Fic Kagerou: If...[3]
ถ้ามารี(และคิโดะ)กลายเป็นผู้ชายอะไรจะเกิดขึ้น! [Pairing: Mary(ช) x Shin x Kido(ช)]
ผู้เข้าชมรวม
795
ผู้เข้าชมเดือนนี้
13
ผู้เข้าชมรวม
เมื่อความเพ้อเจ้อของไรท์เตอร์ยังคงมีต่อไป ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือการเพิ่มฮาเร็ม(หนุ่มๆ)ให้ชินคุงต่อไป เพราะตราบใดที่ยังคงมีเมะให้กดชินคุงต่อไป ชินคุงก็ยังคงต้องโดนไรทเตอร์แกล้งต่อไป วะฮะฮ่าาาาา!
ที่มาของเรื่องมันบังเกิดเมื่อความสามารถของมารีมันช่างเหมาะกับการให้จิ้นสิ้นดี แล้วไฉนเลยนังยูจะปล่อยให้วัตถุดิบชั้นดีในมือเสียของได้
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงได้ออกมาเป็นฟิคคู่ [Mary(ช) x Shin x Kido(ช)] ด้วยประการฉะนี้เอง
(หาาาาา ทำไมมีคิโดะทั้งที่ไอ้ที่เกริ่นๆมาไม่เห็นมีพูดถึงเลยงั้นเรอะ!? เอาน่าๆ ก็มีคนเค้ารีเควสมาอ่ะ =//w//=)
เช่นเคยค่ะ ถ้าอ่านแล้วมีอะไรก็สามารถติชมได้เลยนะคะ (=//v//=)
Ps. เหมือนIfนี้จะแอบเรทหน่อยๆ เตรียมใจกันนิดนึงก่อนอ่านนะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
If3: ถ้ามารีเป็นผู้ชาย...แล้วนีทจะโดนกดได้อย่างไร?
(ชิน: สุดท้ายตรูก็ยังโดนกดอยู่ดีเรอะ TT[]TT! / ไรท์: เอาน่าๆ ชินคุงจงทำใจซะเถิด โฮะๆๆๆ!)
“อ๊ะ เหวอ ขอโทษครับ!...เอ่อ...คือ...เอ่อ...”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันมาริยะก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าแปลกกับร่างผอมบางที่ดูหวาดกลัวโลกภายนอกเกินความจำเป็นของคนที่คิซารางิคุงเรียกว่า ‘พี่ชาย’ เหลือเกิน...
อา...ใช่แล้ว...ท่าทางแบบนั้นจะไม่คุ้นได้อย่างไรกัน
...ก็ในเมื่อมันช่างดูคล้ายกับภาพสะท้อนของตัวมาริยะเองขนาดนี้นี่นา
ร่างที่สั่นกลัวจนหยาดน้ำตาคลอหน่วงอยู่เบื้องหน้าคิโดะช่างดูน่าสงสารเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยๆจนอยากอุ้มขึ้นมากอดเพื่อปลอบประโลมยิ่งนัก และยิ่งเมื่อใบหน้าหวานนั้นเปลี่ยนเป็นท่าทีตื่นตกใจกับการที่คิโดะหายตัวไปกะทันหันก็ยิ่งชวนให้นึกถึงตัวเองในสมัยก่อนทันที
...แต่แล้วมาริยะก็ได้รู้ว่าความจริงต่างไปจากที่เคยคิดไว้ เพราะแม้จะหวาดกลัวโลกเพียงไรคนๆนั้นก็ยังคงกล้าหาญที่จะโกรธได้เพื่อใครคนอื่น ทั้งยังอ่อนโยนมากเหลือเกิน...มากจนเกินพอจะทำให้ร่างบอบบางคิดเสียงเพื่อคนอื่นได้แม้อาจทำให้ตัวเองต้องพบกับอันตราย
...และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนถูกร่างบอบบางนั้นช่วงชิงสายตาไปทุกครั้งที่ได้เจอกันจนความรู้สึกหนึ่งค่อยๆแตกใบอ่อนขึ้นโดยที่แม้เจ้าตัวเองก็ไม่ทันรู้ตัว
++++++++++++++++++++++++++++
แอ๊ดดดด
“อ้าว วันนี้ไม่มีใครอยู่เลยงั้นเหรอ?”
