ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SJ:WONKYU | HANTEUKCIN] :: My Bloody Valentine

    ลำดับตอนที่ #22 : 17' :สิ่งที่เปลี่ยน .. สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      2
      3 ก.พ. 55

    "แล้วฉันไม่ใช่ของนายรึไงกัน! แล้วฉันไม่รักนายรึไงกัน! ในเมื่อฉันยังมีแค่นายได้ แล้วทำไมนายถึงจะมีแค่ฉันไม่ได้กันห๊า! มันไม่รักนายก็ช่างมันสิ ฉันจะรักนายเอง ฉันจะเป็นของนายเอง...เป็นแค่ของนายคนเดียวเท่านั้นด้วยเจ้างี่เง่า! เลิกร้องไห้สักที มันน่ารำคาญรู้มั้ย!"

     

     

     

    บางครั้งฮันคยองก็นึกอยากจะให้ตัวเองฟังภาษาเกาหลีไม่ออกเพื่อไม่ให้ต้องรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เขาตอบสนองกลับไปไม่ได้...ความรู้สึกบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงกับมัน เขาค่อยๆดึงบานประตูที่เขาผลักเปิดเข้าไปเพียงนิดงับปิดลงอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ด้านในรู้ว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน...กั้นภาพของผู้ชายที่เป็นความรักของเขารวบตัวของคนที่เขาเพิ่งรู้ว่ารักเขาเข้าไปกอดออกไม่ให้ตัวเองได้รับรู้ถึงมันอีก

     

    เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไร...ก็แล้วจะให้เขาทำยังไงล่ะ

     

    ชายหนุ่มชาวจีนหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนีออกมาจากหน้าห้อง หากแต่เขาก็ชนโครมเข้ากับใครบางคนที่มายืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้อย่างจังจนเซถอยไปเกือบจะชนประตู แต่ก็โชคดีที่ชายคนนั้นยึดจับต้นแขนของเขาเอาไว้ได้ทัน ชายวัยกลางคนในชุดสูทเต็มยศที่มีบอดี้การ์ดชุดดำกว่าโหลยืนประกบอยู่ไม่ห่างยกปลายนิ้วชี้ขึ้นมาแตะเข้าที่ริมฝีปากของตัวเองคล้ายไม่อยากจะให้เขาส่งเสียงร้องอะไรออกมาให้คนที่อยู่ด้านในห้องได้รู้ตัว และทันทีที่ผู้ชายคนนั้นคลี่รอยยิ้มออกมา เขาก็พอจะนึกออกว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร

     

    "คุณ...เอ่อ...คิมหรอครับ"

     

    ถึงคิมฮีชอลจะเหมือนแม่มากขนาดไหน แต่คิมฮีชอลก็ยังเหมือนพ่อได้มากเท่านั้นอยู่ดีนั่นล่ะ

     

    "มาสิ...มานั่งคุยกันก่อนมั้ย"

    มือที่ยึดจับต้นแขนของเขาอยู่ออกแรงดึงรั้งเขาเบาๆให้เขาเดินตามไปทรุดตัวนั่งที่ม้านั่งซึ่งอยู่ห่างออกมาจากหน้าห้องไม่มากเท่าไรนัก บอดี้การ์ดที่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขาไม่วางตาทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมานิด และชายที่นั่งอยู่เคียงข้างเขาก็ยังสามารถกดดันบรรยากาศรอบตัวให้หนักอึ้งจนเขาแทบหายใจไม่ออกทั้งๆที่อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่เต็มเรียวปาก คุณคิมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดว่าจะเริ่มพูดคุยกับเขาอย่างไรดี

     

    "ฉันคิดว่าเธอคงเป็นเพื่อนกับฮีชอลสินะ ชื่ออะไรล่ะ"

     

    "ฮันคยองครับ"

     

    "อ่าา...อีทึกพูดชื่อของเธอออกมานับครั้งไม่ถ้วนเลยล่ะ"

     

    "หรอ...ครับ"

    เขาไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบอย่างไรกลับไปจึงได้แค่ขานรับประโยคบอกเล่านั้นกลับด้วยคำพูดอือออเบาๆในลำคอราวกับไม่อยากจะแสดงอารมณ์กับความจริงที่อีกฝ่ายพูดออกมาเมื่อครู่มากเท่าไรนัก....ผู้ชายที่ความรู้สึกกำลังปวดชารู้สึกอะไรได้ไม่มากนักหรอกนะ คุณคิมหัวเราะออกมาแผ่วๆให้กับถ้อยคำตอบรับของเขาพลางขยับยืดขาของตัวเองเหยียดยาวออกไปด้วยท่าทางที่แลดูผ่อนคลายกับการสนทนาครั้งนี้มากขึ้น

     

    "ตอนที่รู้ว่าฮีชอลป่วย เจ้าแสบนั่นเพิ่งจะสี่ขวบเท่านั้นเอง แต่ก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ แต่ก่อนฮีชอลน่ะ...หัวเราะบ่อยกว่านี้เยอะเลย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากทั้งวัน ไม่รู้ขำอะไรนักหนา"

