรียมจะก้าวลงไปที่พื้น แต่แล้วประตูห้องที่ถูกเปิดออกอีกครั้งก็ทำให้ต้องชะงัก

     
     

    ไคเดินตรงเข้ามาที่เขาอย่างรวดเร็ว ร่างสูงไม่พูดไม่จาอะไรนอกจากก้มลงช้อนร่างของแพคฮยอนที่คลุมไว้ด้วยผ้าห่มขึ้นมาอุ้มไว้

    “ท่านไค ท่านจะทำอะไรน่ะ ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ” มือเล็กตีเข้าที่แขนอีกฝ่ายพลางดิ้นไปมาด้วยความตกใจ

    “หยุดดิ้นได้มั้ย ตัวก็ไม่ใช่จะเบา”

    “ถ้าอย่างนั้นอุ้มข้าทำไม ปล่อยข้าลงนะ ท่านจะทำอะไร”

    “เงียบน่ะ! ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า”

    “ละ แล้ว เซฮุนล่ะ ไหนท่านบอกว่า....”

    “หมอนั่นไม่มาหรอก ข้าลืมไป” ไคบอกคนในอ้อมแขนที่ขมวดคิ้วอีกครั้ง

    “ลืมไปอะไร”

    “ก็ช่วงฤดูผสมพันธุ์ของพวกเรา ไม่ค่อยมีใครว่างหรอกน่ะ”

    “เดี๋ยวนะ .. เซฮุนบอกข้าว่าเค้าไม่ใช่มนุษย์หมาป่า....”

    “แต่จื่อเทาใช่”

     

    ไคก้มตอบคนที่เขาอุ้มด้วยเสียงเข้ม  ใบหน้าใกล้กันแค่คืบทำเอาคนฟังหน้าร้อนผ่าวกับเรื่องที่ได้ยิน แค่นั้นแพคฮยอนก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ใบหน้าแดงๆที่ไม่รู้สาเหตุจึงก้มงุดอย่างเดียว ไคไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากอุ้มร่างนั้นเดินออกไปจากห้องทันที

     

    เขาตรงมาที่ห้องน้ำในส่วนหลังของเรือน ประตูไม้เปิดเอาไว้ก่อนจะเดินผ่านเข้าไปถึงห้องด้านในที่กว้างกว่าที่เห็นภายนอก แพคฮยอนหวั่นใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพาเข้ามาถึงในนี้ ไควางร่างของแพคฮยอนลงในอ่างไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวคน น้ำอุ่นเอ่อล้นถึงขอบอ่างไหลลงมาตามพื้นไม้

     
     

    ไคยังไม่ปล่อยมือจากปลายผ้าห่มที่ชุ่มลงไปในน้ำกับแพคฮยอน เขาทำท่าจะดึงมันออกมาแต่อีกคนกลับร้องขึ้นห้าม

    “อย่านะ ขะ ข้า ยังต้องการอยู่” แพคฮยอนพูดไปก้มหน้าไปกับสภาพที่น่าอายเหลือเกิน ถ้าอีกฝ่ายดึงผ้าห่มออกมันคงไม่ดีแน่ น้ำออกจะใสขนาดนี้ ไคมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเฉยชา สักพักจึงยกยิ้มมุมปากขึ้นมา บางทีเขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าชักอยากจะแกล้งคนๆนี้ขึ้นมา

     

    มือหนากระตุกปลายผ้าขึ้นมาพร้อมกับที่อีกด้านจะถูกดึงเอาไว้แน่น แพคฮยอนตะโกนห้ามอีกครั้ง ไคสนุกกับการแกล้งอีกฝ่ายให้มีท่าทีแบบนั้น

    “ท่านเลิกแกล้งข้าได้แล้ว ปล่อยข้าอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”

    “ไม่ได้แกล้งอะไรเจ้านะ แต่ข้าจะช่วยต่างหากล่ะ”

    “ช่วย ท่านจะช่วยอะไรข้า” แพคฮยอนสงสัยเพราะตามไม่ทัน ไคเดินเข้ามาใกล้ที่ขอบอ่างก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงเสมอกันกับคนที่นอนแช่อยู่

    “ก็ช่วยเจ้าอาบน้ำยังไงล่ะ”

     

     
     

    “อ๊ะ!

    ว่าแล้วผ้าห่มสีขาวก็ถูกดึงออกไปทีเดียวจนหมด ไคโยนมันไปกองที่พื้นอีกด้าน แพคฮยอนรีบปกปิดบางส่วนของร่างกายด้วยมือทั้งสอง เขาดันตัวเองให้เบียดติดขอบอ่างให้มากที่สุดเพราะความใสของน้ำที่ทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน ไคก้มมองร่างของอีกคนอย่างไม่คิดจะเกรงใจสักนิด

    “ท่านทำแบบนี้ทำไม เอาผ้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ”

    “หึ ... เลิกงี่เง่าได้แล้วน่ะ จะอาบน้ำหรือจะนอนกันแน่ คนบ้าที่ไหนจะห่มผ้าเวลาอาบน้ำกัน” ไคเอ่ยเสียงเข้ม แพคฮยอนเถียงไม่ออกนอกจากทำหน้าไม่พอใจอย่างเก่า

     

    “ที่สำคัญ จะเดินเองยังเดินไม่ได้ แล้วอาบน้ำในสภาพนี้จะรอดรึไง”

    “แต่ข้าทำได้”

    “อย่าเล่นตัวนักเลย ข้ายอมทำให้ขนาดนี้ก็บุญของเจ้าแค่ไหนแล้ว .. ให้ตายสิ ถ้าเซฮุนอยู่ก็คงจะดี” ร่างสูงเอ่ยอย่างหัวเสีย อีกฝ่ายจะรู้ไหมนะว่าตั้งแต่เกิดมาคนอย่างคิมจงอินยังไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ให้ใครเลย

     

    ในเมื่อไม่มีทางเลือกแพคฮยอนจึงยอมให้อีกฝ่ายช่วยเหลือแต่โดยดี

     

    กลิ่นหอมอบอวลของมวลดอกไม้ด้านนอกคลุ้งลอยเข้ามาให้สถานที่ชำระร่างกายแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย แต่สำหรับบางคนมันไม่ใช่เลย แพคฮยอนนั่งเกร็งขณะที่อีกคนจะเอื้อมมือเข้ามาในน้ำ ไคถูฝ่ามือกับแผ่นหลังบางนั่นก่อนจะเลื่อนลงไปตามเรียวแขนและขา

     

    ภายใต้ใบหน้านิ่งที่ไม่แสดงอาการใดๆ ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ผิวแบบนี้แหละที่ทำให้เขาแทบจะคลั่ง ทุกซอกทุกมุมของร่างกายนี้ที่ได้ครอบครองจนสาแก่ใจ

     

    “นี่ ท่าน ท่านไค...”