เมื่อเจ้าของร่างบอบบางนามคิซารางิ ชินทาโร่ เปิดบานประตูของห้อง‘107’ ออก ภายในห้องที่มักมีเสียงครึกครื้นดังอยู่เสมอวันนี้กลับเงียบจนผิดสังเกต จนชินทาโร่ที่นานๆทีจะนึกครึ้มแวะมาต้องแปลกใจกับความเงียบนั้น หลังจากยืนรออยู่สักพักก็ไม่เห็นวี่แววของใครเลยสักนิด ร่างบางจึงยักไหล่น้อยๆพลางพึมพำกับตัวเอง
“ช่วยไม่ได้แฮะ งั้นวันนี้กลับก่อนแล้วกัน”
“...ชินทาโร่”
ทันทีที่หมุนตัวกลับตั้งใจว่าจะกลับบ้านทันใดนั้นเสียงแหบแปร่งอย่างเสียงเด็กชายที่เริ่มแตกหนุ่มก็แว่วมาให้ได้ยิน แม้จะเป็นเพียงเสียงแผ่วๆแต่ในความเงียบเช่นนี้ก็เพียงพอจะรั้งร่างของชินทาโร่เอาไว้ได้
“อะ อ้าว มาริยะ นายอยู่หรอกเหรอ? เห็นเงียบๆฉันเลยนึกว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่ซะอีก”
เมื่อหันกลับไปดวงตาสีราตรีจึงได้สบเข้ากับดวงตากลมโตสีชมพูที่จ้องตรงมาจากร่างของเด็กชายที่โผล่มาให้เห็นลิบๆจากขอบประตูที่หากไม่สังเกตให้ดีๆก็คงไม่ทันเห็น ร่างผอมบางจึงส่งยิ้มอย่างเอ็นดูให้เพื่อไม่ให้ร่างนั้นตื่นตกใจเช่นทุกครั้งที่มักเป็นอยู่เสมอ
มาริยะที่คงวางใจได้แล้วว่าผู้มาเยือนเป็นคนคุ้นเคยหน้ากันจึงค่อยยอมออกมาจากที่ซ่อนเงียบๆ ก่อนค่อยๆก้มหน้าก้มตาเดินตรงมาหาชินทาโร่ที่ยังคงยืนค้างอยู่หน้าประตูแล้วจับชายเสื้อของร่างที่สูงกว่าตนเองพลางดึงนำร่างนั้นไปยังโซฟา
“อ๊ะ อ๋อ ขอบคุณมาก”
ชินทาโร่ที่เหมือนจะรู้ความหมายนั้นจึงหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวยาวเป็นการตอบรับการเชื้อเชิญอย่างเต็มกำลังของมาริยะพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆนั้นอย่างเอ็นดูเรียกให้ใบหน้าอ่อนวัยปรากฏรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี
“ชินทาโร่ รอตรงนี้ก่อนนะ จะไปยกชามาให้”
ทันทีที่พูดเช่นนั้นร่างเล็กๆก็รีบกระวีกระวาดไปยังห้องครัวทันทีจนชินทาโร่หลุดหัวเราะคิกอย่างเอ็นดูกับท่าทีเข้าใจง่ายราวเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ดีใจเมื่อได้รับคำชมของมาริยะ
กลับกันพอเอามาเทียบกับเจ้าตัวแสบโมโมตะของที่บ้านแล้ว...ไม่ว่าจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หรือนิสัยช่างแกล้งแถมยังหื่นได้ไม่เลือกเวลานั่นก็ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย
...เพียงคิดเช่นนั้นมือบางก็ที่กำลังถอดเสื้อวอร์มสีแดงตัวเก่งออกก็เผลอยกขึ้นลูบไล้รอยประทับที่ประดับอยู่บนต้นคอ...รอยหนึ่งจากหลายสิบรอยที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดสีดำที่เจ้าน้องบ้านั่น...บ้าเอ๊ย!เพียงแค่คิดเท่านั้นร่างบางก็พลันหน้าร้อนฉ่าอย่างเก็บอาการไม่อยู่
“น้ำชามาแล...อ๊ะ!ว้ากกกกกกก”
“อ๊ะ เฮ้ย! ร้อนนนนนนนนน!!!!”