    รอยยิ้มของคุณคิมอบอุ่นขึ้น และมันก็ทำให้เขาอดที่จะยิ้มตามออกมาอย่างช่วยไม่ได้...คงต้องน่ารักมากแน่ๆ เขามั่นใจเชียวล่ะ ฮันคยองเอนตัวมาด้านหน้าเพื่อวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนหัวเข่าของตน เขาได้ยินเสียงคุณคิมถอนหายใจออกมาเบาๆราวกับการได้นึกถึงเรื่องเก่าๆจะทำให้น้ำหนักที่เจ้าตัวแบกไว้อยู่บนบ่าลดน้อยลง

     

    "พอมานั่งนึกๆดูแล้วนะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสักนิดเดียว เราแค่ต้องหาหัวใจสำรองเอาไว้สำหรับฮีชอลยามเมื่อหัวใจของเขารับไม่ไหวอีกต่อไปก็เท่านั้น แต่ก็นะ...สมัยนั้นฉันยังเป็นแค่ผู้ชายตัวเล็กๆเองนี่นา มันก็ช่วยไม่ได้ที่ฮาราจะตระหนกล่ะนะ"

    คุณคิมไหวไหล่นิดเหมือนจะบอกว่านั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ลักษณะท่าทางการพูดของชายวัยกลางคนที่มีแต่คนบอกเขาว่าสามารถซื้อโลกได้ทั้งใบทำให้เขาอดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้...เหมือนอีทึกเป๊ะเลย วิธีการพูดโดยมีรอยยิ้มค้างอยู่บนเรียวปากแบบนั้นน่ะ เหมือนอีทึกไม่มีผิดจริงๆ

     

    "ฮาราอยากได้ลูกมานานแล้ว เธอรักเจ้าฮีชอลยิ่งกว่าใครบนโลก และฉันก็หมายความตามนั้นนั่นล่ะ...ฮาราไม่เคยเห็นใครสำคัญไปกว่าฮีชอลของเธอ...ไม่มีแม้สักคนเดียวจริงๆ หัวใจที่เข้ากับฮีชอลได้และพร้อมที่จะนำมาเปลี่ยนให้คนแสนสำคัญของเธอได้ทุกเวลาเป็นความคิดที่ดีที่สุดของเธอในตอนนั้น...และฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเสียหายตรงไหน แค่ชีวิตของคนคนเดียว ฉันให้ลูกชายของฉันได้อยู่แล้ว"

     

    "ผมไม่เข้าใจ..."

    สันหลังของเขาเย็นวาบขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ แววตาของคุณคิมที่นั่งอยู่เคียงข้างเขาและกำลังจ้องมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายทอประกายเย็นชาขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนมันจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นเรียบเฉยตามเดิม ชายวัยกลางคนจับประสานมือทั้งสองข้างของตนไว้บนตักด้วยท่าทางที่แลดูสงบลง บนเรียวปากหยักยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางเบา แต่กระนั้นมันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับเจ้าตัวกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่แสนมีค่าและสำคัญ

     

    "แต่ใครจะไม่รักอีทึกได้ล่ะ เจ้าเด็กช่างอ้อนแบบนั้น ใครจะทำตัวใจร้ายใส่ได้ลงกัน...ถึงฮาราจะบอกให้คนทั้งบ้านทำกับอีทึกเหมือนอะไรสักอย่างที่ไม่มีชีวิต แต่เด็กที่อ่อนหวานได้มากขนาดนั้น...ฉันไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นหรอกนะ"

     

    "คุณ...ให้อีทึกเป็นอวัยวะสำรองของฮีชอล?"

    ฮันคยองรู้สึกคลื่นไส้ เขาหันไปสบตากับผู้ชายที่มีรอยยิ้มได้อ่อนโยนมากเหลือเกินคนนั้นด้วยสายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขาอยากจะตะโกนใส่หน้าผู้ชายคนนั้นให้สุดเสียงว่าทำไมต้องเป็นอีทึก...ทำไมต้องเป็นนางฟ้าที่แสนอ่อนโยนองค์นั้น หากแต่สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้กลับเป็นการย้อนถามอย่างแผ่วเบาเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มชาวจีนเหลือบสายตามองชายวัยกลางคนข้างกายที่ล้วงหยิบม้วนซิก้าร์ที่ยังไม่ได้ตัดปลายขึ้นมาคาบไว้บนเรียวปากหมิ่นๆอย่างไม่คิดเกรงใจว่าที่นี่อยู่ในเขตห้ามสูบบุหรี่

     

    "ตอนนั้นใช่...และจนถึงตอนนี้ก็ยังใช่"

     

    "แต่...!"

     

    "แต่เธอคิดว่าฉันเป็นใครกันฮันคยอง...แค่หัวใจแค่ดวงเดียว ทำไมฉันจะหามาเปลี่ยนให้ลูกชายของฉันไม่ได้"

     

    "ผม..."

     

    "ฉันแค่อยากจะถามอะไรเธอหน่อย..."

     

    "ครับ?"

     

    "ถ้าฉันหาหัวใจมาไม่ได้...เธอจะยอมให้หัวใจของอีทึกเป็นของฮีชอลได้รึเปล่าฮันคยอง"

     

    ..................................................

     

    "ฮีชอล!"