     

    เสียงของแพคฮยอนดึงให้คนที่เอาแต่ตกอยู่ในภวังค์ต้องเงยหน้าขึ้นจากเรือนร่างนั้น พวงแก้วขาวอมชมพูเพราะความอุ่นของน้ำกำลังหน้างออย่างไม่พอใจอะไรสักอย่าง ปรอยผมเปียกลู่ลงแนบกับแก้ม

    “อะไร” ไคถามสั้นๆ

    “กะ ก็ .. ท่านเอาแต่จ้อง ไม่ยอมพูดอะไรแบบนี้ ข้ารู้สึกแปลกๆน่ะ”

    “หึ เด็กจริงๆ”

    “ว่าไงนะ”

    “เปล่า .. ข้าไม่ได้พูด”

    “รีบๆเข้าเถอะข้าขอร้อง”

     

    ไคไม่ตอบอะไรนอกจากทำตามใจไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้รีบร้อนอย่างที่ควร

     

    ส่วนอื่นๆเขาใช้เวลาไม่นานในการทำความสะอาด แต่บางส่วนที่ไม่ควรปล่อยเอาไว้คือ

     

     

    “เอามือออกซิ”

    “วะ ว่าไงนะ”

    “ข้าบอกให้เจ้าเอามือออกไงล่ะ”

    แพคฮยอนฟังไม่ผิดหรอก ไคบอกให้เขาเอามือออกจากส่วนตรงนั้นที่ปิดเอาไว้ ไคเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูกเอาการจึงไม่อยากจะแกล้งให้ได้อายอีก ใบหน้าคมฉายแววจริงจังขึ้นมาทันที

    “ข้าหมายถึงว่า .. หันหลังมาซิ ตรงนั้นถ้าไม่ทำความสะอาดแล้วจะหายเจ็บได้ยังไง เกิดอักเสบขึ้นมาเจ้านั่นแหละจะลำบาก”

    “.............” แพคฮยอนไม่ตอบและไม่ยอมขยับ

    “นี่ คิดว่าข้าหลอกเจ้าเล่นรึยังไง ต้องให้ทวนความอีกครั้งหรือไงว่าเมื่อคืนข้าทำอะไรเจ้าไปบ้าง เจอขนาดนั้นแล้วคิดว่ามันจะหายง่ายๆรึไงกัน” เสียงเข้มเอ่ยตรงๆไม่มีปิดบัง เขาไม่ได้อยากจะทำให้ได้อายหรอกนะ แต่ก็หมดปัญญากับความรั้นนั้นเต็มที

    “ระ รู้แล้วล่ะน่า ทำไมถึงได้ชอบพูดอะไรให้ข้ารู้สึกแย่ตลอด พอใจสินะที่ได้หยามข้าแบบนี้”

     

     

    ไคถอนหายใจกับใบหน้างอตัดพ้อต่อว่าเขาอยู่อย่างนั้น ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องเขาจึงตัดสินใจใช้แรงที่มีพลิกร่างนั้นให้หันหลังมาหาอย่างง่ายดาย

    “อ๊ะ...”

    “อยู่นิ่งๆเถอะน่ะ”

     

    แพคฮยอนหน้าร้อนผ่าวอีกครั้งขณะที่ต้องเกาะแนบกายไว้อีกฝั่งของอ่าง ด้านหลังทั้งหมดปรากฎแก่ส่ายตาของคนที่นั่งติดอยู่กับของอ่างด้านนอก คนตัวเล็กหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงนิ้วยาวๆที่ค่อยๆลากไล้ลงไปตามบั้นท้าย มือเล็กบีบขอบอ่างไว้จนแทบลืมหายใจ ไคกดนิ้วลงไปตามร่องก้นนั้นก่อนจะไล้วนให้มันคุ้นชิน ปลายนิ้วค่อยๆแหวกผ่านช่องทางนุ่มเข้าไปช้าๆ ไคมองแผ่นหลังขาวเนียนที่บิดเกร็งโดยที่เจ้าตัวจะซุกหน้าลงกับขอบอ่างอีกด้าน กลิ่นประหลาดที่จางลงไปบ้างแล้วกลับเหมือนจะชัดเจนขึ้นมาอีก หัวหน้าเผ่าผู้แสนเย็นชาสะบัดศีรษะช้าๆอย่างข่มใจ

     

    นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะทำอะไรเหลวไหลลงไปอีก

     

    น้ำขาวขุ่นส่วนที่คั่งค้างถูกควานปะปนกับเลือดสีแดงออกมาให้กลืนไปกับกลุ่มน้ำอุ่น เรียวนิ้วค่อยๆไล้ไปรอบๆปากทางเพื่อทำความสะอาด

     

     

    “อย่าร้องนะ เดี๋ยวก็เสร็จ”

     

     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

    หลังจากที่เสร็จธุระในห้องน้ำส่วนหลังของเรือนแล้ว แพคฮยอนก็ถูกอุ้มกลับมาที่ห้องนอนห้องเดิม ร่างเล็กอยู่ในชุดเรียบร้อยที่ตัวเองเคยใส่ เขานั่งอยู่คนเดียวในห้อง ความรู้สึกหลายอย่างมากมายผสมปนเปกันไปหมด

     

    ข้าคิดถึงพี่

     

    ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง ซุปอะไรสักอย่างกับข้าวสวยหนึ่งถ้วยบนถาดวงลงบนที่นอนข้างหายของเขา แพคฮยอนสังเกตได้ว่าข้างๆจะมีกล่องใส่ยาเม็ดเล็กเอาไว้ ท่านหัวหน้าเผ่าที่เขาแสนเกลียดกำลังยืนนิ่งมองลงมา

    “กินซะ แล้วก็รีบนอนพัก ส่วนยาที่ให้ก็กินให้หมด พ้นคืนนี้ไปตรงนั้นของเจ้าจะได้หายเป็นปกติเสียที”

     

                    คนฟังทำหน้าไม่ถูกกับสิ่งที่ได้ยิน เอาอีกแล้วที่ชอบพูดให้เขาได้อายทุกที ไคไม่พูดอะไรนอกจากเดินออกไปเงียบๆ

     

    แพคฮยอนมองตามประตูห้องที่ปิดลง ภายในใจคงกำลังเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว จะเกลียดแค่ไหนแต่อย่างน้อยที่อีกฝ่ายทำให้ในตอนนี้ก็ยังดีกว่าไม่รับผิดชอบอะไรเลย

     

     

     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

    คำสาปอย่างนั้นหรือ .. เหมือนเคยได้ยินท่านยายพูดกับพี่ ข้าไม่เข้าใจสักนิด พี่บอกว่าข้ายังเด็กไม่ควรต้องรู้ แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวอาจารย์ที่โบสถ์คงสอนข้าเอง