ชินทาโร่ที่มัวแต่เขินอายอยู่กับภาพความทรงจำที่เพิ่งผ่านมาไม่นานของตัวเองจึงไม่ทันสังเกตว่าร่างเล็กๆของมาริยะที่ยกถาดน้ำชาเข้ามาให้สะดุดล้ม(อีกแล้ว) กว่าจะทันรู้ตัวก็เป็นหลังจากที่ของเหลวสีน้ำตาลอ่อนที่ส่งไอร้อนกรุ่นอยู่ราดรดลงมาบนตัวเสียแล้ว
“วะ หวา! ขะ ขอโทษฮะ!! ขอโทษนะฮะ!!!”
เด็กชายที่มีท่าทางแตกตื่นรีบวิ่งถลาเข้ามาใกล้ร่างบอบบางที่เปียกโชกทันที หากเมื่อหันซ้ายหันขวามองรอบตัวเท่าไรก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะเอามาใช้เช็ดได้เลยใบหน้าเลิ่กลั่กของมาริยะจึงค่อยๆแย่ลงกว่าเดิมจนชินทาโร่ชักรู้สึกว่าใบหน้าซีดเผือดนั่นยังน่าเป็นห่วงกว่าตัวเองที่โดนน้ำร้อนลวกเสียอีก
“อะ เอ่อ ฉันไม่เป็นไรหรอก นายไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก นะ?”
ในที่สุดร่างบอบบางที่อดสงสารไม่ไหวจึงยกยิ้มเฝื่อนๆขึ้นเพื่อหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดของเด็กชายให้ดีขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นตามความเคยชินเพื่อหวังจะลูบศีรษะนั่นปลอบใจแต่ก็กลับชะงักลงกลางคันเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้ทั้งตัวของตัวเองเปียกอยู่
มาริยะที่แต่เดิมก็มีใบหน้ารู้สึกผิดอยู่แล้วเมื่อได้เห็นว่าแขนที่เคยขาวเนียนของชินทาโร่ที่ยกขึ้นมาตรงหน้าตัวเองบัดนี้กลับมีร่องรอยโดนน้ำร้อนลวกจนปรากฏเป็นรอยแดงชัดเจนก็ยิ่งน้ำตาคลออย่างพร้อมจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้นเข้าไปใหญ่
ในเวลานั้นเองที่หยดน้ำอุ่นที่ไหลเรื่อยมาตามแขนของชินทาโร่หยดลงบนแก้มใสของเด็กชาย ทำให้มาริยะตัดสินใจไถ่โทษด้วยวิธีที่พอจะนึกออกในตอนนั้น
“หือ? ทำอะไรของนายน่ะ?”
ชินทาโร่ที่โดนจับมือไว้อย่างไม่ทันคาดคิดเอ่ยถามด้วยท่าทีงุนงงเมื่ออยู่ๆมาริยะที่นิ่งเงียบไปก็คว้าแขนเขาไปโดยไม่พูดไม่จา แต่แล้วจากความงุนงงก็กลับกลายเป็นความตกใจเมื่ออยู่ๆเด็กชายก็กลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้พลางเริ่มไล้เลียบนแขนข้างนั้น
“นะ นี่ ทำอะไร...อ๊ะ..”