     

    "ชู่วววว์! ถ้าแม่จะช่วยเงียบเสียงหน่อยผมจะขอบคุณมาก อีทึกเพิ่งหลับ ผมไม่อยากให้เขาตื่น"

    ร่างโปร่งที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงคนไข้เอ่ยบอกผู้หญิงที่เปิดประตูทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา เขาปรายตาไปมองผู้หญิงที่มีศักดิ์เป็นแม่ของเขาด้วยสายตาเย็นชาไม่แพ้น้ำเสียงก่อนจะกดดวงตากลับลงมาเหม่อมองคนที่นอนขดตัวเบียดเขาอยู่บนเตียงและใช้หน้าขาของเขาต่างหมอนตามเดิม ร่างบางที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงกับเขาหลับสนิท...ต้องตะล่อมอยู่หลายวันกว่าจะทำให้เจ้าคนขี้กลัว(กลัวโดนพยาบาลดุเนี่ยนะ?! บ้าป่ะเหอะ! หมอเขายังด่ามาแล้วเลย จะกลัวทำไมกับอีแค่พยาบาลวะ! มีเขาอยู่ทั้งคนนี่!)กล้าที่จะปีนขึ้นมานอนบนนี้ได้

     

    ใบหน้าขาวของคนที่มีหน้าที่ตามติดเขาเป็นเงาตามตัวดูสงบลงอย่างที่เขาไม่เห็นบ่อยนัก และมันก็น่าหมั่นไส้เป็นบ้าจนเขาอดไม่ได้ที่จะใช้มือหยิกแก้มขาวๆนั่นไปสักทีเบาๆ คนโดนแกล้งครางอือออออกมาคล้ายจะรำคาญพลางเบียดตัวเข้าหาขาของเขามากขึ้น ใบหน้าหวานๆนั่นก็ไซ้ไปมาอยู่กับต้นขาของเขาราวกับกำลังจะหามุมสบายกว่านี้ให้กับตัวเองจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและใช้มือลูบผมของนางฟ้าที่กำลังหลับใหลไปมาแผ่วเบาคล้ายจะเห่กล่อมให้อีกฝ่ายจมกลับลงไปในห้วงนิทราแสนสุขอีกครั้ง

     

    อีทึกเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวของเขามาเสมอ

    ปกป้องเขาเสมอ...ดูแลเขาเสมอ...ห่วงใยเขาเสมอ

    แล้วแบบนี้...จะไม่ให้รักได้อย่างไร

     

    "คุณหมอว่ายังไงบ้างฮีชอล"

     

    "ก็ไม่ว่าไง แค่บอกว่าหัวใจของผมกำลังทนไม่ไหว"

    ฮีชอลตอบมารดากลับด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่ยี่หระกับอาการของตัวเองเท่าไรนัก เขาเบี่ยงหัวไหล่หลบมือของผู้หญิงที่เขาเกลียดมากกว่าใครบนโลกเมื่อหล่อนทำท่าจะเอื้อมมือมาดึงตัวของเขาเข้าไปกอด คิมฮาราหน้าเสียไปนิดทันที แต่หล่อนก็ยังพยายามปั้นรอยยิ้มส่งมาให้เขา

     

    คิมฮารามีความอดทนกับเขาเสมอ

    เขาเป็นที่หนึ่งกับเธอเสมอ เขามั่นใจ

     

    "ถ้าอย่างนั้น แม่..."

     

    "ถ้าแม่คิดจะเอาหัวใจของอีทึกมาใส่ให้ผม แม่เลิกพูดแล้วไม่ต้องกลับมาให้ผมเห็นหน้าอีกคงจะดีกว่า"

    ฮีชอลรู้ดีว่าการทำตัวแบบนี้หยาบคาย แต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่คนที่เขารักคนที่เขาแคร์ มันก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรกับมัน...จะเจ็บปวดเพียงแค่คำพูดของเขามากขนาดไหน เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไรเลยสักนิด...ขอแค่คนที่เขาห่วงใยไม่เจ็บปวด มันก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญเลยสักนิดจริงๆ ฮีชอลกดสายตากลับลงมาอยู่ที่คนหลับใหลอีกครั้ง

     

    คิมฮาราสอนให้เขารู้สึกแบบนั้นมาเสมออยู่แล้ว

     

    "ฮีชอล แม่ไม่..."

     

    "ผมไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้แม่คิดทำอะไรแบบนี้ ผมดีใจที่แม่รักผมมากขนาดนั้น แต่อีทึกสำคัญสำหรับผม...เป็นคนพิเศษของผม ต่อให้หัวใจของผมหยุดเต้นเขาก็จะยังคงสำคัญ จะไม่มีใครเอาหัวใจของคนสำคัญของผมออกมาใส่แทนหัวใจของผมได้ทั้งนั้น...ใครหน้าไหนก็ทำแบบนั้นไม่ได้ทั้งนั้น แม่จำเอาไว้ด้วย!"