     

    ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆกับการพักผ่อน เรือนกว้างที่มีเพียงสองชีวิตเข้าสู่ค่ำคืนที่เงียบสงัดอีกครั้ง

     

    พยอนแพคฮยอนลืมตามองเพดานห้องในความมืด ผ่านมาทั้งวันที่เขาเอาแต่นอนพักผ่อนร่างกายจึงเริ่มกลับมาเข้าที่อีกครั้ง แต่บางสิ่งกำลังบอกเขาว่าใกล้เข้ามาแล้ว เรื่องที่ไม่อยากพบเจอกำลังใกล้เข้ามาทุกที ชายหนุ่มอายุยี่สิบปีเต็มที่ผ่านเรื่องไม่คาดฝันอันเลวร้ายมาในช่วงหนึ่งสัปดาห์กว่าๆกำลังข่มตาให้หลับ มือเล็กๆกำผ้าห่มแน่นอย่างเดียวดาวในความมืดของคืนนี้

     

     

     

    เรื่องของอีกคนที่เปลี่ยนร่างจากหญิงเป็นชาย ไคได้ลองหาในตำราบ้างแล้ว ลองถามเหล่าผู้ใหญ่ที่เป็นที่ปรึกษาด้วยแล้ว แต่ก็ยังไมได้คำตอบที่แน่ชัด มีเพียงอย่างเดียวที่ทุกคนตั้งข้อสงสัยให้ว่าหรือจะเป็นคำสาป ซึ่งคนๆนี้ไปทำอะไรเอาไว้ก็ไม่มีใครรู้ได้ ไหนจะเรื่องกลิ่นนั่นที่เขาไม่คิดจะยอมรับ

     

    ชายหนุ่มปิดตำราเรื่องราวยุคโบราณเอาไว้ แล้วเปลี่ยนมาเคร่งอยู่กับงานในปัจจุบันของตนแทน

     

    “ไหนว่าเก็บข้อมูลเจ้าพวกนั้นมาครบยังไงล่ะ นี่มีแต่เรื่องไม่เข้าท่าทั้งนั้น” ไคบ่นกับตัวเองขณะที่มือจะค้นกระดาษปึกหนาให้บางส่วนปลิวว่อนหล่นมาที่พื้น เขาใช้เวลาทั้งวันจนล่วงเลยเข้าสู่กลางคืนในห้องทำงานแห่งนี้ นึกถึงลูกน้องหลายคนที่ใช้งานแล้วไมได้ดั่งใจก็พาลโมโห

     

    ร่างสูงผละออกจากโต๊ะแล้วเอนหลังลงที่เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่

     

    มนุษย์กลุ่มนั้นยังไม่เลิกที่จะตามล้างเผ่าพันธุ์ของพวกเขา ลำพังชนเผ่าเองไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่ แต่พวกมันกลับตามล่าและรังควานจนหมู่บ้านที่ตกเป็นเหยื่อต้องเดือดร้อน พวกเขาจึงตามเก็บเบาะแสและหาตัวให้พบเพื่อชี้ให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าอย่างพวกเขาไม่คิดจะระรานมนุษย์แต่อย่างใด

     

    “เฮ้อ ......”

     

    เรื่องงานที่ยังไม่ลงตัวบวกกับสภาพน่าอึดอัดในตอนนี้ทำเอาไคต้องถอนหายใจ เรื่องของแพคฮยอนวนเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่กับจื่อเทาป่านนี้เรื่องของคนๆนั้นเขาคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซฮุนไปแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

    พระจันทร์เต็มดวงสวยงาม ยามอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆจางช่างน่าหลงใหล

    แต่ยามข้าแหงนมองคราใด ...... ร่างกาย

     

    ไม่นะ ต้องไม่เป็นอย่างนี้

     

    ไม่นะ ข้ากลับไปไม่ได้แล้ว นี่มันไม่ใช่ร่างกายของข้า

     

    ไม่นะ

     

    ไม่

     

     

     

    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยย!!

     

     

     

     

    เจ้าของเรือนสะดุ้งขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องลั่นมาจากด้านนอก ไคหันไปตามเสียงนั่นก่อนจะรีบเดินออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    ประตูห้องนอนห้องเดิมถูกเปิดออก ไคเดินเข้ามาในห้องมืดๆที่มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกลอดเข้ามาเท่านั้น เขาจดจ้องร่างบนเตียงที่ถดกายซุกอยู่ที่มุมหนึ่ง ร่างเล็กนั่งกอดตัวเองอยู่กับผ้าห่มสีขาวราวกับคนกำลังหนีอะไรสักอย่าง ไคเดินฝ่าความมืดเข้าไป

     

    “แพคฮยอน.....”

     
     

    เสียงที่เอ่ยเรียกชื่อทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาหันกลับมาด้วยความหวาดกลัว


    “ฮึก .. ใครน่ะ ..”

    “ข้าเอง ข้าเอง”

    “ทะ ท่าน”

    “ใช่ ข้าเอง”

     

    ไคเอ่ยเบาๆราวกับกำลังปลอบประโลมอีกฝ่าย เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกันที่เห็นว่าแพคฮยอนจะกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ร่างสูงตรงเข้าถึงร่างนั้นพลางจ้องมองผ่านแสงอันน้อยนิด ดวงตาเปียกชื้นจ้องกลับมาด้วยแรงสั่นเทา ไคทิ้งตัวลงนั่งข้างพลางเอื้อมมือไปหา แต่แล้วกลับเป็นอีกฝ่ายที่ดึงมือของเขาเอาไว้เสียเอง

    “แพคฮยอน....”

    “ฮึก ข้า ข้ากลัว .. ข้าไม่รู้ว่าจะต้องเป็นยังไงอีก ฮือ......” แพคฮยอนก้มหน้าร้องไห้กับมือที่กุมมือของไคเอาไว้ น้ำตาเม็ดโตร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่าทำเอาคนมองพูดไม่ออก

     

    ไคไม่สามารถจะเอ่ยวาจาทำร้ายหรือสะบัดมือหนี ทุกครั้งที่อยากผลักไส ทุกครั้งที่อยากกลั่นแกล้ง ก็เพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ในเวลานี้เขารู้สึกไม่ดีเลยที่จะเห็นน้ำตาของแพคฮยอน ไม่อยากให้ต้องร้องไห้

     

    “นี่ .. อย่าร้องสิ เป็นอะไรเล่าให้ข้าฟังก็ได้”

    “ฮึก...”