ทันทีที่ลิ้นเล็กๆของเด็กชายสัมผัสลงบนท่อนแขนเรียวบางแล้วก็เริ่มค่อยๆลากไล้ไปตามรอยหยาดน้ำอุ่นๆที่ไหลเรื่อยไปตามแขนของชายหนุ่มตั้งแต่ปลายนิ้วจนกระทั่งถึงศอกมนเรียกให้โลหิตซับสีขึ้นบนใบหน้าหวานจนน่ามอง
“พะ พอเถอะ...”
ชินทาโร่ที่เริ่มทนไม่ไหวกับความวาบหวามที่เริ่มก่อตัวค่อยๆดึงมือตัวเองกลับมาประสานบนหน้าอกพลางก้มหน้างุดอย่างเขินอายที่ตนดันเกิดความรู้สึกเช่นนั้นแม้แต่กับเด็กใสซื่ออย่างมาริยะได้
และเป็นตอนนั้นเองที่มาริยะได้มองเห็นรอยแดงอื่นที่นอกเหนือไปจากรอยน้ำร้อนลวกบนต้นคอของชินทาโร่ที่ก้มหน้าลง รอยเช่นนั้นแม้เห็นเพียงผ่านๆก็พอให้เข้าใจความหมายมากเกินพอ
ในพริบตานั้นเองที่คลื่นอารมณ์เริ่มดังไหวอื้ออึงในหัวของเด็กชายอย่างปั่นป่วนจนเหมือนจะพาให้สติขาดหาย พลันดวงตาที่ปกติเป็นสีชมพูก็ไหววูบก่อนแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นสีแดงทับทิมสุกใส
ชายหนุ่มที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาไม่ทันรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อมือเล็กๆยื่นเข้ามาเชยใบหน้าหวานนั้นให้เงยขึ้นมาสบสายตากันชินทาโร่จึงตกใจกับสิ่งที่เห็นยิ่งนักเมื่อพบว่าดวงตาที่เห็นตรงหน้าเป็นสีอะไร ทว่าเมื่อตั้งใจจะหันหน้าหลบดวงตาคู่นั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อทั้งร่างกลับกายเป็นแข็งทื่อไม่ขยับอย่างที่ใจต้องการ
“จะ..จะทำอะไรของนายน่ะ มาริยะ?”
เมื่อลองอ้าปากดูก็กลับสามารถพูดออกมาได้เป็นปกติผิดจากที่คาดไว้ เพราะหากจำไม่ผิด ความสามารถของมาริยะคือการทำให้คนที่สบตาด้วยแข็งค้างเป็นหิน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ที่นอกจากร่างกายที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ชินทาโร่กลับยังคงสามารถรับรู้สัมผัสได้ มองเห็นได้ พูดคุยได้ จึงยิ่งทำให้ชินทาโร่ยิ่งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แถมตั้งแต่แรกที่ทำไมอยู่ๆมาริยะถึงคิดจะใช้ความสามารถนี้กับเค้าขึ้นมาชินทาโร่ก็ยังไม่เข้าใจ...จนกระทั่งมาริยะเริ่มขยับริมฝีปากเอ่ยคำตอบออกมาให้ชายหนุ่มได้รู้
“ชินทาโร่ ไม่ต้องกลัวนะ ความสามารถของผมน่ะ ถ้าควบคุมให้ดีๆก็สามารถจำกัดได้ว่าจะตัดประสาทรับรู้ของเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ผมขอแค่ให้คุณอยู่เฉยๆสักพักเท่านั้น แต่เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะกลับมาขยับเหมือนเดิมได้แล้วล่ะ”
ถึงแม้จะได้ยินเช่นนั้นแล้วชินทาโร่ก็ยังไม่อาจวางใจได้อยู่ดีเมื่อร่างกายที่ไม่อาจขยับได้ตอนนี้ของเค้าเริ่มโดนร่างเล็กค่อยๆผลักให้ล้มลงบนโซฟาตัวยาวที่นั่งอยู่พร้อมกับที่ใบหน้าของเด็กชายขยับเข้ามาใกล้ผิวขาวของชายหนุ่มอีกครั้ง หากเป้าหมายครั้งนี้กลับไม่ใช่มือเรียวอีกต่อไป
“...ระหว่างนั้นผมจะช่วยปฐมพยาบาลให้ ชดเชยที่ผมทำน้ำร้อนลวกใส่คุณ ดังนั้นช่วยร่วมมือด้วยนะครับ”
“ระ...ร่วมมือเนี่ยนะ!?อะ...โอ๊ย..มาริยะ!!”