    ร่างบอบบางของนางฟ้าแสนสำคัญของเขาบิดตัวไปมานิดเหมือนการนอนค้างอยู่ในท่าเดิมนานๆจะทำให้เจ้าตัวรู้สึกปวดเมื่อยขึ้นมา ฮีชอลอมยิ้มออกมานิดพลางขยับตัวเองไปยังอีกด้านของเตียงมากขึ้นเพื่อให้คนหลับใหลมีพื้นที่ได้ขยับตัวมากขึ้น อีทึกครางงึมงำออกมาเบาๆ ดวงตาคู่หวานค่อยๆปรอยปรือเปิดลืมขึ้นมาอย่างเชื่องช้าเหมือนอยากจะหาสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวกำลังรู้สึกไม่สบายตัว

     

    "ฮีชอลอ่าา เมื่อยมั้ย"

     

    "ได้ยินฉันบ่นสักคำมั้ยล่ะ! นอนๆไปเหอะนา ตื่นมาก็ทำตัววุ่นวายน่ารำคาญ นอนเงียบๆไปน่ะดีแล้ว"

     

    "ใจร้ายยย"

    เจ้าคนที่ชอบทำตัววุ่นวายยังไม่วายเหลือบสายตามามองค้อนเขาอย่างแสนงอนก่อนจะจมกลับลงไปในห้วงนิทราตามเดิมโดยไม่ทันสังเกตเห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ที่อีกด้านของเตียงด้วยซ้ำ ฮีชอลไล้ข้อนิ้วไปตามพวงแก้มเนียนของนางฟ้าที่เขารักมากเหลือเกินอย่างเบามือ และเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับลึกเหมือนเดิมอีกครั้งแล้ว เขาจึงละสายตาออกมาและเหลือบไปมองหน้ามารดาของตนด้วยสายตาเย็นชา

     

    "เราเข้าใจกันรึยังครับคุณแม่"

    ใบหน้าสวยงามของคิมฮาราแสดงอารมณ์ออกมาหลากหลายจนมันดูน่าขันในสายตาของเขา ในวินาทีหนึ่งหล่อนดูเหมือนจะโกรธและอยากจะเขย่าปลุกคนหลับใหลให้ตื่นขึ้นมารับการลงโทษที่หล่อนมักจะเอาไปลงที่ฝ่ายนั้นเสมอแทนที่จะเป็นเขาซึ่งเป็นสาเหตุของความเกรี้ยวกราดของหล่อน แต่ในอีกวินาทีถัดมา หล่อนก็ดูเหมือนผู้หญิงสิ้นหวังที่กำลังจะเสียลูกชายไปโดยที่ตัวหล่อนเองแก้ไขอะไรไม่ได้

     

    และสำหรับคิมฮีชอล...เขาก็เกลียดหล่อนมากพอที่จะไม่สนใจ

     

    "ทำไมพวกเธอสองคนถึงได้ทะเลาะกันทุกทีเลยน้าา ไม่เบื่อกันบ้างรึไง ทะเลาะกันเรื่องเดิมๆทุกที"

    คำพูดของคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาหยุดการโต้เถียงลงได้อย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยฟังสบายที่ดูเหมือนผู้พูดจะไม่เดือดร้อนกับความจริงเรื่องนั้นเท่าไรนัก คิมชองฮีที่ใครๆต่างก็พากันบอกว่ามีอำนาจเป็นเจ้าของได้มากกว่าโลกทั้งใบส่ายหน้าน้อยๆคล้ายจะเหนื่อยใจกับการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องเดิมๆเรื่องนี้พลางก้าวเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ริมเตียงฝั่งตรงข้ามกับภรรยาของตน

     

    "คุณพ่อ..."

     

    "แกยังดูดีนี่ฮีชอล ตอนอีทึกโทรมาร้องห่มร้องไห้ให้ฉันฟังบอกว่าต้องหามแกเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการกำเริบ ฉันก็นึกว่าแกต้องนอนสอดท่อหายใจหรืออะไรแบบนั้นเสียอีก"

    ชายที่มีอำนาจอยู่เหนือเกือบทุกสิ่งบนคาบสมุทรเกาหลีว่าด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงพร้อมกับโบกไม้โบกมือแสดงท่าทางประกอบคำพูดไปมาจนเขาอดที่จะขมวดคิ้วใส่อย่างหมั่นไส้ไม่ได้ ฮีชอลปัดมือหยาบที่ตั้งท่าจะเอื้อมมาหยิกแก้มของเขาออกก่อนที่มันจะทันได้สัมผัสลงมาจริงๆ และแน่ล่ะ...คุณพ่อของเขาทำหน้ามุ่ยใส่อย่างขัดเคืองเหมือนเด็กสี่ขวบห้าขวบในทันที เหอะ! ดูแค่หางตาก็รู้แล้วว่าอีทึกโตมากับใครน่ะ! แต่ท่าทางขี้เล่นขี้งอนนั่นก็เลือนหายไปในทันทีที่ชายในชุดสูทเลื่อนสายตาขึ้นไปสบตากับภรรยาของตนที่ยืนเงียบอยู่ที่อีกด้านของเตียง

     

    "จะไม่มีใครทำอะไรลูกชายของฉันคนนี้ตราบใดที่ฉันยังไม่สั่ง เข้าใจรึเปล่าฮารา"

    ฮีชอลไม่เคยหลอกตัวเองว่าครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบและอบอุ่นจนใครๆต่างอิจฉา...เขาเกลียดแม่ของตัวเอง แม่ของเขาทำตัวเย็นชากับสามี และพ่อของเขาก็รักงานมากกว่าครอบครัว มันฟังดูใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบตรงไหนกัน

     

    แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ทุกคนก็รักอีทึกมากเหลือเกิน

    ทั้งพ่อทั้งเขา...มีอีทึกเป็นสุดที่รักมาตลอด

    และถึงแม้แม่จะเย็นชา...แต่ก็ใจอ่อนเสียทุกทีที่อีทึกมีน้ำตา

     