    “พยอนแพคฮยอน ข้าถามเจ้าอยู่นะ”

    “ข้า ฮึก... ข้ากลัว”

    “กลัว กลัวอะไร ค่อยๆเล่า” ไคถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง ถือเป็นการปลอบโยนที่ดีที่สุดแล้วในชีวิตของเขา เพราะคำว่าอ่อนโยน หัวหน้าเผ่าคนนี้สะกดไม่เป็นเสียด้วย

     

    เมื่อถูกถามอย่างนั้นแพคฮยอนจึงเงียบไป เขาพยายามกลั้นแรงสะอื้นเอาไว้

    “ข้า ข้าฝันร้าย....”

    “ฝันร้าย”

    “ใช่”

    “ฝันเรื่องอะไร” พอไคถามถึงตรงนี้แพคฮยอนก็ไม่ตอบ ถ้าแค่ฝันมันคงไม่เท่าไหร่ เขาคงไม่ต้องฟูมฟายหวาดกลัวเป็นเด็กอย่างนี้ แต่เรื่องที่ฝันถึงมันคือเรื่องในความเป็นจริงน่ะสิ

     

     

    “ข้าฝันว่า ข้ากลายร่างเป็นหมาป่า แล้วกลับมาเป็นคนไม่ได้อีก” แพคฮยอนบอกเบาๆโดยก้มหน้าอยู่กับมือที่กุมมือของไคเอาไว้ คนฟังเงียบไปกับสิ่งที่ได้ยิน ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กๆขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว

    “เด็กหนอเด็ก ฝันร้ายราวกับอายุเจ้าสิบขวบอย่างนั้นแหละ”

    “ไม่ใช่นะ” แพคฮยอนเงยหน้าขึ้นค้าน ไคจ้องแววตาคู่นั้นนิ่ง ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่ในดวงตาหวาดกลัวที่มองกลับมาทำให้เขาพอจะเข้าใจ ไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดมานั้นมันเป็นอย่างไร แต่อาการอย่างนี้เขาดูออกว่าอีกฝ่ายไมได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นแน่

     

    แพคฮยอนไม่ยอมปล่อยมือที่กุมมือของไคเอาไว้ ท่านหัวหน้าเผ่าผู้ไม่เคยสนใจความรู้สึกใครกลับไม่กล้าจะเป็นฝ่ายดึงมือออก ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างกันก่อนที่คนมีสติกว่าจะถอนหายใจเบาๆ

    “เจ้าจะนั่งเงียบอีกนานไหม”

    “อย่าสนข้าเลย เชิญท่านกลับไปทำงานอย่างเก่าเถอะ”

    “ข้าคงกลับไปได้หรอกนะ เจ้าไม่ยอมปล่อยมือข้าแบบนี้”

    “เอ่อ .. ขอโทษ ข้าลืมไป” มือบางปล่อยมือคู่นั้นออกอย่างรวดเร็ว แพคฮยอนไม่นึกเลยว่าตัวเองจะทำอะไรอย่างนั้นออกไป ไคลุกขึ้นจากเตียงก่อนที่จะหันกลับมาอีกแล้วพบว่าคนน่าสงสารกำลังมองตามเขา ใบหน้าเปื้อนน้ำตายังดูหวั่นๆอย่างน่าเป็นห่วง

     

    ไคสังเกตได้ว่าร่างนั้นยังคงสั่นเทา แพคฮยอนรู้ดีว่าความมืดในห้องนี้กำลังจะกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง ทุกอย่างน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ น่ากลัวกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาเสียอีก

     

    “ท่าน อย่าเพิ่งออกไปได้ไหม ช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าที .. ข้าขอร้อง”

     

     

     

     

    และแล้วเมื่อคำปฏิเสธไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ ค่ำคืนนี้จึงแทนที่ด้วยเรื่องที่ไม่คาดคิด

     

    ท่ามกลางความมืดในยามดึก เตียงกว้างกลับไม่กว้างเกินไปเมื่อสองร่างนอนอยู่เคียงข้างกัน แพคฮยอนนอนขดกายหันหน้ามาทางฝั่งที่ไคนอนอยู่ ระยะห่างในตอนแรกที่ถือว่ามากกลับหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คนอายุมากกว่าสาบานได้ว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายทำลายระยะห่างนั้นเลยแม้แต่นิด คนที่หลับไปแล้วต่างหากที่ซุกกายเข้ามาหาทุกที

     

    “อืม...” ใบหน้าที่ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาหลับพริ้มโดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเบียดเข้ามาจนตัวจะติดกันอยู่แล้ว ไคนอนนิ่งขณะที่จ้องมองคนข้างกายไม่วางตา

     

    นี่มันเรื่องบ้าชัดๆที่เขาต้องทำตัวราวกับพี่เลี้ยงเด็ก กับคนที่เด็กกว่าและยังดูท่าไม่ประสาโลกอย่างนี้ เคยสงสัยเหมือนกันว่าแพคฮยอนเจออะไรมาบ้าง กับท่าทีหวาดกลัวที่บางครั้งเขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

     

    “... หนาว” เสียงเบาๆละเมออยู่กับหมอน ไคขยับออกห่างแล้วดันผ้าห่มคืนไปให้แพคฮยอน แต่ท่าทางนอนกอดตัวเองแบบนั้นมันก็ยังทำให้เขาไม่สบายใจอยู่ดี อากาศในคืนนี้ก็ต้องยอมรับล่ะนะว่าหนาวเหลือเกิน

     

    ร่างเล็กซุกกายเบียดมาทำเอาอีกคนข่มตาหลับไม่ลง ไคเรียกสติตัวเองคืนมาได้ก่อนจะเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วทำไมเขาต้องมานอนที่นี่ เดินออกไปก็จบ ร่างสูงเตรียมจะลุกออกไปแต่แล้วก็ยังมิวายหันมองคนที่นอนอยู่ แพคฮยอนเพ้อไม่เป็นภาษาแต่ก็ไม่เสียงดัง ไม่ว่าจะหนาวจะกลัว หรือแม้แต่ชื่อของพี่ชายที่หลุดออกมาจากเรียวปากคู่นั้น

     

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ”

     

    ไคทิ้งตัวลงนอนที่เดิม อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างนั้นเข้ามากอดเอาไว้ เรือนผมนุ่มแนบอยู่ที่อกกว้างเพื่อหาไออุ่น กลิ่นกายหอมอ่อนๆสัมผัสที่จมูกของเขา คนที่ได้ชื่อว่าเยือกเย็นเผลอกดปลายจมูกลงที่เรือนผมนุ่มยังไม่ตั้งใจ

     

     

    บางสิ่งบางอย่างมันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถึงแม้ว่าคิมจงอินจะเพียรถามตัวเองเท่าใด