ทันทีที่ร่างบางโดนผลักให้เอนล้มลงอย่างไม่อาจขัดขืนลำคอขาวผ่องก็พลันถูกฟันคมของเด็กชายกัดแรงๆตรงตำแหน่งที่มีรอยช้ำรอยเดิมอยู่ก่อนเปลี่ยนเป็นดูดดึงสลับขบเม้มจนเกิดเป็นรอยคิสมาร์กชัดเจนทับรอยเดิมจนแทบมองไม่เห็น
มือเล็กๆที่เคยวางนิ่งอยู่บนไหล่บางเริ่มขยับซุกซนไปตามสัญชาตญาณก่อนค่อยๆแทรกสอดสัมผัสไปตามผิวเนียนนุ่มที่ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งชวนให้หลงใหล เสื้อยืดตัวดำที่เคยปกปิดผิวขาวถูกถลกเลื่อนขึ้นสูงตามการขยับของมือที่เคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทางด้วยความไม่ประสาจนไม่อาจปกปิดร่างกายเพรียวบางได้อีกต่อไป
“อะ..อ๊ะ!”
เสียงหวานหูที่ดังขึ้นเมื่อมือเล็กลูบผ่านยอดอกทีเริ่มตั้งชันตามแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้าทำให้ความต้องการของมาริยะยิ่งพุ่งสูง ขณะที่มือข้างนึงยังคงวนเวียนกับยอดอกไม่ห่างมืออีกข้างก็เริ่มเลื่อนต่ำลงจนสัมผัสกับความต้องการที่แอบซ่อนอยู่ใต้กางเกงยีนส์ของร่างบาง
“ยะ..หยุดนะ!ยะ...อ๊ะ...อ๊า!”
ทันทีที่รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนจากฝ่ามือของเด็กชายที่โอบล้อมแก่นกายของตัวเอง ชินทาโร่ก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองต่อไป หากแม้เช่นนั้นเมื่อมือเล็กเริ่มรูดรั้งร่างบางก็ยังคงไม่อาจสะกดกั้นเสียงหวานไว้ได้
“ชินทาโร่...รู้สึกดีไหม?”
เสียงแหบพร่าเอ่ยถามอย่างลังเล ด้วยเป็นครั้งแรกของเด็กชายมือที่ขยับจึงไม่ประสานัก มาริยะจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีด้วยหรือไม่
“ฮะ..อ๊ะ...ดะ...ดี”
ใบหน้าที่ดูเย้ายวนด้วยแรงอารมณ์และนัยน์ตาที่ดูหยาดเยิ้ม กอปรกับเสียงหวานขาดห้วงที่ได้ยินกระตุ้นให้มือของเด็กชายยิ่งขยับเร็วขึ้น ปลายนิ้วอีกข้างลงมือบดขยี้ยอดอกที่แข็งสู้มือ พร้อมกับที่ลิ้นอุ่นเริ่มไล้เลียดูดดึงตุ่มไตอีกข้างเรียกเสียงหวานให้ดังขึ้นต่อเนื่องพัดกระพือบรรยากาศในห้องให้ร้อนรุ่มกว่าเดิม
“อะ...ฮึก..มะ...ไม่ไหว!อึก...ฉัน...จะ....แล้ว!!”