    คิมชองฮีวางมือลงเบาๆที่ศีรษะของลูกชายสุดที่รักของตน(เขาไม่อิจฉาหรอกนะ บอกตรงๆ!) เรียวปากก็คลี่รอยยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้อย่างที่เจ้าตัวทำมาตลอดเกือบ17ปีตั้งแต่ที่อีทึกก้าวเข้ามาในบ้าน ซึ่งมันก็เป็นเหตุให้อีทึกติดผู้ชายคนนี้มากเหลือเกินในตอนเด็กๆ ชายวัยกลางคนกระซิบบอกบางอย่างอยู่ที่ริมหูของคนหลับใหลก่อนจะกดจูบลงไปที่ข้างขมับด้วยสัมผัสแผ่วเบาอย่างแสนรัก

     

    "ไม่คิดจะตื่นขึ้นมาทักทายพ่อหน่อยหรอครับนางฟ้า"

     

    "คุณพ่อ..."

    นางฟ้าสุดที่รักของพ่อครางพึมพำออกมาพลางพยายามจะปรือตาขึ้นมองหาเจ้าของเสียงที่กระซิบอยู่ที่ข้างหู ท่าทางแสนงัวเงียแบบนั้นทำให้ผู้ชายที่ใครหลายคนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหัวเราะออกมาได้แผ่วเบา คิมชองฮีลูบผมนิ่มของนางฟ้าไปมาราวกับอยากจะบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องรีบตื่นเร็วนักก็ได้

     

    "คุณคะ..."

    เสียงหวานที่ฟังดูตื่นตระหนกของภรรยาเรียกสายตาของคิมชองฮีให้ตวัดขึ้นไปมองโดยที่เจ้าตัวไม่ยอมที่จะยืดตัวผละห่างออกมาจากนางฟ้าแสนรักของตัวเองเลยสักนิด ดวงตาคมคู่นั้นทอแววเย็นชาเช่นเดียวกับสีหน้าที่ไม่ได้มีเศษเสี้ยวของความอ่อนโยนเลยสักนิด

     

    "ฉันปกป้องลูกชายของฉันได้ฮารา...ลูกชายทั้งสองคนของฉัน ไม่ต้องมาบอกว่าฉันควรจะทำยังไง เธออยากได้หัวใจสักกี่ดวง ฉันหามาให้เธอได้ทั้งนั้น แต่จะต้องไม่มีใครแตะต้องอีทึก เข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่าฮารา"

     

    "แต่คุณคะ..."

     

    "ฉันถามว่าเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่าคิมฮารา"

     

    "ค่ะ...รับทราบค่ะ"

    คิมฮารายอมแพ้อย่างง่ายดายเสมอเมื่อเป็นคิมชองฮี เธอก้มหน้ารับคำสั่งของสามีแต่โดยดีและถอยห่างออกมาจากริมเตียงเล็กน้อยราวกับไม่อยากให้ผู้เป็นสามีสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของตัวเอง คิมชองฮีกดสายตากลับลงมามองที่อีทึกอีกครั้ง และแน่ล่ะ...ทุกครั้งที่สายตาของคิมชองฮีอยู่ที่นางฟ้าแสนรักของตน มันก็มักจะมีรอยยิ้มติดอยู่ที่บนเรียวปากของเจ้าตัวเสมอ

     

    "อีทึก อีทึก...เด็กขี้เซาตื่นหน่อยได้มั้ยเด็กดี"

     

    "อือออ"

     

    "พ่อมีอะไรอยากจะคุยด้วยหน่อย...ได้มั้ยครับเด็กดี"

     

    "อื้อ"

    ถึงแม้จะยังไม่ตื่นดี แต่อีทึกก็ยังยอมทำตามสิ่งที่บิดาบุญธรรมของตนปรารถนาอย่างว่าง่าย ร่างบอบบางค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมาจากเตียง หมุนหัวซ้ายขวามองหารองเท้าของตัวเองด้วยดวงตาที่ยังไม่เปิดลืมดีอยู่เสียนานจนคนที่กำลังยืนคอยหัวเราะออกมาและจำต้องย่อตัวลงไปหยิบร้องเท้าผ้าใบมาสวมให้อย่างใจเย็น

     

    "ชอบใช้พ่อเรื่อยเลยน้าาา"

    คนที่ชอบโดนลูกชายใช้อยู่เรื่อย(แพ้อะไรน่ารักๆก็แบบนี้ล่ะ ฮีชอลบอกให้พ่อไปอัพสกิลเพิ่มภูมิต้านทานซะก็ไม่เชื่อ!)บ่นออกมาด้วยท่าทางเหมือนจะขอความเห็นใจพลางคว้าจับมือของอีทึกมาเกาะกุมเอาไว้ก่อนจะเดินจูงพาออกไปคุยด้านนอกห้อง

     

    เหอะ! เดินตามเหมือนลูกเป็ดดีชะมัด!

    น่าจับมาตีสักทีจริงๆ!