    ก็คงไม่อาจฝืนความรู้สึกอบอุ่นที่พาให้จมลงในห้วงนิทราของคืนนี้ไปได้


     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

    สองร่างโอบกอดกันอยู่บนเตียงในยามเช้า เสียงนกร้องคลอเคล้ากับกลิ่นใบไม้ที่ปลายหน้าต่าง แสงแดดรำไรตกกระทบเปลือกตาของคนที่ซุกหน้าอยู่ในอกกว้าง แพคฮยอนกระพริบตาถี่ๆมองลอดอ้อมที่โอบกอดเขาเอาไว้ขึ้นมา ชายหนุ่มเงยขึ้นมองใบหน้าที่ก้มแนบติดกันอยู่กับเขาแล้วก็ต้องตกใจ

     

    แพคฮยอนดันตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วรีบลุกนั่ง

    “ท่านมานอนอยู่บนเตียงของข้าได้ยังไง!” เสียงร้องปลุกให้อีกคนงัวเงียตื่นขึ้นมา ไคมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

    “เอะอะแต่เช้าเลยนะ”

    “อย่าพูดแบบนี้ ตอบคำถามข้ามาก่อน”

    “หึ .. ทำตัวเป็นเด็กไปได้ เมื่อคืนนี้ใครกันนะที่จะเป็นจะตายไม่ยอมให้ข้ากลับ พออยู่เป็นเพื่อนก็หลับสบายทิ้งให้ข้าต่างหากที่กว่าจะได้นอน เจ้านี่มันน่านักนะ” เสียงทุ้มเอ่ยให้ฟังตรงๆก่อนจะลุกขึ้นนั่งบ้าง ท่านหัวหน้าเผ่ายกมือขยี้ผมอย่างเบื่อหน่าย เขาหันกลับมามองหน้าของคนที่พูดไม่ออกเพราะกำลังนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

     

    แพคฮยอนเม้มปากแน่นเพราะเถียงไม่ออกกับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว

     

    “เอ่อ ข้าลืมไป .. ขอบใจท่านมากนะที่อยู่เป็นเพื่อน” แก้มขาวๆเหมือนจะเปลี่ยนสีในทุกทีที่ความรู้สึกบางอย่างเข้าครอบงำ ไคเอื้อมมือออกไปหาแพคฮยอนก่อนที่จะชะงักไป เขาดึงมือกลับแล้วหันหน้าหนีทันที

     

    ไคกำลังต่อว่าตัวเองอย่างหนักกับเรื่องไร้สาระทั้งหมดทั้งปวงที่ได้ทำลงไปกับคนตรงหน้า คนๆนี้เป็นใครกันทำไมเขาต้องเสียเวลามากมายไปกับอะไรที่ไม่เข้าท่าด้วย นี่เป็นมนต์ตราที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมาหรืออย่างไรนะเขาจึงได้รู้สึกราวกับกำลัง ....

     

    หลงใหล

     

     

    ... ไม่จริง ไม่ใช่

     

    ไคถอนหายใจแรงๆก่อนจะรู้สึกได้ว่าใบหน้านั้นจะเคลื่อนเข้ามาใกล้เขาแล้ว

    “ท่านเป็นอะไรรึเปล่า เมื่อคืนข้ารบกวนท่านมากใช่มั้ย เผื่อว่าข้าเผลอทำอะไร...”

    “ช่างเถอะๆ ไม่มีอะไรหรอก ข้าสบายดี”

     

    ไคลุกออกจากเตียงท่ามกลางสายตาของแพคฮยอนที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าสายตาของคนไม่ประสานั่นมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มองแล้วก็ต่อว่าอะไรไม่ลง ในตอนนี้ที่ทำได้คือเอ่ยเสียงเข้มออกไปเท่านั้น

     

     

    “รีบไปอาบน้ำแล้วทำอาหารกินเอาเองแล้วกัน เซฮุนไม่ว่าง แม่บ้านคนอื่นก็อยู่ในช่วงที่ข้าไม่อนุญาตให้มายุ่มย่ามในเรือน เข้าใจแล้วก็รีบทำตามที่บอกซะ” 

     

     

     

     

     

     

     

    แพคฮยอนกำลังสงสัยว่าอุปกรณ์ต่างๆในห้องครัวที่เขาเพิ่งเคยเข้ามานี้มันใช้งานอย่างไรบ้าง ชายหนุ่มที่ไม่ค่อยจะได้เคยเข้าครัวเท่าไหร่กำลังขมวดคิ้วท่ามกลางข้าวของมากมายในครัวแห่งนี้ ถ้าพี่จุนมยอนอยู่ด้วยก็คงจะดี พอคิดถึงพี่ชายจู่ๆก็นึกถึงคนที่ห้ามไม่ให้เขาพบพี่ชาย

     

    แพคฮยอนกำลังนึกถึงหน้าของหัวหน้าเผ่าใจร้ายที่เขาแสนเกลียด บางเวลาก็ร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ แต่บางเวลาก็ดูจะพูดดีๆเป็นเหมือนกัน ไม่สิ .. บางการกระทำต่างหากที่เหมือนกำลังหวังดี

     

    “คนอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”

     

    ร่างเล็กบ่นอุบอยู่คนเดียว ก่อนที่เรื่องในคืนนั้นจะหวนเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง แพคฮยอนยืนนิ่งกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ความเป็นจริงกำลังบอกว่าเขาตกเป็นของคนๆนั้นแล้วไม่ต่างอะไรกับผู้หญิง

     

    แก้มแดงๆรีบสะบัดไปมาให้ลืมเรื่องนั้นไป ท่านยายเคยบอกว่าเรื่องเลวร้ายในอดีต ถ้ามันผ่านมาแล้วก็จงอย่าหวนไปคิด

     

    กลิ่นซุปร้อนเดือดปุดๆอยู่ในหม้อ แพคฮยอนกำลังมองผลงานของตัวเองด้วยใจที่ลุ้นอย่างหนักเพราะไม่รู้ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ทำอาหารเองโดยที่ไม่มีใครช่วย แพคฮยอนใช้ทัพพีกลมๆที่คนอยู่ในหม้อตักซุปข้นขึ้นมาชิม

    “....... อืม ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” ชายหนุ่มทำหน้าผิดหวัง รสชาติมันเหมือนจะดีแต่ก็ไม่เหมือนที่พี่จุนมยอนเคยพาทำ



     

    “ทำหน้าบูดแบบนั้นแล้วอาหารมันจะอร่อยได้ยังไง”

     

    แพคฮยอนหันขวับมาตามเสียงที่ดังขึ้น ไคยืนกอดอกพิงขอบประตูไม้ก่อนจะก้าวเข้ามายืนข้างเขาหน้าหม้อซุป

    “โทษทีนะ .. ก็ข้าไม่ถนัด” แพคฮยอนเอ่ยประชด เสียท่าเล็กน้อยแต่ก็ยอมรับ

    “มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “ก็ .. งั้นท่านลองชิมดูไหม”

    “อืม ไหนข้าชิมดูซิ”

    แพคฮยอนตักซุปขึ้นมาแล้วยื่นมาใกล้กับปากของไค ใบหน้าคมชะงักเล็กน้อยแต่อีกคนกลับไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่นิด

    “อ้าปากสิ ไม่ร้อนหรอกเมื่อกี้ข้าก็ชิมแล้ว” ใบหน้าใสซื่อส่งแววตาขอร้องมาให้ ไครู้สึกประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ทำทีไม่รู้สึกอะไร เขาก้มหน้าลงชิมซุปที่อีกฝ่ายยื่นป้อน

    “เป็นไง แย่มากเลยใช่ไหม” แพคฮยอนทำหน้าเหมือนรอคอยความหวัง ไคไม่รู้จะพูดอะไรดีกับคำตอบที่อีกฝ่ายรอฟัง

    “ก็ ... ไม่เลวนะ”

    “จริงเหรอ!