มือเรียวที่ไม่ทันรู้สึกตัวว่ากลับมาขยับได้ตั้งตัวเมื่อใดจิกขยุ้มอย่างสะกดกลั้นความเสียวซ่านลงบนศีรษะที่วนเวียนฝากรอยแดงบนร่างนุ่มนิ่มที่บัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของของเด็กชายไปทั่วจนลบเลือนรอยประทับเดิมจนหมดสิ้น ไม่นานนักร่างบางก็ไปถึงจุดสิ้นสุดของความความต้องการพร้อมกับที่หยาดน้ำขาวขุ่นพวยพุ่งออกมาเปรอะเปื้อนรอบมือเล็กที่กอบกุม
“ฮะ...แฮ่ก...แฮ่ก...อะ...อ๊ะ!”
แผ่นอกบางหอบสะท้านขึ้นลงอย่างเหนื่อยล้า ใบหน้าแดงซ่านที่สายตาเหม่อลอยอย่างไร้ทิศทางด้วยสติที่ยังคงไม่กลับมาดี แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นมาริยะก็ไม่คิดจะรอให้ชายหนุ่มตั้งสติได้เพราะนิ้วมือที่เปียกลื่นด้วยของเหลวที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกมาเริ่มสอดแทรกเข้าไปยังช่องทางเบื้องหลังบ่งบอกให้รู้ว่าเด็กชายไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
“ไม่...จะ..เจ็บ...หยุดนะ...มาริยะ”
ปากทางที่ถูกรุกรานกะทันหันโดยไม่ทันได้ถูกเตรียมพร้อมทำให้แผ่นหลังของชินทาโร่แอ่นโค้งขึ้นด้วยความเจ็บปวด มือผอมบางไร้เรี่ยวแรงถูกยกขึ้นผลักไสร่างของเด็กชายที่ควรจะมีแรงน้อยกว่าเค้าแน่ๆ หากแต่การปลดปล่อยที่เพิ่งผ่านไปกลับสูบเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดไป
“แฮ่ก...ขอโทษนะชินทาโร่...แต่ผม..ทนไม่ไหวแล้ว”
มือที่ยังคงขยับไม่หยุดพร้อมกับความปรารถนาที่ปรากฎบนสีหน้าของเด็กชายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเรียกให้หยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวเอ่อล้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ในที่สุดเมื่อความร้อนรุ่มเริ่มถูกจ่อบดเบียดกับปากทางที่หดตัวอย่างตึงเครียดนั่นเองที่ทำให้ความหวาดกลัวที่พยายามกดเก็บไว้ไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป
“มะ...ไม่นะ!!”
โป๊ก!
ทันทีเสียงสั่นระริกกรีดร้องดังกังวานขึ้นเสียงกระแทกทุ้มหนักก็ดังตอบรับขึ้นทันใด เด็กชายที่เคยทำให้หวาดหวั่นจนถึงเมื่อครู่พลันลงไปนอนสลบเหมือดคาอกบางราบเรียบ สร้างความตกตะลึงให้กับอดีตผู้ถูกกระทำที่ได้แต่เบิกดวงตาชุ่มน้ำกลมโตเหม่อมองตรงไปยังร่างสูงของบุคคลที่สามที่สอดแทรกเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เฮ้อออออ เจ้าเด็กแก่แดดเอ๊ย”
คำบ่นอย่างสุดแสนระอาของชายหนุ่มร่างสูงในฮู้ดสีม่วง หรือ หัวหน้ากลุ่มซ่อนดวงตานามคิโดะ สึโบมินั่นเองที่ช่วยกระตุ้นให้สติของชินทาโร่คืนกลับมา ดวงตากลมโตไหววูบสะท้อนความกลัวอย่างสุดแสนพร้อมกับที่สองมือกอดหมับเข้าที่ร่างที่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างหวังพี่งพิง ก่อนปล่อยโฮเต็มที่อย่างลืมอาย
“ฮะ...ฮึก...น่ากลัวจัง...คิโดะ”
“อะ..นี่...ชินทาโร่”
เจ้าของร่างสูงที่โดนกอดอย่างไม่ทันเตรียมใจได้แต่ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกมือที่ลนลานอย่างไม่รู้จะวางตรงไหนสุดท้ายจึงโอบกอดร่างขาวบางที่สั่นระริกไว้หลวมๆอย่างปลอบโยน
“เอ้านี่...ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องร้องแล้วล่ะนะ”
มือหนาที่ลูบบนศีรษะเบาๆอย่างอ่อนโยนทำให้ชินทาโร่รู้สึกปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อจนในที่สุดร่างที่สั่นไม่หยุดก็ค่อยๆสงบลง เปลือกตาบางค่อยๆปิดลงอย่างเหนื่อยล้าพร้อมกับที่เสียงหายใจเป็นจังหวะเริ่มดังแผ่วๆมาให้ได้ยิน
“อ๊ะ...นี่...หลับไปแล้วเหรอ?”