     

    มือใหญ่หยาบกร้านหากแต่ก็แสนอุ่นที่จับประสานอยู่กับมือของเขาทำให้เขารู้สึกตื่นขึ้นมาเต็มตาในทันที...อีทึกจำไออุ่นของคุณพ่อได้เสมอ คนที่ยิ้มให้อีทึกมาเสมอแม้เขาจะทำตัวดื้อรั้นเท่าใดก็ตาม เขาเดินตามคุณพ่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้เอ่ยปากถามสิ่งใดออกมาแม้สักคำ คุณพ่อบีบจับมือของเขาแน่นขึ้นพลางหันมาสบตากับเขา และบนเรียวปากคู่นั้นก็ไม่เคยปราศจากรอยยิ้มเลยสักทีตลอด17ปีที่ผ่านมา

     

    "ชอบชื่อปาร์คจองซูรึเปล่า"

     

    "ครับ?"

     

    "ชอบมั้ย มันเป็นชื่อของเธอนะ"

    อีทึกหยุดก้าวเดิน...เขาลืมวิธีหายใจ และตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งจ้องมองผู้ชายที่เดินเยื้องอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนที่ไม่รู้จัก เขาพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุม...พยายามคิดหาคำตอบให้กับตัวเองว่าคุณพ่อกำลังพูดถึงสิ่งใด แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไรเขาก็ดึงมือออกมาจากมือใหญ่ข้างนั้นไม่ได้...หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าจะหวาดกลัวกับมันไปทำไม

     

    "พ่อจะพาอีทึกไปไหน อีทึกยังไม่ได้บอกลาใครเลย"

     

    "เปล่าสักหน่อย กลัวอะไรเด็กดี พ่อไม่ได้จะพาอีทึกไปทำอะไรสักหน่อย...ฟังพ่อนะเด็กดี"

    ร่างสูงของบิดาบุญธรรมหมุนตัวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพร้อมกับใช้สองมือประคองพวงแก้มของเขาเอาไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม คิมชองฮีส่งรอยยิ้มมาให้เขาอย่างอ่อนโยนก่อนจะกดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของเขาคล้ายอยากจะอวยพรให้เขาโชคดีกับชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นในชื่อของปาร์คจองซู

     

    "ไปเริ่มต้นชีวิตของเธอนะปาร์คจองซู...ไปมีชีวิตของตัวเองสักที"

     

    ............................................................

     

    "ไกลแค่นี้พอใจมั้ย"

    อีทึกไม่ตอบคำถามของสารถีที่อุตส่าห์พาเขาออกมาถึงนอกเมืองเพื่อพาเขามาทะเลอย่างที่เขาปรารถนา เขาสูดหายใจเอากลิ่นไอเกลือของทะเลเข้าปอดก่อนจะกระโดดลงมาจากรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่อย่างคล่องแคล่ว(ถึงตอนขามาจะกระโดดอยู่นานจนโดนซีวอนหยิกแก้มให้ช้ำไปหมดข้อหาซื่อบื้อไม่ได้เรื่องก็เหอะ อีทึกเรียนรู้เร็วนะ!) สัมผัสของพื้นทรายนุ่มๆที่ยวบลงตามน้ำหนักของเขาทำให้เขาหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบใจ อีทึกก้มตัวลงไปถอดรองเท้าผ้าใบของตัวเองออกเพื่อจะได้สัมผัสเม็ดทรายละเอียดด้วยฝ่าเท้าอันเปลือยเปล่า และความรู้สึกจั๊กจี้เล็กๆก็ทำให้เขาหัวเราะออกมาอีก

     

    "ทำเหมือนไม่เคยมาทะเล"

     

    "ก็ไม่เคยมาจริงๆนี่"

     

    "หา? นี่นายเป็นคนเกาหลีประสาอะไรกัน ประเทศเราเป็นคาบสมุทรนะ ให้ตายสิ!"

    ซีวอนที่เพิ่งถอดหมวกกันลมออกและก้าวออกมาจากตัวถังรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ทำสีหน้าท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนอย่างเขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ เดือนคนดังล้วงหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้บนเรียวปากพร้อมกับใช้มืออีกข้างมาผลักหัวของเขาแรงๆเสียหนึ่งที ร่างสูงสบถพึมพำ ดวงตาก็เหล่มองมาที่เขาที่ยืนมีความสุขอยู่กับเม็ดทรายอยู่ข้างๆด้วยสายตาที่เห็นแล้วก็นึกถึงฮีชอลขึ้นมาตะหงิดๆ(ทำไมใครๆถึงได้ชอบมองอีทึกด้วยสายตาแบบนั้นนะ  อีทึกไม่ใช่เด็กเล็กๆสักหน่อย!)

     

    "เฮ้ออ! ช่างเถอะ พอใจรึยังล่ะ ถ้าพอใจแล้วจะได้กลับโซลกัน"

    ซีวอนว่าพลางทรุดตัวนั่งลงบนพื้นทราย ร่างสูงขยับตัวเอนหลังพิงตัวถถังรถมอเตอร์ไซต์ของตนพร้อมกับชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นด้วยท่าทางเหมือนถูกบังคับให้มาอยู่ตรงนี้ แต่ก็นั่นล่ะ...ผู้ชายใจดีคนนี้ก็ยังอดทนกับเขาได้มากเหลือเกิน

     

    เป็นอีกครั้งที่อีทึกไม่ตอบรับคำถามของคนถาม เขาปล่อยให้คนตัวสูงจุดบุหรี่สูบ ในขณะที่ตัวเองก็เดินห่างออกมา ก้าวไปตามพื้นทราบตรงไปหาน้ำทะเลสีเข้มอย่างเฉื่อยชา สายลมเย็นที่พัดมากระทบใบหน้าทำให้เขาอมยิ้มออกมานิด...ฮีชอลจะต้องชอบที่นี่ เขามั่นใจ ที่ๆให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีใครอื่นอยู่บนโลกแบบนี้ต้องถูกใจฮีชอลมากแน่ๆ ร่างผอมบางหยุดเดินเมื่อปลายเท้าสัมผัสเข้ากับผืนน้ำทะเลเย็นเฉียบ ดวงตาคู่หวานกดมองเท้าของตัวเองที่จมอยู่ใต้น้ำแล้วก็ต้องหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อมีปูตัวเล็กๆตัวนึงวิ่งผ่านเท้าของเขาไป

     

    Rrrrrr! Rrrrrr!