    “อืม”

     

    แพคฮยอนยิ้มกว้าง ไม่นึกว่าสิ่งที่ได้ยินจะออกมาเกินคาด อย่างน้อยก็มีคนบอกว่าอาหารที่เขาทำมันไม่เลวเลย

     

    ไคยืนนิ่งไม่พูดอะไร ไอ้รสชาติมันจะอร่อยหรือไม่เขาไม่ได้สนใจหรอก แต่อะไรคือการที่คนตรงหน้ากำลังยิ้มดีใจมาให้ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พยอนแพคฮยอนยิ้มให้เขา ไครู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแปลกๆ

     

     

     

     

     

    ภายในเรือนไม้อีกเรือนที่ห่างออกไปไม่ไกล

    หมาป่าหนุ่มในร่างมนุษย์ที่ไร้เสื้อผ้าใดๆปกปิดกำลังนอนตระคองกอดคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ ฮวางจื่อเทาคนสนิทของหัวหน้าเผ่าหอบหายใจรดแก้มขาวๆของคนในอ้อมกอด

    กิจกรรมอันเร่าร้อนหลายต่อหลายครั้งได้จบลงแล้วในเที่ยงวัน เซฮุนลืมตาปรือปรอยอยู่ในอ้อมแขนของจื่อเทาอย่างหมดแรง จุมพิตนุ่มแนบลงที่ขมับชื้นเหงื่อ

    “เหนื่อยมากมั้ย .. ขอโทษนะ”

    “อืม ไม่เป็นไร”

    “เดี๋ยวตอนเย็นข้าจะเข้าเมืองไปกับท่านไค เจ้าก็พักผ่อนให้มากๆแล้วกัน” เสียงกระซิบแผ่วข้างหูทำเอาเซฮุนน้ำตาแทบไหล นอกจากไคที่เปรียบเสมือนพี่ชายแล้วจะมีใครห่วงเขาได้เท่าจื่อเทาอีกไหมนะ

    “อีกสักชั่วโมงข้าอยากไปหาแพคฮยอน ไม่รู้ว่าป่านนี้....”

    “อย่าเลยน่ะ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรหรอก”

    “แต่ข้าเป็นห่วง”

    “งั้นค่อยออกไปพร้อมข้าก็แล้วกัน ตอนนี้หลับกันก่อนเถอะ”

    “..............”

    “....นะ”

     

    จื่อเทาแนบจูบหนักๆลงที่แก้มนั้นอีกครั้ง

     

     

     

     

    เวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็นแล้ว

     

    ดูเหมือนว่าเรื่องในครัวจะทำให้แพคฮยอนลืมเรื่องเลวร้ายไปได้สักพัก อาหารเย็นของเขาเสร็จสมบูรณ์ลงอย่างยากลำบากแต่ก็รู้สึกสนุกไปกับมันไม่น้อย

     

    แพคฮยอนเดินตรงไปที่หน้าห้องทำงานของไคเพื่อจะบอกอีกฝ่ายว่าอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นว่ามันไม่ได้ปิดจึงเดินเข้าไปแต่ก็ไม่พบใครจึงคิดว่าน่าจะอยู่ที่ห้องนอนมากกว่า มือเล็กเคาะประตูเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ สักพักประตูจึงเปิดออก แต่คนที่ปรากฎตรงหน้ากลับไม่ใช่หัวหน้าเผ่าใจยักษ์ที่เขานึกเอาไว้

     

    สาวสวยผมลอนยาวในชุดผ้าเนื้อบางยืนอยู่ตรงหน้าของแพคฮยอน ใบหน้าเรียวสวยแต่งแต้มไปด้วยสีสันขมวดคิ้วให้เขาเล็กน้อย

    “ว่าไงพ่อหนุ่ม ไม่ยักรู้ว่าเรือนนี้มีเด็กอยู่ด้วย”

    แพคฮยอนอึ้งไปเล็กน้อย ในใจกำลังนึกย้อนไปถึงวันนั้น เขาไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่แต่ท่าทางไม่ต่างอะไรกัน ใจดวงน้อยแอบตกวูบลงไปเมื่อรับรู้ในสิ่งที่เขาพอจะเข้าใจ

    “อะไรน่ะ...” เสียงทุ้มดังขึ้นจากภายในห้อง ไคเดินออกมายืนข้างกับหญิงสาว ร่างสูงในชุดเดิมเมื่อตอนกลางวันก้มมองคนตัวเล็กที่ยืนทื่ออยู่หน้าห้อง

    “นี่น้องชายท่านหรือท่านไค น่ารักจัง” หญิงสาวสุดสวยเอ่ยถาม หล่อนยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ท่าทางดูไม่ยี่หระอะไร แพคฮยอนเข้าใจสถานการณ์ดีจึงรีบตอบออกไปแทน

    “ไม่ใช่หรอก ข้าแค่คนมาอาศัย” แพคฮยอนตอบไปตามตรง เขาเงยมองหน้าไคนิดหน่อยแล้วก้มลงตามเดิม

    “ข้าแค่จะมาบอกว่าอาหารเย็นเสร็จแล้ว ถ้ายังไงข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว” แพคฮยอนพูดเบาๆแล้วเดินกลับออกไปจากหน้าห้องนั้น

     
     

    ไม่กี่ก้าวเท่านั้นที่ประตูห้องปิดลง เขาหยุดมองมันอยู่ใกล้ๆอีกที แพคฮยอนมองประตูบานนั้นครู่ใหญ่ รู้สึกปวดแปลบในอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี

     

                     สักพักประตูห้องนั้นก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมร่างของหญิงสาวคนนั้นที่เดินออกมา หล่อนเห็นแพคฮยอนยังยืนอยู่ที่เดิมจึงยักไหล่เล็กน้อย ร่างเพรียวบางยกมือสะบัดผมสวยไปด้านหลังแล้วก้าวฉับออกไปทางหน้าเรือน

     

    แพคฮยอนแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กลับออกไปเร็วเช่นนี้ ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้งตามด้วยร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ร่างเล็กเผลอสะดุ้งตกใจกับสายตาไม่แสดงอารมณ์แบบนั้นที่มองมา เขารู้ตัวดีว่าตัวเองต้องโดนด่าว่าแน่ๆ

    “เอ่อ คือ ข้าขอโทษนะ .. ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดจังหวะของพวกท่าน”

    “รู้ตัวด้วยเหรอ”

                   จริงๆด้วย ท่านไคกำลังโกรธเขาจริงๆ แพคฮยอนทำหน้ารู้สึกผิดแล้วหันกลับจะเดินหนีไปแต่ก็ถูกเรียกเอาไว้

    “มานี่ซิ” แพคฮยอนจำใจเดินตรงไปหาไคที่ยังยืนอยู่ที่หน้าห้อง ดวงตาสีเข้มจดจ้องมาที่ใบหน้าของเขาโดยไม่ยอมพูดอะไร

    “เอ่อ ท่าน .. มีอะไรหรือเปล่า”

    “................”