ร่างที่เลื่อนไถลลงตามแรงโน้มถ่วงพร้อมกับสติที่คอยฉุดรั้งขาดหายไปทำให้ชายหนุ่มต้องรีบโอบรับร่างที่เกือบลงไปกองกับพื้น เมื่อดูยังไงคนที่หลับไปคงไม่ตื่นมาง่ายๆเสียแล้วคิโดะจึงได้แต่ถอนหายใจเหยียดยาว
ดวงตาคมเหลือบมองไปยังร่างที่ยังไม่โตเต็มที่ของเด็กชายอีกคนที่นอนสลบเหมือดด้วยน้ำมือตัวเอง ได้แต่พึมพำขออโหสิเบาๆแม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน
“โทษทีนะ มาริยะ แต่งานนี้นายผิดเต็มๆนา”
เมื่อจัดแจงเครื่องแต่งกายของร่างที่สลบไสลให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้วมือแกร่งก็ค่อยๆสอดเข้าใต้เรียวขาขาวและท่อนแขนบอบบางก่อนยกร่างของชายหนุ่มที่อายุมากกว่าตัวเองหากกลับผอมบางอย่างน่าเหลือเชื่อขึ้นอย่างง่ายดาย เป้าหมายที่ร่างสูงมุ่งไปคือห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นบน
เมื่อวางร่างของชินทาโร่ลงพลางจัดท่านอนที่อีกฝ่ายน่าจะสบายตัวแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยเลิกฮู้ดที่คลุมศีรษะอยู่ลงให้เส้นผมซอยสั้นไหวตามแรงลมยามทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียงนุ่ม มือใหญ่น่าพึ่งพาค่อยๆยกเกลี่ยข้างแก้มนุ่มเบาๆอย่างรักใคร่ก่อนช่วยปาดหยดน้ำตาที่ยังค้างอยู่บนแพขนตายาว
แววตาอ่อนโยนที่มอบให้กับร่างที่นอนสงบบนฟูกขาวเปลี่ยนเป็นทอแววปวดร้าวเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกเฮือกของร่างบอบบางที่คงรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ลูบไล้ผิวกายจึงได้เริ่มขดตัวอย่างหวาดกลัวแม้ไร้สติ…หวนย้อนคิดกลับไปถึงเวลานั้นอีกกี่ครั้งก็ยังอดเจ็บใจตัวเองไม่หาย
...เหตุกาณ์หลังจากคิโดะกลับมาจากจ่ายตลาดและกำลังจะเปิดประตูฐานลับ หูของร่างสูงก็พลันได้ยินเสียงประหลาดบ่งบอกสถานการณ์ไม่ปกติข้างในจึงใช้ความสามารถซ่อนสายตาลอบเข้ามาในฐานลับอย่างเงียบเชียบจึงได้เห็นภาพที่ชวนให้ตกตะลึง
หากตอนนั้นตัวเองไม่มัวแต่อึ้งค้างกับภาพที่ได้เห็นและรีบลงมือหยุดมาริยะให้เร็วกว่านี้ร่างตรงหน้าคงไม่ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้
หากแม้จะโมโหตัวเองให้ตายยังไงก็ไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ คิโดะจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่ยอมให้คนคนนี้ต้องเจอกับเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว จะคอยปกป้องจากนี้...และตลอดไป
ดวงตาเด็ดเดี่ยวคมกล้ามองเจ้าของเรือนผมสีนิลที่ขดตัวอยู่บนเตียงอย่างลึกซึ้ง ก่อนโน้มกายลงฝากรอยจุมพิตบนหน้าผากมนเหมือนต้องการแทนคำสาบาน