     

    เสียงร้องของโทรศัพท์มือถือถึงความสนใจของเขาออกมาจากบรรยากาศรอบตัวได้เล็กน้อย อีทึกล้วงมือลงไปหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้รอยยิ้มของเขาจืดเจือนลงนิด หากแต่มันก็เพียงไม่นานเท่านั้นนั่นล่ะ นางฟ้าตาหวานรีบขยับรอยยิ้มบนเรียวปากให้กว้างขึ้นพร้อมกับกดรับสายและยกมันขึ้นมาแนบหู

     

    "สวัสดีฮันคยอง"

     

    .............................................................

     

     

     








    ก็จบกันไปแบบพอคร่าวๆนะสำหรับคู่สามพี อดีตรู้เรื่องหมดแล้ว เหลือแค่อนาคตแหละเนอะว่าสรุปแล้วผู้ชายสามคนที่ไม่มีใครได้รับความรักตอบกลับมาจากคนที่ตัวเองรักเลยสักคนจะลงเอยกันยังไง ตอนนี้คนที่กินขาดน่าจะเป็นคุณพ่อสุดเท่ห์ของคิมฮีชอลเนอะ เท่ห์จริงอะไรจริงอ่ะ(เหมือนเป็นธรรมเนียมที่ฟิคเกือบทุกเรื่องของไรเตอร์ต้องมีคุณพ่อสุดเจ๋ง(?)ประจำเรื่องอยู่นึงคนนะ(ฮา)) แต่ไม่อยากจะบอก ไรเตอร์แต่งตอนนี้ตอนเสี่ยพาแม่มาเมืองไทยพอดี พอเห็นหน้าแม่เสี่ยแล้วแบบ...อื้อหือ! นี่ล่ะคิมฮาราที่ฉันตามหามา หน้าแม่ของเสี่ยให้ความรู้สึกเหมือนแม่ของฮีชอลเรื่องนี้เป๊ะเลย!(ฮาอีกแล้ว .. กราบสวัสดีคุณแม่ยายหนึ่งทีก็แล้วกัน)

     

    ตามสัญญาค่ะ จะมาเฉลยว่าเอาพล๊อตของคู่นี้มาจากหนังเรื่องอะไร ไรเตอร์เอามาจากเรื่องMy Sister’s Keeperค่ะ(รีดเดอร์บอก แค่ชื่อก็ใช่แล้วอ่ะ) เล่าให้ฟังคร่าวๆนะคะ(สปอยเล็กน้อย) หนังเปิดเรื่องมาด้วยการที่มีเด็กผู้หญิงคนนึง(จำชื่อไม่ได้)มาขอจ้างทนายไปฟ้องร้องพ่อแม่ของตัวเองค่ะ  เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าครอบครัวๆนึงเนี่ย มีลูกสาวอยู่หนึ่งคน แต่ก็ดันตรวจเจอตอนเธอขวบสองขวบว่าเธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวค่ะ ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายไขสันหลัง อะไรงี้ แต่ไขสันหลังที่เหมือนกัน(เข้ากันได้)มันหายาก ต้องเป็นคนที่แบบใกล้ชิดกันมากเท่านั้น(อะไรทำนองนั้นนะคะ) คุณพ่อคุณแม่ที่สิ้นหวังเลยตัดสินใจมีลูกสาวอีกคนเพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคนโตของพวกเขาค่ะ พวกเขาก็ดูรักกันดีนะคะ(ถึงแม้จะมีรอยร้าวเล็กๆอยู่ในนั้นก็เหอะ)  แต่เหมือนคนพี่(ที่ไม่สบายน่ะค่ะ)จะไตไม่ทำงาน มันก็เลยตกมาเป็นหน้าที่ของคนน้องที่ต้องให้ไตข้างหนึ่งแก่พี่สาวของตน คนน้องก็เลยไปจ้างทนายเพื่อปฏิเสธไม่ให้แม่เอาไตของเธอไปให้พี่สาวค่ะ (แต่มารู้เอาตอนสุดท้ายว่าพี่สาวเปนคนบอกให้ไป เพราะพี่สาวไม่อยากทนมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว) ในหนัง จบที่ว่าสุดท้ายแล้วคนน้องชนะคดี และคนพี่ก็ตายค่ะ(แต่ต้นฉบับที่เป็นนิยายคือคนน้องก็ชนะคดีเหมือนกัน แต่ระหว่างทางไปเอาอะไรสักอย่างได้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตค่ะ(เหมือนจะโคม่าไม่มีทางรอดอะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ) คนพี่เลยได้ไตมาและรอดมาได้ค่ะ) คร่าวๆก็ประมานนั้นค่ะ ไรเตอร์ดูเรื่องนี้กี่ทีก็ร้องไห้บ้านแตกตลอด ใครดูเรื่องนี้ไม่ร้องไห้ถือว่าเป็นคนเย็นชามากจริงๆอ่ะ หัวใจเธอทำด้วยอะรายยยย! = =