    “งั้น ให้ข้าวิ่งไปตามนางกลับมาให้ดีไหม”

    “ไม่ต้อง”

     
     

    สีหน้าเคร่งขรึมคลายออกแล้วหันมาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะให้เขาบอกไหมล่ะว่าที่ให้หญิงคนนั้นกลับไปเพราะมันไม่มีอารมณ์แล้ว ใครจะนึกล่ะว่าจะโผล่มาเอาตอนที่เขากำลังจะได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่าน แล้วอีกฝ่ายเล่นมาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น จะสานต่อลงไปแต่พอถึงนึกหน้าขึ้นมาก็ทำไม่ลง นี่เขากำลังถูกเด็กคนนี้ปั่นหัวอยู่หรืออย่างไร

     

    “งั้นข้าขอตัวล่ะ”

    “เดี๋ยว! เจ้าจะไปไหน”

    “อะไรอีกล่ะ ข้าขอโทษไปแล้วท่านคงไม่คิดจะต่อว่าอะไรอีกนะ”

    “ก็รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่มันคั่งค้าง เจ้าก็ควรจะรับผิดชอบนะ” ใบหน้าดุดันทำทีไม่พอใจอย่างหนักทั้งที่ก็แค่อยากจะแกล้งคนตัวเล็กให้รู้สึกนึกก็แค่นั้นเอง

     
     

    มือหนาดึงร่างนั้นให้ก้าวเข้ามาในส่วนห้องนอนของเขา

    “อ๊ะ .. เดี๋ยว”

    “หึ กลัวเกินไปรึเปล่า”

    ร่างสูงดันอีกฝ่ายให้ติดกับผนังห้องก่อนที่เขาจะตามเข้าเบียดกายและใช้แขนทั้งสองล็อคร่างนั้นเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน แพคฮยอนก้มงุดๆอยู่ในอ้อมกอดของไคเพราะไม่กล้าจะเงยขึ้นมาสบตากัน

    ใบหน้าคมก้มหาคนในอ้อมกอด กลิ่นประหลาดนั่นกำลังคละคลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง สันจมูกแนบลงสูดความหอมหวานจากร่างที่แนบชิดกัน แพคฮยอนใจเต้นรัวกับสถานการณ์ที่อาจจะพาให้เขาถูกทำร้ายอย่างเช่นวันนั้น การที่แพคฮยอนสั่นไปหมดจึงทำให้ไคเรียกสติตัวเองกลับมาอีกที

     

    ท่านหัวหน้าเผ่าไร้หัวใจกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านกับเรื่องไม่เข้าท่าอีกครั้ง เขาเป็นอะไรไปนะ

     
     

    แต่แล้วเมื่อความอดทนหมดไป ความปรารถนาจึงเข้ามาแทนที่ มือหนาเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตากับเขา ใบหน้าคมโน้มลงกดจูบลงไปที่ริมฝีปากคู่นั้น

    “อืม....”

    เพราะไม่รุนแรงและป่าเถื่อนอย่างที่เคยได้รับ แพคฮยอนจึงไม่ขัดขืนอะไรออกไป ใจดวงน้อยสั่นไหวกับจุมพิตที่ล่วงล้ำเข้ามาช้าๆ ไคกดจูบหนักๆก่อนจะผ่อนแรงลงแล้วบดเบียดเข้าหาราวกับกำลังข่มใจ ลิ้นร้อนชอนไชเข้าเกี่ยวกระหวัดอยู่ภายใน


    “อื้ม......”

     

    แพคฮยอนกำเสื้อของไคเอาไว้แน่น เขารับจูบที่มีแต่จะมากเกินไปเอาไว้ไม่ไหวแล้ว สมองขาวโพลนเผลอไผลไปขณะเดียวกันก็หายใจไม่ออก หนักหน่วงแต่แอบแฝงไว้ซึ่งความหอมหวาน

     
     

    จากที่แค่อยากจะแกล้งแต่ความปรารถนากลับไม่ยอมหายไป

     

    มือหนาลากขึ้นมาใต้สาบเสื้อตัวบาง แพคฮยอนสะดุ้งอยู่ในอ้อมกอดของไค จูบอันเร่าร้อนคลายออกอย่างอ้อยอิ่งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหายใจไม่ออก


    “ทะ ท่านจะทำอะไร...อื้ม” 

     

    ไครั้งใบหน้านั้นให้รับจูบจากเขาอีกครั้ง ร่างสูงเบียดกายเข้าหาอย่างแนบสนิท

     

    และก่อนที่อะไรๆจะเกินเลยไปมากกว่านั้น

     

     

     

    “ท่านไค แพคฮยอน.......”

     

    ประตูห้องที่ไม่ได้ปิดปรากฏร่างของผู้มาเยือนขึ้น ไคเงยหน้าขึ้นจากแพคฮยอนขณะที่คนในอ้อมกอดจะเบลอไปชั่วขณะ พอได้สติจึงผลักออกเช่นกัน

     

    เซฮุนยืนทื่อไปกับสิ่งที่เห็น ตามมาด้วยร่างของจื่อเทาที่เดินซ้อนกันมา ท่านหัวหน้าเผ่าทำหน้าไม่ถูกกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกันกับอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้าแดงๆนั่นไว้ ไคถอยห่างจากแพคฮยอนทันที

    “พวกเจ้ามีอะไรกันถึงได้มาเอาตอนนี้”

    “เอ่อ ข้าแค่...” เซฮุนยังพูดไม่ออกเพราะยังคิดติดใจอยู่กับภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ จื่อเทาที่มีสติกว่าจึงตอบแทน

    “ข้าจะมาหาท่านตอนค่ำในตอนที่นัดกันเอาไว้ แต่เซฮุนอยากมาหาแพคฮยอนข้าจึงตามมาด้วยก่อนเวลาก็เท่านั้นเองท่านไค” จื่อเทาเอ่ยเรียบๆ ไคฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้