มือใหญ่ลูบบนเส้นผมเล็กนุ่มน่าสัมผัสอย่างแผ่วเบาอยู่สักพัก ก่อนยอมตัดใจจากใบหน้าหวานที่หลับพริ้มแล้วลุกขึ้นจากฟูกนุ่มไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กกับกาละมังเพื่อรองน้ำมาชำระกายให้ร่างบางที่ห้องน้ำชั้นล่าง
...ปัง
เสียงปิดประตูดังแผ่วเบายามเมื่อร่างสูงพ้นไปจากประตู ภายในห้องนอนที่เป็นระเบียบจึงเหลือเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของร่างที่หลับใหล ริมฝีปากอิ่มของคนที่ยังคงไม่ได้สติขยับเล็กน้อยหลุดรอดเสียงพึมพำแผ่วเบาออกมาก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆดั่งนกน้อยที่ได้หลับใหลในรังอันอบอุ่นปลอดภัย
“...คิ...โดะ”
........
....
..
“อ๊ะ เหวอ ขอโทษครับ!...เอ่อ...คือ...เอ่อ...”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกับร่างผอมบางที่ดูหวาดกลัวโลกภายนอกเกินความจำเป็นของคนที่คิซารางิเรียกว่า ‘พี่ชาย’ คิโดะก็เกิดความรู้สึกอยากปกป้องร่างตรงหน้าเหลือเกิน...
ร่างที่สั่นกลัวจนหยาดน้ำตาคลอหน่วงอยู่เบื้องหน้าเค้าช่างดูน่าสงสารเหมือนสัตว์ตัวน้อยๆจนอยากอุ้มกลับบ้านเพื่อคอยปกป้องตลอดไปยิ่งนัก หากคิโดะก็ต้องพยายามใช้เหตุผลระงับใจไว้ไม่ให้เผลอทำเรื่องบ้าๆลงไป
ยิ่งเมื่อใบหน้าหวานนั้นเปลี่ยนเป็นท่าทีตื่นตกใจกับการที่ตัวเองหายตัวไปกะทันหันก็ยิ่งชวนให้คิโดะรู้สึกเสียใจมาตลอดที่เผลอทำให้ร่างที่นึกอยากปกป้องกลับต้องหวาดกลัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ตอนแรกเคยคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกเอ็นดูเหมือนเวลาที่เห็นชิวาว่าตัวน้อยๆสั่นงันงกจนทำให้เกิดความรู้สึกอยากปกป้อง อาจเป็นความค้างคาใจ หรือสำนึกผิดที่เคยทำให้คนๆนี้หวาดกลัว ทว่า...หลังจากนั้นที่ได้มารวมกลุ่มกัน ได้ไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน คิโดะก็ได้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง
...ความรู้สึกที่อยากให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายขนาดนี้...ไม่อยากให้ใครมาทำให้ร่างนี้ต้องหวาดกลัว...ไม่อยากให้ร่างนี้ต้องเจอกับความเจ็บปวด...ความรู้สึกที่ทำให้อยากอยู่ด้วยกันกับคนๆนี้ตลอดไป
...บางทีสิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่ใครๆเรียกกันว่า....ความรัก
++++++++++++++++++++++++++++
End? or To be Continued?
น่าจะครบหมดแล้วมั้ง?
หรือยังมีใครเหลืออีกไหมเนี่ย? (O. O ?)
แปะรูปมาริยะคุงกับคิโดะคุง
ที่มา: https://d3j5vwomefv46c.cloudfront.net/photos/thumb/677337469.png?1351173949
ที่มา: http://static.zerochan.net/Kido.Tsubomi.full.1586751.jpg
ผลงานอื่นๆ ของ deepforest ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ deepforest
ความคิดเห็น