     

    หนังเรื่องนี้สอนอะไรเยอะแยะนะ และสิ่งหนึ่งที่ไรเตอร์ชอบก็คือไม่มีผู้หญิงคนไหนเกิดมาเพื่อเป็นแม่น่ะค่ะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนรู้ว่าการเป็นแม่ที่ดีที่สุดทำยังไง พวกเธอแค่รู้ว่าเธอรักลูกของพวกเธอและต้องปกป้องพวกเขาเท่านั้นเองจนบางครั้งเธออาจจะทำให้ใครบางคนเสียใจอยู่ก็ได้ ถ้าไม่ไบแอสกับคิมฮารา(และเข้าข้างอีทึก)มากนัก จะเห็นได้ว่าเธอรักฮีชอลมากนะ เธอหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ลูกชายของเธอ(ซึ่งนั่นก็คืออีทึก)เพื่อให้ลูกชายของเธอไม่มีทางเป็นอะไร ก็อย่างที่คิมชองฮีพูดนั่นล่ะค่ะ เธอทำได้ทุกอย่างเพราะฮีชอลคือลูกชายของเธอ  คุณแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกอยู่แล้วไม่ใช่รึไงคะ? การที่เอาใครอีกคนมาเป็นอวัยวะสำรองให้ลูกของตัวเอง ไรเตอร์เชื่อว่าคุณแม่หลายคนทำได้นะ...ก็ว่าไปนั่น รักคุณแม่กันให้มากๆนะคะ^^

     

    ส่วนเรื่องของอีทึกกับฮีชอล สำหรับไรเตอร์นะ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันไปไกลเกินกว่าคำว่ารักแล้วน่ะค่ะ พวกเขาผูกพันธ์กันมากเกินกว่าที่มันจะเรียกว่ารักแล้ว ก็โตมาด้วยกัน ตัวติดกัน ไปไหนไปกันมาตลอดตั้งแต่เล็กๆ จะไม่ให้รักกันก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วเนอะ^^ มันไม่ได้เป็นความหมายในเชิงชู้สาว แต่สำหรับไรเตอร์มันหมายถึงการเป็นครึ่งนึงของกันและกันมากกว่านะ แต่คิมฮีเท่ห์จริงอะไรจริง(ได้ความเท่ห์มาจากพ่อชัดๆเลย) ก็นั่นสินะ...ก็เมื่อมีคิมฮีชอลให้ความรักอยู่ตรงนี้แล้ว จะต้องการความรักของคนอื่นไปทำไม ในเมื่อคิมฮีชอลที่ไม่เคยเป็นของใครเป็นแค่ของอีทึกคนเดียวแล้ว ทำไมยังต้องการใครอีกคนด้วย ในเมื่อคิมฮีชอลยังรักแค่อีทึกคนเดียวได้ อีทึกจะรักคิมฮีชอลคนเดียวไม่ได้เลยรึไง...ฮูยยยย เปรี้ยวจริงจังอ่ะ!

     

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องถือว่าอีทึกรอดมาได้(?)เพราะตัวเองนะ ถ้าอีทึกไม่น่ารัก ถ้าอีทึกไม่ได้มีบุคลิกแบบนี้ ไรเตอร์ว่าอีทึกไม่น่าจะมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้อ่ะ= =ถ้าคุณพ่อไม่รักอีทึกมากขนาดนั้น คุณคิมคงสั่งให้ผ่าเอาหัวใจของอีทึกออกมานานแล้วล่ะเนอะ

     

    โม้เยอะกว่าฟิคอีก= = ตอนหน้า อีกหนึ่งส่วนสามจะเป้นตอนจบของเนื้อเรื่องคู่สามพีนี้ค่ะ ใครยังสงสัยอะไรอยู่(แนะนำให้ค่อยๆคิดตามแล้วจะเข้าใจพฤติกรรมของคนในเรื่องของคู่รองนะคะ)ก็ทิ้งคำถามไว้นะคะ เด๋วจะมาตอบให้(ถ้าตอบได้นะ) ส่วนที่เหลือเราจะไปตามหาป๋าลูกแมวที่โดนหมีอ้วนล่อลวงไปกันค่ะ^^

     

     

    เจอกันครั้งหน้าค่ะ

     

    ปล. ส่วนเรื่องรวมเล่มที่ยังมีน้องรีดเดอร์ทวงกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นตอนก่อนมีคนเสนอตัวเปนแรงงานทาส(?)มาแล้ว โอเคค่ะ...ไรเตอร์ให้เวลาเก็บเงินนะ(เรื่องนี้เล่มเดียวน่าจะไหวอยู่ เพราะงั้นไม่น่าจะเกินสี่ร้อยเนอะ ใครอยากได้ หยอดกระปุกรอได้เลยค่ะ วันละสิบบาทแค่เดือนกว่าก็ครบแล้วน้า) รอให้ไรเตอร์พร้อมนิดนึงแล้วเราจะมาเปิดจองรวมเล่มกันค่ะ^^ 





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×