     

     

     

     

    ระหว่างที่สองคนนั้นออกไปจากเรือนแล้ว ก็เหลือเพียงแพคฮยอนกับเซฮุนที่อยู่กันสองคน ลางสังหรณ์กำลังบอกให้รู้ว่าเรื่องไม่ดีกำลังคืบคลานเข้ามา คืนนี้ที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วเขาจะถูกฝันร้ายนั้นตามหลอกหลอนอีกหรือไม่

    “แพคฮยอน เจ้าเป็นอะไรไป ดูแปลกๆนะ”

    “อ้อ .. เปล่าหรอก ข้าแค่คิดอะไรน่ะ”

    “งั้นเหรอ มีอะไรบอกข้าได้นะ พรุ่งนี้อาจมาหาแต่เช้า”

    “ขอบใจนะ” แพคฮยอนยิ้มให้ เขาอยากจะขอร้องให้เซฮุนอยู่เป็นเพื่อนแต่ก็นึกได้ว่ามันคงจะน่าเกลียดไปหน่อย ไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะกลัวการอยู่คนเดียวในตอนกลางคืน

    “นี่ เจ้าเป็นอะไร กลัวต้องอยู่เรือนใหญ่ๆอย่างนี้คนเดียวเหรอ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ท่านไคร่ายมนต์เพื่อกันคนจากภายนอกที่จะเข้ามาในยามวิกาลไว้แล้ว เรือนหลังนี้จึงปลอดภัยมาตลอด”

    “เปล่า ข้าไม่ได้กลัวเรื่องนั้น”

    “แล้วเจ้ากลัวอะไร”

    “เปล่าหรอก”

    “ทำใจให้สบายเถอะ นี่ท่านไคก็ให้พี่จุนมยอนมาหาเจ้าได้แล้ว ถ้าไม่คืนนี้ก็คงรุ่งสางถึงจะมาหาเจ้า” เซฮุนบอกพลางกุมมือแพคฮยอนเอาไว้ แพคฮยอนจ้องกลับไปก่อนที่สายตาจะเห็นรอยบางอย่างที่ลำคอของอีกฝ่าย รอยแดงๆที่เขาจำได้ว่าหลังจากคืนนั้นตัวเองก็มีมันเหมือนกัน

     

     

    แพคฮยอนนึกถึงเรื่องนั้นตามที่เข้าใจก่อนจะปกปิดอาการแปลกๆที่อาจแสดงออกมาทางใบหน้า จะว่าไปเซฮุนก็ดูเพลียๆเอาการ เขาไม่ควรรั้งให้อีกฝ่ายต้องมาคอยเฝ้าอยู่อย่างนี้เลย

    “กลับไปพักเถอะนะเซฮุน แค่นี้ก็ขอบใจมากแล้ว”

    “อืม ข้าก็ชักจะง่วงขึ้นมาแล้วสิ ถ้ายังไงไว้เจอกันนะแพคฮยอน”

     

    แพคฮยอนเดินมาส่งเซฮุนถึงระเบียงหน้าเรือน เขามองร่างบางนั้นเดินหายลับไปในอีกส่วนของหมู่บ้าน ความมืดปกคลุมลงมาได้หลายชั่วโมงแล้ว ลมเย็นพัดโชยให้กลิ่นดอกไม้เล็กๆอบอวลช่วยให้ผ่อนคลาย ร่างเล็กระบายยิ้มออกมาน้อยๆเพื่อเรียกพลังใจของตัวเองคืนมา

     

    “เอาน่ะแพคฮยอน เจ้าต้องเข้มแข็งสิ เดี๋ยวก็จะได้เจอพี่แล้ว คืนนี้คงไม่มีอะไรให้ต้องกลัว”

     

     

     

     

    ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันกลับเข้าเรือนไป โดยไม่คิดจะเงยหน้ามองท้องฟ้าเลยแม้แต่นิด

     

     

     

    หมู่เมฆบังจันทร์เคลื่อนตัวออกท่ามกลางแสงเหลืองนวล

    พระจันทร์ดวงใหญ่ไร้รอยเว้าแหว่ง  ..  เต็มดวงงดงามอยู่กลางนภา

     

     





     

     

     

     

    .

    .

     

    Tbc.part-4

     

     

     







     

    พาร์ทนี้ไม่รู้ว่าถูกใจกันมั้ยนะคะ บอกแล้วว่าชิวๆสบายๆ ไม่เยอะไม่มากมายอะไร
    ปริศนาคำสาปแอบคิดว่าหลายคนคงเดาได้บ้างแล้ว(มั้ง?) ถ้าใครรู้ก็จุ๊ๆ เก็บไว้ก่อนนะคะ ><!!
    เรื่องนี้แอบกดดันเพราะเล่นเปิดตัวซะเวอร์ แต่จะเป็นไงต่อไปไม่รับประกันเลยเชียว เหอๆๆๆ ==

    (อยากถามคนอ่านว่าเบื่อกันยังเอ่ย ;____;)

     

     

     

    ว่าแต่ว่าไอ้แต่ละฉากที่พระนายอยู่ด้วยกันนี่คืออัลไล??

    อาบน้ำเอย นอนด้วยกันเอย ป้อนซุปกันเอย .. นี่คนน่าสงสารชักไม่ใช่น้องแพคแล้วนะคะ มันท่านไคชัดๆ
    (น้องแพคเหมือนนั่งตกเบ็ดหัวใจท่านไคยังไงยังงั้น)
    #คิมจงอินร้องไห้ทำไม TvT

     

    ต้นเดือนงานเข้ามากมาย แถมเด็กๆมีคัมแบ็คเลยมีอีเวนท์นู่นนี่นั่นเยอะ แอบไปติ่งมาจนเกือบดองฟิคไปเลยทีเดียว
    ขอโทษที่ช้านะคะ แต่จริงๆก็ไม่ช้านะ ใครตามฟิคกอนจะแอบรู้เลยว่ามันจะลงราวๆหนึ่งสัปดาห์หรือบวกลบเกินกว่านั้นไม่กี่วัน
    แต่ถ้านานกว่านั้นมากนี่คือมันแอบดอง ..ฮา เหมือน
    Just  A Beat ที่ตอนนี้พักไว้ก่อน หมาป่าขาวจบเมื่อไหร่จะลงต่อรวดเลยค่ะ

     

    เรื่องนี้เหลืออีก2พาร์ทนะคะ ก็จบปิ๊งพอดี ~ จากนั้นจะกลับไปลงฟิคใจกระตุกที่เหลือราวๆ4-5พาร์ทให้ครบจบปิ๊งอีกเช่นกัน
    ... โอววว เพลีย ละเกิ๊นนนนนน

     

    เจอกันพาร์ทหน้าค่ะ^^V




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×